โลกของเราที่เปลี่ยนแปลงกำลังมุ่งไปที่ไหน?
การเปลี่ยนแปลงบางอย่างมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนานในชีวิตผู้คนหลายล้าน กระทั่งประชากรทั้งโลกและคนรุ่นที่จะเกิดต่อ ๆ มา. อาชญากรรมที่รุนแรง, การใช้ยาในทางผิด, การแพร่ของโรคเอดส์, มลภาวะของอากาศและน้ำ, และการตัดไม้ทำลายป่า เหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของการเปลี่ยนแปลงซึ่งกำลังมีผลกระทบต่อเราทุกคน. การยุติสงครามเย็น และการแพร่หลายของประชาธิปไตยตามแบบตะวันตกพร้อมด้วยเศรษฐกิจการตลาดของระบบดังกล่าว เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราและมีผลกระทบต่ออนาคตเช่นกัน. ให้เราพิจารณาปัจจัยเหล่านี้บางประการ.
วิธีที่อาชญากรรมเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
ถนนในละแวกบ้านของคุณเป็นอย่างไร? คุณรู้สึกว่าปลอดภัยไหมหากเดินไปนอกบ้านตามลำพังในยามค่ำคืน? เพียง 30 หรือ 40 ปีที่แล้วมานี้ หลายคนถึงกับไม่ได้ใส่กุญแจประตูบ้านด้วยซ้ำ. แต่กาลเวลาเปลี่ยนไป. เดี๋ยวนี้ ประตูบางแห่งต้องใส่กุญแจสองหรือสามตัว หน้าต่างต้องมีลูกกรงเหล็กปิด.
ผู้คนสมัยนี้ไม่กล้าสวมเสื้อผ้าชั้นดีและประดับเพชรพลอยขณะเดินตามท้องถนน. ชาวกรุงบางคนถูกฆ่าเพราะมีเสื้อแจ็กเก็ตหนังหรือเสื้อคลุมขนมิงก์. คนอื่นเสียชีวิตขณะเกิดการยิงต่อสู้กันระหว่างแก๊งค้ายาเสพย์ติด. คนเดินถนนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ รวมทั้งเด็กหลายคน ได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าเกือบจะเป็นเหตุการณ์ประจำวันอยู่แล้ว. รถยนต์ไม่อาจจอดทิ้งไว้อย่างปลอดภัยโดยไม่ติดตั้งอุปกรณ์ซับซ้อนกันขโมยซึ่งเหมือนกาฝากสังคม. ในบรรยากาศของโลกอันบูดเบี้ยวเช่นนี้ ผู้คนก็ได้เปลี่ยนไป. ความซื่อสัตย์และความจงรักภักดีเป็นค่านิยมที่แทบจะลืมเลือนหมดสิ้น. ความไว้วางใจอันตรธานไปแล้ว.
อาชญากรรมและความรุนแรงเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก. พาดหัวข่าวต่อไปนี้จากแหล่งต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงประเด็นดังกล่าว: “ตำรวจไล่กวดผู้ร้าย, แก๊งและอบายมุข มีครบเครื่องในมอสโก”; “เกาหลีก้าวสู่ยุคใหม่ อาชญากรรมติดตามมา”; “อาชญากรรมตามท้องถนนเป็นเหตุการณ์ประจำวันในปรากแล้ว”; “ญี่ปุ่นจัดการกับฝูงชนที่ประท้วงและถูกโต้กลับ”; “มาเฟียอาละวาด—มือปราบมาเฟียชั้นยอดของอิตาลีถูกวางระเบิด.” อาชญากรรมเป็นปัญหาระดับโลก.
อาชญากรรมในปัจจุบันนี้มีความรุนแรงยิ่งกว่าแต่ก่อน. ชีวิตราคาถูก. ในริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล ย่านชุมชนแออัดตามชานเมืองได้มีการ “ยอมรับอย่างเป็นทางการโดยองค์การสหประชาชาติว่าเป็นย่านที่เต็มไปด้วยความรุนแรงที่สุดในโลก. ผู้คนถูกฆ่ากว่า 2,500 คนทุกปี.” (เวิลด์ เพรส รีวิว) ในโคลัมเบีย เจ้าพ่อค้ายาเสพย์ติดส่งซิคาริออสหนุ่ม ๆ ซึ่งก็คือมือปืนรับจ้าง นั่งรถจักรยานยนต์ไปคิดบัญชีคู่แข่งและลูกหนี้ด้วยโทษสังหารในพริบตาเฉพาะแบบของพวกเขา. และบ่อยครั้ง คุณจะเสียใจหากไปรู้เห็นอาชญากรรมเข้า—ไม่ว่าที่โคลัมเบียหรือที่อื่นใด. คุณอาจเป็นเหยื่อรายต่อไป.
