ช่างน่ายินดีอะไรเช่นนี้ที่ได้นั่งที่โต๊ะของพระยะโฮวา!
เล่าโดย เอิร์นสท์ เวาเวอร์
ปัจจุบันนี้ การที่ผมจะเข้าร่วมประชุมกับพยานพระยะโฮวา ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และไปประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรถือเป็นเรื่องค่อนข้างง่าย. อย่างไรก็ดี สภาพการณ์ไม่ได้เป็นดังว่าเสมอไปในประเทศเยอรมนี. ตอนที่อะดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นผู้เผด็จการ นับตั้งแต่ปี 1933 ถึง 1945 การมีส่วนร่วมในกิจกรรมคริสเตียนดังกล่าวจำต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง.
ปีหนึ่งก่อนที่ฮิตเลอร์จะเข้ามามีอำนาจ ตอนนั้นผมอายุได้ 30 ปี และพบกับพยานพระยะโฮวาเป็นครั้งแรกในเมืองเดรสเดน. เดือนมกราคมปี 1935 ผมอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาและมีความปรารถนาที่จะรับบัพติสมา. งานของเราถูกห้ามในปี 1933 ด้วยเหตุนั้น ผมจึงถูกถามว่า “คุณเข้าใจไหมว่าการตัดสินใจของคุณหมายความว่าอย่างไร? คุณกำลังทำให้ครอบครัว สุขภาพ หน้าที่การงาน เสรีภาพ และแม้กระทั่งชีวิตของคุณอยู่ในสภาพที่เสี่ยง!”
ผมตอบว่า “ผมคิดราคาดูแล้ว และผมเต็มใจทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งสละชีวิตเพื่อทำเช่นนั้นด้วย.”
ผมเริ่มไปประกาศตามบ้าน แม้แต่ก่อนที่ผมรับบัพติสมาด้วยซ้ำ. ณ บ้านหนึ่ง ผมพบผู้นำเยาวชนอยู่ในเครื่องแบบ เอสเอส (หน่วยเชิ้ตดำ หรือกองรักษาการชั้นหัวกะทิของฮิตเลอร์) เขาตะโกนว่า “คุณไม่รู้หรือว่าเขาห้ามทำงานนี้? ผมจะเรียกตำรวจ!”
ผมตอบด้วยท่าทีที่สงบว่า “เชิญครับ. ผมเพียงแต่พูดเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล และกฎหมายไม่ห้ามที่จะทำเช่นนี้.” จากที่นั่นผมไปยังประตูถัดไปและสุภาพบุรุษซึ่งดูเป็นมิตรเชื้อเชิญผมเข้าไปทันที. ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมเลย.
ต่อมาไม่นาน ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลกลุ่มการศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งมีพยานฯ ราวห้าถึงเจ็ดคนมาประชุมแต่ละสัปดาห์. เราศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ ซึ่งแอบนำเข้ามาในเยอรมนีจากประเทศเพื่อนบ้าน. ดังนั้น แม้ว่าจะถูกห้าม เรานั่งที่ “โต๊ะของพระยะโฮวา” เป็นประจำ เพื่อจะได้รับการเสริมกำลังฝ่ายวิญญาณ.—1 โกรินโธ 10:21.
ประสบการทดลอง
ในปี 1936 เจ. เอฟ. รัทเธอฟอร์ด นายกสมาคมวอชเทาเวอร์ ได้ไปเยือน ณ การประชุมใหญ่ที่เมืองลูเซิร์นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และท่านเชิญพี่น้องชายในเยอรมนีซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลตามระบอบการของพระเจ้าให้เข้าร่วมด้วย. เนื่องจากหนังสือเดินทางของพี่น้องชายจำนวนมากถูกยึด รวมทั้งตำรวจก็เฝ้าติดตามพี่น้องชายบางคนอย่างใกล้ชิด จึงมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าร่วมได้. ผู้ดูแลงานในเดรสเดนขอให้ผมเข้าร่วมที่เมืองลูเซิร์นเป็นตัวแทนของเขา.
ผมตอบว่า “แต่ผมอายุยังน้อยและก็อ่อนประสบการณ์.”
เขาเสริมความมั่นใจแก่ผมว่า “สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการเป็นคนสัตย์ซื่อ.”
