ประโยชน์ของป่าดิบ
ในปี 1844 คอนสแตนติน ฟอน ทิเชินดอร์ฟ ผู้คงแก่เรียนด้านภาษากรีกได้พบสำเนาโบราณ 129 แผ่นของคัมภีร์ไบเบิลในตะกร้าทิ้งเศษกระดาษที่อารามแห่งหนึ่ง. ทิเชินดอร์ฟแอบหยิบแผ่นสำเนาที่หาค่ามิได้นั้นติดมือออกมา และบัดนี้สำเนาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ฉบับโคเดกซ์ ไซนายติกุส—หนึ่งในสำเนาต้นฉบับคัมภีร์ไบเบิลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก.
สมบัติล้ำค่านี้ได้รับการกอบกู้ทันเวลา. ส่วนป่าดิบ—ซึ่งค่าอันแท้จริงของมันก็ถูกมองข้ามบ่อย ๆ เช่นกัน—น้อยมากที่จะมีโอกาสดีเช่นนั้น. ทุกปีในช่วงฤดูแล้ง มีเพลิงนับพัน ๆ แห่ง ถูกก่อขึ้นโดยเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์และเกษตรกรที่ทำไร่เลื่อนลอย ทำให้ท้องฟ้าเขตร้อนสว่างจ้า. อัล กอร์ รองประธานาธิบดีของสหรัฐคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นพยานรู้เห็นเพลิงไหม้ใหญ่แบบนั้นในแถบแอมะซอน กล่าวดังนี้: “การผลาญทำลายนั้นแทบไม่น่าเชื่อจริง ๆ. เป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงอย่างยิ่งเท่าที่ผ่านมาตลอดประวัติศาสตร์.”
ยากมากที่เราจะเผาสิ่งซึ่งเรารู้ว่ามีคุณค่า. โศกนาฏกรรมแห่งป่าดิบก็คือ มันกำลังถูกทำลายก่อนที่เราจะหยั่งเห็นค่าของมัน, ก่อนที่เราจะเข้าใจว่ามันทำหน้าที่อย่างไร, และกระทั่งก่อนที่เราจะรู้ว่ามันเก็บอะไรไว้บ้าง. การเผาป่าดิบเปรียบเสมือนการเผาหนังสือจากห้องสมุดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่บ้าน—โดยไม่สำรวจเนื้อหาของหนังสือเหล่านั้น.
ในปีหลัง ๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มศึกษา “หนังสือ” ดังกล่าวซึ่งเป็นคลังความรู้ขนาดมหึมาที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในป่าดิบ. มันมี “เนื้อหา” ที่น่าหลงใหลตรึงใจ.
ป่าที่ไม่เหมือนใคร
ในปี 1526 กอนซาโล เฟอร์นันเดซ เดอ โอวิเอโด ผู้บันทึกจดหมายเหตุประจำปีชาวสเปนอุทานออกมาว่า “บรรดาต้นไม้ในหมู่เกาะอินดิสตะวันตกนี้ เป็นอะไรที่ไม่อาจอธิบายได้เนื่องจากความมากมายของมัน.” ห้าร้อยปีต่อมา การประเมินค่าของเขายังคงถูกต้องไม่เปลี่ยนแปลง. นักประพันธ์ซินเทีย รัสส์ แรมเซย์ เขียนว่า “ป่าดิบ” เป็น “ระบบนิเวศบนแผ่นดินโลกที่มีความหลากหลายที่สุด, ซับซ้อนที่สุด, และมนุษย์เข้าใจน้อยที่สุด.”
ซีย์โมร์ โซห์เมอร์ นักชีววิทยาเขตร้อนกล่าวว่า “เราไม่ควรลืมข้อเท็จจริงที่ว่า เรารู้เพียงน้อยนิดหรือไม่รู้อะไรเลยในเรื่องที่ว่าป่าเขตร้อนชื้นส่วนใหญ่มีโครงสร้างอย่างไร และมันทำงานอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของมัน.” จำนวนมหาศาลของสิ่งมีชีวิตและความสลับซับซ้อนแห่งปฏิสัมพันธ์ของมัน ทำเอานักวิจัยเข่าอ่อนไปตาม ๆ กัน.
