พิษจากสารตะกั่วผลอันเป็นความหายนะ
‘โรคร้ายแรงในวัยเด็กซึ่งรู้จักกันดีที่สุด.’ “อันดับหนึ่งของภัยคุกคามทางสิ่งแวดล้อมต่อเด็ก ๆ.” คุณคงเดาถูก ภัยคุกคามซึ่งพรรณนาในที่นี้พูดถึงเรื่องเดียวกัน: พิษจากสารตะกั่ว.
ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) บอกว่า “เด็ก ๆ ไวเป็นพิเศษต่อพิษจากสารตะกั่ว. ส่วนใหญ่แล้ว พิษจากสารตะกั่วแฝงตัวอย่างเงียบเชียบ กล่าวคือ เด็กโดยมากที่ได้รับพิษไม่แสดงอาการ. เพราะฉะนั้น กรณีส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและไม่ได้รับการบำบัด. . . . นี่มิใช่ปัญหาของย่านเก่าแก่ในตัวเมืองหรือเด็กกลุ่มน้อยเท่านั้น. ไม่มีกลุ่มเศรษฐศาสตร์สังคมใด, เขตภูมิศาสตร์ใด, หรือพลเมืองของเชื้อชาติใด หรือเผ่าพันธุ์ใดได้รับการยกเว้น.” รายงานเสริมอีกว่า “การได้รับพิษจากสารตะกั่วในวัยเด็กเป็นปัญหาทั่วโลก.”
วิธีที่สารตะกั่วส่งผลกระทบต่อเด็ก ๆ
กะประมาณกันว่าเด็กสามล้านถึงสี่ล้านคนในวัยต่ำกว่าหกขวบ เฉพาะในสหรัฐฯ แห่งเดียว มีระดับสารตะกั่วในกระแสเลือดสูงพอที่จะเกิดผลเสียหายต่อการเจริญเติบโตตามปกติ. ทั้งนี้อาจหมายถึงสิ่งใดก็ตามนับตั้งแต่ทักษะในการอ่านหนังสือลดต่ำลงเล็กน้อยไปจนถึงขั้นปัญญาอ่อนเต็มที่. และถ้าเป็นเช่นนั้นในประเทศหนึ่ง ตัวเลขของทั้งโลกคงต้องเป็นจำนวนมหาศาล.
ในแอฟริกา, เอเชีย, เม็กซิโก, และตะวันออกกลาง บางครั้งยังคงใช้สารตะกั่วเป็นยาโดยผู้ที่ไม่รู้อันตรายของมัน. ใช้บรรเทาอาการท้องผูก, ใช้ป้องกันการติดเชื้อของสายสะดือ, และถึงกับใช้เป็นวัสดุขบกัดสำหรับทารกเวลาฟันน้ำนมเริ่มขึ้น.
อันตรายก็มิใช่ว่ามากจนถึงกับทำให้เด็ก ๆ ล้มป่วยและเสียชีวิตจากพิษตะกั่ว. ดังที่ระบุไว้ในวารสาร เอฟดีเอ คอนซูเมอร์ ประจำปี 1991 การเสียชีวิตในวัยเด็กจากพิษของสารตะกั่วแทบจะไม่มี. แต่ผลกระทบยังคงก่อความหายนะ. สารตะกั่วได้รับฉายาอย่างเหมาะเจาะว่า “ผู้ทำลายเชาวน์ปัญญา.” วารสาร นิวส์วีก อ้างถึงคำกล่าวของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท่านหนึ่งที่บอกว่า “มีเด็กจำนวนมากทีเดียวซึ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากเย็นในการทำงานเชิงวิเคราะห์หรือแม้แต่เข้าแถวในโรงอาหาร เพราะสมองเพียบไปด้วยสารตะกั่ว.”
อาการอื่น ๆ ของเด็กที่รับพิษจากสารตะกั่วมีทั้งอารมณ์หงุดหงิด, นอนไม่หลับ, เสียดท้อง, โลหิตจาง, และเติบโตช้า. ระบบประสาทได้รับความเสียหาย ควบด้วยอาการอยู่ไม่สุขเรื้อรัง—ซึ่งไม่ผิดอะไรกับสัตว์ถูกขังกรงดังที่แพทย์ผู้หนึ่งได้สาธยายอาการนั้น—อาจเป็นลักษณะเด่นของเด็กประเภทนั้นด้วยซ้ำ. ในกรณีที่รุนแรงมากกว่า เด็กอาจหมดสติและมีอาการชัก และยังต้องทนทุกข์กับปัญหาทางอารมณ์ต่อไปแม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว. ผลกระทบบางอย่างเหล่านี้อาจกลายเป็นอาการถาวร ตามคำกล่าวของหัวหน้าแผนกป้องกันพิษจากสารตะกั่วแห่งหน่วยงานซีดีซี. กว่าจะมีการวินิจฉัยได้ถูกต้องถึงสาเหตุของโรคอันซ่อนเร้นนี้บิดามารดาก็มักจะสับสนจนทำอะไรไม่ถูก.