ไม่นานหลังกลับจากเมืองลูเซิร์น ผมถูกจับและจำต้องพรากจากเอฟาภรรยาและลูกเล็ก ๆ อีกสองคนของผมอย่างปัจจุบันทันด่วน. ในการเดินทางไปยังศูนย์บัญชาการตำรวจในเมืองเดรสเดน ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะนึกถึงข้อคัมภีร์เพื่อชี้นำผม. แล้วผมก็นึกถึงสุภาษิต 3:5, 6 ได้ที่ว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.” เมื่อนึกถึงข้อคัมภีร์นี้ทำให้ผมเข้มแข็งเมื่อต้องเจอกับการไต่สวนเป็นครั้งแรก. หลังจากนั้น ผมถูกขังอยู่ในห้องแคบ ๆ และสักครู่ผมรู้สึกถูกทอดทิ้ง. แต่การอธิษฐานถึงพระยะโฮวาอย่างเร่าร้อนทำให้ผมมีความสงบ.
ศาลตัดสินจำคุกผมเป็นเวลา 27 เดือน. ผมถูกขังเดี่ยวเป็นเวลาหนึ่งปีที่ทัณฑสถานในเมืองเบาเซน. ครั้งหนึ่งผู้พิพากษาซึ่งเกษียณอายุแล้ว ซึ่งมาทำงานแทนอีกคนหนึ่ง เขาเปิดประตูห้องขังของผมและแสดงความเห็นอกเห็นใจโดยพูดว่า “ผมทราบดีว่าคุณไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านสิ่งใดเลย แต่บางทีคุณอาจต้องการบางอย่างเพื่อผ่อนคลายจากสภาพที่เป็นอยู่.” ดังนั้น เขาแอบส่งวารสารเกี่ยวกับครอบครัวฉบับเก่าให้ผมและบอกว่า “ผมจะมาเก็บไปคืนนี้.”
ที่จริงแล้ว ผมไม่ต้องการอะไรเลยที่จะ ‘ผ่อนคลายสภาพที่เป็นอยู่.’ ขณะที่ถูกขังเดี่ยว ผมนึกถึงข้อคัมภีร์ต่าง ๆ จากความทรงจำและปะติดปะต่อเป็นคำเทศน์ จากนั้นก็บรรยายออกมาด้วยเสียงดัง ๆ. แต่ผมก็มองวารสารผ่าน ๆ เพื่อดูว่าในนั้นมีข้อพระคัมภีร์บ้างไหม และผมก็พบหลายข้อทีเดียว! ข้อหนึ่งเป็นฟิลิปปอย 1:6 ซึ่งตอนหนึ่งอ่านว่า “ข้าพเจ้าไว้ใจ . . . ว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในท่านทั้งหลายแล้ว คงจะกระทำให้สำเร็จ.” ผมขอบคุณพระยะโฮวาสำหรับการหนุนใจนี้.
ต่อมา ผมถูกย้ายไปอยู่ที่ค่ายแรงงาน. จากนั้น ในฤดูใบไม้ผลิปี 1939 ขณะที่การคุมขังจะสิ้นสุดลง ผู้ควบคุมค่ายถามว่าผมเปลี่ยนความคิดหรือไม่. คำตอบของผมคือ “ผมตั้งใจจะยืนหยัดภักดีต่อความเชื่อของผม.” ต่อมาเขาแจ้งให้ผมทราบว่าผมจะถูกย้ายไปอยู่ที่ค่ายกักกันซักเซนเฮาเซน.
ที่นั่นผมต้องส่งมอบเสื้อผ้าส่วนตัวให้เขาหมด อาบน้ำฝักบัว และโดนโกนผมและขนทั่วทั้งร่างกาย จากนั้นก็รับเสื้อผ้าสำหรับนักโทษ. แล้วผมถูกคุมตัวไปใต้ฝักบัวอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อาบขณะสวมเสื้อผ้าอยู่ พวกเจ้าหน้าที่ เอสเอส เรียกการกระทำนี้ว่า “บัสติสมา.” หลังจากนั้น ผมถูกบังคับให้ยืนอยู่ข้างนอก ทั้งที่เปียกโชก จนถึงเย็น.
