การใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแม้อยู่ห่างไกลชุมชน
ดิฉันเกิดในเดือนมกราคม 1927 ที่เมืองมะละกา ประเทศสเปน เป็นลูกคนที่หกในครอบครัวคาทอลิกยากจนซึ่งมีลูกเจ็ดคน. ตั้งแต่ปี 1936 ถึงปี 1939 สงครามกลางเมืองในสเปนได้ทำลายประเทศของเรา และเราต้องคอยหลบลูกระเบิดและยังชีพด้วยอาหารปันส่วน. กระนั้น ดิฉันก็เป็นเด็กที่มีความสุขชอบร้องเพลงและชอบอยู่กับผู้คน.
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันหวาดกลัว—คือการคาดคิดว่าจะถูกเผาในไฟนรก. เพื่อทำให้ความกลัวนี้เบาบางลง ดิฉันจึงย้ายเข้าไปอยู่ในสำนักชีเมื่ออายุ 12 ขวบ. เป็นเวลาสามปีที่อยู่ที่นั่น ดิฉันทำความสะอาดขั้นบันไดหินอ่อน, อธิษฐาน, แล้วก็ทำความสะอาดอีก แต่ดิฉันยังคงรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดไป. ในปี 1941 ดิฉันรู้สึกดีใจที่ได้ออกจากที่นั่น.
สองสามปีต่อมาดิฉันได้เพื่อนนักร้องคนหนึ่งซึ่งคิดว่าเสียงของดิฉันคงจะทำเงินได้ และเธอสนับสนุนดิฉันให้เรียนการร้องเพลงและเปียโน. พอสงครามโลกที่ 2 สิ้นสุดในปี 1945 ดิฉันได้ไปโมร็อกโก ที่ซึ่งดิฉันเริ่มการแสดงในไนต์คลับแห่งหนึ่งในเมืองคาซาบลังกาและแทนเจียร์. เป็นชีวิตที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ สำหรับวัยรุ่น. แต่หลังการแสดงทุกครั้ง ดิฉันจะไปที่โบสถ์เพื่อขอพระแม่มาเรียยกโทษให้ดิฉัน โดยหวังว่าดิฉันจะพ้นจากไฟนรก.
หลังจากทำงานในไนต์คลับเก้าปี ดิฉันก็ได้พบกับชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ แจ็ก แอเบอร์เนที. ตอนนั้นเขากำลังทำงานให้กับบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งของอเมริกาในโมร็อกโก. เราแต่งงานกันในปีนั้นเอง และดิฉันก็เลิกการแสดง. หลังจากนั้นไม่นานเราก็ย้ายไปเมืองเซวิล ประเทศสเปน ซึ่งเราอยู่ที่นั่นจนถึงปี 1960. ครั้นแล้วเราย้ายไปยังเมืองโลดี รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา—เป็นการย้ายซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งในชีวิตของดิฉัน.
การเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวา
ในปี 1961 พยานพระยะโฮวาสองคนมาเยี่ยมที่บ้านเราและให้วารสารหอสังเกตการณ์กับตื่นเถิดไว้. ต่อมาเธอทั้งสองเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับดิฉัน และดิฉันตอบรับ. ดิฉันจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเที่ยงแท้ พระยะโฮวา ซึ่งเป็นพระบิดาฝ่ายสวรรค์องค์ประกอบด้วยความรัก. (บทเพลงสรรเสริญ 83:18) นอกจากนั้น ช่างโล่งอกจริง ๆ ที่เรียนรู้ว่านรกอันร้อนระอุนั้นไม่มี แต่เรากลับมีความหวังในเรื่องการมีชีวิตตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก!—บทเพลงสรรเสริญ 37:9-11,29; วิวรณ์ 21:3,4.
