โลกที่บอบช้ำของเราถูกทำร้ายหลายที่หลายแห่ง
เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว การประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมโลกจัดขึ้นที่เมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล. ประจวบเหมาะกับเรื่องนี้ ในเดือนเดียวกัน วารสาร อินเดีย ทูเดย์ ลงบทบรรณาธิการโดยผู้เป็นบรรณาธิการร่วมชื่อ ราช เช็นกัปปา มีหัวเรื่องว่า “แผ่นดินโลกบาดเจ็บ.” ย่อหน้าต้น ๆ ได้พรรณนาให้เห็นภาพอย่างแจ่มชัดดังต่อไปนี้:
“ในปี 1971 คราวที่ เอ็ดการ์ มิตเชลล์ บินสู่ดวงจันทร์ด้วยยาน อพอลโล 14 เมื่อเห็นภาพแผ่นดินโลกครั้งแรกชั่วแวบเดียวจากอวกาศ ก็กระตุ้นเขาให้เรียงร้อยถ้อยคำด้วยความปลาบปลื้มออกมา. เขาส่งวิทยุพรั่งพรูความรู้สึกไปยังศูนย์อวกาศฮูสตัน ดังนี้: ‘โลกดูราวกับอัญมณีประกายแสงน้ำเงินขาว . . . ประดับด้วยสีขาวเสมือนม่านเมฆม้วนตัวอย่างแช่มช้า . . . ดุจดังมุกดาเม็ดเล็กในทะเลดำแห่งความลี้ลับ.’
“ยี่สิบเอ็ดปีต่อมา ถ้ามิตเชลล์ถูกส่งขึ้นไปยังอวกาศอีกครั้ง คราวนี้ ด้วยแว่นตาพิเศษซึ่งทำให้เขามองเห็นก๊าซหุ้มห่อแผ่นดินโลกที่เห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า เขาจะพบภาพต่างจากเดิมอย่างลิบลับ. เขาจะเห็นรูโหว่ขนาดยักษ์ในชั้นของก๊าซโอโซนดุจโล่ห์ป้องกัน เหนือทวีปแอนตาร์กติกาและอเมริกาเหนือ. แทนที่จะเป็นอัญมณีประกายแสงสีน้ำเงินขาว เขาจะเห็นแผ่นดินโลกสกปรก มัวหมอง เต็มไปด้วยความมืดครึ้มจากเมฆหมอกของคาร์บอนไดออกไซด์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ลอยม้วนไปทั่ว.
“ถ้ามิตเชลล์หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปป่าไม้ที่ปกคลุมแผ่นดินโลก แล้วเปรียบเทียบกับภาพที่เขาถ่ายไว้เมื่อปี 1971 เขาจะตะลึงเพราะปริมาณป่าที่หดหายไป. และถ้าเขาเปิดกล้องโทรทรรศน์ชนิดพิเศษเพื่อช่วยเขาสำรวจสิ่งสกปรกในน่านน้ำแห่งแผ่นดินโลก เขาจะเห็นริ้วของสารพิษระเกะระกะไปทั่วพื้นแผ่นดินและคราบน้ำมันดินครอบคลุมพื้นมหาสมุทรไม่น้อยทีเดียว. เขาคงจะพูดวิทยุกลับไปว่า ‘ฮูสตัน เราได้ทำอะไรลงไปกันนี่?’
“อันที่จริง เราไม่ต้องไปไกลในอวกาศถึง 36,000 กิโลเมตรหรอกเพื่อจะรู้ว่าเราได้ทำอะไรลงไป. ทุกวันนี้ เราดื่ม, หายใจ, ดมกลิ่นและเห็นภาวะมลพิษกันอยู่แล้ว. ในช่วงเวลา 100 ปี และที่เห็นชัด ๆ ราว ๆ 30 ปีมานี้ มนุษย์ได้ทำให้แผ่นดินโลกหมิ่นเหม่ต่อความหายนะ. โดยพ่นก๊าซซึ่งกักเก็บความร้อนเข้าสู่บรรยากาศในปริมาณมากเกินขีด เรากำลังเป็นผู้จุดชนวนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางดินฟ้าอากาศในทางเสื่อมลง. ก๊าซที่ใช้กับตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศของเราในปัจจุบันเป็นต้นเหตุให้ชั้นโอโซนซึ่งเป็นชั้นปกป้องภัย ลดปริมาณลง ทำให้เราเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ง่าย และเปลี่ยนโครงสร้างของหน่วยถ่ายพันธุ์ในสัตว์ขนาดเล็ก. ระหว่างนั้น เราได้ทำความเสียหายแก่ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่, ทำลายป่าไม้ในอัตราที่เป็นอันตรายต่อชีวิต, ทิ้งสารพิษนับเป็นตัน ๆ ลงสู่แม่น้ำโดยขาดความไตร่ตรองและเทสารเคมีเป็นพิษลงในทะเล.