ป่าไม้เขตอบอุ่นอาจจะมีพรรณไม้เพียงหยิบมือในหนึ่งเอเคอร์ (สองไร่ครึ่ง). แต่ป่าดิบหนึ่งเอเคอร์อาจจะมีมากกว่า 80 ชนิดต่าง ๆ กัน ถึงแม้จำนวนทั้งหมดของต้นไม้ต่อหนึ่งเอเคอร์โดยเฉลี่ยแล้วจะมีเพียงประมาณ 300 ต้น. เนื่องจากการจัดหมวดหมู่ของความหลากหลายดังกล่าวเป็นงานที่น่าเหนื่อยอ่อนและต้องใช้ความอุตสาหะ จึงมีป่าดิบผืนเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ผืนซึ่งมีเนื้อที่ไม่ใหญ่ไปกว่าสองสามเอเคอร์ที่เคยได้รับการสำรวจวิจัย. อย่างไรก็ตาม ป่าที่เคยมีการสำรวจ ให้ผลที่ก่อความประหลาดใจ.
ความหลากหลายมากมายของต้นไม้ทำให้มีถิ่นอาศัยนับไม่ถ้วนสำหรับสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลที่อยู่ในป่า—เกินกว่าที่ใคร ๆ เคยนึกมโนภาพ. สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐบอกว่า ป่าดิบสมบูรณ์โดยทั่วไปซึ่งมีเนื้อที่สิบตารางกิโลเมตร อาจเป็นที่พักพิงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดต่าง ๆ มากถึง 125 ชนิด, สัตว์เลื้อยคลาน 100 ชนิด, นก 400 ชนิด, และผีเสื้อ 150 ชนิด. หากเปรียบเทียบแล้ว เราจะสังเกตได้ว่าทั่วทั้งอเมริกาเหนือ มีนกที่มาเยือนหรือมีนกอยู่ไม่ถึง 1,000 ชนิด.
แม้พืชและสัตว์บางชนิดซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วน อาจจะพบเห็นทั่วไปในบริเวณกว้างใหญ่ของป่าดิบ แต่ชนิดอื่น ๆ มีเฉพาะที่เทือกเขาหนึ่งเท่านั้น. นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันเปราะบางมาก. ไม่กี่ปีมานี้ เมื่อพวกคนงานได้ตัดไม้บนสันเขาลูกหนึ่งในเอกวาดอร์จนเหี้ยนเตียน พืชประจำถิ่นก็สูญพันธุ์ไป 90 ชนิด.
เมื่อเผชิญโศกนาฏกรรมเหล่านี้ กองกำลังเฉพาะกิจระหว่างหน่วยงานแห่งสหรัฐเกี่ยวกับป่าเขตร้อนเตือนว่า “กลุ่มประเทศต่าง ๆ จะต้องลงมืออย่างรวดเร็วในปฏิบัติการที่รีบเร่งและทำแบบร่วมมือกันเกี่ยวด้วยปัญหานี้ หากต้องการให้ทรัพยากรที่ถูกตีค่าต่ำมากและอาจเอากลับคืนมาไม่ได้นี้ได้รับการป้องกันไว้จากการทำลายจนเกือบหมดสิ้นเมื่อถึงช่วงต้น ๆ ของศตวรรษหน้า.”
แต่อาจจะเกิดคำถามขึ้นว่า ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้มีค่าถึงขนาดนั้นหรือ? การสูญป่าดิบจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตของเราไหม?