พากีตา น้องสาวของดิฉันซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับเราก็เริ่มศึกษาด้วย. เมื่อก่อน ดิฉันสูบบุหรี่และชอบไปงานเลี้ยง. และเป็นคนฉุนเฉียวเสียจริง ๆ! แต่ดิฉันได้ทำการเปลี่ยนแปลง และในวันที่ 17 ตุลาคม 1962 พากีตากับดิฉันได้รับบัพติสมาที่ซาคราเมนโต แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นการแสดงเครื่องหมายการอุทิศตัวของเราเพื่อรับใช้พระยะโฮวา.
สู่ประเทศไทยโดยผ่านทางสเปน
ไม่นานหลังจากนั้น บริษัทก่อสร้างที่สามีดิฉันทำงานอยู่ได้ย้ายเขาไปประเทศไทย และดิฉันก็ไปสมทบกับเขา. ระหว่างทาง ดิฉันแวะเยี่ยมสเปนและสามารถบอกเล่าความเชื่อของดิฉันแก่สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว. ปูรา พี่สะใภ้ของดิฉันตอบรับและได้เข้ามาเป็นพยานฯ คนหนึ่ง.
ในสมัยนั้น การงานของพยานพระยะโฮวาถูกห้ามในสเปน. กระนั้น เราก็ได้เข้าร่วมการประชุมแบบลับ ๆ ในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ซึ่งมีโต๊ะตัวหนึ่งแต่ไม่มีเก้าอี้. พวกเราทั้ง 20 คนยืนประชุม. ช่างต่างกันจากการประชุมของเราในแคลิฟอร์เนียเสียจริง ๆ! การเห็นเพื่อนร่วมความเชื่อของดิฉันเอาเสรีภาพของตนเข้าเสี่ยงเพื่อจะประชุมกันทำให้ดิฉันเชื่อมั่นในความสำคัญของการประชุมคริสเตียน นับเป็นบทเรียนที่เหมาะกับเวลาก่อนจะถึงกรุงเทพฯ ประเทศไทย.
“ถ้าผมจับได้ว่าคุณไปเผยแพร่ตามบ้านละก็ ผมจะทิ้งคุณ” แจ็กบอกดิฉันในวันที่เรามาถึงกรุงเทพฯ. วันต่อมา เขาออกไปคุมงานก่อสร้างในเขตชนบท ดิฉันจึงถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในกรุงเทพฯ ที่อึกทึกครึกโครม พร้อมกับหญิงรับใช้คนหนึ่งซึ่งดิฉันไม่สามารถจะพูดจากันรู้เรื่อง. ดิฉันจึงง่วนอยู่กับการศึกษาหนังสือด้านคัมภีร์ไบเบิลซ้ำแล้วซ้ำอีก.
วันหนึ่งในเดือนกันยายน 1963 ขณะเพิ่งกลับจากข้างนอก ดิฉันสังเกตเห็นรองเท้าแปลกตาคู่หนึ่งอยู่หน้าประตู. สุภาพสตรีผมสีบลอนด์หยิกเป็นลอนรอดิฉันอยู่. ดิฉันถามเธอว่า “มีอะไรให้ช่วยหรือคะ?”
“ดิฉันเป็นตัวแทนของสมาคมว็อชเทาเวอร์” เธอบอก.
ดิฉันกระโดดด้วยความตื่นเต้น กอดและจูบเธอ. อีวา ฮีเบิร์ต เป็นมิชชันนารีจากแคนาดา. ตั้งแต่วันนั้น อีวามาหาเป็นประจำ โดยนั่งรถประจำทางสองหรือสามต่อเพื่อมาหาดิฉัน. ดิฉันกลัวที่จะขึ้นรถประจำทางซึ่งมีคนอัดแน่นราวกับปลากระป๋อง แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดิฉันจะเดินทางได้. อีวาบอกว่า “คุณจะไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาเลยถ้าคุณไม่ขึ้นรถประจำทางนั่น.” ดังนั้น เราจึงซักซ้อมวิธีขึ้นรถประจำทางเพื่อไปยังการประชุม.