ภายในค่าย พยานพระยะโฮวาตกเป็นเป้าของการกระทำอย่างทารุณเหี้ยมโหดเป็นพิเศษโดยพวก เอสเอส. หลายครั้งที่เราต้องยืนที่ลานค่ายนานนับชั่วโมง ๆ. เป็นบางครั้งที่บางคนพูดอย่างทอดถอนใจว่า “จะดีมิใช่หรือที่จะมีอาหารดี ๆ กินสักมื้อ?” อีกคนหนึ่งก็จะตอบว่า “อย่าให้ใจของคุณจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น. ลองคิดดูว่าช่างมีเกียรติสักเพียงไรที่จะยืนหยัดมั่นคงเพื่อพระนามพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์” และคนอื่นก็เสริมว่า “พระยะโฮวาจะประทานความเข้มแข็งให้พวกเรา!” ด้วยวิธีนี้เราหนุนใจซึ่งกันและกัน. บางครั้งแค่การผงกศีรษะของเพื่อนก็เพียงพอแทนคำพูดที่ว่า “ผมต้องการเป็นคนซื่อสัตย์ภักดี คุณก็คงต้องการเช่นกัน!”
อาหารฝ่ายวิญญาณในค่าย
บางคนนำหน้าในการเลี้ยงดูฝ่ายวิญญาณแก่พี่น้อง และผมถูกเลือกเพื่อช่วยเหลือพวกเขา. ทั้งหมดที่เรามีก็คือคัมภีร์ไบเบิลฉบับลูเทอร์หนา ๆ เล่มหนึ่ง. แน่นอน การมีคัมภีร์ไว้ในครอบครองเป็นสิ่งต้องห้าม. ดังนั้น จึงต้องซ่อนทรัพย์เล่มนี้ไว้ และในแต่ละห้องขังเฉพาะพี่น้องที่ได้รับการระบุตัวคนเดียวเท่านั้นจึงมีสิทธิครอบครองคัมภีร์ชั่วเวลาสั้น ๆ. พอถึงคิวของผม ผมจะคลานไปใต้เตียงพร้อมกับไฟฉายและใช้เวลาอ่านราว ๆ 15 นาที. ผมจะจำข้อคัมภีร์บางข้อเพื่อว่าภายหลังผมสามารถจะพิจารณากับพี่น้องในโรงนอนของเราได้. ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการจัดระบบการแจกจ่ายอาหารฝ่ายวิญญาณระดับหนึ่ง.
มีการสนับสนุนพี่น้องทุก ๆ คนให้อธิษฐานถึงพระยะโฮวาเพื่อขออาหารด้านวิญญาณนี้มากขึ้น และพระองค์ก็ทรงสดับคำอ้อนวอนของพวกเรา. ในช่วงฤดูหนาวของปี 1939/1940 พี่น้องซึ่งจะเข้ามาเป็นนักโทษใหม่ได้ซ่อนวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับล่าสุดสองสามฉบับไว้ในขาเทียมซึ่งทำด้วยไม้เข้ามาในค่าย. เรื่องนี้เป็นเหมือนการอัศจรรย์เนื่องจากมีการตรวจค้นทุก ๆ คนอย่างละเอียด.
เพื่อความปลอดภัยจึงมีการมอบวารสารไว้แก่พี่น้องที่ได้รับการเลือกคราวละหนึ่งวัน. ครั้งหนึ่ง ตอนที่มีการสร้างโรงรถ ผมนอนหดตัวนิ่งอยู่ในคูและอ่านวารสารขณะที่พี่น้องอีกคนหนึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอก. อีกโอกาสหนึ่งผมใส่วารสารบนตักระหว่าง “ชั่วโมงเย็บผ้า” (ในตอนเย็นเราจะนั่งอยู่ในห้องซ่อมถุงมือและเครื่องใช้อื่น ๆ) ขณะที่พี่น้องนั่งเฝ้าระวังอยู่ทั้งสองด้าน. พอเจ้าหน้าที่ เอสเอส มา ผมจะซ่อนวารสารหอสังเกตการณ์ ทันที. หากผมถูกจับได้หมายถึงการเสียชีวิต.
พระยะโฮวาทรงช่วยพวกเราในแนวทางที่ประหลาดเพื่อทำให้เราจำแนวคิดต่าง ๆ ที่เสริมความเข้มแข็งซึ่งได้จากบทความ. ตามปกติความเหนื่อยล้าเต็มที่ทำให้ผมหลับสนิทตอนกลางคืน. แต่ในคืนที่ผมอ่านวารสารหอสังเกตการณ์ ผมจะตื่นขึ้นหลาย ๆ ครั้งและจำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้อ่านไปได้ทั้งหมด. พี่น้องที่ถูกเลือกซึ่งอยู่อีกเรือนหนึ่งก็มีประสบการณ์ทำนองเดียวกัน. โดยวิธีนี้ พระยะโฮวาทรงทำให้ความจำของเราคมชัดยิ่งขึ้นเพื่อเราจะสามารถแจกจ่ายอาหารฝ่ายวิญญาณได้. เราทำเช่นนี้โดยเข้าหาพี่น้องเป็นส่วนตัวทีละคนและเสริมกำลังพวกเขา.