“บัดนี้ ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ภัยคุกคามต่อมนุษย์มาจากการทำลายสิ่งแวดล้อมของโลก. และต้องอาศัยขบวนการระดับดาวเคราะห์ เพื่อสกัดกั้นความหายนะใหญ่หลวงครั้งนี้.”
หลังจากแยกแยะปัญหาหลายประการที่ชาติต่าง ๆ ต้องเจาะจงแก้ไขเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ราช เช็นกัปปา สรุปบทบรรณาธิการด้วยถ้อยคำเหล่านี้: “ทั้งหมดนี้ต้องทำโดยไม่ชักช้า. เพราะภัยคุกคามไม่ใช่มีต่ออนาคตลูกหลานของเราอีกแล้ว. มันเกิดเดี๋ยวนี้และที่นี่แหละ.”
ฉะนั้น ผู้ชำนัญพิเศษทางสิ่งแวดล้อม ประดุจแพทย์เยียวยาโลกจึงล้อมวงกันเข้ามา. จัดการประชุมหารือกันขึ้น, เสนอวิธีบำบัดต่าง ๆ, แต่ก็ไม่อาจจะตกลงกันได้. พวกเขาถกปัญหากัน. บางคนบอกว่า ‘มันไม่ป่วยหนักหนาขนาดนั้นหรอก.’ คนอื่น ๆ ร้องขึ้นว่า ‘มันจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว!’ สำนวนเปรียบเปรยแพร่หลายขึ้น, วิธีบำบัดรักษาก็เพิ่มทวี, บรรดาแพทย์ต่างก็ผัดวันประกันพรุ่ง ขณะที่โลกเราซึ่งเปรียบเสมือนคนไข้มีอาการทรุดหนัก. ไม่มีการทำอะไร. พวกเขาต้องศึกษาวิจัยกันต่อไป. พวกเขาเขียนใบสั่งยาซึ่งก็ไม่เคยมีการจ่ายยาตามใบสั่งนั้น. อนิจจา ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงกลเม็ดถ่วงเวลาเพื่อปล่อยให้เกิดมลภาวะต่อไปและเพื่อผลกำไรจะพอกพูนขึ้น. คนไข้ไม่เคยได้รับยา, อาการไข้เพียบลง, วิกฤตการณ์ตึงเครียดขึ้น, และการทำให้โลกบอบช้ำก็ดำเนินต่อไป.
แผ่นดินโลกและชีวิตบนโลกสลับซับซ้อนยิ่ง โยงใยเกี่ยวพันกันอย่างแทบจะเหลือความเข้าใจ. สรรพสัตว์ที่มีชีวิตซึ่งสัมพันธ์พึ่งพากันและกันนับเป็นล้าน ๆ เปรียบประดุจสายใยแห่งชีวิต. ตัดสายใยเส้นหนึ่ง สายใยทั้งหลายอาจเริ่มหลุดจากกัน. ผลักโดมิโนตัวหนึ่งลง หมากตัวอื่นนับสิบ ๆ จะล้มตาม. การตัดโค่นป่าดิบชื้นเป็นตัวอย่างให้เห็นในเรื่องนี้.
อาศัยการสังเคราะห์แสง ป่าดิบชื้นรับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศและส่งก๊าซออกซิเจนกลับคืน. มันดูดซึมน้ำฝนปริมาณมหึมา แต่ใช้เพียงเล็กน้อยในการปรุงอาหารของตน. น้ำจำนวนมหาศาลนั้นหมุนเวียนกลับสู่บรรยากาศในรูปของไอน้ำ. ณ ที่นั่นทำให้เกิดเมฆฝนก้อนใหม่ เพื่อให้น้ำฝนที่จำเป็นต่อป่าดิบชื้นรวมทั้งพืชและสัตว์ที่มีชีวิตหลายล้านชนิดซึ่งป่านี้เลี้ยงดูภายใต้ร่มใบเขียวดุจดังฝาครอบของมัน.