ดิฉันรู้สึกลังเลในเรื่องการประกาศ เพราะไม่รู้ภาษาไทย. ดิฉันจะเกาะมืออีวา หรือกระเป๋า หรือเสื้อของเธอ. เธอเลยบอกว่า “คุณรับใช้พระยะโฮวาด้วยวิธีนี้ไม่ได้หรอก.”
“แต่ฉันไม่รู้ภาษาไทยนี่” ดิฉันพึมพำขึ้นมา.
อีวาก็เลยให้วารสารดิฉันสิบฉบับแล้วก็ไป ทิ้งดิฉันไว้กลางตลาด. ดิฉันเข้าไปหาหญิงชาวจีนคนหนึ่งอย่างอาย ๆ ให้เธอดูวารสาร และเธอก็รับ!
“อีวา ดิฉันจำหน่ายวารสารหมดเลยทั้งสิบฉบับ” ดิฉันยิ้มร่าบอกเธอภายหลัง. เธอพูดว่า “พระยะโฮวาพอพระทัยคนอย่างคุณ. ทำต่อไปเถอะ.” ดิฉันก็ทำ ได้เรียนรู้การทักทายกันในภาษาไทยและนั่งกับพื้นตามธรรมเนียมท้องถิ่น. นอกจากนั้น ดิฉันยังได้เรียนวิธีไปไหนมาไหนด้วย. ส่วนปฏิกิริยาของสามีดิฉันล่ะ? วันหนึ่ง แจ็ก ซึ่งได้โอนอ่อนผ่อนปรนต่อความเชื่อของดิฉันแล้ว มีแขกมาเยือน เขาบอกแขกเหล่านั้นว่า “ไปเที่ยวกับเปปิตาซิ. เธอคุ้นเคยกับบริเวณนี้ดีเพราะเธอไปเผยแพร่ศาสนา.”
สู่ออสเตรเลีย
การฝึกอบรมด้วยความรักแต่ก็หนักแน่นจากอีวาเตรียมดิฉันให้รักษาความขันแข็งในการรับใช้พระยะโฮวาระหว่างงานมอบหมายถัดไปของสามี ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย. เราถึงที่นั่นในกลางปี 1965 และดิฉันได้ตั้งถิ่นอาศัยในค่ายพักคนงานกลางทะเลทรายซึ่งบริษัทของแจ็กวางรางรถไฟอยู่. มีการส่งอาหารมาทางเครื่องบิน และอากาศก็ร้อน—กว่า 43 องศาเซลเซียส. มี 21 ครอบครัวจากอเมริกาเหนือในค่ายพักนี้ ดังนั้น ดิฉันจึงเริ่มประกาศข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรแก่พวกเขา. ต่อมา เมื่องานวางรางรถไฟคืบหน้าไป เราจึงย้ายลึกเข้าไปในทะเลทราย ซึ่งยิ่งโดดเดี่ยวหนักขึ้นไปอีก.
ก่อนหน้านั้น ดิฉันเขียนถึงสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในออสเตรเลีย และน่ายินดีจริง ๆ ที่ดิฉันได้รับจดหมายซึ่งกล่าวว่า “ด้วยความรักอันอบอุ่น และความปรารถนาดี . . . เราจะคิดถึงคุณและอธิษฐานเผื่อคุณเสมอในช่วงหลายเดือนข้างหน้า”! ระหว่างหลายปีที่ดิฉันเดินทางกับสามีในงานที่เขาได้รับมอบหมายไปยังดินแดนห่างไกลของโลก ดิฉันได้รับการหนุนใจโดยจดหมายต่าง ๆ ลักษณะนี้แหละจากองค์การของพระยะโฮวา. การอ่านจดหมายเหล่านั้นช่วยประคับประคองดิฉันรอดผ่านช่วงแห่งความว้าเหว่และหนุนใจดิฉันให้ออกไปในงานเผยแพร่ ถึงแม้ว่าบ่อยครั้ง ดิฉันจะต้องอยู่ห่างไกลจากพยานคนอื่น ๆ.
