พระเจ้าเป็นที่พึ่งพำนักและเป็นกำลังของฉัน
เล่าโดย ชาร์ล็อทเทอ มึลเลอร์
ผู้พิพากษาฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์พูดดังนี้: “น่ายกย่องจริง ๆ ที่คุณทนทุกข์นานถึงเก้าปีภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์. คุณต่อต้านสงครามจริง ๆ แต่ขณะนี้คุณต่อต้านขบวนการเพื่อสันติภาพของเรา!”
เขากล่าวอ้างถึงการจับกุมดิฉันเข้าคุกก่อนหน้านี้โดยพวกนาซี และกล่าวถึงพรรคสังคมนิยมในเยอรมันตะวันออก. ทีแรกดิฉันพูดไม่ออก แต่แล้วก็ตอบว่า “คริสเตียนไม่พยายามแสวงสันติภาพแท้ในวิถีทางอย่างที่ประชาชนคนอื่น ๆ แสวง. ดิฉันเพียงแต่พยายามจะเชื่อฟังคำสั่งในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้รักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้าน. พระคำของพระเจ้าส่งเสริมดิฉันให้รักษาสันติสุขทั้งในคำพูดและการกระทำ.”
วันนั้นเอง คือ 4 กันยายน 1951 รัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้ตัดสินจำคุกดิฉันแปดปี น้อยกว่าที่ถูกจำคุกโดยนาซีปีหนึ่ง.
เมื่อพวกเราพยานพระยะโฮวาถูกชาติสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์กดขี่ข่มเหง ดิฉันได้พบการชูใจในบทเพลงสรรเสริญ 46:1 ที่ว่า “พระเจ้าเป็นที่พึ่งพำนักและเป็นกำลังของพวกข้าพเจ้า, พระองค์เป็นผู้ทรงช่วยอันเลิศสถิตอยู่ใกล้ในเวลาลำบาก.” พระยะโฮวาแต่องค์เดียวทรงประทานกำลังให้ดิฉันอดทนได้ และยิ่งดิฉันได้ซึมซับพระคำของพระเจ้ามากเท่าใด ดิฉันก็ยิ่งแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น.
รับการเสริมกำลังเผื่อวันข้างหน้า
ดิฉันเกิดปี 1912 ในเมืองโกทา-ซีบเลเบน รัฐทูริงเงน เยอรมนี. ถึงแม้พ่อแม่นับถือศาสนาโปรเตสแตนต์ ทว่าพ่อของดิฉันสืบหาความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและการปกครองที่ชอบธรรม. เมื่อพ่อแม่ของดิฉันได้ชม “ภาพยนตร์เรื่อง การทรงสร้าง” ท่านรู้สึกตื่นเต้นมาก.a คุณพ่อได้พบสิ่งที่ท่านสืบหามาตลอด นั่นคือราชอาณาจักรของพระเจ้า.
คุณพ่อคุณแม่ และพวกเราลูก ๆ หกคนได้ถอนตัวจากคริสตจักรเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 1923. เราอาศัยอยู่ในเมืองเคมนิทซ์ ในแคว้นแซกโซนี และที่เมืองนี้แหละเราได้สมาคมกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. (พี่ ๆ น้อง ๆ สามคนของดิฉันได้มาเป็นพยานพระยะโฮวา.)
ณ ที่ประชุมของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ อีกทั้งความจริงอันทรงค่าส่งผลกระทบดิฉันอย่างลึกซึ้ง และสิ่งเหล่านี้ทำให้หัวใจเยาว์วัยของดิฉันเปี่ยมด้วยความสุข. ที่สำคัญเป็นพิเศษคือพอถึงวันอาทิตย์ก็มีการสั่งสอนแนะนำพวกเราคริสเตียนวัยหนุ่มสาวกว่า 50 คน ซึ่งก็รวมทั้งดิฉันและน้องสาวที่ชื่อแคเทอด้วย. ในกลุ่มของเรามีคอนราด ฟรังเคอ ชายหนุ่มซึ่งได้จัดกลุ่มเดินทางไกลและฝึกร้องเพลงกับพวกเรา. ภายหลัง นับจากปี 1955 ถึง 1969 บราเดอร์ฟรังเคอได้รับใช้ฐานะผู้ดูแลสำนักงานสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ ประเทศเยอรมนี.