อาหาร, อากาศบริสุทธิ์, และยา
คุณเริ่มวันใหม่ด้วยข้าวโพดคอร์นเฟลกถ้วยหนึ่ง, อาจจะมีไข่ต้ม, และกาแฟร้อน ๆ สักถ้วยหนึ่งไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณกำลังได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากป่าเขตร้อน. ข้าวโพด, เมล็ดกาแฟ, แม่ไก่ที่วางไข่, และแม้แต่โคที่ให้นม—ล้วนแล้วแต่มีแหล่งที่มาจากพรรณสัตว์และพรรณไม้จากป่าเขตร้อน. ข้าวโพดมาจากอเมริกาใต้, กาแฟมาจากเอธิโอเปีย, ไก่บ้านผสมพันธุ์มาจากไก่ป่าเอเชีย, และโคนมก็มีเทือกเถาเหล่ากอมาจากวัวป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์แถบเอเชียอาคเนย์. หนังสือป่าดิบชื้น บอกว่า “80 เปอร์เซ็นต์เต็มของอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีแหล่งที่มาอยู่ในเขตร้อน.”
มนุษย์ไม่อาจมองข้ามแหล่งที่มาของอาหารของตนได้. ทั้งพืชผลและฝูงปศุสัตว์อาจไม่แข็งแรง ถ้ามีการผสมพันธุ์ในวงศ์ที่ใกล้กันมากเกินไป. ป่าดิบซึ่งมีสิ่งมีชีวิตคละเคล้ามากมายมหาศาล สามารถให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมที่จำเป็นเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับพืชหรือสัตว์เหล่านี้. เพื่อเป็นตัวอย่าง ราฟาเอล กุซมาน นักพฤกษศาสตร์ชาวเม็กซิโกได้ค้นพบข้าวโพดพันธุ์ใหม่ชนิดหนึ่งซึ่งเกี่ยวดองกับข้าวโพดในปัจจุบัน. การค้นพบของเขาสร้างความตื่นเต้นให้แก่ชาวไร่ เพราะข้าวโพดพันธุ์นี้ (Zea diploperennis) ต้านทานโรคหลัก ๆ ที่ทำลายไร่ข้าวโพดได้ถึงห้าในเจ็ดชนิด. พวกนักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะใช้พันธุ์ใหม่นี้พัฒนาพันธุ์ข้าวโพดชนิดที่ต้านทานโรคได้.
ในปี 1987 รัฐบาลเม็กซิโกได้ออกกฎหมายคุ้มครองเทือกเขาซึ่งมีการพบข้าวโพดป่าชนิดนี้. แต่เนื่องจากป่าไม้กำลังถูกทำลายมากเหลือเกิน พืชที่หาค่ามิได้เช่นนี้จึงกำลังสูญพันธุ์ไปอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งก่อนที่มันจะถูกค้นพบด้วยซ้ำ. ในป่าแถบเอเชียอาคเนย์ มีวัวป่าหลายพันธุ์ที่สามารถเสริมความแข็งแรงทางสายพันธุ์ให้กับวัวบ้าน. แต่บรรดาสัตว์ดังกล่าวใกล้จะสูญพันธุ์อยู่แล้วเพราะถิ่นอาศัยของมันถูกทำลาย.
อากาศบริสุทธิ์ก็สำคัญพอ ๆ กับอาหารที่เรารับประทาน. ดังที่ใคร ๆ ก็ตามซึ่งชอบการเดินป่าที่มีอากาศสดชื่นเย็นสบายได้สังเกต เหล่าต้นไม้ทำงานอันประเมินค่ามิได้ในการเติมออกซิเจนเข้าไปในบรรยากาศให้มีเพียงพออยู่เสมอ. แต่เมื่อต้นไม้ถูกเผา คาร์บอนในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์และคาร์บอนมอนอกไซด์จะถูกปล่อยออกมา. ก๊าซทั้งสองก่อปัญหาหลายอย่าง.
บางคนกะประมาณว่า กิจกรรมของมนุษย์ทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศของโลกเพิ่มเป็นสองเท่าแล้ว. แม้จะคิดกันว่า มลพิษจากอุตสาหกรรมเป็นตัวการใหญ่ แต่ก็มีการพูดกันว่า การเผาป่าเป็นต้นเหตุของคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดที่ปล่อยออกมา. ครั้นอยู่ในบรรยากาศแล้ว คาร์บอนไดออกไซด์จะก่อสิ่งที่เรียกกันว่า ภาวะเรือนกระจก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนทำนายว่า จะเป็นเหตุทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างรุนแรง.
