“พวกนาซีไม่อาจยับยั้งเราได้!”
บ้านหลังนั้นเป็นของคนแปลกหน้าโดยแท้. ผมเคาะประตูและยืนที่นั่นด้วยความกลัวจนตัวสั่น หวังว่าจะไม่มีใครอยู่บ้าน. ผมเป็นเด็กหนุ่ม—อายุแค่ 21 ปีเท่านั้น—และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกไปในงานประกาศเผยแพร่ตามบ้านของพวกพยานพระยะโฮวา. ตอนนั้นเป็นเดือนพฤศจิกายน 1934 และที่นี่ ในเยอรมนี ฮิตเลอร์ได้ห้ามการประกาศเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด. เมื่อผู้ดูแลซึ่งนำการประชุมกลุ่มเล็ก ๆ ของเรากล่าวถึงแผนการออกไปเผยแพร่ศาสนา ผมคิดว่า “เขาคงไม่หมายถึงผมด้วยหรอก!” ถ้าจะว่าไป ผมยังไม่ได้รับบัพติสมาด้วยซ้ำ และผมรู้จักข้อพระคัมภีร์เพียงข้อเดียวเท่านั้น. แต่ผมคิดผิด—เขาหมายถึงผมด้วยจริง ๆ และผมก็เลยอยู่ที่นี่.
ไม่มีใครอยู่บ้าน! โล่งอกไปที. ที่บ้านถัดไปก็ไม่มีใครตอบอีก แต่ผมได้ยินเสียงข้างใน ดังนั้นผมจึงเปิดประตู. ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังล้างหม้ออยู่ และเธอดูตกใจที่เห็นผม. ด้วยความประหม่า ผมเริ่มอธิบายข้อพระคัมภีร์ข้อเดียวที่ผมรู้ มัดธาย 24:14. เธอก็ได้แต่จ้องมองผม. (ต่อมาผมถึงได้ทราบว่าเธอหูหนวก.) ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ผม. โดยคาดเดาว่าเขาเป็นสามีของเธอ ผมจึงให้คำพยานต่อ แต่กลับเจอปืนลูกโม่จ่อที่ชายโครงผม. เขาเป็นผู้นำคนหนึ่งของพวกนาซี! เพื่อนร่วมงานของผมซึ่งกำลังประกาศอยู่ฝั่งถนนตรงข้าม แวะที่บ้านของชายคนนี้และถูกเตะตกบันไดเป็นการตอบแทน. โดยคิดว่าได้หยุดยั้งงานให้คำพยานของพี่น้องคนดังกล่าวไปแล้วสำหรับวันนั้น นาซีคนนี้จึงได้เพ่งเล็งที่ผมเป็นรายต่อไปและมาจับผม. ขณะที่เพื่อนร่วมงานของผมเพียงปัดฝุ่นออกจากตัวและประกาศต่อ ส่วนผมถูกจำคุกสี่เดือน. งานประกาศประจำชีพของผมเริ่มต้นอย่างนี่ล่ะ!
สู่ค่ายกักกัน!
หลังจากผมถูกปล่อยตัว พวกพี่น้องได้วางใจผมให้ช่วยในงานเผยแพร่แบบใต้ดิน. แต่ พวกนาซีติดตามผมทุกฝีก้าว และไม่นานเท่าไรผมก็ถูกจับอีก. ตำรวจท้องถิ่นนำตัวผมไปหาเกสตาโป (ตำรวจลับนาซี) และผมก็ใจหายวาบเมื่อได้ยินคำตัดสินว่า “ส่งไปค่ายกักกัน!” ผมจะต้องไปที่เอสเตอร์เวเก็น. พวกเราพยาน (บีเบลฟอร์เชอร์) ประมาณ 120 คนอยู่ที่นั่น และพวกผู้คุมของหน่วยเอสเอสก็ตั้งใจจะทำลายความซื่อสัตย์ภักดีของพวกเรา.
