ป่าดิบของเราจะอยู่รอดไหม?
นกพิราบสื่อสารของอเมริกาเหนือได้สูญพันธุ์ไปในช่วงต้น ๆ ของศตวรรษนี้. มันอาจเป็นนกที่มีจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ว่าได้. นักปักษินวิทยากะประมาณว่า เมื่อสองศตวรรษที่แล้วประชากรนกชนิดนี้มีจำนวนอยู่ระหว่างห้าพันล้านถึงหนึ่งหมื่นล้านตัว!
อย่างไรก็ตาม ภายในหนึ่งร้อยปี แหล่งเนื้อนกราคาถูกที่ดูเหมือนไม่มีวันหมดได้อันตรธานไปอย่างที่ได้รับการพรรณนาว่าเป็น “การลดลง [ของสัตว์ชนิดหนึ่ง] อันน่าตกตะลึงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น.” อนุสาวรีย์สำหรับนกพิราบสื่อสารในไวอาลูซิง อันเป็นวนอุทยานประจำรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา มีข้อความว่า “นกชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปเพราะความละโมบและการไร้ความคิดของมนุษย์.”
ชะตากรรมของนกพิราบสื่อสารเตือนใจพวกเราว่า แม้สิ่งมีชีวิตที่แพร่ลูกหลานมากที่สุดในโลกก็เปราะบางต่อการทำร้ายของมนุษย์. ความละโมบและการไร้ความคิดยังคงมีอยู่ดาษดื่น. และในปัจจุบันไม่ใช่แค่ชนิดเดียว แต่ทั้งระบบนิเวศที่ตกอยู่ในอันตราย. ถ้าป่าดิบอันตรธานไป สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ที่นั่น—ประมาณครึ่งหนึ่งของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้—จะอันตรธานไปด้วย. นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เช่นนั้นคงจะเป็น “ความหายนะทางชีววิทยาที่ใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่มนุษย์เคย [ก่อ] ขึ้น.”
จริงอยู่ เรามีความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่เรามีเมื่อหนึ่งศตวรรษที่แล้ว. แต่ความเข้าใจขนาดนี้ไม่พอที่จะสกัดกั้นกระแสการทำลายล้างที่โหมกระหน่ำอย่างไม่ปรานี. นักพฤกษศาสตร์ มานูเอล ฟิดัลโก ครวญว่า “เรากำลังทำลายสิ่งที่หาค่ามิได้ และเรามีเวลาเหลืออยู่ไม่มาก. ผมเกรงว่าในช่วงไม่กี่ปี ป่าที่ยังไม่ถูกทำลายก็คือส่วนที่อยู่ตามแนวลาดชันของภูเขาซึ่งพวกตัดไม้ไม่สามารถเข้าถึงได้.”
นักธรรมชาติวิทยาตื่นตกใจเพราะการฟื้นสภาพป่าดิบนั้นยากมาก. หนังสืออาณาจักรสีเขียวมรกต: ป่าดิบอันมีค่าของแผ่นดินโลก พรรณนาอย่างตรงไปตรงมาถึงการปลูกป่าขึ้นใหม่ว่า “ช้าและเสียค่าใช้จ่ายสูง . . . เป็นมาตรการสุดท้ายในการรับมือกับการทำลายป่าดิบ.” อย่างดีที่สุด การปลูกป่าขึ้นใหม่อาจจะมีต้นไม้เขตร้อนไม่กี่ชนิด และจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ต้นอ่อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันวัชพืชไม่ให้ขึ้นปกคลุมมันจนตาย.