คาร์บอนมอนอกไซด์เลวร้ายกว่านั้นอีก. มันเป็นส่วนประกอบหลักที่ร้ายแรงถึงตายซึ่งพบอยู่ในหมอกควันที่เป็นภัยต่อชานเมือง. แต่นักสำรวจวิจัย เจมส์ กรีนเบิร์ก ตะลึงเมื่อพบว่า “คาร์บอนมอนอกไซด์เหนือป่าแอมะซอนมีมากพอ ๆ กับคาร์บอนมอนอกไซด์เหนือชานเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐ.” การเผาป่าแอมะซอนโดยไร้ความคิดทำให้อากาศที่ต้นไม้ถูกออกแบบมาเพื่อฟอกให้บริสุทธิ์นั้นเป็นมลพิษไปเสียเอง!
นอกจากเป็นแหล่งอาหารและอากาศบริสุทธิ์แล้ว ป่าดิบยังอาจเป็นแหล่งยาอย่างแท้จริงได้อีกด้วย. หนึ่งในสี่ของยาทั้งหมดที่แพทย์สั่งจ่ายให้คนไข้ สกัดมาจากพืชที่ขึ้นในป่าเขตร้อน. ที่ได้จากป่าที่มีฝนชุกแถบเทือกเขาแอนดีสก็มีควินินที่ใช้ต่อสู้มาลาเรีย; ที่ได้จากแถบแอมะซอนก็มีคูราริที่ใช้เป็นยาคลายกล้ามเนื้อในการผ่าตัด; และที่ได้จากมาดากัสการ์ก็มีแพงพวยฝรั่งซึ่งมีสารอัลคาลอยด์ที่เพิ่มอัตรารอดชีวิตอย่างน่าทึ่งให้กับผู้ป่วยด้วยโรคลูคีเมียหลายคน. ทั้ง ๆ ที่ให้ผลดีมากมายอย่างนี้ แต่มีประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นของพืชเขตร้อนทั้งหมดที่ได้รับการสำรวจวิจัยเพื่อหาคุณสมบัติที่อาจรักษาโรคได้. และเวลากำลังหมดลง. สถาบันมะเร็งของสหรัฐเตือนว่า “การทำลายที่มีอยู่แพร่หลายต่อป่าชื้นเขตร้อนนั้น อาจเป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อการรณรงค์ต่อต้านมะเร็ง.”
มีภารกิจที่สำคัญยิ่งอย่างอื่นอีกที่ป่าดิบปฏิบัติการอยู่—แม้ความสำคัญของมันแทบจะไม่ได้รับการหยั่งรู้ค่า จนกระทั่งป่าดิบอันตรธานไป. ในบรรดาภารกิจเหล่านั้นก็คือ การควบคุมปริมาณฝนและอุณหภูมิตลอดจนการป้องกันดินถูกเซาะกร่อน. หนังสืออาณาจักรสีเขียวมรกต: ป่าดิบอันมีค่าของแผ่นดินโลก (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่า “สิ่งที่ได้จากป่าเขตร้อนของโลกมีมากเกินความเข้าใจในปัจจุบันของเรา. แต่เรารู้แล้วในปัจจุบันว่าคุณค่าของมันประเมินค่าไม่ได้.”
“เราจะอนุรักษ์เฉพาะสิ่งที่เรารัก”
การทำลายทรัพยากรที่สามารถให้ประโยชน์อย่างอุดมล้นเหลือแก่เรานั้นเป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดี. กว่า 3,000 ปีมาแล้ว พระเจ้าทรงบัญชาชาติยิศราเอลให้อนุรักษ์ไม้ผลเอาไว้เมื่อทำศึกตีเมืองของศัตรู. เหตุผลที่พระองค์ทรงบัญชาเช่นนั้นก็ง่าย ๆ “มันให้อาหารแก่เจ้า.” นอกจากนั้น “ต้นไม้ในทุ่งนาไม่ใช่มนุษย์ที่เจ้าจะไปทำศึกกับมัน.” (พระบัญญัติ 20:19, 20, ฉบับแปลเดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล) อาจพูดได้อย่างเดียวกันกับป่าดิบที่ถูกบุกรุกทำลาย.