สำนักงานสาขาในออสเตรเลียได้จัดให้พยานฯ สามีภรรยามาเยี่ยมดิฉันหนึ่งสัปดาห์ที่ค่ายพักคนงาน. ในงานเผยแพร่ของเรา เราได้พบผู้หญิงที่สนใจคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ห่างไกล ดังนั้น สัปดาห์ละสองครั้งดิฉันต้องเดินผ่านเขตซึ่งมีงูและกิ้งก่าชุกชุมเพื่อไปเยี่ยมเธอ. ขณะที่เดินอยู่ ดิฉันจะร้องเพลงราชอาณาจักรขึ้นมาอย่างดังโดยฉับพลัน: “อยู่ฝ่ายพระยะโฮวา/ ท่านจะได้สุขใจ/ พระองค์จะไม่ทิ้งท่าน/ ตามการชี้นำไป.” เราศึกษากันถึง 11 เดือน.
และแล้ว หลังจากอยู่ในเมลเบอร์นประมาณปีหนึ่ง ดิฉันกับสามีก็ย้ายไปที่ค่ายพักใกล้เมือง ปอร์ต เฮ็ดแลนด์ ที่มีการทำเหมือง อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียเช่นเดียวกัน. ห้าวันผ่านไป ก็มีผู้มาเยี่ยม. สำนักงานสาขาได้แจ้งให้พวกพยานฯ ทราบที่อยู่ของดิฉัน. หลังจากพวกเขากลับไป ดิฉันก็ดำเนินการประชุมต่อด้วยตัวเอง นำการศึกษาหนังสือประจำประชาคม, โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า, การประชุมวิธีปฏิบัติงาน, และการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์. หลังร้องเพลงและเปิดการประชุมด้วยคำอธิษฐาน ดิฉันตอบคำถามต่าง ๆ และจบด้วยการร้องเพลงและคำอธิษฐาน. การนับจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมไม่เคยเป็นปัญหา—มีหนึ่งคนเสมอ. กระนั้น ตารางการประชุมประจำสัปดาห์เช่นนี้ได้ค้ำจุนดิฉันไว้ในช่วงหลายปีเหล่านั้นที่รับใช้พระยะโฮวาในสภาพโดดเดี่ยว.
สู่บูแกงวิล
ในปี 1969 หลังจากเราเหงื่อไหลไคลย้อยเป็นเวลาถึงสี่ปีในออสเตรเลีย สามีดิฉันถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่หัวหน้าคนงานในโครงการสร้างถนนไปสู่เหมืองทองแดงในภูเขาที่มีอากาศชื้นของเกาะบูแกงวิล. เย็นวันหนึ่งมีคนมาเคาะประตู แจ็กเดินไปเปิด. แจ็กบอกดิฉันว่า “เป็นพยานฯ คนหนึ่งพร้อมกับภรรยาและลูกสี่คน.” พวกเขาอาศัยอยู่แถวชายฝั่ง. ดิฉันไปเยี่ยมพวกเขาสัปดาห์ละครั้งและเข้าร่วมการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ซึ่งจัดขึ้นในโรงเรียนของชุมชมนั้น.
อีกโอกาสหนึ่งมีพยานสามคนจากปาปัวนิวกินีมาเยี่ยมดิฉัน. สามีดิฉันบอกเพื่อนร่วมงานของเขาด้วยความภูมิใจว่า “ไม่ว่าภรรยาผมจะไปที่ไหน เพื่อนพยานฯ ของเธอเป็นต้องรออยู่เสมอ.”