ช่วงทศวรรษปี 1920 เกิดความสับสนวุ่นวายอยู่หลายปี บางครั้งถึงกับเกิดขึ้นท่ามกลางไพร่พลของพระเจ้าด้วยซ้ำ. บางคนไม่ยอมรับว่าหอสังเกตการณ์ เป็น “อาหาร . . . ตามเวลาที่สมควร” อีกต่อไป เขาคัดค้านกิจกรรมการประกาศตามบ้าน. (มัดธาย 24:45, ล.ม.) ทั้งนี้นำไปสู่การออกหาก. แต่หอสังเกตการณ์ นี้เองเป็น “อาหาร” ที่เสริมกำลังความเข้มแข็งแก่เรา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเราในยามนั้น. ยกตัวอย่าง บทความในหอสังเกตการณ์ เรื่อง “ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่ไม่หวาดหวั่น” (1919) และ “ใครจะถวายเกียรติพระยะโฮวา?” (1926) ดิฉันต้องการถวายเกียรติพระยะโฮวาโดยการทำกิจกรรมอย่างกล้าหาญ ดังนั้น ดิฉันจึงได้แจกจ่ายหนังสือปกแข็งและหนังสือเล่มเล็กที่เขียนโดยบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดเป็นจำนวนมาก.
ในเดือนมีนาคม 1933 ดิฉันได้รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา. ปีเดียวกันนั้นเอง ได้มีการสั่งห้ามกิจการประกาศเผยแพร่ของเราในประเทศเยอรมนี. ณ การรับบัพติสมา มีการนำเสนอวิวรณ์ 2:10 เสมือนเป็นคำแนะนำเผื่อวันข้างหน้าดังนี้: “อย่ากลัวต่อเหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งเจ้าจะต้องทนเอา นี่แน่ะมารจะเอาพวกเจ้าบางคนใส่คุกไว้เพื่อจะได้ลองดูใจเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะได้รับทุกข์ลำบากถึงสิบวัน. แต่เจ้าจงเป็นผู้สัตย์ซื่อตราบเท่าวันตาย, และเราจะให้เจ้ามีมงกุฎแห่งชีวิต.” ดิฉันคิดรำพึงคัมภีร์ข้อนี้และจำใส่ใจ ไม่สงสัยที่ว่าการทดสอบอย่างหนักหน่วงมีอยู่เบื้องหน้า. และก็เป็นอย่างนั้นจริง.
เนื่องจากครอบครัวของเราวางตัวเป็นกลางด้านการเมือง เพื่อนบ้านหลายคนมองพวกเราอย่างเคลือบแคลงสงสัย. หลังการเลือกตั้งทางการเมือง กองกำลังในชุดเครื่องแบบฝ่ายนาซีพากันตะโกนที่หน้าบ้านของเราว่า “คนขายชาติอยู่ที่นี่!” บทความ “อย่ากลัวเขาเลย” ในวารสารหอสังเกตการณ์ ภาษาเยอรมัน ในเดือนธันวาคม 1933 หนุนกำลังใจดิฉันมากเป็นพิเศษ. ดิฉันปรารถนาจะเป็นพยานที่สัตย์ซื่อของพระยะโฮวาตลอดไป แม้ต้องตกอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดแสนจะเลวร้ายก็ตาม.
วิธีแก้ของศัตรู—จับพยานฯ เข้าคุก
เราสามารถผลิตวารสารหอสังเกตการณ์ ได้อย่างลับ ๆ ในเมืองเคมนิทซ์จนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงปี 1935. หลังจากนั้น เราต้องนำเครื่องอัดสำเนาที่ใช้อยู่ไปยังไบเออร์เฟลด์ แถบเทือกเขาเอิซ และมีการทำสำเนาหนังสือต่าง ๆ ที่นั่นกระทั่งถึงเดือนสิงหาคม 1936. ดิฉันกับแคเทอนำฉบับสำเนาไปแจกพวกพี่น้องตามที่อยู่ที่คุณพ่อจดให้. ทุกอย่างดำเนินไปโดยราบรื่นชั่วระยะหนึ่ง. แต่แล้วดิฉันถูกหน่วยตำรวจเกสตาโปเฝ้าติดตามตลอดเวลา และในเดือนสิงหาคม 1936 เขาจับกุมดิฉันที่บ้านและถูกควบคุมตัวรอการพิจารณาคดี.