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือ อาชญากรจำนวนมากขึ้นใช้อาวุธปืนกลยิงเร็วที่อันตรายถึงแก่ชีวิตและประชาชนก็พึ่งปืนพกมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันตัว. การเพิ่มจำนวนอาวุธย่อมเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสตามไปด้วย ไม่ว่าโดยอาชญากรรมหรืออุบัติเหตุ. บัดนี้ เป็นเรื่องจริงโดยทั่วไปแล้วว่าปืนในกระเป๋าหรือในบ้านอาจทำให้ใครก็ตามกลายเป็นฆาตกรได้.
อาชญากรรมและยาเสพย์ติด
ห้าสิบปีมาแล้ว ใครจะนึกภาพออกว่ายาเสพย์ติดจะเป็นปัญหาระดับโลก? ปัจจุบันนี้ เป็นสาเหตุประการสำคัญที่ก่อให้เกิดอาชญากรรมและความรุนแรง. ในหนังสือ การก่อการร้าย ยาเสพย์ติด และอาชญากรรมในยุโรปหลังปี 1992 (ภาษาอังกฤษ) ริชาร์ด คลัตเตอร์บัก คาดการณ์ว่า “ในที่สุด การเติบโตของธุรกิจค้ายาเสพย์ติดอาจปรากฏว่าเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่ที่สุดต่ออารยธรรมของมนุษย์. . . . กำไรไม่เพียงแต่ให้อำนาจทางการเมืองและทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลแก่เจ้าพ่อค้ายาเสพย์ติด [โคลัมเบียเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด] แต่ยังให้เงินอุดหนุนต่ออาชญากรรมในขอบข่ายอันน่าสยองขวัญทั่วโลก.” เขายังแถลงอีกว่า “หนึ่งในตัวกำเนิดใหญ่ที่สุดของลัทธิก่อการร้ายและความรุนแรงด้านอาชญากรรมในโลกคือการค้าโคเคนจากย่านเพาะปลูกพืชโคคาในโคลัมเบียไปจนถึงผู้เสพย์ติดในยุโรปและสหรัฐ.”
คลื่นแห่งอาชญากรรมอันดาษดื่นและจำนวนประชากรที่ถูกคุมขังในเรือนจำเพิ่มขึ้นทั่วโลกแสดงว่ามีคนนับล้าน ๆ ซึ่งมีเจตจำนงเป็นอาชญากรและแทบไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง. ผู้คนมากมายเหลือเกินเห็นว่าอาชญากรรมได้กำไรงาม. ผลคือ โลกของเราเปลี่ยนไป—ในทางเลวลง. โลกอันตรายยิ่งขึ้น.
เอดส์—ตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือ?
สิ่งซึ่งแรก ๆ ก็ดูเหมือนว่าเป็นโรคที่กระทบพวกรักร่วมเพศเป็นส่วนใหญ่ ได้กลายเป็นโรคร้ายกระทบผู้คนทุกเชื้อชาติและทุกรูปแบบการดำเนินชีวิต. เอดส์ไม่เจาะจงเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกแล้ว. ในบางประเทศของแอฟริกา เอดส์ได้คร่าชีวิตผู้คนที่มีเพศสัมพันธ์ฉันหญิงชายตายเป็นเบือ. ผลคือ ความสำส่อนทางเพศสำหรับบางคนดูเหมือนจะเสื่อมความนิยมลงในทันทีทันใด ไม่ใช่ด้วยเหตุผลใด ๆ ทางศีลธรรมแต่เพราะกลัวติดเชื้อ. “เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย” เป็นคำขวัญสมัยนี้ และการใช้ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ป้องกันหลักที่แนะให้ใช้. การระงับควบคุมจิตใจตัวเองเป็นวิธีป้องกันที่นิยมน้อยที่สุด. แต่โรคเอดส์จะกระทบครอบครัวมนุษย์อย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้?
วารสาร ไทม์ รายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ภายในปี 2000 เอดส์อาจจะเป็นโรคระบาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ บดบังภัยพิบัติของโรคไข้หวัดใหญ่เมื่อปี 1918 โดยสิ้นเชิง. ความหายนะในครั้งนั้นสังหาร 20 ล้านคน หรือประมาณ 1% ของประชากรโลก—มากกว่าสองเท่าของจำนวนทหารซึ่งเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง.” ดังที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกล่าวว่า “โรคระบาดนี้จะมีอัตราสูงเป็นประวัติการณ์.”
ทั้ง ๆ ที่ทุ่มเทเงินลงไปหลายล้านเหรียญสหรัฐและสกุลอื่น ๆ ในการวิจัยโรคเอดส์ ก็ยังไม่เห็นทางแก้ไข. การประชุมอภิปรายเรื่องเอดส์เมื่อไม่นานมานี้ในกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ นำนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ ประมาณ 11,000 คนมารวมกันศึกษาปัญหานี้. “บรรยากาศที่เศร้าหมอง สะท้อนถึงทศวรรษแห่งความคับข้องใจ, ความล้มเหลวและโศกนาฏกรรมที่ทับถม. . . . มนุษย์ชาติอาจไม่ได้คืบหน้าไปสักเท่าไรเลยในการปราบโรคเอดส์เมื่อเทียบกับตอนเริ่มต้นค้นคว้า. ไม่มีวัคซีน, ไม่มีวิธีรักษาให้หายและไม่มีกระทั่งวิธีบำบัดที่เกิดผลโดยปราศจากข้อโต้แย้ง.” (ไทม์) ส่วนผู้มีเชื้อเอดส์ (HIV) ก็คงไม่วายต้องล้มป่วยด้วยโรคเอดส์ ความหวังจะรอดดูริบหรี่. นี่ก็เช่นกัน เปลี่ยนแปลงไปในทางเลวลง.
การเปลี่ยนแปลงในวงการเมืองโลก
บรรยากาศทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงระยะสี่ปีหลังนี้เกินการคาดเดาของผู้นำหลายคน และยิ่งผู้นำของสหรัฐด้วยแล้วไม่น้อยหน้าใคร ๆ. โดยปัจจุบันทันด่วน สหรัฐพบว่าตนปราศจากคู่แข่งในสนามการเมือง. เปรียบได้กับทีมบาสเกตบอลซึ่งมีความฮึกเหิมสูง ไม่มีใครปราบได้ แล้วจู่ ๆ ก็พบว่าไม่มีใครอยากจะแข่งด้วยอีกต่อไป. ฐานะที่อึกอักเช่นนี้ได้สรุปไว้ในบทความเมื่อปี 1990 โดยชาลส์ วิลเลียม เมนส์ บรรณาธิการวารสาร นโยบายต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ว่า “ทุกวันนี้ เป้าหมายของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐมิใช่การถอนประเทศออกจากสงครามหายนะแต่ทำสันติภาพที่เกินการคาดเดาซึ่งเกิดขึ้นมาในทันใดระหว่างสหรัฐกับ [อดีต] สหภาพโซเวียตนั้นให้เป็นสถาบันขึ้นมา.”
ความรู้อันดาษดื่นด้านอาวุธนิวเคลียร์เป็นภัยคุกคามชนิดใหม่ ขณะสงครามที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ตามประเพณีนิยมยังคงเบ่งบานต่อไป—สร้างความปรีดิ์เปรมให้กับเหล่าพ่อค้าอาวุธเป็นล้นพ้น. ในโลกซึ่งร่ำร้องสันติภาพ ผู้นำทางการเมืองหลายคนก็เสริมเขี้ยวเล็บทางทหารและอาวุธเป็นการใหญ่. และองค์การสหประชาชาติซึ่งแทบจะล้มละลายอยู่แล้วก็วุ่นอยู่กับการแค่เอาปลาสเตอร์ไปปิดบนแผลเปื่อยเรื้อรังของโลก.
คำสาปที่ไม่เคยเปลี่ยนของลัทธิชาตินิยม
ขณะที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เริ่มล่มสลาย ประธานาธิบดี บุช แห่งสหรัฐก็ทำให้แนวความคิดเรื่อง “ระเบียบใหม่สำหรับโลก” แพร่หลาย. แต่ ดังที่ผู้นำทางการเมืองหลายคนได้พบ คำขวัญที่ฟังดูสวยหรูนั้นใคร ๆ ก็พูดได้ การเปลี่ยนแปลงที่ได้ผลจริงทำได้ยากกว่ามากนัก. ในหนังสือ ภายหลังการล่มสลาย—การติดตามประชาธิปไตยในยุโรปตอนกลาง (ภาษาอังกฤษ) เจ็ฟฟรีย์ โกลด์ฟาร์บ บอกว่า “ความหวังอันไม่มีขอบเขตเรื่อง ‘ระเบียบใหม่สำหรับโลก’ ตามติดมาอย่างรวดเร็วด้วยการรู้ว่าปัญหาดึกดำบรรพ์ที่สุดยังคงอยู่กับเราและบางครั้งรุนแรงยิ่งนัก. ความปลาบปลื้มปรีดาแห่งการปลดปล่อย . . . มักจะถูกบดบังด้วยความสิ้นหวังจากความตึงเครียดทางการเมือง, ความขัดแย้งของนักนิยมชาติ, การถือเคร่งครัดในแบบแผนดั้งเดิมของศาสนา, และความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ.” แน่นอนทีเดียว สงครามกลางเมืองในดินแดนซึ่งเคยเป็นยูโกสลาเวีย เป็นตัวอย่างอันเห็นได้ชัดถึงอิทธิพลทางการเมือง, ศาสนา, และชาตินิยมซึ่งก่อความแตกแยก.
โกลด์ฟาร์บ กล่าวต่อไปว่า “การกลัวชาวต่างประเทศและความไม่ปลอดภัยส่วนตัวได้กลายเป็นความจริงของชีวิตในย่านยุโรปตอนกลาง. ประชาธิปไตยมิได้ให้สิ่งที่ได้สัญญาทางเศรษฐกิจ, การเมือง, และวัฒนธรรมโดยอัตโนมัติ และตลาดเศรษฐกิจมิได้สัญญาจะให้แค่ความร่ำรวย ยังคงสร้างปัญหาอันเหลือความเข้าใจสำหรับผู้ที่ไม่รู้วิธีทำงานในระบบนั้น.”
แต่เห็นได้ชัดว่าปัญหาเหล่านี้มิได้จำกัดวงอยู่เฉพาะยุโรปตอนกลางและสาธารณรัฐแห่งอดีตสหภาพโซเวียตเท่านั้น การเกลียดคนต่างเชื้อชาติและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจมีอยู่ทั่วโลก. ครอบครัวมนุษย์ต้องจ่ายสำหรับสิ่งดังกล่าวด้วยความทุกข์และความตาย. และอนาคตอันใกล้นั้นก็มิได้ให้ความหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในเจตคติที่ฝังรากลึกเหล่านี้ซึ่งปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชังและความรุนแรง. เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เนื่องจากการศึกษาที่คนส่วนใหญ่ได้รับ—ไม่ว่าจากบิดามารดาหรือจากระบบในโรงเรียนซึ่งมีแนวโน้มสนับสนุนชาตินิยม—ได้ปลูกฝังความเกลียดชัง, การไม่ยอม, และความคิดในเรื่องความเหนือกว่าโดยอาศัยพื้นฐานแห่งสัญชาติ, เชื้อชาติและเผ่าพันธุ์, หรือภาษา.
ลัทธิชาตินิยม ซึ่งได้รับสมญาจากวารสารรายสัปดาห์ เอเชียวีก ว่าเป็น “ลัทธิน่าเกลียดอันสุดท้าย” เป็นปัจจัยหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งยังคงปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชังและการนองเลือด. วารสารนั้นกล่าวว่า “ถ้าความหยิ่งทะนงในการที่เป็นชาวเซอร์เบียหมายถึงการเกลียดชังชาวโครเอเทีย, ถ้าเสรีภาพสำหรับชาวอาร์มีเนียหมายถึงการแก้แค้นชาวเตอร์ก, ถ้าเอกราชสำหรับชาวซูลูหมายความถึงการปราบปรามชาวโคซา และประชาธิปไตยสำหรับชาวโรมาเนียหมายถึงขับไล่ชาวฮังการีแล้วละก็ ลัทธิชาตินิยมได้สวมบทบาทอันน่าเกลียดที่สุดแล้ว.”