ไปแอฟริกา
ในปี 1972 เราไปถึงทะเลทรายในแอลจีเรีย ทางภาคเหนือของแอฟริกา ที่ซึ่งบริษัทของแจ็กกำลังสร้างระบบชลประทานอยู่. คาดว่านี้เป็นโครงการสี่ปี. ดิฉันเขียนถึงสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในฝรั่งเศสเกี่ยวกับงานประกาศ และทางสำนักงานได้เขียนตอบมาว่า ‘ขอให้ระวัง. การงานของเราที่นั่นถูกห้าม.’ สมาคมช่วยดิฉันให้ติดต่อกับพยานสองคนที่เลิกทำงานเผยแพร่ และเราได้จัดกลุ่มการศึกษาขึ้นกลุ่มหนึ่ง.
ตอนนั้น เซซิเลีย เพื่อนบ้านคนหนึ่งของดิฉันในค่ายพักคนงานเกิดป่วย. ดิฉันไปเยี่ยมเธอทุกวันในโรงพยาบาล เอาซุปไปให้เธอ และช่วยจัดเตียง. พอเธอกลับบ้าน ดิฉันก็ยังคงไปหาเพื่อช่วยทำธุระจิปาถะ และดิฉันยังได้บอกเธอด้วยถึงความหวังเรื่องราชอาณาจักร. นั่นจึงนำไปสู่การศึกษาพระคัมภีร์ และหลังจากแปดเดือน เซซิเลียบอกว่า “ดิฉันอยากจะรับบัพติสมา.” แต่จะรับที่ไหนและใครจะเป็นผู้ให้?
เราได้รับจดหมายจากสำนักงานสาขาในฝรั่งเศสว่าพยานฯ คนหนึ่งชื่อฟรังซัวส์กำลังมาที่แอลจีเรียเพื่อพักร้อนช่วงสั้น ๆ. ถ้าเราสามารถพาเขาไปที่หมู่บ้านของเราในทะเลทรายและพากลับสนามบินทันเวลา เขาจะทำการบัพติสมาให้. แต่เขาจะอยู่ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง.
ทันทีที่ฟรังซัวส์มาถึง เขาก็ถูกคว้าตัวขึ้นรถและพาไปในทะเลทราย. เย็นวันนั้นเอง ที่บ้านของเซซิเลีย เขาหยิบกระดาษบันทึกข้อความชิ้นเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตและให้คำบรรยายที่ดีมาก. ในตอนเช้าตรู่วันที่ 18 พฤษภาคม 1974 เขาให้บัพติสมาแก่เซซิเลียในอ่างอาบน้ำของดิฉันแล้วก็ออกเดินทางอีก.
สงครามระเบิดขึ้นในแอลจีเรียเมื่อปลายปี 1975 และแจ็กกับดิฉันต้องเดินทางออกอย่างปัจจุบันทันด่วน. ดิฉันได้ไปเยี่ยมญาติในสเปน. ในปี 1976 ดิฉันเริ่มเก็บข้าวของสำหรับงานมอบหมายต่อไปของแจ็ก—ค่ายพักคนงานในป่าดิบชื้นของซูรินาเม อเมริกาใต้.
ในอเมริกาใต้
ค่ายพักคนงานในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของซูรินาเมนั้นห้อมล้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม. บรรดานกแก้วส่งเสียงเซ็งแซ่และฝูงลิงที่อยากรู้อยากเห็นมองลงมาจากต้นไม้ยังสิบห้าครอบครัวที่เพิ่งมาถึง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ดิฉันรู้จักแล้วจากงานก่อนหน้านี้. หกเดือนต่อมา ครอบครัวคนงานมาสมทบเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเซซิเลียซึ่งได้รับบัพติสมาในแอลจีเรีย—ได้เพื่อนร่วมงานเผยแพร่อีกคนหนึ่งละ!