เหตุใดเด็กจึงเปราะบางมากต่อสารตะกั่ว?
สารตะกั่วเป็นอันตรายโดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ด้วยเหตุผลสองประการ. ประการแรก เด็ก ๆ ได้รับผลกระทบจากสารตะกั่วระดับต่ำกว่าที่ผู้ใหญ่ได้รับ. เนื่องจากสมองและระบบประสาทของเด็กยังคงเจริญเติบโต เด็กจึงไวมากต่อผลกระทบของสารตะกั่ว. ประการที่สอง เนื่องจากพฤติกรรมและกิจกรรม ทำให้เด็กมีโอกาสได้รับสารตะกั่วจากสิ่งแวดล้อมได้ง่ายกว่า.
พิจารณาเรื่องสีที่มีส่วนผสมของสารตะกั่วเป็นตัวอย่าง ซึ่งยังคงเป็นแหล่งสำคัญของการปนเปื้อน. ในประเทศซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ใช้สีชนิดนั้นทาบ้าน ผู้ได้รับพิษจากสารตะกั่วย่อมเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน. และขณะที่หลายประเทศห้ามการใช้สีที่มีส่วนผสมของสารตะกั่วเมื่อไม่กี่ปีมานี้ บ้านเก่า ๆ ก็ยังคงมีสีนั้นอยู่. ผนังห้อง, กรอบล่างของหน้าต่าง, ของเล่น, เตียงเด็ก, และเครื่องเรือน ทั้งหมดอาจจะยังมีชั้นของสารตะกั่วอยู่. ยกตัวอย่าง ในสหรัฐฯ ประมาณกันว่าสารตะกั่วในอัตราสูงยังคงตกค้างอยู่ในบ้านประมาณ 57 ล้านหลัง. กลางทศวรรษปี 1980 เด็กอเมริกันที่มีอายุต่ำกว่าเจ็ดขวบถึง 13.6 ล้านคนอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งทาด้วยสีที่มีสารตะกั่วเป็นตัวหลัก. เด็กกว่าหนึ่งล้านคนในจำนวนนี้อาจจะมีระดับของสารตะกั่วในเลือดสูงถึงขั้นอันตราย.
พื้นผิวซึ่งทาสีเรียบเกลี้ยงอาจไม่มีอันตรายเลย. แต่เมื่อสีมีอายุนานเข้า ก็เริ่มแตกและลอก. เนื่องจากสารตะกั่วมีรสหวาน เป็นไปได้ที่เด็ก ๆ จะกินเศษสีที่กะเทาะออกมา. ทารกรับสารตะกั่วจากสีขอบหน้าต่างที่ล่อนหลุดเป็นแผ่น ๆ เข้าไปในร่างกาย. และเมื่อสีกลายเป็นผงในที่สุด ผงสีจากของเล่น, พื้น, และพรมก็จะติดนิ้วเด็ก—ผลสุดท้ายก็เข้าไปในปาก, ทางเดินอาหาร, และกระแสโลหิต. โดยเฉพาะเด็กวัยระหว่างหกเดือนถึงหกปีได้รับผลกระทบอย่างง่ายดาย.
วารสาร นิวส์วีก เขียนว่า “การได้รับสารตะกั่วเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดพิษได้. เด็กอาจสะสมพิษจากสารตะกั่วถึงขั้นรุนแรง (คือมีระดับสารตะกั่วในเลือด 60-80 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร) โดยกินเศษผงสีที่มีสารตะกั่วผสมเพียงหนึ่งมิลลิกรัม—เทียบเท่ากับน้ำตาลประมาณสามเกล็ด—แต่ละวันในวัยเด็ก.” การกินผงสีซึ่งเทียบเท่ากับน้ำตาลเพียงเกล็ดเดียวต่อวันก็ทำให้เด็กอยู่ในภาวะเสี่ยง. วารสาร นิวส์วีก รายงานว่า “นั่นเป็นสาเหตุที่เด็กอาจล้มป่วยเพียงเพราะแตะขอบหน้าต่างเป็นประจำ แล้วดูดนิ้วหัวแม่มือ” วารสารนั้นกล่าวเสริมอีกว่าบิดามารดา “อาจจะไม่ตระหนัก—หรือไม่เชื่อ—ว่าแค่ผงสีบนขอบหน้าต่างก็อาจขโมยศักยะบางส่วนของเด็กไปได้อย่างเงียบเชียบ.”
สารตะกั่วและทารกในครรภ์
ปัญหาขยายตัวไปถึงแม้กระทั่งภายในครรภ์ของมารดา บริเวณซึ่งสมองและระบบประสาทที่กำลังเจริญเติบโตของทารกอาจได้รับความเสียหายเช่นกัน. เมื่อมารดาที่มีครรภ์รับสารตะกั่วเข้าไปในร่างกาย ไม่ว่าโดยการรับประทานหรือสูดหายใจเข้าไป สารตะกั่วจะหาทางเข้าสู่กระแสโลหิต. ครั้นแล้วก็ไปถึงทารกในครรภ์โดยผ่านทางสายสะดือ. เด็กอาจจะได้รับความเสียหายทางระบบประสาทหรือระดับทางเชาวน์ปัญญาลดลง. นักเขียนด้านสุขภาพท่านหนึ่งบอกว่า “ถ้าหญิงมีครรภ์รับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายแม้จำนวนเล็กน้อย มันจะผ่านไปทางรกถึงตัวทารกในครรภ์ได้.” และวารสาร ไซเยนซ์ นิวส์ รายงานว่า “การสำรวจได้บันทึกเป็นหลักฐานว่า หญิงซึ่งทำงานกับสารตะกั่วในโรงงานมีอัตราสูงกว่าในการเป็นหมัน, การแท้งลูก, การคลอดก่อนกำหนด, และการคลอดทารกไม่สมประกอบ.”
บิดาก็เช่นกันอาจมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวได้. สารตะกั่วในกระแสโลหิตของผู้ชายอาจทำให้สเปอร์มมีลักษณะผิดปกติและเชื่องช้า ซึ่งสามารถปิดกั้นการปฏิสนธิหรือทำให้ทารกเกิดมาผิดปกติ. กะประมาณว่าทารก 400,000 คนในครรภ์ผู้หญิงอเมริกันรับการปนเปื้อนจากสารตะกั่วถึงขั้นที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการเจริญเติบโต. เนื่องจากพิษจากสารตะกั่วเป็นโรคระบาดทั่วโลก ฉะนั้น จำนวนของทารกในครรภ์ที่ได้รับผลกระทบต้องมีมหาศาลทีเดียว.
มิใช่เฉพาะกับเด็กเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าผู้ใหญ่ก็อยู่ในภาวะล่อแหลมเช่นกัน. เพื่อจะป้องกันลูก ๆ ผู้ใหญ่ก็ต้องป้องกันตัวเอง. พวกเขารับสารตะกั่วโดยวิธีใด? เหล่าผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า นอกจากสีทาบ้านแล้ว แหล่งสำคัญที่สุดในปัจจุบันที่แพร่กระจายสารตะกั่วก็คือน้ำจากท่อประปา (เพราะแม้แต่ท่อทองแดงก็อาจบัดกรีด้วยสารตะกั่ว) และน้ำมันเบนซินที่มีส่วนผสมสารตะกั่ว. ในโรงเรียนและสำนักงาน น้ำพุที่ใช้ในการดื่มมีถังเก็บน้ำบัดกรีรอยตะเข็บด้วยตะกั่ว. เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (อีพีเอ) ประมาณว่า “ราว ๆ 20 เปอร์เซ็นต์ของการได้รับสารตะกั่ว มาจากน้ำดื่ม.” สำนักงานทะเบียนสารพิษและโรคแห่งรัฐบาลกลางสหรัฐรายงานว่าระดับของสารตะกั่ว “จากเครื่องทำน้ำเย็นไฟฟ้าอาจจะมีปริมาณสูงมาก และอาจก่อความเสี่ยงต่อสารพิษสูงทีเดียวสำหรับทุกคน ไม่เฉพาะเด็ก ๆ.”
เสริมเข้ากับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก บิดามารดาอาจนำสารตะกั่วเข้ามาในบ้าน โดยติดมากับเสื้อผ้าซึ่งสวมในที่ทำงานและทำให้เด็ก ๆ ได้รับสารตะกั่วเพิ่มขึ้น. กะประมาณว่าคนงานเกือบแปดล้านคนในสหรัฐฯ ประเทศเดียว ได้รับสารตะกั่วจากสภาพแวดล้อมของการทำงาน. เฉลี่ยส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้คือพวกผู้หญิง.
อนึ่ง ผู้ที่เก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือของเหลวอื่น ๆ ในขวดแก้วเจียระไนที่ผสมสารตะกั่วก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง เนื่องจากสารตะกั่วจากแก้วอาจซึมเข้าไปในเครื่องดื่มได้. ในทำนองคล้ายคลึงกัน พวกเครื่องเคลือบดินเผาซึ่งไม่ได้เผาในอุณหภูมิที่สูงพออาจจะแพร่กระจายอนุภาคของสารตะกั่วจากผิวเคลือบเข้าไปในอาหาร. ยกตัวอย่าง สามีภรรยาคู่หนึ่งซื้อชุดเหยือกกาแฟขณะเดินทางไปต่างประเทศ. ปรากฏว่าเหยือกเหล่านั้นปล่อยสารตะกั่วออกมาสูงกว่ามาตรฐานอนามัยที่ประเทศของตนอนุญาตถึง 300 เท่า. คู่สมรสนี้ป่วยหนักหลังจากใช้เหยือกชุดนั้นไม่นาน. นอกจากนั้น รอยเชื่อมในกระป๋องบรรจุอาหารที่ยังคงใช้อยู่ในบางประเทศ เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดพิษจากสารตะกั่วในระดับต่ำ.
นักนิยมปืนก็เสี่ยงต่อพิษจากสารตะกั่วเช่นเดียวกัน. เพราะเหตุใด? การสำรวจเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ไปยังสนามยิงปืนในร่มบ่อย ๆ มีระดับสารตะกั่วในปริมาณสูงจากการสูดหายใจเอาฝุ่นควันตะกั่วเข้าไป. การระเบิดและการเสียดสีของกระสุนปืนขณะวิ่งผ่านลำกล้องส่งอนุภาคของสารตะกั่วออกมาในอากาศ และผู้ยิงปืนก็สูดเอาอนุภาคเหล่านั้นเข้าสู่ปอด ตามรายงานของวารสาร ไซเยนซ์ นิวส์. อาการบางอย่างที่ได้ระบุไว้คือมีรสเฝื่อนในปากเรื้อรังและเส้นประสาทมือกระตุกบ่อย ๆ. การศึกษารายอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าสมาชิกในครอบครัวอาจจะมีความเสี่ยงสูงโดยได้รับสารตะกั่วจากผู้ใช้ปืนพกซึ่งนำพาฝุ่นตะกั่วติดเสื้อผ้ากลับมาบ้าน.
เมื่อพิษจากสารตะกั่วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปและเกิดอันตรายต่อเด็กและผู้ใหญ่อย่างนั้น คำถามถัดไปคือ: จะป้องกันได้อย่างไร?
[กรอบหน้า 7]
ร่างกายจะรับสารตะกั่วได้ขนาดไหน?
สารตะกั่วระดับเท่าใดที่มากเกินไป? ร่างกายจะซึมซับได้แค่ไหนจึงจะไม่เป็นอันตราย? ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันถึงคำถามเช่นนี้ หลายประเทศได้ออกกฎหมายเพื่อป้องกันพิษจากสารตะกั่ว อย่างน้อยที่สุดก็จากสีที่ผสมสารตะกั่ว. ออสเตรเลียได้บรรจุกฎหมายนี้ไว้ในประมวลกฎหมายย้อนหลังไปในต้นทศวรรษปี 1920. อังกฤษ, กรีซ, โปแลนด์, และสวีเดนออกกฎหมายคล้ายคลึงกันต่อมาในทศวรรษนั้น. สหรัฐฯ ไม่ได้ออกพระราชบัญญัติป้องกันพิษสารตะกั่วจากสีจนกระทั่งปี 1971.
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายเข้มงวดยิ่งขึ้นในด้านนี้ตั้งแต่นั้นมา. เมื่อปี 1985 ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) ได้ลดระดับที่ยอมรับได้ของสารตะกั่วในเลือดลงเหลือ 25 ไมโครกรัม (หนึ่งส่วน 25 ล้านของหนึ่งกรัม) ของสารตะกั่วต่อเลือดหนึ่งเดซิลิตร (0.10 ลิตร). นั่นหมายถึงครึ่งหนึ่งของระดับตะกั่วที่นายแพทย์ใหญ่ทบวงสาธารณสุขได้ระบุไว้ย้อนไปในปี 1970 คือ 60 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร. แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี การสำรวจมากขึ้นชี้ว่าเด็กอาจได้รับอันตรายจากระดับตะกั่วที่ต่ำกว่านั้นอีก. ดังนั้น ในปี 1991 ซีดีซีจึงลดระดับที่ยอมรับได้ลงต่ำกว่าครึ่ง เหลือ 10 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร.
แม้ว่ามีการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับการวิจัยหนึ่งในบรรดาการวิจัยเด่น ๆ ซึ่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่การวิจัยอื่น ๆ ก็ปรากฏผลออกมาคล้ายคลึงกัน. ยกตัวอย่าง การวิจัยสองเรื่องในสก็อตแลนด์แสดงความเกี่ยวพันระหว่างระดับของสารตะกั่วในเลือดซึ่งต่ำถึง 11 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตรกับเชาวน์ปัญญาที่ลดลงและปัญหาทางด้านพฤติกรรมที่มีในเด็ก. และดังที่หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ให้ข้อสังเกตไว้ในตอนต้นปี 1992 ว่ากฎหมายต่าง ๆ เช่นฉบับที่มีในประเทศไทยซึ่งคุ้มครองผู้ใหญ่จากสารตะกั่วนั้นไม่คุ้มครองเด็ก ๆ โดยเฉพาะทารกในครรภ์.
[กรอบ/ภาพหน้า 8]
พิษจากสารตะกั่ว—ปัญหาดึกดำบรรพ์
สารตะกั่วอาจมีการนำมาใช้กันราว ๆ 3000 ปีก่อนสากลศักราช. ชาวอียิปต์โบราณใช้สารนี้ในงานแกะสลักและเครื่องปั้นดินเผา, ชาวฟีนิเซียและแคลเดียค้าขายตะกั่ว, และชาวกรีกแห่งเมืองเอเธนส์ทำเหมืองตะกั่วเป็นเวลาถึงเจ็ดศตวรรษ. แต่เป็นชาวโรมันนี่เองที่ค้นพบศักยภาพเชิงอุตสาหกรรมของตะกั่วในระหว่างรัชกาลของซีซาร์องค์ต่าง ๆ—และพวกเขาต้องแลกด้วยราคาสูงลิ่วสำหรับความเสียหายอันมาจากการค้นพบนี้.
ชาวโรมันเรียกตะกั่วว่าพลุมบุม (คำภาษาอังกฤษ “plumbing” ได้มาจากคำนั้นในภาษาลาติน). คนงานที่มีฝีมือม้วนแผ่นตะกั่วขนาดใหญ่ให้เป็นท่อโดยมีความยาวมาตรฐาน 15 ขนาดเพื่อใช้ในระบบส่งน้ำที่ครอบคลุมไปไกล. ทั้งชาวโรมันและกรีกเป็นผู้วางแบบฉบับสำหรับช่างประปาในสมัยปัจจุบันโดยต่อท่อตะกั่วเรียงกันไป. ฉะนั้น ท่อเรียงกันยาวหลายไมล์อาจนำมาเชื่อมต่อกันได้เพื่อส่งน้ำในระยะไกล. ชาวโรมันยังได้นำตะกั่วมาทำเป็นภาชนะบรรจุเครื่องดื่ม, ภาชนะบรรจุเหล้าองุ่น, และภาชนะประกอบอาหาร. ผนังที่ทนแดดทนฝนซึ่งทำด้วยแผ่นตะกั่วได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นวัสดุสำหรับมุงหลังคา.
แต่การใช้สารตะกั่วไม่ใช่เรื่องใหม่ฉันใด ข้อเท็จจริงที่ว่ามันทำให้ผู้คนเจ็บป่วยก็มิใช่เพิ่งรู้กันฉันนั้น. วารสาร ไซเยนซ์ นิวส์ เขียนไว้ว่า “เป็นเวลาอย่างน้อยที่สุด 2,000 ปี ที่สังคมทั่วไปได้มีการยอมรับว่าสารตะกั่วเป็นสารพิษซึ่งมีอานุภาพตัวหนึ่ง ขณะยังงงงวยเกี่ยวกับวิธีที่มันก่อพิษ.” อย่างไรก็ตาม ชาวโรมันโบราณส่วนใหญ่แทบไม่รู้ถึงอันตรายอันแท้จริงของสารตะกั่ว. ตามที่ เจอร์โรม นเรียกู ประจำสถาบันวิจัยน้ำแห่งชาติแคนาดากล่าว พวกเขามักจะเติมน้ำองุ่นเชื่อม ซึ่งเคี่ยวในภาชนะทำจากตะกั่วลงในเหล้าองุ่น. วารสาร นิวส์วีก อ้างถึงคำกล่าวของนเรียกู ดังนี้: “น้ำเชื่อมดังกล่าวหนึ่งช้อนชาก็มากพอที่จะทำให้เกิดโรคพิษสารตะกั่วเรื้อรังได้.” และผู้นำชาวโรมันก็เป็นนักดื่มตัวยง. นเรียกู กะประมาณว่ากลุ่มคนชั้นหัวกะทิชาวโรมันดื่มเหล้าองุ่นหนึ่งถึงห้าลิตรทุกวัน!
หนังสือพิมพ์ เดอะ เมดิคัล โพสต์ ของแคนาดารายงานว่า “มีข้อสมมุติฐานว่าสาเหตุประการหนึ่งที่จักรวรรดิโรมันเสื่อมลงคือการติดใจเหล้าองุ่นผสมตะกั่วที่มีรสหวาน.” รายงานหนึ่งแจ้งว่า “พิษจากการใช้โลหะนี้อย่างกว้างขวางในภาชนะ, อาวุธ, เครื่องสำอาง, ภาชนะบรรจุเหล้าองุ่น, และท่อน้ำคงเป็นสาเหตุสำหรับการเสียสติของจักรพรรดิ [โรมัน] และอัตราการเป็นหมัน และการแท้งบุตรสูง ซึ่งทำให้ชนชั้นปกครองไม่มีผู้สืบสกุลแทนตน”.
[กรอบ/ภาพหน้า 10]
สารตะกั่วในพงไพร
ถ้าคุณรักสัตว์ป่า อาจทำให้คุณไม่สบายใจที่รู้ว่านกน้ำมากถึงสามล้านตัวตายทุกปีเพราะพิษจากสารตะกั่ว. นี้ก็เช่นกัน พิษจากสารตะกั่วได้ฉายาว่า “โรคซ่อนเร้น” เนื่องจากมันมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีใครสังเกต. กระทรวงมหาดไทยของสหรัฐฯ รายงานว่า ต่อนกทุกตัวที่นักล่าสัตว์สังหารได้ เม็ดตะกั่ว 230 กรัมจากปืนลูกปรายจะตกอยู่ในสิ่งแวดล้อม. นักชีววิทยาซึ่งตักตัวอย่างผิวดินหนาไม่กี่นิ้วจากก้นหนองน้ำ, ก้นบึง, และก้นทะเลสาบได้พบเม็ดตะกั่ว 100,000 เม็ดต่อบริเวณสองไร่ครึ่งในพื้นที่บางแห่ง! ตะกั่วถ่วงเบ็ดที่หลุดหายก็เกลื่อนก้นบึงเช่นกัน.
หลังจากหมดฤดูล่าสัตว์แล้ว เป็ดและนกน้ำอื่น ๆ ที่ค้นหาอาหารก็กลืนเม็ดตะกั่วเหล่านี้ลงไป. สามถึงสิบวันต่อมา พิษก็เข้าไปถึงเส้นเลือดและส่งต่อไปยังอวัยวะสำคัญ ๆ ต่าง ๆ คือหัวใจ, ตับ, และไต. ภายใน 17 ถึง 21 วัน นกเกิดอาการหมดสติแล้วเสียชีวิต. นกอินทรีหัวโล้นอาจได้รับพิษของสารตะกั่วจากการกลืนกระสุนลูกปรายที่ซ่อนอยู่ในร่างของนกน้ำที่มันกิน. ตั้งแต่ปี 1966 พบนกอินทรีพันธุ์หายากเหล่านี้มากกว่า 120 ตัวตายเพราะการปนเปื้อนด้วยสารตะกั่ว—กว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้พบหลังปี 1980. แน่นอน จำนวนนี้หมายถึงเฉพาะนกอินทรีซึ่งได้ตรวจสอบซากและได้พิสูจน์สาเหตุของการตายแล้ว อาจจะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของจำนวนที่แท้จริงทั้งหมด.