แล้วป่าดิบชื้นถูกโค่นลง. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังคงอยู่เบื้องบนดุจผ้าห่มกักเก็บความร้อนของดวงอาทิตย์. ออกซิเจนจำนวนเล็กน้อยเพิ่มเติมสู่บรรยากาศเพื่อประโยชน์ของสัตว์. น้ำฝนจำนวนน้อยนิดหมุนเวียนตกลงมาเป็นน้ำฝนอีก. น้ำฝนที่ตกลงมากลับไหลบ่าไปตามพื้นดิน ลงสู่สายธาร ชะเอาหน้าดินติดไปด้วยซึ่งจำเป็นต่อการเจริญงอกงามของพืชพรรณ. ลำธารและทะเลสาบเต็มไปด้วยโคลนตม ปลาตาย. ดินตะกอนถูกพัดพาไปสู่มหาสมุทรและปกคลุมแนวโขดหินทำให้ปะการังตายหมด. พืชและสัตว์นับล้าน ๆ ซึ่งเคยอุดมสมบูรณ์ภายใต้ฝาครอบเขียวครึ้มสูญหายไป สภาพฝนตกชุกซึ่งเคยให้ความชุ่มฉ่ำแก่แผ่นดินก็ลดน้อยลง และขบวนการแปรสภาพเป็นทะเลทรายทีละเล็กละน้อยและยาวนานก็ก่อรูปขึ้น. อย่าลืมว่า ทะเลทรายสะฮาราอันกว้างใหญ่แห่งแอฟริกาเคยเขียวชอุ่มมาก่อน แต่บัดนี้ ผืนทรายใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้กำลังรุกคืบเข้าไปสู่บางส่วนในยุโรป.
ณ การประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมโลก สหรัฐและประเทศผู้มั่งคั่งรายอื่น ๆ ได้ใช้ความกดดันเพื่อพยายามจะทำให้บราซิลและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ หยุดตัดไม้ในป่าดิบชื้น. ตามรายงานข่าวของ นิวยอร์ก ไทมส์ “สหรัฐ โต้ว่าป่าไม้โดยเฉพาะป่าเขตร้อนของโลกที่กำลังพัฒนาถูกทำลายในอัตราที่น่าตกใจและดาวเคราะห์ดวงนี้ในส่วนรวมจะรับความเสียหาย.” สหรัฐให้เหตุผลต่อไปว่า ป่าไม้เป็นสินทรัพย์ของโลกซึ่งช่วยควบคุมบรรยากาศโดยซึมซับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเก็บความร้อนและเป็นแหล่งอาศัยส่วนใหญ่ของสิ่งมีชีวิตหลายหลากชนิดของโลก.”
ชาติที่กำลังพัฒนาทั้งหลายกล่าวหาอย่างไม่รอช้าว่าเป็นการหน้าซื่อใจคด. ตามข่าวในหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส พวกเขา “ขุ่นเคืองในเรื่องที่พวกเขาถือว่าเป็นความเพียรพยายามจะริดรอนอธิปไตยของตนโดยเหล่าประเทศซึ่งตัดไม้ของตนเองเพื่อค้ากำไรกันมานมนานแล้ว แต่บัดนี้ ต้องการจะผลักภาระส่วนใหญ่เรื่องการอนุรักษ์ป่าไม้ของโลกให้กับประเทศต่าง ๆ ซึ่งดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ.” นักการทูตของมาเลเซียพูดออกมาอย่างขวานผ่าซากว่า “เราจะไม่เก็บรักษาป่าไม้ของเราไว้เพื่อคนที่ทำลายป่าของตนเองและพยายามเรียกเอาป่าของเรามาเป็นส่วนแห่งมรดกของมนุษยชาติ.” ในบริเวณแปซิฟิกด้านตะวันตกเฉียงเหนือนั้น สหรัฐอเมริกาเหลือป่าดงดิบที่เติบโตมาแต่ดั้งเดิมเพียงร้อยละ 10 และยังคงตัดต้นไม้กันอยู่ กระนั้น สหรัฐต้องการให้บราซิลซึ่งยังมีป่าอเมซอนเหลืออยู่ร้อยละ 90 เลิกการตัดไม้.
คนที่เที่ยวไปสอนผู้อื่นว่า ‘อย่าทำลายป่าไม้ของคุณ’ ขณะที่เขาทำลายของเขาเองนั้น เตือนให้นึกถึงคนเหล่านั้นที่มีพรรณนาไว้ในโรม 2:21-23 ที่ว่า “เหตุฉะนั้นท่านผู้สอนคนอื่น ไม่ได้สอนตัวเองหรือ ท่านผู้ประกาศว่าไม่ควรลักทรัพย์, ตัวท่านเองยังลักหรือ ท่านผู้สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณี, ตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือ ท่านผู้เกลียดชังรูปเคารพ, ตัวท่านเองลักรูปเคารพในโบสถ์หรือ ท่านผู้อวดในพระบัญญัติยังกระทำอัปยศแก่พระเจ้าโดยทำผิดพระบัญญัติหรือ.” หรือพูดในแง่ของสิ่งแวดล้อม ‘ท่านผู้สอนว่า “จงอนุรักษ์ป่าไม้ของคุณ” ตัวท่านเองตัดป่าไม้ของตนหรือ?’
ที่เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับการทำลายป่าไม้คือความห่วงใยเรื่องอุณหภูมิที่สูงขึ้นระดับลูกโลก. หลักพลศาสตร์ของพลังเคมีและความร้อนเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ความห่วงใยมุ่งประเด็นส่วนใหญ่ไปยังเคมีชนิดหนึ่งในบรรยากาศ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์. นั่นคือปัจจัยหลักในการทำให้โลกร้อน. นักวิจัยแห่งศูนย์วิจัย เบิร์ด โพลาร์ รายงานว่า ปีที่แล้ว “ธารน้ำแข็งทั้งหลายบนภูเขาซึ่งอยู่ในระดับสูงปานกลางและระดับต่ำกำลังละลายหดถอย—บางแห่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว—และร่องรอยในธารน้ำแข็งเหล่านี้แสดงว่าช่วง 50 ปีหลังสุด อากาศร้อนกว่าช่วง 50 ปีใด ๆ” ที่มีบันทึกไว้. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยเกินไปย่อมหมายความว่าอากาศจะเย็นลง หากมากเกินไปย่อมหมายถึงน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกตลอดปีและธารน้ำแข็งละลายและท่วมเมืองที่อยู่ตามชายฝั่งทะเล.
เกี่ยวกับคาร์บอนไดออกไซด์ อินเดีย ทูเดย์ กล่าวไว้ดังนี้:
“มันอาจจะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งในส่วนประกอบของก๊าซในบรรยากาศ คือ 0.03 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณก๊าซทั้งหมด. แต่ถ้าปราศจากคาร์บอนไดออกไซด์ โลกของเราจะเย็นพอ ๆ กับดวงจันทร์. โดยการเก็บความร้อนซึ่งแผ่ออกจากผิวโลก ก๊าซนี้ควบคุมอุณหภูมิของลูกโลกในระดับ 15 องศาเซลเซียสซึ่งทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้. แต่ถ้าปริมาณเพิ่มขึ้น แผ่นดินโลกอาจกลายเป็นห้องอบเซานาขนาดยักษ์.
“หากเราเชื่อถือข้อมูลจากสถานีตรวจอากาศทั่วโลก อุณหภูมิที่สูงขึ้นย่อมเพิ่มความกดดันให้ทำอะไรสักอย่างในเรื่องนี้. ในช่วงทศวรรษปี 1980 เราประสบกับฤดูร้อนหกในเจ็ดครั้งที่นับว่าร้อนที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีบันทึกดินฟ้าอากาศประมาณ 150 ปีมาแล้ว. ดูเหมือนว่าตัวการคือ การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 26 เปอร์เซ็นต์ในบรรยากาศเมื่อเทียบกับระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม.”
เข้าใจว่าตัวการคือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1.8 พันล้านตันซึ่งพ่นออกมาแต่ละปีจากการเผาเชื้อเพลิงที่เกิดจากฟอสซิล. สนธิสัญญาซึ่งหวังกันว่าจะให้การควบคุมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ขับออกมานั้นถูกลดความสำคัญลงไป ณ การประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมโลก จนมีข่าวว่า “ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น” ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศที่เข้าร่วมประชุม. คนหนึ่งในจำนวนนั้นใจร้อนถึงกับพูดว่า “เราทำทีเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้. ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ บัญชีก๊าซต่าง ๆ ในธนาคารทรัพยากรโลกเสียดุลยภาพ. ต้องทำอะไรสักอย่างลงไป หรือมิฉะนั้นในเร็ว ๆ นี้หลายล้านคนจะกลายเป็นผู้ลี้ภัยสิ่งแวดล้อม.” เขาหมายถึงผู้หนีภัยจากปิตุภูมิที่ถูกน้ำท่วม.
ประเด็นเร่งด่วนอีกประการหนึ่งเกี่ยวข้องกับรูโหว่ในชั้นโอโซนซึ่งป้องกันโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลตอันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง. ตัวการสำคัญคือสารซีเอ็ฟซี (คลอโรฟลูโอโรคาร์บอนส์) ซึ่งใช้กันในตู้เย็น, เครื่องปรับอากาศ, และสารทำความสะอาดและเป็นตัวเป่าในการทำโฟมพลาสติก. ในหลายประเทศ สารเหล่านี้ยังมีการพ่นออกมาโดยสเปรย์ละอองลอย. เมื่อสารเหล่านี้ลอยไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์จะทำให้มันแตกตัว และคลอรีนอิสระก็ถูกปล่อยออก ซึ่งแต่ละอะตอมของคลอรีนนี้สามารถทำลายอย่างน้อย 100,000 โมเลกุลของโอโซน. รูโหว่ อาณาบริเวณซึ่งมีระดับโอโซนลดลงอย่างมากปรากฏอยู่ในชั้นของโอโซน ทั้งบริเวณทวีปแอนตาร์กติกาและแถบละติจูดตอนเหนือ ซึ่งหมายความว่ารังสีอัลตราไวโอเลตมาถึงแผ่นดินโลกมากขึ้น.
รังสีเหล่านี้สังหารพวกพืชแพลงก์ตอนและสัตว์ทะเลตัวจิ๋วซึ่งเป็นตัวเริ่มต้นของโซ่อาหารในมหาสมุทร. เกิดการกลายพันธุ์ในโมเลกุลดีเอ็นเอซึ่งบรรจุรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต. พืชผลก็ได้รับความกระทบกระเทือน. รังสีนี้เป็นเหตุให้ตาเป็นต้อและเกิดมะเร็งที่ผิวหนังในตัวมนุษย์. เมื่อนักวิจัยขององค์การนาซาพบสารคลอรีนมอนอกไซด์ในระดับความเข้มข้นสูงตอนเหนือของสหรัฐ, แคนาดา, ยุโรป, และรัสเซีย นักวิจัยคนหนึ่งในกลุ่มนั้นบอกว่า “ทุกคนน่าจะตื่นตระหนกในเรื่องนี้. มันเลวร้ายกว่าที่เราคิดไว้มากนัก.” เลสเตอร์ บราวน์ ประธานสถาบันเวิลด์ว็อชรายงานว่า “นักวิทยาศาสตร์กะประมาณว่าการลดลงเร็วขึ้นของปริมาณชั้นโอโซนในซีกโลกตอนเหนือ จะทำให้คนตายเพราะมะเร็งผิวหนังเพิ่มอีก 200,000 คนเฉพาะในสหรัฐ ในช่วง 50 ปีข้างหน้า. ชีวิตหลายล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยงแล้ว.”
การรักษาให้พืชและสัตว์หลายหลากชนิดเท่าที่ทำได้ดำรงชีวิตในถิ่นฐานตามธรรมชาติของมัน เป็นเรื่องน่าห่วงใยอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบัน. วารสาร ดิสคัพเวอร์ พิมพ์ข้อเขียนของ เอ็ดเวิร์ด โอ. วิลสัน ซึ่งตัดตอนมาจากหนังสือของเขาที่ออกไม่นานมานี้ชื่อว่า เดอะ ไดเวอร์ซิตี ออฟ ไลฟ์ ซึ่งเขาลงรายการนก, ปลา, และแมลงหลายพันชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว รวมทั้งชนิดที่ปกติถือว่าไม่สำคัญดังนี้: “หลายชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว คือราที่อยู่ตามรากเห็ด รูปแบบชีวิตที่พึ่งอาศัยกันและกันซึ่งเสริมการดูดซึมสารอาหารของระบบรากพืช. นักนิเวศวิทยาสงสัยกันมานานแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับระบบนิเวศ ถ้าเชื้อราเหล่านี้ถูกขจัดออกไป และเราคงจะรู้กันในไม่ช้านี้.”