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1937 พี่น้องชาย 25 คน และพี่น้องหญิง 2 คน—รวมดิฉันด้วย—ถูกนำตัวขึ้นศาลพิเศษในแซกโซนี. มีการตั้งข้อหาว่า องค์การพยานพระยะโฮวาเป็นพวกบ่อนทำลาย. พี่น้องเหล่านั้นซึ่งมีส่วนในการพิมพ์วารสารหอสังเกตการณ์ ถูกตัดสินจำคุกห้าปี. ส่วนดิฉันถูกตัดสินให้จำคุกสองปี.
หลังจากติดคุกครบสองปีแล้วแทนที่จะเป็นอิสระ แต่ดิฉันกลับถูกตำรวจเกสตาโปจับกุม. เขาต้องการให้ดิฉันเซ็นชื่อในคำแถลงว่า ดิฉันจะไม่ทำการใด ๆ อีกต่อไปในฐานะเป็นพยานของพระยะโฮวา. ดิฉันปฏิเสธอย่างหนักแน่น ซึ่งยังผลให้เจ้าหน้าที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาลุกขึ้นทันทีและออกหมายสั่งจับกุมดิฉัน. หมายสั่งนั้นเห็นได้ในภาพ. โดยไม่มีการอนุญาตให้ดิฉันได้พบพ่อแม่ ดิฉันถูกนำตัวเข้าค่ายกักกันเล็ก ๆ สำหรับผู้หญิงที่ลิชเทนบูร์ก บนฝั่งแม่น้ำเอลเบในทันทีทันใด. ต่อมาไม่นาน ดิฉันได้พบแคเทอ. เธอเคยอยู่ในค่ายกักกันที่เมืองโมริงเงนตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 1936 แต่เมื่อค่ายแห่งนั้นปิด เธอพร้อมกับสตรีพยานฯ อีกหลายคนจึงเข้ามาอยู่ในค่ายลิชเทนบูร์ก. คุณพ่อถูกจับกุมเช่นเดียวกัน และดิฉันไม่พบท่านอีกเลยจนกระทั่งปี 1945.
ที่ค่ายลิชเทนบูร์ก
ดิฉันไม่ได้รับอนุญาตให้สมทบกับกลุ่มสตรีพยานฯ ทันที เนื่องจากพวกเขากำลังต้องโทษด้วยสาเหตุบางประการ. ในห้องหนึ่งของค่าย ดิฉันสังเกตเห็นนักโทษสองกลุ่ม—กลุ่มนักโทษหญิงปกติจะนั่งที่โต๊ะ และกลุ่มพยานฯ ต้องนั่งม้านั่งไม่มีพนักตลอดวัน แถมไม่ได้รับแจกอาหาร.b
ดิฉันพร้อมจะรับการมอบหมายให้ทำงานทันที โดยหวังว่าจะเจอแคเทอบ้าง. และก็เป็นจริงดังที่หวัง. เราพบกันระหว่างทางขณะที่เธอพร้อมกับนักโทษอีกสองคนกำลังออกไปทำงาน. ด้วยความยินดีท่วมท้น ดิฉันโผเข้าโอบกอดเธอไว้แน่น. แต่ยามรักษาการณ์หญิงได้รายงานพฤติกรรมของเราทันที. เราถูกสอบสวน และนับแต่นั้น เขาจงใจแยกเราไว้ห่างกัน. นั่นเป็นช่วงที่ต้องทนความคับแค้นอย่างสุดขีด.
เหตุการณ์อื่นอีกสองครั้งที่ลิชเทนบูร์กยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของดิฉัน. ณ โอกาสหนึ่ง นักโทษทุกคนจะต้องมารวมกันที่สนามเพื่อฟังคำปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงเกี่ยวกับการเมืองของฮิตเลอร์. พวกเราพยานพระยะโฮวาไม่เข้าร่วม เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพิธีการปลุกใจให้รักชาติ. ด้วยเหตุนี้ ยามรักษาการณ์จึงเปิดน้ำและหันสายดับเพลิงฉีดน้ำที่มีแรงดันสูงไล่พวกเราซึ่งไม่มีทางสู้จากชั้นสี่ลงมาที่สนาม. ที่นั่น เราต้องยืนเปียกโชกทั้งตัว.