ป่าผืนหนึ่งจะมีวันได้ความเขียวขจีกลับคืนมาดังเดิมหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความใกล้กันของบริเวณป่าที่ปลูกใหม่กับป่าดิบสมบูรณ์. เฉพาะแต่การอยู่ติดกันเท่านั้นจึงจะทำให้บริเวณที่ปลูกป่าขึ้นใหม่มีสิ่งมีชีวิตเข้ามาอยู่อาศัยในที่สุดนับหมื่นนับแสนชนิด ซึ่งประกอบเป็นป่าดิบอย่างแท้จริง. ถึงกระนั้น กระบวนการดังกล่าวก็คงต้องใช้เวลานานนับศตวรรษ. บางพื้นที่ถูกทิ้งไว้หนึ่งพันปีมาแล้วคราวเมื่ออารยธรรมของชนเผ่ามายาล่มสลาย แต่ก็ยังไม่กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างเต็มที่.
“สากลนิยมแบบใหม่” หรือ?
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งประจำสถาบันสมิทโซเนียน ในวอชิงตัน ดี.ซี. เสนอแนะว่า จากป่าดิบที่มีอยู่ให้สงวนไว้ 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับอนุชนรุ่นหลัง เพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้. ในขณะนี้มีประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับการคุ้มครอง แต่ป่าสงวนหรือวนอุทยานแห่งชาติเหล่านี้หลายแห่งเป็นวนอุทยานแต่ในนามเท่านั้น เนื่องจากไม่มีทั้งเงินทุนและบุคลากรที่จะคุ้มครองป้องกันมัน. ประจักษ์ชัดว่า จะต้องทำอะไรมากกว่านี้.
ปีเตอร์ เรเวน ผู้เป็นปากเป็นเสียงให้กับการอนุรักษ์ป่าดิบอธิบายว่า “ความพยายามที่จะรักษาป่าดิบไว้ เรียกร้องแนวคิดสากลนิยมแบบใหม่ กล่าวคือ การตระหนักว่าผู้คนทุกหนแห่งมีบทบาทร่วมกันในชะตากรรมของแผ่นดินโลก. จะต้องหาทางบรรเทาความยากจนและความอดอยากหิวโหยตลอดทั่วโลก. จำเป็นต้องทำข้อตกลงใหม่ระหว่างชาติ.”
สำหรับหลายคนแล้ว ข้อเสนอแนะของเขานับว่ามีเหตุผล. การรักษาป่าดิบนั้นจะต้องใช้วิธีแก้ระดับโลก—เช่นเดียวกับสภาพการณ์อีกหลายอย่างที่มนุษยชาติเผชิญอยู่. ปัญหาอยู่ที่การบรรลุ “ข้อตกลงระหว่างชาติ” ก่อนที่มหันตภัยทั่วโลกจะอุบัติขึ้น และก่อนที่ความเสียหายซึ่งมนุษย์ทำลงไปนั้นไม่อาจกู้คืนได้. ดังที่ปีเตอร์ เรเวน บอกเป็นนัย การทำลายป่าดิบเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับปัญหาอื่น ๆ ที่แก้ไขยากของประเทศกำลังพัฒนา เช่น ความอดอยากหิวโหยและความยากจน.
ถึงตอนนี้ ความพยายามระหว่างประเทศเพื่อจัดการกับปัญหาเช่นว่านั้นประสบความสำเร็จในขอบเขตจำกัด. บางคนถามว่า จะมีสักวันไหมที่ชาติต่าง ๆ จะยอมสละผลประโยชน์ส่วนตนที่อยู่ในวงแคบและขัดแย้งกันเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการแสวงหา “สากลนิยมแบบใหม่” เป็นเพียงความฝันไหม?
ประวัติศาสตร์ดูเหมือนไม่ให้พื้นฐานไว้สำหรับการมองในแง่ดี. ถึงกระนั้น มีปัจจัยหนึ่งที่มักจะมองข้ามกัน นั่นคือ ทัศนะของพระผู้สร้างป่าดิบ. ศาสตราจารย์เอดเวิร์ด โอ. วิลสัน ประจำมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ชี้ว่า “ควรจดจำไว้ว่า เรากำลังทำลายส่วนหนึ่งของสิ่งทรงสร้าง ด้วยเหตุนี้ จึงทำลายโอกาสที่คนรุ่นต่อ ๆ ไปทุกรุ่นจะได้รับสิ่งที่เราเองได้รับเป็นมรดกตกทอดมา.”