ประจักษ์ชัดว่า ป่าดิบเป็นเหมือนไม้ผล ซึ่งเมื่อมันยังยืนต้นอยู่จะมีค่ามากยิ่งกว่าเมื่อมันถูกโค่น. แต่ในโลกสมัยปัจจุบัน ผลประโยชน์ระยะสั้นมักจะมีอิทธิพลเหนือกว่าคุณค่าระยะยาว. อย่างไรก็ตาม การให้ความรู้สามารถเปลี่ยนทัศนคติได้. บาบา ดียุม นักนิเวศวิทยาชาวเซเนกัลชี้ว่า “จริง ๆ แล้ว เราจะอนุรักษ์เฉพาะสิ่งที่เรารัก; เราจะรักเฉพาะสิ่งที่เราเข้าใจ; และเราจะเข้าใจเฉพาะสิ่งที่เราได้รับการสอน.”
ทิเชินดอร์ฟแอบขโมยแผ่นสำเนาเก่าแก่ในทะเลทรายไซนายไปเพราะเขารักสำเนาต้นฉบับโบราณ และเขาต้องการอนุรักษ์ไว้. จะมีผู้คนมากพอเรียนรู้ที่จะรักป่าดิบทันเวลาเพื่อรักษามันไว้ไหม?
[จุดเด่นหน้า 11]
การเผาป่าดิบเปรียบเสมือนการเผาหนังสือจากห้องสมุดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่บ้าน—โดยไม่สำรวจเนื้อหาของหนังสือเหล่านั้น
[กรอบ/ภาพหน้า 8, 9]
การอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในป่าดิบ
เฮซุส เอลา ล่าลิงกอริลลาและสัตว์อื่น ๆ ในป่าดิบแอฟริกามาประมาณ 15 ปี. แต่เขาไม่ได้ล่าสัตว์อีกต่อไป. เขาได้มาเป็นมัคคุเทศก์ประจำวนอุทยานในเขตป่าสงวนที่อนุรักษ์ไว้เพื่อคุ้มครองกอริลลาแถบที่ราบลุ่ม 750 ตัว ในประเทศอิเควทอเรียลกินี.
เฮซุสบอกว่า “ผมชอบป่าดิบมากขึ้นเมื่อผมเลิกล่าสัตว์. สำหรับผมแล้ว ป่าเปรียบเสมือนหมู่บ้านของผม เพราะผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้าน และมันให้ทุกสิ่งที่ผมต้องการ. เราต้องทำทุกสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่ออนุรักษ์ป่าเหล่านี้ไว้ให้ลูกหลานของเรา.”
เฮซุส ซึ่งร่วมกับคนอื่น ๆ ในการแสดงความรักอย่างแรงกล้าต่อป่า นับว่ามีโอกาสดี. ปัจจุบันนี้ เขามีรายได้จากการปกป้องคุ้มครองกอริลลามากกว่าที่เขาเคยได้จากการล่ามัน. เนื่องจากนักท่องเที่ยวยินดีจ่ายเงินสำหรับการมีโอกาสได้ชมสัตว์เหล่านี้ที่อยู่กันตามธรรมชาติ วนอุทยานจึงสามารถทำรายได้ให้แก่ชาวบ้าน และทำให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ภาพอันยากจะลืมเลือนของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ที่มีอย่างเนืองแน่น. แต่การอนุรักษ์ “เส้นใยชีวิต” อันน่าหลงใหลตรึงใจนี้ หนังสือป่าดิบชื้น บอกว่าต้องมี “เขตอนุรักษ์เนื้อที่กว้างขวาง ที่เหมาะที่สุดก็จะมีบริเวณลุ่มน้ำด้วย.”a
ทำไมวนอุทยานจึงต้องใหญ่ขนาดนั้นเพื่อจะให้การคุ้มครองอย่างพอเพียงได้? ในหนังสือความหลากหลายและป่าดิบชื้น (ภาษาอังกฤษ) ของจอห์น เทอร์บอร์ก เขาคิดคำนวณว่า ประชากรเสือจากัวร์ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ (ประมาณ 300 ตัวที่โตถึงวัยผสมพันธุ์) ต้องการพื้นที่ประมาณ 7,500 ตารางกิโลเมตร. เขาลงความเห็นว่า “โดยอาศัยเกณฑ์นี้ จึงมีวนอุทยานเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นในโลกซึ่งมีพื้นที่พอสำหรับเสือจากัวร์.” เสือโคร่งอาจต้องการพื้นที่มากกว่านั้นอีก. อาณาจักรของเสือโคร่งในวัยผสมพันธุ์ฝูงหนึ่ง (400 ตัว) อาจต้องมีเนื้อที่กว้างขนาด 40,000 ตารางกิโลเมตร.
โดยกันเขตสงวนขนาดใหญ่ไว้สำหรับสัตว์ล่าเหยื่อดังกล่าว ป่าดิบเป็นผืน ๆ ก็อาจได้รับการปกป้องด้วยเช่นกัน. ประโยชน์เพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งก็คือ สัตว์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยทั่วไปของชุมชนสัตว์ให้อยู่ในสภาพดี.
[เชิงอรรถ]
a *ลุ่มน้ำเป็นบริเวณที่มีน้ำไหลสู่แม่น้ำ, ระบบแม่น้ำ, หรือลำน้ำแบบใดแบบหนึ่ง.
[กรอบ/ภาพหน้า 8, 9]
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
1. ตั๊กแตนหลายชนิดในป่าดิบถูกแต้มแต่งด้วยสีสันฉูดฉาดบาดตา. ส่วนแมลงอื่น ๆ มีเครื่องพรางตาที่แนบเนียนมากจนยากที่จะดูพวกมันออก
2. ผีเสื้อเป็นสัตว์ปีกที่แบบบางและเป็นที่สะดุดตาที่สุดแห่งป่าดิบ
3. ฝูงลิงซึ่งโหนตัวจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่ง เป็นภาพที่ให้ความบันเทิงใจที่สุดอย่างหนึ่งในป่า
4. ถึงแม้เสือจากัวร์ เป็นจ้าวแห่งป่าดิบในอเมริกาอย่างที่ไม่มีใครอาจโต้แย้งได้ แต่มีนักธรรมชาติวิทยาไม่กี่คนที่เคยเห็นเสือจากัวร์ในป่า
5. ดอกกล้วยไม้อันประณีตงดงามตกแต่งป่าชื้นเขตร้อนที่แผ่คลุมเทือกเขาเขตร้อน
6. มีเสือโคร่งไม่ถึง 5,000 ตัวเหลืออยู่ในป่า.
7. ด้วงแรด (กว่าง) แห่งเขตร้อนในอเมริกาได้ชื่อที่เหมาะเจาะ มีเขาอันน่าเกรงขาม แต่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ
8. ถึงแม้กอริลลาเป็นสัตว์คุ้มครอง แต่เนื้อของมันยังหาพบได้ในตลาดแอฟริกา. ยักษ์ใหญ่ผู้อ่อนโยนนี้เป็นนักมังสวิรัติ และมันท่องไปในป่าเป็นครอบครัว
9. แมวป่าโอซีลอตถูกล่าจนเกือบจะสูญพันธุ์เพื่อเอาขนอันงามหรู
10. นกแก้วอยู่ในประเภทนกที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเจี๊ยวจ๊าวที่สุด และชอบอยู่เป็นหมู่เป็นพวกที่สุดในป่า
11. ตามที่ดวงตากลมโตบ่งบอก กาลาโกออกหาอาหารตอนกลางคืน
[ที่มาของภาพ]
Foto: Zoo de Baños
Foto: Zoo de la Casa de Campo, Madrid
[ที่มาของภาพ]
Foto: Zoo de Baños
[รูปภาพหน้า 7]
ป่าดิบผลิต (1) โกโก้, (2) แพงพวยฝรั่งซึ่งมีประโยชน์ในการรักษาโรคลูคีเมีย, และ (3) น้ำมันปาล์ม. (4) การตัดไม้ทำลายป่าทำให้ดินพังทลายที่ก่อความพินาศ