อีกโอกาสหนึ่ง ดิฉันพร้อมกับเกอร์ทรูด เออเมอ และแกร์เทิล บือร์เลิน ได้รับคำสั่งให้ตกแต่งดวงไฟในสถานที่ทำการของท่านผู้บังคับการ เนื่องจากใกล้จะมีการฉลองครบรอบวันเกิดฮิตเลอร์. พวกเราปฏิเสธ เพราะรู้อุบายของซาตานที่พยายามใช้กลยุทธ์มุ่งหมายจะทำลายความซื่อสัตย์มั่นคงของเราโดยให้เรายอมประนีประนอมในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ. เพื่อเป็นการลงโทษ พวกเราซิสเตอร์วัยสาวแต่ละคนจึงถูกขังเดี่ยวเป็นเวลาสามสัปดาห์ในห้องมืดและคับแคบ. แต่พระยะโฮวาสถิตใกล้พวกเรา และถึงแม้เป็นสถานที่น่าหวาดกลัวขนาดนั้น พระองค์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าทรงเป็นที่พึ่งพำนัก.
ในราเฟนส์บรึค
ในเดือนพฤษภาคม 1939 นักโทษที่ค่ายลิชเทนบูร์กถูกย้ายไปอยู่ที่ค่ายกักกันราเฟนส์บรึค. ที่ค่ายแห่งนี้เขามอบหน้าที่ให้ดิฉันทำงานแผนกซักรีด พร้อมด้วยซิสเตอร์พยานฯ อีกหลายคน. หลังจากสงครามปะทุได้ไม่นาน พวกเขาคาดหมายให้เราเก็บธงสวัสติกะ ซึ่งเราไม่ยอมทำ. ผลที่ตามมา เราสองคนคือดิฉันกับมีลเชิน แอนสท์ ต้องถูกขังในค่ายลงโทษ. นั่นเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงโทษอย่างทารุณยิ่ง และหมายความว่าพวกเราต้องทำงานหนักทุกวัน แม้เป็นวันอาทิตย์ สภาพดินฟ้าอากาศแย่เพียงใดก็ไม่ว่างเว้น. ปกติแล้ว การต้องโทษนานที่สุดคือสามเดือน แต่พวกเราอยู่ที่นั่นหนึ่งปี. หากปราศจากการเกื้อหนุนจากพระยะโฮวา ดิฉันคงไม่รอดออกมาได้.
ปี 1942 สภาพการณ์ต่าง ๆ สำหรับนักโทษอย่างพวกเราค่อยดีขึ้นบ้าง และดิฉันได้รับหน้าที่ทำความสะอาดที่บ้านครอบครัวทหารเอสเอสซึ่งอยู่ไม่ไกลจากค่าย. ครอบครัวนี้ให้ดิฉันมีอิสระอยู่บ้าง. อย่างเช่น คราวหนึ่งขณะดิฉันพาเด็กไปเดินเล่น ดิฉันพบโยเซฟ เรห์วัลด์ และกอทท์ฟรีด เมลฮอร์น ทั้งสองเป็นนักโทษติดแถบสามเหลี่ยมสีม่วง ซึ่งดิฉันมีโอกาสแลกเปลี่ยนการหนุนใจกับเขาได้บ้าง.c
หลายปีที่ยากลำบากหลังสงคราม
ปี 1945 เมื่อทหารพันธมิตรกำลังเคลื่อนพลเข้ามาใกล้ ครอบครัวที่ดิฉันทำงานอยู่ด้วยได้อพยพหนี และดิฉันก็ต้องไปกับเขา. พร้อมกับครอบครัวทหารเอสเอสอีกหลายครอบครัวต่างได้รวมตัวกันเป็นขบวนใหญ่มุ่งหน้าไปทางตะวันตก.