ขณะวันที่ 23 มีนาคม 1978 เคลื่อนใกล้เข้ามา เราสงสัยว่าจะจัดประชุมอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์อย่างไร. เนื่องจากไม่มีการขนส่งถึงปารามาริโบซึ่งเป็นเมืองหลวง เราจึงวางแผนจะจัดประชุมอนุสรณ์ที่บ้านดิฉัน. ผู้จัดการค่ายพักอนุญาตให้เราถ่ายสำเนาหน้าสุดท้ายของวารสารหอสังเกตการณ์ซึ่งมีคำประกาศถึงการประชุมอนุสรณ์ และเราได้แจกจ่ายสำเนานั้นไปตามบ้านในค่ายพัก. มีผู้เข้าร่วมถึงยี่สิบเอ็ดคน! เซซิเลียให้คำบรรยาย และดิฉันอ่านข้อพระคัมภีร์. เย็นวันนั้น ถึงแม้จะโดดเดี่ยว เราก็รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับองค์การทั่วโลกของพระยะโฮวา.
ระหว่างนั้น สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในซูรินาเมได้ส่งการสนับสนุนมา—คือสามีภรรยามิชชันนารีหนุ่มสาวคู่หนึ่งในรถแลนด์โรเวอร์เก่า ๆ. ก่อนที่เขามาถึง ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าตนค่อนข้างไร้ประโยชน์ในค่ายพักนี้ แต่มิชชันนารีคู่นั้นรับรองกับดิฉันว่า “เปปิตา คุณอยู่ที่นี่เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง.” ในตอนนั้นดิฉันรู้สึกไม่มั่นใจ แต่ไม่นานดิฉันก็เข้าใจ.
วันหนึ่งในระหว่างที่มิชชันนารีเยี่ยม เราออกสำรวจตามถนนลูกรังที่เปิดใช้ใหม่และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบหมู่บ้านชาวอินเดียนแดงบางแห่งอยู่ห่างจากค่ายพักของเราประมาณ 50 กิโลเมตร. การประกาศไม่กี่วันในหมู่ชาวอินเดียนแดงเผ่าอาราวัก ยังผลด้วยการศึกษาพระคัมภีร์หลายราย. ดังนั้น เมื่อมิชชันนารีคู่นี้กลับไป เซซิเลียกับดิฉันก็ได้เริ่มเยี่ยมชาวหมู่บ้านเหล่านั้นสัปดาห์ละสองครั้ง.
เราตื่นแต่เช้าตอนตีสี่ และเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์รายแรกตอนเจ็ดนาฬิกา. ประมาณบ่ายห้าโมง เราจึงกลับบ้าน. เรานำการศึกษา 30 รายทุกสัปดาห์เป็นเวลาสองปี. ไม่นานเท่าไร พวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านก็เรียกดิฉันว่าคุณป้าไบเบิล! ในที่สุด มีหลายคนรับบัพติสมา และหลายปีต่อมามี 182 คนเข้าร่วมการประชุมหมวดในหมู่บ้านนั้น. จริงทีเดียว ดังที่เพื่อนมิชชันนารีที่รักของดิฉันได้พูดไว้ เราอยู่ในป่านี้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง!
สู่ปาปัวนิวกินี
เราจากซูรินาเมในปี 1980 และปีถัดมาเราก็ถูกส่งไปที่ปาปัวนิวกินี. หลังจากหกเดือนอันน่ายินดีที่ได้อยู่กับพยานฯ ในเมืองหลวง ปอร์ต มอร์สบี เฮลิคอปเตอร์ก็พาดิฉันไปลงที่บ้านหลังต่อไป—ค่ายพักคนงานตั้งอยู่ ณ ที่สูงในเทือกเขาซึ่งบริษัทของแจ็กกำลังพัฒนาปรับปรุงเหมืองทอง. ไม่มีถนน. ผู้คน, เครื่องมือ, และอาหารก็มาถึงโดยทางอากาศ. นี่เป็นสถานโดดเดี่ยวที่สุดที่ดิฉันเคยอยู่. อีกครั้งหนึ่งที่ดิฉันสงสัยว่าจะหาผู้คนเพื่อพูดคุยด้วยได้จากที่ไหน?
ผู้คนในค่ายพักของเรารู้จักดิฉันแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้ และไม่มีใครอยากฟัง. อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเอง บริษัทได้เปิดร้านขายของชำขึ้นแห่งหนึ่ง. พวกผู้หญิงจากที่ไกล ๆ มาซื้อของที่นี่. ไม่ช้าดิฉันก็กลายเป็นหนึ่งในลูกค้าของร้านที่มาบ่อยที่สุด. ทำอย่างนี้ได้ผลไหม?
วันหนึ่งดิฉันเริ่มสนทนากับหญิงชาวปาปัวคนหนึ่ง. เธอบอกดิฉันว่าเธอเป็นครู. “โอ ดิฉันก็เป็นครู” ดิฉันบอก.
“จริง ๆ หรือ?” เธอถาม.
“ใช่ค่ะ ดิฉันสอนคัมภีร์ไบเบิล.” เธอตอบรับทันทีที่ดิฉันเสนอการศึกษาพระคัมภีร์กับเธอ. ต่อมา ลูกค้าร้านของชำจำนวนมากขึ้นได้ตกลงศึกษาด้วย. ถิ่นอาศัยใกล้เหมืองทองที่นั่นได้ผลิตการศึกษาพระคัมภีร์ถึงเจ็ดราย—เป็นเหมืองทองฝ่ายวิญญาณจริง ๆ!
หลังจากใช้เวลาสามปีที่เกาะแห่งนี้ในมหาสมุทรแปซิฟิก งานใหม่ก็ส่งเราไปที่เกาะเกรเนดาในทะเลแคริบเบียน. แต่อีกปีครึ่งหลังจากนั้น สามีดิฉันก็ต้องกลับสหรัฐเนื่องจากสาเหตุทางสุขภาพ ดังนั้น ในปี 1986 เราจึงได้ตั้งถิ่นอาศัยในเมืองบอยซี มลรัฐไอดาโฮ.
การทำงานกับประชาคม
หลังจากใช้ชีวิตตลอดหลายปีเหล่านั้นในสภาพโดดเดี่ยวห่างจากพี่น้องคริสเตียนชายหญิง บัดนี้ดิฉันต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ. อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองคริสเตียนและคนอื่น ๆ ก็ได้ช่วยดิฉันด้วยความอดทน. ทุกวันนี้ ดิฉันรู้สึกเพลิดเพลินในการเข้าร่วมประชุมรายการต่าง ๆ และนำการศึกษาพระคัมภีร์ในภูมิภาคนี้ของโลก.
แต่บางครั้ง เมื่อดิฉันนั่งพักผ่อนในมุมเงียบ ๆ และนึกภาพตัวเองกำลังวิ่งตามหลังอีวาในกรุงเทพฯ ที่อึกทึกครึกโครมหรือร้องเพลงราชอาณาจักรออกมาขณะที่เดินไปตามถนนรกร้างในออสเตรเลียหรือประกาศในหมู่ชาวอินเดียนแดงที่อ่อนสุภาพในป่าดิบชื้นแห่งซูรินาเม ดิฉันยิ้มออกมา และตาของดิฉันก็เอ่อล้นด้วยน้ำตาแห่งความขอบพระคุณสำหรับความเอาใจใส่ที่ดิฉันได้รับระหว่างช่วงหลายปีที่รับใช้พระยะโฮวาในสภาพโดดเดี่ยว.—เล่าโดย โฮเซฟา ‘เปปิตา’ แอเบอร์เนที.
[รูปภาพหน้า 15]
ร้องเพลงกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลชาวสเปนในเมลเบอร์น
[รูปภาพหน้า 16]
ดิฉันได้ช่วยหลายคนให้มารู้จักพระยะโฮวาในปาปัวนิวกินี
สอนพระคำของพระเจ้าในซูรินาเม
[รูปภาพหน้า 17]
ปัจจุบันดิฉันรับใช้ร่วมกับประชาคมในไอดาโฮ