พระผู้สร้างแผ่นดินโลกจะปล่อยให้มนุษย์ทำลายผลงานอันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์จนสูญสิ้นไหม? นั่นคงเป็นเรื่องที่เหลือคิด.a แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คัมภีร์ไบเบิลทำนายว่า พระเจ้าจะ “ทำลายคนเหล่านั้นที่ทำลายแผ่นดิน.” (วิวรณ์ 11:18, ล.ม.) พระเจ้าจะดำเนินวิธีแก้ของพระองค์อย่างไร? พระองค์ทรงสัญญาที่จะสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งขึ้น อันเป็นรัฐบาลฝ่ายสวรรค์ที่ครอบครองเหนือนานาชาติ ซึ่งจะแก้ปัญหาทั้งมวลของแผ่นดินโลก และเป็นรัฐบาลที่ “จะไม่มีวันทำลายเสียได้.”—ดานิเอล 2:44.
ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่เพียงจะยุติการทำร้ายของมนุษย์ต่อดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้น แต่ยังจะดูแลการฟื้นฟูความงดงามตามธรรมชาติบนแผ่นดินโลกอีกด้วย. ในที่สุด ทั่วทั้งแผ่นดินจะกลายเป็นวนอุทยานระดับโลก อย่างที่พระผู้สร้างของเราทรงมุ่งหมายพระทัยไว้ตั้งแต่ต้น. (เยเนซิศ 1:28; 2:15; ลูกา 23:42, 43) ผู้คนทั่วทุกหนแห่งจะได้รับ การสั่งสอนจากพระยะโฮวา” และพวกเขาจะเรียนรู้ที่จะรักและหยั่งรู้ค่าสิ่งทรงสร้างทั้งสิ้นของพระองค์ รวมทั้งป่าดิบด้วย.—ยะซายา 54:13, ล.ม.
ในการพรรณนาสมัยแห่งพระพรนั้น ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนว่า “ต้นไม้ทั้งปวงที่ป่าคงจะออกเสียงแสดงความยินดี. ต่อพระพักตร์พระยะโฮวา; ด้วยพระองค์เสด็จมา, พระองค์เสด็จมาจะทรงพิพากษาโลก: พระองค์จะทรงพิพากษาพิภพโลกโดยยุติธรรม, จะทรงพิพากษาชนประเทศทั้งปวงด้วยความสัตย์ซื่อของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 96:12, 13.
น่าดีใจ อนาคตของป่าดิบไม่ได้แขวนอยู่บนความห่วงใย—หรือความละโมบ—ของมนุษย์. คัมภีร์ไบเบิลให้เหตุผลแก่เราเพื่อให้เรามั่นใจว่า พระผู้สร้างเองจะเข้าแทรกแซงเพื่อปกปักรักษาป่าเขตร้อนของเราไว้. ในโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญา คนรุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคตจะได้เห็นความรุ่งโรจน์ของป่าดิบ.—วิวรณ์ 21:1-4.
[เชิงอรรถ]
a น่าสนใจ นักอนุรักษ์นิยมซึ่งมีเป้าหมายจะรักษาสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์ให้เหลือรอดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั้น พรรณนาถึงจริยธรรมของพวกเขาว่าเป็น “หลักการโนฮา” เนื่องจากโนฮาได้รับคำสั่งให้นำ “บรรดาสัตว์ที่มีชีวิต . . . ทุกอย่าง” เข้าไว้ในนาวา. (เยเนซิศ 6:19) นักชีววิทยา เดวิด เอห์เรนเฟลด์ อ้างเหตุผลสนับสนุนดังนี้: “การดำรงอยู่อันยาวนาน [ของสัตว์ชนิดต่าง ๆ] ในธรรมชาติ ถือได้ว่ามีสิทธิ์อันไม่อาจโต้แย้งได้อยู่ในตัวในการดำรงอยู่ต่อ ๆ ไป.”