สองสามวันสุดท้ายก่อนสิ้นสงครามมีแต่ความวุ่นวาย และมีอันตรายอยู่ทั่วไป. ในที่สุดเราได้พบทหารอเมริกันบางคนซึ่งอนุญาตให้ดิฉันไปลงทะเบียนที่เมืองถัดไปในฐานะเป็นผู้ได้รับการปลดปล่อย. ดิฉันพบใครในเมืองนั้น? โยเซฟ เรห์วัลด์และกอทท์ฟรีด เมลฮอร์น. พวกเขาได้ข่าวว่า พยานฯ ทั้งหมดจากค่ายกักกันซัคเซนเฮาเซนได้ไปถึงชเวรีนแล้ว หลังจากการเดินทางที่เสี่ยงอันตรายยิ่ง. ดังนั้น พวกเราทั้งสามคนจึงออกเดินทางไปยังเมืองนั้น ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 75 กิโลเมตร. ช่างเป็นความปีติยินดีอะไรเช่นนั้นเมื่อพบปะพี่น้องผู้ซื่อสัตย์เหล่านั้น ทุกคนรอดชีวิตจากค่ายกักกัน รวมทั้งคอนราด ฟรังเคอ.
พอถึงเดือนธันวาคม ปี 1945 สถานการณ์ภายในประเทศกระเตื้องขึ้นมาระดับหนึ่ง ดิฉันจึงสามารถเดินทางโดยรถไฟได้. ดังนั้น ดิฉันมุ่งหน้ากลับบ้าน! อย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนั้นนับรวมถึงเวลาที่นอนบนหลังคาตู้รถไฟ และการยืนอัดกันแน่นตรงบันไดขึ้นลงรถ. ที่เมืองเคมนิทซ์ จากสถานีรถไฟดิฉันเดินทางไปยังย่านที่เราเคยอยู่กันเป็นครอบครัว. แต่บนถนนสายนั้นซึ่งเมื่อก่อนพวกนาซีเคยยืนร้องตะโกนว่า “คนขายชาติอยู่ที่นี่!” ไม่เหลือบ้านแม้แต่หลังเดียว. ละแวกอันเป็นที่อยู่อาศัยถูกระเบิดทำลายไม่เหลือซาก. แต่ดิฉันรู้สึกโล่งใจเมื่อได้พบคุณแม่, คุณพ่อ, แคเทอ และพี่ ๆ น้อง ๆ ชายหญิงยังรอดชีวิตอยู่.
สภาพเศรษฐกิจของประเทศเยอรมนีหลังสงครามย่ำแย่. ถึงอย่างไรก็ดี ประชาคมแห่งไพร่พลของพระเจ้าเริ่มเจริญเฟื่องฟูทั่วเยอรมนี. สมาคมว็อชเทาเวอร์ได้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเตรียมพวกเราให้พร้อมสำหรับกิจกรรมการเผยแพร่. กิจกรรมที่สำนักเบเธลในเมืองมักเดอบูร์กซึ่งนาซีสั่งปิดนั้นเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง. ฤดูใบไม้ผลิปี 1946 ดิฉันได้รับเชิญไปทำงานที่นั่นและได้รับมอบหมายให้อยู่แผนกครัว.
ถูกสั่งห้ามและถูกคุมขังอีกครั้งหนึ่ง
เมืองมักเดอบูร์กอยู่ในส่วนนั้นของเยอรมนีซึ่งกลายเป็นเขตควบคุมภายใต้รัฐบาลคอมมิวนิสต์. เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1950 พวกคอมมิวนิสต์สั่งห้ามกิจการของพวกเราและสั่งปิดสำนักเบเธลที่มักเดอบูร์ก. ด้วยเหตุนี้ งานรับใช้ของดิฉันที่เบเธลก็เป็นอันสิ้นสุด ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงฝึกอบรมที่ได้ประโยชน์มาก. ดิฉันกลับไปที่เคมนิทซ์ ทั้ง ๆ ที่อยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะยึดความจริงไว้มั่นและจะประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งเป็นความหวังอย่างเดียวสำหรับมนุษยชาติที่เดือดร้อนเป็นทุกข์.
เดือนเมษายน 1951 ดิฉันได้เดินทางไปเบอร์ลินกับบราเดอร์คนหนึ่งเพื่อหาวารสารหอสังเกตการณ์. ขณะเดินทางกลับ เราสะดุ้งตกใจที่พบว่าตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าล้อมสถานีรถไฟเคมนิทซ์. เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังคอยพวกเราอยู่ และเราถูกจับกุมทันที.
เมื่อไปถึงห้องฝากขังก่อนพิจารณาคดี ดิฉันมีเอกสารติดตัวยืนยันว่าