ปรากฏชัดว่าพระยะโฮวาสถิตอยู่กับผม
เล่าโดยมากซ์ เฮนนิง
ตอนนั้นเป็นปี 1933 และอะดอล์ฟ ฮิตเลอร์เพิ่งเถลิงอำนาจในเยอรมนี. อย่างไรก็ตาม พยานพระยะโฮวาราว ๆ 500 คนในเขตเบอร์ลินมิได้หวั่นไหว. หนุ่มสาวหลายคนเป็นไพโอเนียร์ หรือผู้เผยแพร่ศาสนาเต็มเวลา และบางคนถึงกับยอมรับการมอบหมายไปยังประเทศอื่นในทวีปยุโรป. ผมกับเพื่อนชื่อเวอร์เนอร์ ฟลาตเทนเคยกระตุ้นกันและกันว่า “ทำไมเรามัวรีรออยู่ ทำให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ ล่ะ? ทำไมเราจึงไม่ออกไปเป็นไพโอเนียร์ล่ะ?”
แปดวันหลังจากผมเกิดในปี 1909 ผมได้มาอยู่ภายใต้ความดูแลของพ่อแม่บุญธรรมที่เปี่ยมด้วยความรัก. ในปี 1918 ครอบครัวของเราเต็มไปด้วยความเศร้าระทมเมื่อน้องสาวบุญธรรมเล็ก ๆ ของผมเสียชีวิตกะทันหัน. หลังจากนั้นไม่นาน นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาในตอนนั้น ได้มาเยี่ยมบ้านของเรา พ่อแม่บุญธรรมของผมเปิดใจรับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลอย่างกระตือรือร้น. ท่านทั้งสองได้สอนผมให้หยั่งรู้ค่าสิ่งฝ่ายวิญญาณด้วย.
ผมจดจ่อในการเล่าเรียนในโรงเรียนและได้มาเป็นช่างวางท่อน้ำ. แต่สำคัญยิ่งกว่านั้น ผมได้ยืนหยัดทางฝ่ายวิญญาณ. ผมกับเวอร์เนอร์เริ่มเป็นไพโอเนียร์ในวันที่ 5 พฤษภาคม 1933. เราจะขี่จักรยานไปยังเมืองหนึ่งที่อยู่นอกเบอร์ลินประมาณ 100 กิโลเมตร เราพักอยู่ที่นั่นและประกาศเป็นเวลาสองสัปดาห์. ครั้นแล้วเราก็กลับไปยังเบอร์ลินเพื่อเอาใจใส่เรื่องที่จำเป็น. หลังจากนั้นเราก็กลับไปยังเขตประกาศของเราเป็นเวลาอีกสองสัปดาห์.
เราขอไปรับใช้ในอีกประเทศหนึ่ง และในเดือนธันวาคม 1933 เราได้รับการมอบหมายไปยังเขตที่เป็นประเทศยูโกสลาเวียในตอนนั้น. อย่างไรก็ตาม ก่อนเราออกเดินทาง การมอบหมายของเราเปลี่ยนเป็นเมืองอุทเรชท์ในเนเธอร์แลนด์. หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รับบัพติสมา. ในช่วงนั้นมีการเน้นเรื่องการรับบัพติสมาน้อยกว่า งานเผยแพร่เป็นเรื่องสำคัญ. ตอนนี้การไว้วางใจพระยะโฮวากลายเป็นลักษณะเด่นเสมอมาในชีวิตของผม. ผมพบการปลอบประโลมมากในถ้อยคำของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “นี่แน่ะ! พระเจ้าเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า; พระยะโฮวาทรงอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ที่ค้ำจุนจิตวิญญาณของข้าพเจ้าไว้.”—บทเพลงสรรเสริญ 54:4, ล.ม.
การเป็นไพโอเนียร์ในเนเธอร์แลนด์
ไม่นานภายหลังไปถึงเนเธอร์แลนด์ เราได้รับมอบหมายใหม่ไปยังเมืองรอตเทอร์ดัม. พ่อกับลูกชายในครอบครัวซึ่งเราเข้าพักอาศัยอยู่ด้วยนั้นเป็นไพโอเนียร์ด้วย. ไม่กี่เดือนต่อมา มีการซื้อบ้านหลังใหญ่ในเมืองลีร์ซัมซึ่งไม่ไกลจากเมืองอุทเรชท์เป็นบ้านพักสำหรับไพโอเนียร์ แล้วผมกับเวอร์เนอร์ได้ย้ายไปที่นั่น.
ระหว่างอยู่ในบ้านพักไพโอเนียร์หลังนั้น เราเดินทางโดยจักรยานไปยังเขตทำงานที่อยู่ใกล้เคียง และใช้รถยนต์ที่จุผู้โดยสารเจ็ดคนสำหรับเขตที่อยู่ห่างไกล. ในตอนนั้น มีพยานฯเพียงร้อยคนเท่านั้นตลอดทั่วเนเธอร์แลนด์. ปัจจุบัน 60 ปีภายหลัง เขตที่เราทำงานจากบ้านไพโอเนียร์หลังนั้นมีผู้ประกาศมากกว่า 4,000 คนในประมาณ 50 ประชาคม!
เราทำงานหนักกระทั่งถึงวันละ 14 ชั่วโมงในการรับใช้ และนั่นทำให้เรามีความสุขเสมอ. เป้าหมายสำคัญคือที่จะจำหน่ายสรรพหนังสือมากเท่าที่เป็นไปได้. บ่อยครั้งที่เราจำหน่ายหนังสือเล่มเล็กวันละมากกว่าหนึ่งร้อยเล่มกับผู้สนใจ. การกลับเยี่ยมเยียนและการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลยังไม่ได้เป็นส่วนแห่งกิจกรรมประจำของเราในตอนนั้น.
วันหนึ่งผมกับเพื่อนร่วมงานทำงานในเมืองเฟรสเวก. ขณะที่เขาให้คำพยานกับชายคนหนึ่งที่ประตูป้อมทหาร ผมใช้เวลาอ่านคัมภีร์ไบเบิลของผม. พระคัมภีร์เล่มนี้เต็มไปด้วยการขีดเส้นใต้สีแดงและสีน้ำเงิน. ต่อมา ช่างไม้คนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่บนหลังคาบ้านใกล้ ๆ ได้เตือนผู้ชายที่ประตูว่า ดูเหมือนผมจะเป็นสายลับ. ผลก็คือ ในวันเดียวกันนั้น ผมถูกจับกุมขณะที่ให้คำพยานกับเจ้าของร้านคนหนึ่ง และคัมภีร์ไบเบิลของผมถูกยึดไป.
ผมถูกพาตัวไปศาล. ที่นั่นมีการกล่าวหาว่า การทำเครื่องหมายในพระคัมภีร์ของผมนั้นเป็นความพยายามที่จะวาดภาพป้อมปราการ. ผู้พิพากษาแจ้งว่าผมมีความผิด และตัดสินจำคุกผมสองปี. อย่างไรก็ตาม มีการอุทธรณ์คดีนี้ และผมถูกตัดสินว่าพ้นโทษ. น่ายินดีสักเพียงไรที่ผมเป็นอิสระ แต่ผมมีความสุขยิ่งกว่าเสียอีก ที่ได้คัมภีร์ไบเบิลของผมซึ่งมีการหมายไว้ทั้งหมดนั้นคืนมา!
ระหว่างฤดูร้อนปี 1936 ริชาร์ด เบรานิง ไพโอเนียร์คนหนึ่งในบ้านนั้นกับผมใช้เวลาช่วงฤดูร้อนประกาศในภาคเหนือของประเทศ. เดือนแรก เราใช้เวลา 240 ชั่วโมงในการเผยแพร่และจำหน่ายสรรพหนังสือจำนวนมากมาย. เราอาศัยอยู่ในเต็นท์และเอาใจใส่ต่อความจำเป็นทั้งหมดของเราด้วยตัวเอง ซักรีดเสื้อผ้าของเราเอง, ทำกับข้าว, และอื่น ๆ.
ต่อมาผมได้ย้ายไปยังเรือที่ชื่อว่าไลต์แบเรอร์ (ผู้ถือความสว่าง) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในภาคเหนือของเนเธอร์แลนด์. ไพโอเนียร์ห้าคนอาศัยอยู่ในเรือนั้น และจากเรือนั้นเราสามารถไปถึงเขตทำงานที่อยู่โดดเดี่ยวจำนวนมาก.
สิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น
ในปี 1938 ผมได้รับมอบหมายเป็นผู้รับใช้โซน อันเป็นชื่อที่เรียกผู้ดูแลหมวดของพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น. ดังนั้น ผมลาจากเรือไลต์แบเรอร์ แล้วเริ่มเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ และพยานฯที่อยู่โดดเดี่ยวในสามจังหวัดภาคใต้.
รถจักรยานเป็นวิธีเดียวเท่านั้นในการเดินทางของเรา. บ่อยครั้งต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อเดินทางจากประชาคมหนึ่งหรือกลุ่มผู้สนใจหนึ่งไปยังกลุ่มหรือประชาคมต่อไป. เบรดาเป็นหนึ่งในเมืองต่าง ๆ ที่ผมไปเยี่ยม ซึ่งเป็นเมืองที่ผมอยู่ในปัจจุบัน. ตอนนั้น เบรดาไม่มีประชาคม และมีเพียงพยานฯคู่สามีภรรยาสูงอายุคู่เดียว.
ระหว่างรับใช้พี่น้องในลิมเบิร์ก ผมได้รับเชิญไปให้คำตอบสำหรับคำถามหลายข้อที่เสนอโดยคนงานเหมืองชื่อโยฮัน พีเพอร์. เขายืนหยัดมั่นคงต่อความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและมาเป็นผู้เผยแพร่ที่กล้าหาญ. สี่ปีต่อมาเขาถูกจับและถูกส่งไปยังค่ายกักกันแห่งหนึ่งซึ่งเขาอยู่ที่นั่นสามปีครึ่ง. หลังจากถูกปล่อยตัว เขาได้ดำเนินการเผยแพร่ด้วยใจแรงกล้าอีกครั้ง และปัจจุบันเขายังคงเป็นผู้ปกครองที่ซื่อสัตย์อยู่. ประชาคมเล็ก ๆ นั้นซึ่งมีพยานฯ 12 คนในลิมเบิร์กตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 17 ประชาคมที่มีผู้ประกาศ 1,550 คน!
ภายใต้อำนาจการควบคุมของนาซี
ในเดือนพฤษภาคม 1940 พวกนาซีบุกเนเธอร์แลนด์. ผมได้รับการมอบหมายไปสำนักงานสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในอัมสเตอร์ดัม. เราต้องดำเนินงานของเราต่อไปด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้เราหยั่งรู้เข้าใจสุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “มิตรแท้ . . . เป็นพี่น้องซึ่งเกิดมาเพื่อยามที่มีความทุกข์ยาก.” (สุภาษิต 17:17, ล.ม.) ความผูกพันที่น่ายินดีของเอกภาพที่มีเฟื่องฟูในระหว่างช่วงแห่งความตึงเครียดเช่นนี้มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อพัฒนาการด้านวิญญาณของผม และทำให้ผมปรับตัวเข้ากับความยุ่งยากอีกมากมายซึ่งยังคงมีอยู่ในวันข้างหน้า.
งานมอบหมายของผมคือ ดูแลการนำส่งสรรพหนังสือถึงประชาคมต่าง ๆ ซึ่งตามปกติแล้วทำโดยผู้ส่งของ. ตำรวจลับเกสตาโปเสาะหาตัวชายหนุ่มอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ทำงานเป็นกรรมกรที่ใช้แรงงานหนักในเยอรมนี ดังนั้นเราจึงใช้พี่น้องหญิงคริสเตียนเป็นผู้ส่งของ. ต่อมา วิลเฮลมีนา บาคเคอร์ เป็นที่รู้จักเสมอมาว่านอนนี ได้ถูกส่งจากกรุงเฮกมาหาเรา และผมพาเธอไปยังที่ซึ่งอาเทอร์ วิงเคลอร์ ผู้ดูแลสาขาของเราซ่อนตัวอยู่. โดยพยายามที่จะไม่ให้สะดุดตาเท่าที่เป็นไปได้ ผมแต่งกายเหมือนชาวนาดัตช์ สวมรองเท้าไม้และทุกอย่างที่ชาวนาสวม และร่วมเดินทางไปกับนอนนีโดยทางรถราง. ภายหลังผมรู้ว่าเธอกลั้นหัวเราะไว้ได้อย่างยากเย็น เนื่องจากเธอรู้สึกว่า ผมเป็นที่สะดุดตาทีเดียว.
ในวันที่ 21 ตุลาคม 1941 สถานที่เก็บสรรพหนังสือและกระดาษในอัมสเตอร์ดัมได้ถูกเปิดเผยแก่ศัตรู. ระหว่างการจู่โจมของพวกเกสตาโป วิงเคลอร์และนอนนีถูกจับกุม. เมื่อทั้งสองถูกส่งตัวเข้าคุก ก็บังเอิญได้ยินเจ้าหน้าที่เกสตาโปสองคนคุยกันเรื่องที่พวกเขาไล่จับ “คนตัวเล็กผมดำ” ซึ่งพวกเขาตามไม่ทันในถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน. ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังคุยถึงผม ดังนั้น วิงเคลอร์จึงจัดการส่งข่าวออกไปให้พวกพี่น้อง. ผมย้ายไปยังกรุงเฮกทันที.
ในระหว่างนั้นนอนนีถูกปล่อยตัวจากคุก และเธอกลับไปยังกรุงเฮกเพื่อเป็นไพโอเนียร์. ผมพบเธอที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง. แต่เมื่อผู้รับใช้ประชาคมในรอตเทอร์ดัมถูกจับกุม ผมถูกส่งไปรับตำแหน่งของเขา. ต่อมา ผู้รับใช้ประชาคมของประชาคมกาวดาถูกจับกุม และผมจึงถูกส่งให้ไปอยู่แทนเขา. ในที่สุด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 1943 ผมถูกจับ. ขณะที่ผมกำลังตรวจนับสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลของเราอยู่นั้น เกสตาโปก็บุกเข้ามาอย่างฉับพลัน.
นอกจากสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่กระจายอยู่บนโต๊ะแล้ว ยังมีรายชื่อพี่น้อยชายหญิงคริสเตียนอยู่ด้วย ถึงแม้ชื่อเหล่านี้อยู่ในรูปรหัสก็ตาม. ด้วยความทุกข์ใจ ผมอธิษฐานเพื่อพระยะโฮวาจะทรงเตรียมทางไว้เพื่อผมจะปกป้องคนเหล่านั้นซึ่งยังมีอิสระที่จะประกาศอยู่นั้น. โดยไม่เป็นที่สังเกตเห็น ผมวางมือที่กางออกไว้บนรายชื่อนั้นแล้วขยำไว้ในฝ่ามือของผม. ต่อจากนั้นผมขออนุญาตไปห้องส้วม ที่นั่นผมฉีกรายชื่อนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทิ้งลงในชักโครก.
เมื่ออยู่ในสภาพอับจนแสนสาหัสเช่นนั้น ผมเรียนรู้ที่จะได้รับกำลังจากการปฏิบัติของพระยะโฮวากับไพร่พลของพระองค์ในอดีตและจากคำสัญญาของพระองค์ในการช่วยให้รอด. นี่เป็นคำรับรองข้อหนึ่งที่มีขึ้นโดยการดลใจซึ่งผมจำได้ดีเสมอมาที่ว่า “ถ้าแม้นพระยะโฮวาไม่ทรงสถิตอยู่ฝ่ายพวกเราแล้ว, ขณะเมื่อคนทั้งปวงได้ลุกขึ้นต่อสู้พวกเรา; เขาคงได้กลืนพวกเราเสียแล้วทั้งเป็น.”—บทเพลงสรรเสริญ 124:2, 3.
คุกและค่ายกักกัน
ผมถูกพาไปยังคุกรอตเทอร์ดัม ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณที่มีคัมภีร์ไบเบิลเล่มของผมติดตัวไปด้วย. นอกจากนี้ผมยังมีหนังสือความรอด, บางตอนของหนังสือบุตร, และมีเวลามากมายที่จะอ่านสรรพหนังสือทั้งหมดนี้. หลังจากหกเดือน ผมป่วยหนักและต้องเข้าโรงพยาบาล. ก่อนผมออกจากคุก ผมซ่อนหนังสือไว้ใต้ที่นอนของผม. ต่อมาผมทราบว่า พีต เบิร์ตจัส พยานฯอีกคนหนึ่งถูกย้ายมาอยู่ในห้องขังเดี่ยวของผมแล้วก็พบหนังสือนั้น. โดยวิธีนี้สรรพหนังสือยังคงถูกใช้เพื่อชูกำลังคนอื่นในความเชื่ออยู่.
เมื่อผมหายป่วย ผมถูกย้ายไปยังคุกในกรุงเฮก. ระหว่างอยู่ที่นั่น ผมพบเลโอ ซี. วาน เดอร์ ทาซ นักศึกษากฎหมายซึ่งอยู่ในคุกเนื่องจากต่อต้านการยึดครองของนาซี. เขาไม่เคยได้ยินเรื่องพยานพระยะโฮวา และผมมีโอกาสให้คำพยานแก่เขา. บางครั้งเขาจะปลุกผมตื่นกลางดึกเพื่อถามคำถามต่าง ๆ. เขาไม่อาจซ่อนความนิยมชมชอบต่อพยานฯไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรู้ว่า เราอาจถูกปล่อยตัวได้หากเราจะเพียงแต่เซ็นชื่อในเอกสารปฏิเสธความเชื่อของเราเท่านั้น. ภายหลังสงคราม เลโอเป็นทนายความและได้ต่อสู้คดีทางกฎหมายหลายสิบคดีเพื่อสมาคมว็อชเทาเวอร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการนมัสการ.
ในวันที่ 29 เมษายน 1944 ผมโดยสารรถไฟในการเดินทางที่แสนลำบากยากเข็ญเป็นเวลา 18 วันไปยังเยอรมนี. ในวันที่ 18 พฤษภาคม ผมถูกจำขังอยู่ในค่ายกักกันบูเคนวาลด์. ชีวิตเลวร้ายสุดที่จะพรรณนา จนกระทั่งเราถูกปล่อยเป็นอิสระโดยกองทัพพันธมิตรเกือบหนึ่งปีภายหลัง. คนนับพัน ๆ เสียชีวิต หลายคนตายต่อหน้าต่อตาเรา. เนื่องจากผมไม่ยอมทำงานในโรงงานที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งผลิตยุทโธปกรณ์ ผมจึงถูกจัดให้ทำงานเกี่ยวกับท่อระบายสิ่งปฏิกูล.
วันหนึ่งโรงงานถูกทิ้งระเบิด. หลายคนพรวดพราดเข้าไปในที่พักเพื่อความปลอดภัย ขณะที่คนอื่นวิ่งเข้าไปในป่า. ลูกระเบิดที่หลงมานั้นโดนที่พัก และระเบิดลุกไหม้ทำให้ไฟไหม้ป่า. เป็นภาพที่น่าสยดสยองจริง ๆ! หลายคนถูกเผาทั้งเป็น! ผมพบที่หลบซ่อนซึ่งปลอดภัย และเมื่อไฟสงบลงแล้ว ผมเดินผ่านศพนับไม่ถ้วนกลับไปยังค่าย.
คนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ทราบเรื่องความน่าสยดสยองของการสังหารหมู่โดยพวกนาซี. ผมรู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาที่พระองค์ทรงเสริมกำลังความสามารถในการคิดของผม จนกระทั่งความน่าสยดสยองที่ผมประสบมานั้นไม่ได้ครอบงำความคิดของผมตลอดหลายปี. เมื่อผมคิดถึงช่วงเวลาที่ผมถูกจำคุกนั้น ความรู้สึกแรกสุดของผมคือความยินดีที่ได้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวาเพื่อพระเกียรติแห่งพระนามของพระองค์—บทเพลงสรรเสริญ 124:6-8.
กิจกรรมหลังสงคราม
หลังจากถูกปล่อยตัวและกลับไปยังอัมสเตอร์ดัมแล้ว ผมรายงานตัวต่อสำนักงานสาขาโดยตรงเพื่อรับการมอบหมาย. ผมกระตือรือร้นที่จะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ผมไม่อยู่. นอนนีทำงานที่นั่นอยู่แล้ว. ระหว่างปีสุดท้ายของสงคราม เธอรับใช้ฐานะผู้ส่งของจัดส่งสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลไปยังประชาคมต่าง ๆ. เธอไม่ได้ถูกจับกุมอีก แต่เธอหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิดหลายครั้ง.
ผมเป็นไพโอเนียร์ชั่วระยะสั้น ๆ ในเมืองฮาร์เลม แต่ในปี 1946 ผมถูกขอให้ไปสาขาในอัมสเตอร์ดัมเพื่อทำงานในแผนกขนส่ง. ปลายปี 1948 ผมกับนอนนีได้แต่งงานกัน แล้วเราออกจากสาขาเพื่อไปเป็นไพโอเนียร์ด้วยกัน. งานมอบหมายไพโอเนียร์ของเราอยู่ในเมืองแอสเซน. สิบสองปีก่อนหน้านั้น ผมกับริชาร์ด เบรานิง เคยใช้เวลาช่วงฤดูร้อนที่นั่น อาศัยอยู่ในเต็นท์และประกาศ. ผมทราบว่าริชาร์ดได้ถูกยิงตายระหว่างทางไปค่ายกักกัน.
ช่วงเวลาที่ผมถูกคุมขังได้ทำลายสุขภาพของผมอย่างเห็นได้ชัด. หกปีภายหลังถูกปล่อยตัวจากบูเคนวาลด์ ความเจ็บป่วยทำให้ผมต้องนอนอยู่เป็นเวลาสี่เดือน. หลายปีต่อมา ในปี 1957 ผมป่วยเป็นวัณโรคตลอดทั้งปี. ร่างกายของผมหมดเรี่ยวแรง ทว่าน้ำใจไพโอเนียร์ยังคงเข้มแข็งอยู่. ระหว่างผมป่วย ผมฉวยทุกโอกาสที่จะให้คำพยาน. ผมรู้สึกว่าน้ำใจไพโอเนียร์เช่นนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการไม่ยอมให้อาการป่วยทำให้ผมกลายเป็นคนป่วยที่อยู่เฉย ๆ. ผมกับนอนนีตั้งใจที่จะยึดอยู่กับการรับใช้เต็มเวลานานเท่าที่สุขภาพของเราอำนวยให้.
หลังจากผมหายป่วยแล้ว เราถูกมอบหมายไปเมืองเบรดา. นี่เป็นเวลา 21 ปีหลังจากผมไปเยี่ยมเมืองนี้ครั้งแรกฐานะผู้รับใช้โซน. เมื่อเราไปถึงในปี 1959 มีหนึ่งประชาคมเล็ก ๆ ซึ่งมีพยานฯ 34 คน. ปัจจุบัน 37 ปีต่อมา มีการเติบโตเป็นหกประชาคมโดยมีพยานฯมากกว่า 500 คน ซึ่งประชุมกันในหอประชุมสามแห่ง! ณ การประชุมในท้องถิ่นและการประชุมใหญ่ เราเห็นหลายคนซึ่งได้รับความรู้เกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลอันเป็นผลจากความพยายามส่วนหนึ่งของพวกเรา. บ่อยครั้งเรารู้สึกเหมือนอัครสาวกโยฮันเมื่อท่านเขียนว่า “ไม่มีเหตุอันใดที่จะทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณยิ่งไปกว่าสิ่งเหล่านี้ คือที่ข้าพเจ้าได้ยินว่าลูกทั้งหลายของข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในความจริงต่อ ๆ ไป.”—3 โยฮัน 4, ล.ม.
ตอนนี้เราชราแล้ว. ผมอายุ 86 ปี และนอนนี 78 ปี แต่ผมต้องขอบอกว่า การเป็นไพโอเนียร์เป็นงานที่ทำให้สุขภาพดี. ตั้งแต่ผมได้มาอยู่ในเบรดา ผมได้เอาชนะปัญหาสุขภาพส่วนใหญ่ที่ผมได้รับผลกระทบระหว่างถูกคุมขัง. ผมได้เพลิดเพลินกับช่วงเวลาหลายปีที่บังเกิดผลในการรับใช้พระยะโฮวาด้วย.
การหวนระลึกถึงหลายปีแห่งการรับใช้ที่เกิดผลเป็นแหล่งแห่งความยินดีของเราทั้งสอง. เราอธิษฐานทุกวันเพื่อว่าพระยะโฮวาจะประทานพระวิญญาณและกำลังให้เราที่จะดำเนินต่อไปในการรับใช้พระองค์นานเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่. เราแสดงความรู้สึกอย่างมั่นใจด้วยถ้อยคำของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ว่า “นี่แน่ะ! พระเจ้าเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า; พระยะโฮวาทรงอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ที่ค้ำจุนจิตวิญญาณของข้าพเจ้าไว้.”—บทเพลงสรรเสริญ 54:4, ล.ม.
[รูปภาพหน้า 23]
ยืนอยู่ข้างที่พักแรมซึ่งเราเคยใช้ระหว่างเป็นไพโอเนียร์ในทศวรรษปี 1930
[รูปภาพหน้า 23]
เรือที่เราใช้เพื่อไปถึงเขตโดดเดี่ยว
[รูปภาพหน้า 23]
ถูกสัมภาษณ์ในระเบียบวาระการประชุมใหญ่ปี 1957
[รูปภาพหน้า 24]
กับภรรยาของผมในปัจจุบัน