ซื่อสัตย์จนตาย
วันที่ 15 กันยายน ปี 1939 กองแรงงานของเราต้องเดินกลับเข้าค่ายเร็วกว่าปกติ. เนื่องในโอกาสอะไร? เอากุสท์ ดิคแมน พี่น้องหนุ่มคนหนึ่งของเราจะถูกประหารชีวิตต่อหน้าคนอื่น ๆ. พวกนาซีมั่นใจว่าสิ่งนี้จะทำให้พยานพระยะโฮวาจำนวนมากยอมปฏิเสธความเชื่อของเขา. หลังจากการประหารชีวิตไปแล้ว มีการปล่อยนักโทษคนอื่นทั้งหมด. แต่พวกเราพยานพระยะโฮวาถูกไล่ไป ๆ มา ๆ ในสนาม ถูกเตะ และตีด้วยไม้จนกระทั่งเราเคลื่อนไปทางไหนไม่ได้อีกต่อไป. เราได้รับคำสั่งให้เซ็นชื่อเป็นการแถลงว่าเราปฏิเสธความเชื่อของเรา หรือมิฉะนั้น เราก็จะถูกยิงเป้าเหมือนกัน.
วันต่อมา ไม่มีใครเซ็นชื่อ. ที่จริง นักโทษใหม่คนหนึ่งซึ่งได้เซ็นชื่อขณะที่มาถึง แต่ตอนนี้เขาถอนลายเซ็นนั้น. เขายินดีที่จะตายพร้อมกับพี่น้องของเขามากกว่าออกจากค่ายในฐานะผู้ทรยศ. ในเดือนต่อ ๆ มา เราถูกลงโทษโดยต้องทำงานที่ใช้แรงงานอย่างหนัก ทั้งยังได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้าย และถูกตัดอาหาร. พี่น้องของเรากว่าร้อยคนเสียชีวิตในระหว่างฤดูหนาวซึ่งมีอากาศหนาวจัด ปี 1939/1940. พวกเขารักษาความซื่อสัตย์มั่นคงที่มีต่อพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์จนถึงที่สุด.
แล้วพระยะโฮวาทรงจัดให้มีการบรรเทาบ้าง. พี่น้องหลายคนถูกย้ายไปทำงานในค่ายที่สร้างขึ้นใหม่ซึ่งพวกเขาได้รับอาหารมากขึ้น. ยิ่งกว่านั้น การข่มเหงคะเนงร้ายลดน้อยลงบ้าง. ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1940 ผมถูกย้ายไปยังค่ายกักกันนอยเอนกัมเม.
การจัดเตรียมด้านวิญญาณในนอยเอนกัมเม
เมื่อผมมาถึง มีกลุ่มพยานฯ ประมาณ 20 คนซึ่งไม่มีพระคัมภีร์หรือหนังสือใด ๆ. ผมอธิษฐานถึงพระยะโฮวาเพื่อให้พระองค์ช่วยผมใช้สิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้เรียนรู้มาที่ซักเซนเฮาเซนในการเสริมความเข้มแข็งให้พี่น้องที่นอยเอนกัมเม. ขั้นแรก ผมนึกถึงข้อคัมภีร์ต่าง ๆ และเลือกข้อต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อคัมภีร์ประจำวัน. ต่อจากนั้น มีการจัดการประชุมขึ้นเพื่อผมจะอธิบายถึงบทความต่าง ๆ ในวารสารหอสังเกตการณ์ จากความทรงจำของผมที่ได้อ่านในซักเซนเฮาเซน. เมื่อพี่น้องชายคนใหม่มาถึง เขารายงานสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทราบจากหอสังเกตการณ์ ฉบับล่าสุด.
พอปี 1943 จำนวนพยานพระยะโฮวาในนอยเอนกัมเมเพิ่มขึ้นเป็น 70 คน. เจ้าหน้าที่ชอบใช้พยานพระยะโฮวาทำงานนอกค่าย อย่างเช่นทำความสะอาดหลังถูกโจมตีทางอากาศ. ผลก็คือ เราสามารถแอบนำคัมภีร์ไบเบิล วารสารหอสังเกตการณ์ และหนังสือปกแข็งกับหนังสือเล่มเล็กบางฉบับเข้ามาในค่ายได้. นอกจากนั้น เรายังได้พัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์ ซึ่งภายในมีหนังสือเพิ่มเติมอีก รวมทั้งเหล้าองุ่นแดงและขนมปังไม่มีเชื้อสำหรับการประชุมอนุสรณ์ประจำปี. เห็นได้ชัดเจนว่าพระยะโฮวาทรงทำให้คนที่ตรวจหีบห่อเหล่านั้นมองไม่เห็น.
เนื่องจากพวกเรากระจายอยู่ตามโรงนอนต่าง ๆ กัน เราจึงจัดกลุ่มศึกษาหอสังเกตการณ์ ขึ้นเจ็ดกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีผู้นำการศึกษาและผู้ทำหน้าที่แทน. มีการทำสำเนาหอสังเกตการณ์ อย่างลับ ๆ ขึ้นในค่าย ณ สำนักงานของกองบัญชาการซึ่งผมทำงานอยู่ชั่วคราว. ดังนั้น แต่ละกลุ่มการศึกษาจะได้รับวารสารฉบับสมบูรณ์อย่างน้อยหนึ่งฉบับสำหรับการศึกษาประจำสัปดาห์. ไม่มีการยกเลิกการประชุมสักครั้งเดียว. นอกจากนั้น ในตอนเช้าของแต่ละวันที่ลานค่าย กลุ่มต่าง ๆ จะได้รับสำเนาการพิจารณาข้อคัมภีร์ประจำวัน พร้อมด้วยความคิดเห็นที่ยกมาจากหอสังเกตการณ์.
ครั้งหนึ่งเป็นวันหยุดของเจ้าหน้าที่ เอสเอส เราจึงสามารถจัดการประชุมใหญ่ครึ่งวันได้และมีการพิจารณาถึงวิธีที่เราจะประกาศภายในค่าย. เราแบ่งค่ายกักกันออกเป็นเขตทำงานต่าง ๆ และพยายามทำอย่างมีระเบียบเพื่อเข้าหานักโทษทุกคนด้วย “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร.” (มัดธาย 24:14) เนื่องจากนักโทษมาจากหลายประเทศ เราทำบัตรที่อธิบายเกี่ยวกับงานของเราและเรื่องราชอาณาจักรเป็นภาษาต่าง ๆ. เราประกาศอย่างแข็งขันกระทั่งนักโทษการเมืองบางคนบ่นกันว่า “ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระยะโฮวา!” รายงานการรับใช้สำหรับกิจกรรมที่พวกเราทำถึงกับส่งไปยังสำนักงานสาขาที่เบอร์น สวิตเซอร์แลนด์.
ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างดีกระทั่งพวกเกสตาโปมาสืบสวนที่ค่ายกักกันทุกแห่งในปี 1944. คลังหนังสือของพวกเราในนอยเอนกัมเมไม่ถูกค้นพบ แต่ก็พบบางสิ่งที่อยู่กับคาร์ล ชวาร์ทเซอร์และที่ผม. เราถูกไต่สวนและทุบตีเป็นเวลาสามวัน. เมื่อการทรมานสิ้นสุดลง เราทั้งสองเต็มไปด้วยรอยบวมช้ำไปทั้งตัว. อย่างไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา เรารอดตาย.
มีพระพรฝ่ายวิญญาณอุดมบริบูรณ์
ผมได้รับการปลดปล่อยโดยกองกำลังพันธมิตรในเดือนพฤษภาคม ปี 1945. วันต่อมาหลังจากได้รับการปลดปล่อย ผมร่วมเดินไปกับพี่น้องกลุ่มเล็ก ๆ และผู้สนใจบางคน. ด้วยความเหนื่อยอ่อน เราจึงนั่งลงที่บ่อน้ำแห่งหนึ่งในหมู่บ้านแรกที่เรามาถึงและดื่มน้ำ. พอสดชื่นขึ้น ผมไปตามบ้านพร้อมกับคัมภีร์ไบเบิลเหน็บอยู่ใต้แขน. หญิงสาวคนหนึ่งรู้สึกตื้นตันใจทีเดียวเมื่อทราบว่าพวกเราพยานพระยะโฮวาอยู่ในค่ายกักกันเพราะความเชื่อของเรา. เธอหายเข้าไปในห้องครัว และกลับออกมาพร้อมด้วยนมสดและแซนด์วิชสำหรับพวกเราทั้งกลุ่ม.
ถัดจากนั้น เราประกาศข่าวสารราชอาณาจักรไปตลอดทั่วทั้งหมู่บ้าน ทั้งที่เรายังใส่เครื่องแบบของค่ายกักกันอยู่. ชาวบ้านอีกคนหนึ่งเชื้อเชิญเราเพื่อเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่. เขาเสิร์ฟอาหารที่เราไม่ได้รับประทานมานานเป็นปี ๆ. ช่างเป็นอาหารที่ชวนรับประทานจริง ๆ! ถึงกระนั้น เราก็ไม่ได้กินอาหารอย่างตะกรุมตะกราม. เราอธิษฐานและกินในท่าทีที่สงบ และมีมารยาทดี. สิ่งที่เห็นนี้ประทับใจผู้เฝ้ามองอยู่อย่างยิ่ง กระทั่งเมื่อเราเริ่มการประชุมหลังจากนั้นเขาก็ร่วมฟังคำบรรยายจากพระคัมภีร์ด้วย. สุภาพสตรีคนหนึ่งตอบรับข่าวสารและปัจจุบันนี้เป็นพี่น้องฝ่ายวิญญาณของเรา.
เราเดินทางต่อและประสบกับการเอาพระทัยใส่จากพระยะโฮวาในแนวทางที่ประหลาดยิ่ง. ช่างเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมยอดอะไรเช่นนี้ที่เราสามารถชื่นชมอย่างต่อเนื่องกับอาหารฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้นที่พิมพ์โดยองค์การของพระยะโฮวารวมทั้งการมีส่วนแบ่งปันให้กับคนอื่น ๆ ในขณะนี้ ในฐานะที่มีเสรีภาพ! การวางใจในพระยะโฮวาอย่างแท้จริงได้รับบำเหน็จครั้งแล้วครั้งเล่าในเวลาหลายปีต่อจากนั้น.
ตั้งแต่ปี 1945 ถึง 1950 ผมมีสิทธิพิเศษรับใช้ ณ สำนักเบเธลที่มักเดเบิร์ก และจากนั้นถึงปี 1955 ทำงานในสำนักงานสมาคมวอชเทาเวอร์ในเบอร์ลิน. หลังจากนั้น ผมรับใช้ฐานะผู้ดูแลเดินทางจนถึงปี 1963 เมื่อฮิลเดภรรยาของผมบอกว่าเธอตั้งครรภ์. (เอฟา ภรรยาคนแรกของผมเสียชีวิตระหว่างที่ผมถูกคุมขัง และผมแต่งงานใหม่ปี 1958.) ภายหลังลูกสาวของเราเป็นพยานฯ ที่มีความกระตือรือร้น.
ลูกของผมจากการแต่งงานครั้งแรกล่ะเป็นอย่างไร? น่าเสียดายที่ลูกชายของผมไม่แสดงความสนใจต่อความจริง. แต่ลูกสาวชื่อกีเซลาตอบรับ และเธอเข้าโรงเรียนอบรมมิชชันนารีกีเลียดในปี 1953. ขณะนี้เธอรับใช้ร่วมกับสามี ณ หอประชุมหมวดแห่งหนึ่งในเยอรมนี. ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ผมจึงสามารถรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์ประจำอยู่นับตั้งแต่ปี 1963 และไปรับใช้ในที่ที่มีความต้องการ ทีแรกก็ที่แฟรงเฟิร์ทและต่อมาที่ทูบิงเกน.
จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมยังคงเพลิดเพลินกับการจัดเตรียมทั้งหมดที่มาจากองค์การของพระยะโฮวาสำหรับครอบครัวแห่งความเชื่อของพระองค์. (1 ติโมเธียว 3:15) ปัจจุบันนี้ ช่างง่ายดายเสียจริง ๆ ที่จะรับอาหารฝ่ายวิญญาณ แต่เรามีความหยั่งรู้ค่าเป็นประจำสำหรับสิ่งนั้นไหม? ผมเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาทรงมีพระพรอย่างอุดมบริบูรณ์เก็บสะสมไว้สำหรับคนเหล่านั้นที่วางใจในพระองค์ คงความซื่อสัตย์ภักดี และรับประทานที่โต๊ะของพระองค์.
[แผนภูมิหน้า 26, 27]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
ค่ายกักกันที่ซักเซนเฮาเซน
1. บ้านพักหน่วย เอสเอส
2. ลานขานชื่อนักโทษ
3. โรงนอน
4. ห้องขังเดี่ยว
5. หน่วยกำจัดเหา
6. ที่ประหารชีวิต
7. ห้องแก๊ส
[รูปภาพของ เอิร์นสท์ และฮิลเด เวาเวอร์ หน้า 25]