ทำให้เรานึกถึงสิ่งที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้คราวหนึ่งว่า “ชาตินิยมเสมือนเป็นโรคเด็ก. เป็นโรคหัดของมนุษยชาติ.” เกือบทุกคนติดโรคนี้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง และยังคงระบาดต่อไป. ย้อนหลังไปในปี 1946 อาร์โนลด์ ทอยน์บี นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษเขียนไว้ว่า “ความรักชาติ . . .ได้เข้ามาแทนที่หลักคริสเตียนในฐานะศาสนาของโลกตะวันตกส่วนใหญ่แล้ว.”
มีความหวังใด ๆ ไหมว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในความประพฤติของมนุษย์ท่ามกลางสภาพการณ์ปัจจุบันนี้? บางคนบอกว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นจะสัมฤทธิ์ผลได้เฉพาะโดยการเปลี่ยนชนิดถอนรากถอนโคนทางการศึกษาเท่านั้น. จอห์น เค. กัลไบรธ์ เขียนไว้ว่า “ผู้คนคือตัวกำหนดอัตราความก้าวหน้า. ฉะนั้น . . . การปรับปรุงใด ๆ ทำไม่ได้หากไม่ปรับปรุงผู้คน และความก้าวหน้าเกิดขึ้นแน่นอนเมื่อผู้คนได้รับการปลดปล่อยและการศึกษา. . . . การพิชิตความไม่รู้หนังสือต้องมาก่อน.” มีความหวังอะไรที่ระบบการศึกษาของโลกจะสอนความรักและการยอมต่อผู้อื่นแทนที่จะเป็นความเกลียดชังและความระแวงสงสัย? เมื่อไรความเป็นอริทางเผ่าพันธุ์และเชื้อชาติซึ่งฝังรากลึกนั้นจะถูกแทนที่ด้วยความไว้วางใจและความเข้าใจ โดยยอมรับว่าเราทุกคนอยู่ในครอบครัวมนุษย์เดียวกัน?
ปรากฏชัดว่า ต้องเปลี่ยนแปลงกันอย่างจริงจัง. แซนดรา โพสเท็ล เขียนไว้ในหนังสือ สถานการณ์ของโลกปี 1992 (ภาษาอังกฤษ) ว่าดังนี้: “ช่วงเวลาที่เหลือของทศวรรษนี้ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากและแทรกซึมไปทั่วยิ่งขึ้น ถ้าเราจะยึดอยู่กับความหวังตามสภาพที่เป็นจริงสำหรับโลกที่ดีกว่า.” แล้วเราบ่ายหน้าไปที่ไหนกัน? ริชาร์ด คลัตเตอร์บัก บอกว่า “อย่างไรก็ดี โลกยังคงไร้ความมั่นคงและอันตราย. ความคลั่งไคล้ทางศาสนาและทางชาตินิยมยังคงดำเนินต่อไป. . . . ทศวรรษปี 1990 อาจเป็นช่วงอันตรายที่สุดหรือทศวรรษที่ก้าวหน้าที่สุดในรอบศตวรรษ.”—การก่อการร้าย, ยาเสพย์ติดและอาชญากรรมในยุโรปหลังปี 1992 (ภาษาอังกฤษ).
สิ่งแวดล้อมของเราเปลี่ยนแปลง
ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านไปนี้ มนุษยชาติได้สำนึกถึงข้อที่ว่ากิจกรรมมนุษย์มีผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม. การตัดไม้ทำลายป่าอย่างขนานใหญ่ได้ทำให้พืชและสัตว์สูญพันธุ์ไปหลายชนิดนับไม่ถ้วน. และเนื่องจากป่าไม้เป็นส่วนหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนระบบปอดของโลก การทำลายป่าไม้จึงลดขีดความสามารถของแผ่นดินโลกในการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปเป็นออกซิเจนซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิต. ผลกระทบอีกอย่างคือทำให้ผิวดินชั้นบนเสื่อมสมรรถภาพและในที่สุดก็จะกลายเป็นทะเลทราย.