ในหนังสือเล่มนั้น วิลสันยังได้ตั้งคำถาม ครั้นแล้วก็ตอบคำถามดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสำคัญของการช่วยชีวิตสัตว์และพืชไว้ดังนี้:
“จะเป็นอะไรไหมถ้าสิ่งมีชีวิตบางชนิดสูญพันธุ์ ถ้าถึงขั้นที่หายไปครึ่งโลกล่ะ? ผมจะลำดับให้ดู. แหล่งข้อมูลใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์จะหมดไป. ศักยภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลทางชีววิทยาจะถูกทำลาย. ยา, พืชผล, ตำรายา, ไม้, ใยไหม, เยื่อกระดาษ, พืชที่ฟื้นสภาพดิน, สารแทนน้ำมันปิโตรเลียม, และผลิตภัณฑ์รวมทั้งสิ่งอำนวยประโยชน์อื่น ๆ ที่ยังไม่ได้พัฒนาก็จะไม่มีวันปรากฏออกมา. ในบางวงการนิยมที่จะปัดทิ้งแมลงตัวเล็ก ๆ และต้นหญ้าที่ต่ำต้อย โดยลืมไปว่าตัวมอดที่ไม่มีชื่อจากลาตินอเมริกาช่วยรักษาทุ่งหญ้าของออสเตรเลียเอาไว้มิให้ต้นกระบองเพชรขึ้นปิดคลุมจนหมด, ดอกโรซี แพริวิงเคิล ใช้รักษาโรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรังและโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวชนิดลิมโฟไซต์ (lymphocytic leu-kemia) ในเด็กได้ ดังที่เปลือกของต้นยูแห่งแปซิฟิกให้ความหวังแก่ผู้ตกเป็นเหยื่อของโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ สารเคมีจากน้ำลายของตัวปลิงละลายลิ่มเลือดระหว่างผ่าตัด และประการต่อ ๆ ไปตามรายการซึ่งได้ขยายยืดยาวและโดดเด่นแล้ว แม้ว่าการค้นคว้าด้านนี้ได้ทำกันในขอบเขตที่จำกัด.
“ขณะที่ตกอยู่ในความเคลิบเคลิ้มไร้สติก็เป็นการง่ายที่จะมองข้ามผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งระบบนิเวศอำนวยแก่มนุษยชาติ. ระบบดังกล่าวทำให้ดินอุดมไปด้วยธาตุอาหาร กระทั่งผลิตอากาศที่เราหายใจ. หากปราศจากสิ่งอำนวยประโยชน์เหล่านี้แล้ว ช่วงชีวิตที่ยังคงเหลืออยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะเลวร้ายและสั้น.”
ดังถ้อยคำที่ว่าไว้—ซึ่งกลายเป็นสิ่งธรรมดาเนื่องจากใช้ซ้ำซากเพียงเพราะมันเหมาะเจาะ—เรื่องราวข้างต้นเป็นเพียงยอดแหลมที่โผล่ขึ้นมาของตัวภูเขาน้ำแข็งที่อยู่เบื้องล่างเท่านั้น. การทำให้โลกบอบช้ำจะยุติลงเมื่อไร? และใครจะเป็นผู้ยุติ? บทความต่อไปจะให้คำตอบ.
[จุดเด่นหน้า 4]
ครั้งหนึ่งทะเลทรายสะฮาราแห่งแอฟริกาเขียวชอุ่ม
[จุดเด่นหน้า 5]
‘ท่านผู้สอนว่า “จงอนุรักษ์ป่าไม้ของคุณ” ตัวท่านเองตัดป่าไม้ ของตนหรือ?’
[จุดเด่นหน้า 5]
หากคาร์บอนไดออกไซด์ น้อยเกินไป— อากาศจะเย็นลง
หากมากเกินไป—ธารน้ำแข็ง ละลาย
[จุดเด่นหน้า 6]
“จะเป็นอะไรไหมถ้าสิ่งมีชีวิตบางชนิดสูญพันธุ์?”
[จุดเด่นหน้า 6]
หากปราศจากจุลินทรีย์ช่วงชีวิตที่ยังคงเหลือของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะสั้นและเลวร้าย
[รูปภาพหน้า 7]
ป่าดิบชื้นแถบอเมซอนในสภาพดั้งเดิมอันสวยงาม
นี่ก็ป่าดิบชื้นหลังจากที่มนุษย์ทำลายจนยับเยิน
[ที่มาของภาพ]
Abril Imagens/João Ramid
F4/R. Azoury/Sipa
[รูปภาพหน้า 8]
ที่ทิ้งขยะเคมีซึ่งทำให้อากาศ, น้ำ, และดินเกิดมลภาวะ
[ที่มาของภาพ]
Feig/Sipa