มีจ่าทหารคนหนึ่งพวกเราตั้งชื่อเล่นว่า “กุสตาฟเหล็ก” ผู้ซึ่งตั้งใจแน่วแน่จะทำให้เราอะลุ้มอล่วย. วันหนึ่งเขาบังคับเราทุกคนให้ออกกำลังกายอย่างหนักภายใต้แดดร้อนจ้าในเดือนสิงหาคม—ตลอดทั้งวันโดยไม่มีการหยุดเลย. ตอนสิ้นสุดวันนั้น พี่น้องครึ่งหนึ่งเป็นลมหรือไม่ก็ป่วยหนักในห้องพยาบาล. น่าเสียดาย ผู้ดูแลของประชาคมหนึ่งอ่อนแอลงและเซ็นชื่อใน “เอกสารประนีประนอม” และคนอื่น ๆ อีก 12 คนจากประชาคมเดียวกับเขาก็ร่วมเซ็นชื่อด้วย.
ด้วยความกระหยิ่มที่การทรมานของเขาดูเหมือนได้ผล ตอนนี้ “กุสตาฟเหล็ก” จึงบอกอย่างหมายมั่นว่า “พรุ่งนี้พวกแกทุกคนก็จะยินดีเซ็นหนังสือนี้ และจะไม่มีพระยะโฮวาช่วยพวกแก.” คุณคงนึกภาพได้ว่าพวกเราอธิษฐานอย่างสุดหัวใจในคืนนั้น. รุ่งเช้าพวกเราคอยให้ “กุสตาฟเหล็ก” ปรากฏตัว. แล้วก็คอยอีก. ในที่สุดเราก็ถูกสั่งให้กลับไปยังโรงทหารที่พักอยู่. ยังไม่เห็นกุสตาฟ! ผลสุดท้ายเราก็ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น. ระหว่างเดินทางมายังค่ายในเช้าวันนั้น “กุสตาฟเหล็ก” ได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์อันขมขื่นว่าเขาถูกสร้างขึ้นด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ไม่แข็งเท่าเหล็ก. เขาขับรถจักรยานยนต์พุ่งชนเสาอิฐข้างทางเข้าค่าย—ทางเข้าที่กว้างมากกว่า 9 เมตร! เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างรีบด่วนพร้อมด้วยหน้าผากแตกและแขนหัก. ในที่สุดเมื่อเราเห็นเขาอีกครั้งสองเดือนหลังจากนั้น เขาตะคอกใส่เราว่า “พระยะโฮวาของพวกแกนั่นแหละที่ทำอย่างนี้กับฉัน!” ไม่มีใครในพวกเราสงสัยคำพูดของเขาแม้แต่น้อย.
สู่ฮอลแลนด์
ในเดือนธันวาคม 1935 ผมถูกปล่อยตัวและได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมในกองทัพเยอรมัน. แทนที่จะทำเช่นนั้น ผมตัดสินใจจะไปสเปนโดยผ่านทางฮอลแลนด์และทำงานเผยแพร่ต่อไปที่นั่น. เมื่อประสบผลสำเร็จในการเข้าฮอลแลนด์ ผมก็แสวงหาพวกพยานฯ และพวกเขารบเร้าให้ผมอยู่ในฮอลแลนด์. น่ายินดีจริง ๆ ที่ได้ประกาศอย่างเสรีอีกครั้งและอยู่กับพี่น้องชายหญิงของผม ณ การประชุมของคริสเตียน! พวกเราขี่จักรยานไปตามชนบท ประกาศตอนกลางวันและหลับในเต็นท์ตอนกลางคืน. โดยเฉลี่ยแล้ว พวกเราประกาศตั้งแต่ 200 ถึง 220 ชั่วโมงต่อเดือน.
พวกเรามีเงินเพียงน้อยนิด ดังนั้น เงินทั้งหมดเท่าที่ได้รับจากการจำหน่ายหนังสือเราจึงใช้เพื่อซื้ออาหารและสำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ. ผมจำได้ชัดเจนถึงชาวนาคนหนึ่งผู้ซึ่งเมื่อเห็นวิธีที่พวกเราเตรียมอาหารค่ำอย่างอัตคัด จึงได้เชิญพวกเราไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน. โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสรอเราอยู่! จากนั้นมา ครอบครัวที่เปี่ยมด้วยความรักนี้ได้เอาใจใส่ต่อสิ่งจำเป็นพื้นฐานของพวกเราในเรื่องเนย, ไข่, เนยแข็ง, ขนมปัง, และกระทั่งช่วยเราในเรื่องซักรีด. ทั้งครอบครัวได้มาเป็นพยาน. พวกเขาเป็นช่องทางติดต่ออันสำคัญยิ่งระหว่างการงานที่รออยู่ข้างหน้า.
ปี 1936 ได้จัดการประชุมใหญ่ขึ้นในกรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์. โจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ในขณะนั้น ได้ให้คำบรรยายที่นั่น. เป็นครั้งนี้เอง ซึ่งผมได้รับบัพติสมาในที่สุด หลังจากทำงานในฐานะผู้เผยแพร่ศาสนาเต็มเวลามาโดยตลอด!
กรุงเฮก
ผมได้รับมอบหมายให้ไปทำงานในเขตกรุงเฮก. ที่นั่นมีหลายครอบครัวได้ตอบรับความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า. ผมยังคงติดต่อกับบางคนจนถึงเดี๋ยวนี้. ในปี 1939 ตำรวจดัตช์จับผม—ในข้อหาสายลับนาซี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย! ผมยังให้คำพยานต่อ ๆ ไปเท่าที่สามารถทำได้โดยทางจดหมายจากคุก โดยรู้ดีว่าผู้พิพากษาคงได้อ่านจดหมายทั้งหมดที่ส่งออกไป. หลังจากห้าเดือน ซึ่งสองเดือนหลังถูกขังเดี่ยว ผมก็ถูกปล่อยตัว. เพียงไม่กี่วันหลังจากผมกลับบ้านในกรุงเฮก กองทัพอากาศลุฟต์วาฟเฟ ของเยอรมันก็เริ่มทิ้งระเบิดในเขตนั้น! ผมรู้ว่าพวกเกสตาโปคงอยู่ไม่ไกลนักข้างหลังพวกทหารที่รุกล้ำแดนเข้ามา. ได้เวลาที่ผมต้องกลับไปทำงานใต้ดินอีกแล้ว.
แต่ผมจะไปไหนมาไหนได้อย่างไรโดยไม่ถูกเพ่งเล็ง? พี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งมีร้านจักรยานได้ประกอบจักรยานพิเศษให้ผมคันหนึ่ง. จักรยานคันนั้นเหมือนที่พวกตำรวจลับใช้กัน—มีสีพิเศษเหมือนกัน พร้อมกับมีแฮนด์สูงและที่หนีบซึ่งสามารถเหน็บดาบยาวได้เล่มหนึ่ง. ตำรวจลับถึงกับจะทักทายผมด้วยซ้ำโดยคิดว่าผมเป็นพวกเขาคนหนึ่ง! แต่วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังถีบไปตามทางรถจักรยานซึ่งมีรั้วพู่ระหงบังจากถนน ตำรวจสองคนซึ่งถีบจักรยานมาตามถนนฝั่งตรงข้ามจ้องดูผมผ่านช่องเว้นว่างของรั้ว และพวกเขาจำได้ว่าผมเป็นผู้ลี้ภัยคนหนึ่ง. ผมปั่นจักรยานอย่างเร็วแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต! พวกเขาจำต้องผ่านเลยไปถึงทางข้ามก่อนที่จะกลับรถและตามผม และถึงแม้พวกเขาจะไล่กวดอย่างหนัก ในที่สุดผมก็หนีเขาพ้น.
หนีรอดอย่างหวุดหวิดหลายครั้ง
ถึงตอนนี้พวกตำรวจรู้แล้วว่าผมอยู่ในกรุงเฮก. ผมเริ่มนอนตามบ้านต่าง ๆ ไม่ซ้ำกันเพื่อความปลอดภัย. ครั้งหนึ่ง ผมนอนที่บ้านของครอบครัวที่มีลูกสามคน. ดังเช่นเคย ผมจัดวางเสื้อผ้าของผมเตรียมไว้เพื่อจะสามารถแต่งตัวได้เร็วในกรณีที่ถูกจู่โจม. นอกจากนี้ ผมยังให้เด็กสองคนนอนด้วยกันเพื่อจะสามารถย้ายเด็กคนหนึ่งมาที่เตียงของผมได้เมื่อผมหนีไป. ด้วยวิธีนี้ พวกนาซีก็จะไม่พบเตียงว่างที่ยังอุ่นอยู่.
ตีห้าเช้าวันนั้น วิธีการนี้ก็ได้ผล. มีเสียงรัวทุบประตูดังสนั่น. ผมเกือบไม่มีเวลาจะอุ้มเด็กชายวัยเก้าขวบวางบนเตียงผม เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า สวมหมวกกับเสื้อคลุม แล้วกระโจนออกทางหน้าต่างด้านหลังลงไปในหิมะด้วยเท้าเปล่า. น่าดีใจ พวกเขาไม่ได้คิดถึงการวางยามไว้ที่ลานหลังบ้าน. ผมวิ่งไปที่บ้านของครอบครัวหนึ่งซึ่งผมสอนพระคัมภีร์ให้กับเขา. ถึงแม้ตอนนั้นจะเป็นเวลาตีห้าครึ่งและยังมืดในฤดูหนาว ชายคนนี้ให้ผมเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดสักคำ และซ่อนผมไว้. ทั้งสามคนในครอบครัวของเขาภายหลังก็เข้ามาเป็นพยาน.
เมื่อพวกเกสตาโปสอบถามครอบครัวที่ผมเพิ่งหนีออกมา พวกเขาเพ่งเล็งที่เด็กชายเล็ก ๆ. เขากระทั่งเสนอเงินให้ถ้าเด็กชายนั้นจะบอกว่ามี “คุณลุง” ได้มาเยี่ยมเมื่อเร็ว ๆ นี้หรือไหม. เด็กชายนั้นบอกพวกเขาว่า “มี เป็นเวลานานมาแล้ว.” นานแค่ไหน? เขาบอกไม่รู้. พวกเกสตาโปจากไป เขาล้มเหลว. ต่อมา มารดาของเด็กชายคนนั้นถามว่าทำไมเขาจึงตอบอย่างนั้น ในเมื่อเขาก็รู้ว่า “ลุงทอม” (ชื่อของผมที่ใช้ในงานใต้ดิน) เพิ่งมานอนคืนนั้นเอง. เขาตอบว่า “ยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นเวลานาน มีตั้งมากมายหลายนาที.” ก็จริงของเขา!
งานมอบหมายที่ผมได้รับต่อจากนั้นก็คือที่โกรนิงเก็น. ความกลัวได้เอาชนะพยานบางคนในเมืองนี้ และงานประกาศก็เกือบชะงักทีเดียว. แต่ไม่ช้าพวกพี่น้องที่นั่นได้กลับมีความกล้าขึ้นอีกครั้ง ไม่กลัวพวกเกสตาโปชาวดัตช์ที่โหดร้ายทารุณ. คืนหนึ่งในปี 1942 พวกเราถึงกับเข้าร่วมใน “การจู่โจม” โดยจ่ายแจกแผ่นพับเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลหลายพันใบไปทั่วเมืองในระหว่างช่วงสิบนาทีที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า. หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ รายงานข่าวว่ากองทัพอากาศอังกฤษช่วยพยานพระยะโฮวาโปรยแผ่นพับเป็นล้าน ๆ ใบ! เราได้ให้พวกเกสตาโปรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่และสบายดี. พวกนาซีไม่อาจยับยั้งเราได้—ตลอดไป!
สงครามยังคงยืดเยื้อต่อไป และยิ่งเป็นการยากขึ้นทุกทีที่จะเดินตามถนน. คืนหนึ่งในขณะที่พี่น้องชายคนหนึ่งกับผมกำลังกลับจากการประชุมอย่างลับ ๆ ในฮิลเวอร์ซุม ใครคนหนึ่งชนเข้าข้างหลังผม และของบางอย่างหล่นกระทบพื้นตรงเท้าผม. ผมหยิบมันขึ้นมาและมองด้วยความตกใจกลัวเพราะนั่นเป็นหมวกเหล็กของทหารเยอรมัน! เจ้าของหมวกกำลังยืนอยู่ข้างจักรยานของเขาและตอนนี้กำลังส่องไฟฉายมาที่ผม. ผมเดินเข้าไปหา เขาก็ฉวยเอาหมวกไปจากมือผม ชักปืนพกขึ้นมาและตะโกนว่า “แกถูกจับแล้ว!”
ผมอกสั่นขวัญแขวน. ถ้าเขาจับผม นั่นอาจจะเป็นจุดจบของชีวิตผมก็ได้. ผมทูลอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า. พอได้ยินเสียงชุลมุน ฝูงชนก็มุงกันเข้ามา. เมื่อผมสังเกตเห็นว่าทหารคนนั้นยืนโงนเงน จึงคิดออกว่าเขาเมา. แล้วผมก็นึกได้ว่าวินัยทหารเยอรมันอนุญาตให้นายทหารไปไหนมาไหนได้ในเครื่องแต่งกายแบบชาวบ้านธรรมดา. ดังนั้น ผมจึงก้าวไปใกล้ทหารคนนั้นและตะโกนจนสุดเสียงที่ผมสามารถเปล่งออกได้: “แกไม่รู้หรือว่าฉันเป็นใคร?” ทหารคนนั้นตกตะลึง. เขารีบสวมหมวกและทำความเคารพผม! โดยมั่นใจว่าเขาได้ล่วงเกินนายทหาร เขาจึงหลบหายเข้าไปในความมืดอย่างเงียบ ๆ เชื่อง ๆ. คนที่ยืนมุงดูก็แยกย้ายกันไป. ผมก็ได้แต่ขอบพระคุณพระยะโฮวาสำหรับการรอดชีวิตโดยหวุดหวิดอีกครั้งหนึ่ง!
ชีวิตใต้ดินในเบลเยียม
งานมอบหมายของผมต่อจากนั้นเป็นอีกประเทศหนึ่ง: เบลเยียม. ผมได้เป็นผู้ดูแลผู้เป็นประธานในแอนทเวิป. เนื่องจากถูกห้าม ผมจึงนำการประชุมกลุ่มเล็ก ๆ ตามบ้านต่าง ๆ กันไปในแต่ละสัปดาห์. นอกจากนั้น ผมยังเป็นคนส่งหนังสือด้วย เป็นลูกโซ่อีกลูกหนึ่งในสายโซ่อันน่าทึ่งที่คอยจัดให้มีอาหารฝ่ายวิญญาณเสมอในระหว่างหลายปีที่ยากลำบากนั้น.
จุดนัดพบของเราเพื่อลักลอบนำหนังสือข้ามพรมแดนจากฮอลแลนด์เข้ามาคือที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง. ตัวอาคารของภัตตาคารอยู่ในเบลเยียม แต่สวนอยู่ในเขตฮอลแลนด์ ดังนั้น นี่จึงเป็นสถานที่ตรงตามเป้าประสงค์ในการพบกับสายติดต่อของผมและเปลี่ยนกระเป๋าเอกสารกับเขา. เจ้าของภัตตาคารนั้นสันนิษฐานว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของอังกฤษจึงร่วมมือด้วย. เขากระทั่งบอกนายตำรวจที่รับผิดชอบไม่ให้รบกวนเรา. แต่วันหนึ่งมีตำรวจสายตรวจคนใหม่มาประจำหน้าที่ เป็นชาวเบลเยียมหัวนาซีซึ่งไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับผม. พอเขาเห็นผมพร้อมกับกระเป๋าหนังใบใหญ่ เขายืนกรานให้ผมเปิดออกดู. ผมปฏิเสธ ว่ากันตามจริงกระเป๋านั้นก็เต็มไปด้วยวารสารหอสังเกตการณ์ ตั้งสามหรือสี่ร้อยฉบับ. ดังนั้น เขาจึงจับผมและพาไปสถานีตำรวจ. เจ้าหน้าที่ร้อยเวรประจำสถานีบอกสายตรวจคนนั้นให้ออกไปในขณะที่เขารับหน้าที่ดูแลผม. แล้วเขาบอกผมเบา ๆ ว่า “ผมไม่ต้องการดูของที่อยู่ในกระเป๋า. เอาเป็นว่าคราวหน้าขอให้ใช้กระเป๋าใบเล็กกว่านี้หน่อยก็แล้วกัน.” อีกครั้งหนึ่งที่ผมได้แต่ขอบพระคุณพระยะโฮวา!
หลังจากวันดีเดย์มาถึง (6 มิถุนายน 1944) และกองทัพฝ่ายพันธมิตรได้เริ่มรุกเข้าเบลเยียม สงครามก็ได้แผ่ลามเข้ามาถึงแอนทเวิป. การให้คำพยานและการเข้าร่วมประชุมต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องท้าทายอย่างแท้จริงขณะที่ทั่วเมืองเต็มไปด้วยห่ากระสุนและกระสุนปืนใหญ่จากทั้งสองฝ่าย. ตอนที่สงครามใกล้จะสิ้นสุด ผู้รับใช้สาขาเข้าใจผิดคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องทำงานใต้ดินอีกต่อไปแล้ว. ผมก็เชื่อฟังเขา โดยไม่ทำตามคำแนะนำของนายร้อยเอกตำรวจที่มีไมตรีจิตคนหนึ่งซึ่งคิดว่ายังเร็วเกินไปที่ผมจะเปิดเผยตัว. สิบเอ็ดเดือนหลังจากนั้นผมถึงได้หลุดออกมาจากประสบการณ์ที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตของผม. พวกเจ้าหน้าที่ไม่ยอมเชื่อเรื่องของผม. โดยมั่นใจว่าผมเป็นสายของเกสตาโป พวกเขาจำคุกผมในสภาพที่ไร้มนุษยธรรมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา. ผู้ชายหลายคนที่อายุน้อยกว่าผมล้มป่วยและตายในช่วงหลายเดือนนั้น. หลังจากที่ผมถูกปล่อยตัวในที่สุด ผมได้ประสบกับสภาพร่างกายที่เสื่อมทรุดโดยสิ้นเชิง.
ยังคงรับใช้อย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป
หลังจากการชักช้า, การสอบสวน, และการจำคุกซึ่งทั้งหมดทำให้ทุกข์ลำบากยิ่งขึ้น สุดท้ายผมก็สามารถกลับเยอรมนี—สิบปีพอดีตั้งแต่วันที่ผมได้จากไป! ผมได้กลับไปอยู่ร่วมกับคุณแม่, พยานซื่อสัตย์คนหนึ่ง, และพวกเรามีประสบการณ์มากมายที่จะเล่าสู่กันฟัง. ขณะที่สุขภาพของผมค่อย ๆ กลับฟื้นขึ้น ผมได้เริ่มทำงานเผยแพร่เต็มเวลาอีกครั้ง คราวนี้ในชไวนเฟอร์ต. และเป็นเรื่องน่ายินดีเพียงไรในการช่วยตระเตรียมเพื่อการประชุมใหญ่ครั้งแรกของพวกเราหลังสงคราม ซึ่งจัดขึ้นในนูเรมเบอร์กตรงที่ฮิตเลอร์จัดให้กองทหารของเขาสวนสนามอย่างภาคภูมิใจ! ต่อมาผมรู้สึกตื่นเต้นที่มีการยอมรับให้ผมเข้าโรงเรียนกิเลียดว็อชเทาเวอร์ในสหรัฐ ที่ซึ่งจะได้รับการฝึกอบรมเป็นมิชชันนารี.
ณ การชุมนุมสังสรรค์กันครั้งหนึ่งไม่นานก่อนที่ผมจะจากไปกิเลียด ผมได้พบลิลเลียน โกไบทาส ซึ่งเคยได้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางศาสนาเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการคำนับธงในสหรัฐ. เธอบอกผมว่าเธอชอบเพลงที่ผมร้องเดี่ยวในการชุมนุมนั้น และผมได้แต่ยิ้มเพราะไม่อาจเข้าใจที่เธอพูด. เธอพูดไปเรื่อยไม่หยุด ส่วนผมก็ยิ้มไม่หยุด. ที่สุดเราก็แต่งงานกัน! แน่ละ นั่นคือหลังจากเราทั้งสองจบจากกิเลียด และกำลังทำงานเป็นมิชชันนารีในออสเตรีย.
เมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาสุขภาพของผมทำให้เราต้องกลับไปสหรัฐ. หลังจากนั้น เรามีลูกน่ารักสองคน ลูกชายและลูกสาว. เราปีติยินดีที่เห็นเขาทั้งสองรับเอาความจริง. เมื่อสุขภาพผมดีขึ้น ผมก็ได้ช่วยประชาคมต่าง ๆ ในสหรัฐและแคนาดา. การงานไม่จบสิ้น และเราพยายามตามให้ทันกับงาน. ผมยังคงมองย้อนหลังถึงปีเหล่านั้นที่ได้ทำงานใต้ดิน ด้วยความพึงพอใจ. พวกนาซีไม่อาจยับยั้งเราได้ เพราะพระยะโฮวาทรงสถิตอยู่กับเรา. เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระองค์ยังทรงอวยพระพรการงานนี้ และไม่มีอะไรจะมายับยั้งได้จนกว่าจะมีการทำงานนี้ถึงขนาดที่พระองค์ทรงพอพระทัย!—เล่าโดย เออร์วิน โกลเซ.
[รูปภาพหน้า 24]
เออร์วิน โกลเซ