บางคนได้ส่งเสียงเตือนในประเด็นนี้ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ รองประธานาธิบดีแอล กอร์ ของสหรัฐ. ในหนังสือ โลกอยู่ในระหว่างเสี่ยง—นิเวศวิทยาและเจตนารมณ์ของมนุษย์ (ภาษาอังกฤษ) เขาเขียนไว้ว่า “ตามอัตราการตัดไม้ทำลายป่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ป่าดงดิบเขตร้อนเกือบทั้งหมดจะสูญไปเมื่อยังไม่สิ้นศตวรรษหน้านี้. ถ้าเราปล่อยให้การทำลายนี้เกิดขึ้น โลกจะสูญคลังข้อมูลทางพันธุกรรมอันมั่งคั่งที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ พร้อมด้วยโอกาสที่อาจได้ยารักษาโรคหลายชนิดที่ก่อความทุกข์เดือดร้อนแก่เราอยู่ขณะนี้. จริงทีเดียว ยาสำคัญ ๆ หลายร้อยชนิดซึ่งใช้กันแพร่หลายขณะนี้ได้มาจากพืชและสัตว์จากป่าไม้เขตร้อน.”
กอร์เชื่อว่าการกระทบของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมหมายถึงภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของมนุษย์ซึ่งมาใกล้มากแล้ว. เขาบอกว่า “ขณะที่เรายังคงขยายวงเข้าไปในซอกมุมของสิ่งแวดล้อมเท่าที่จะคิดออกได้ ความเปราะบางแห่งอารยธรรมของเราก็ปรากฏชัดขึ้นทุกที. . . .ในชั่วอายุของคนรุ่นเดียว เราก็เสี่ยงต่อการเปลี่ยนลักษณะบรรยากาศของโลกอย่างเด่นชัดยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟใด ๆ ในประวัติศาสตร์ และผลกระทบครั้งนี้อาจจะยืดเยื้อไปอีกนับศตวรรษในวันหน้า.”
ไม่เฉพาะแค่บรรยากาศของเราถูกคุกคามเท่านั้น แต่จากข้อเขียนของกอร์และคนอื่น ๆ แหล่งน้ำอันสำคัญของเรากำลังอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา “ที่ซึ่งรู้สึกถึงผลกระทบจากมลภาวะทางน้ำได้อย่างรุนแรงและอย่างน่าเศร้าที่สุดในรูปของการเสียชีวิตอัตราสูงจากอหิวาตกโรค, ไทฟอยด์, โรคบิด, และโรคท้องร่วง.” ครั้นแล้วกอร์อ้างข้อเท็จจริงที่ว่า “ผู้คนกว่า 1.7 พันล้านคนขาดน้ำดื่มที่สะอาด. คนกว่า 3 พันล้านไม่มีระบบสุขอนามัยที่ถูกสุขลักษณะ และฉะนั้น เสี่ยงต่อการทำให้น้ำใช้เกิดการปนเปื้อนมากขึ้น. ยกตัวอย่าง ในอินเดีย เมืองและนครใหญ่หนึ่งร้อยสิบสี่แห่งทิ้งสิ่งปฏิกูลของมนุษย์และน้ำเน่าซึ่งมิได้ผ่านกรรมวิธีบำบัดลงไปยังแม่น้ำคงคา.” และแม่น้ำสายนั้นคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนหลายล้าน!
กอทัม เอส. คาจี รองประธานธนาคารโลกเตือนผู้คนที่เข้าร่วมการประชุมในกรุงเทพฯ ว่า “น้ำที่มีไว้ใช้ในเอเชียตะวันออกคงเป็นประเด็นวิกฤติในศตวรรษหน้า. . . . ทั้ง ๆ ที่รู้กันเป็นอย่างดีว่าน้ำดื่มที่สะอาดเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและเพิ่มสมรรถนะในการผลิตผลงาน บัดนี้ รัฐบาลต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเผชิญกับระบบสาธารณูปโภคซึ่งไม่อาจจัดส่งน้ำสะอาดให้ผู้คนดื่มได้ . . .เรื่องนี้เป็นประเด็นของการพัฒนาที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมซึ่งพากันหลงลืมไปแล้ว.” ทั่วทั้งโลก ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง—น้ำสะอาด—ได้ถูกละเลยและใช้กันอย่างสิ้นเปลือง.
เหล่านี้คือแง่มุมต่าง ๆ ของโลกเราที่กำลังเปลี่ยนแปลง โลกที่เปลี่ยนเป็นบ่อเก็บน้ำเน่าอันตรายในหลายขอบเขตและซึ่งคุกคามการดำรงชีวิตของมนุษยชาติในอนาคต. คำถามสำคัญคือ รัฐบาลและธุรกิจใหญ่มีเจตจำนงและแรงผลักดันที่จะดำเนินการป้องกันการทำให้ทรัพยากรของโลกวายวอดไม่เหลือหรอไหม?
ศาสนาเปลี่ยนแปลงโลกไหม?
ในแวดวงศาสนา เราพบสิ่งที่อาจถือได้ว่า เป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ. ถ้าตัดสินต้นไม้ด้วยผลของต้นละก็ ศาสนาต้องรับผิดชอบสำหรับผลคือความเกลียดชัง, การไม่ยอมกัน, และสงครามภายในกลุ่มของตนเอง. ดูเหมือนว่าในสายตาคนส่วนมาก ศาสนาก็เหมือนกับความงาม—แค่ผิวนอก. เหมือนกับแผ่นลายไม้อัดบาง ๆ ที่ประดับผิวนอกของวัสดุซึ่งหลุดลอกได้ง่ายภายใต้ความกดดันทางการเหยียดผิว, ชาตินิยม, และการขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.
เนื่องจากศาสนาคริสเตียนคือศาสนาแห่ง ‘การรักเพื่อนบ้านและการรักศัตรู’ เกิดอะไรขึ้นกับพวกคาทอลิกและออร์โธดอกซ์ในอดีตยูโกสลาเวีย? นักเทศน์นักบวชของพวกเขาจะล้างบาปให้เขาพ้นจากการผิดฐานฆ่าคนและความเกลียดชังกันไหม? คำสอน “คริสเตียน” นานนับศตวรรษสร้างแต่ความเกลียดชังและการฆ่ากันในไอร์แลนด์เหนือไหม? แล้วศาสนาที่มิใช่คริสเตียนล่ะจะว่าอย่างไร? ศาสนาเหล่านั้นเกิดผลที่ดีกว่าไหม? ศาสนาฮินดู, ซิกข์, พุทธ, อิสลาม, และชินโตจะยกหลักฐานว่าพวกเขายินยอมต่อกันและกันได้ไหม?
แทนที่จะก่อให้เกิดอิทธิพลในทางบวกต่อการทำให้มนุษยชาติมีอารยธรรมยิ่งขึ้น ศาสนาได้แสดงบทบาทอันคลั่งไคล้ของตนเองโดยกระพือไฟแห่งความรักชาติเป็นบ้าเป็นหลังและให้ศีลให้พรแก่กองทัพในสงครามโลกทั้งสองคราว รวมทั้งการสู้รบอื่น ๆ อีกหลายแห่ง. ศาสนามิได้เป็นพลังที่ดีเพื่อการเปลี่ยนแปลง.
เพราะฉะนั้น จะคาดหวังอะไรได้จากศาสนาในอนาคตอันใกล้นี้? ที่จริง เราจะคาดหวังอะไรได้สำหรับอนาคตของระบบโลกปัจจุบัน—จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร? บทความที่สามจะพิจารณาปัญหาเหล่านี้จากแง่คิดที่พิเศษเฉพาะ.
[รูปภาพหน้า 7]
การเพิ่มทวีด้านอาชญากรรมที่โหดร้ายเป็นอีกอาการหนึ่งที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลง
[รูปภาพหน้า 8]
ชาตินิยมและความเกลียดชังกันระหว่างศาสนายังคงก่อให้เกิดการนองเลือด
[ที่มาของภาพ]
Jana Schneider/Sipa
Malcom Linton/Sipa
[รูปภาพหน้า 9]
การที่มนุษย์ทำร้ายสิ่งแวดล้อมกำลังทำให้ความสมดุลที่ละเอียดอ่อนทางชีวภาคเปลี่ยนไป
[ที่มาของภาพ]
Lait/Sipa
Sipa
[รูปภาพหน้า 10]
บาซัลโล ดี เตอร์เรกรอสซา ทูตสันตะปาปาทักทายฮิตเลอร์ปี 1933. ตามประวัติศาสตร์ ศาสนามีส่วนพัวพันกับการเมืองและชาตินิยม
[ที่มาของภาพ]
Bundesarchiv Koblenz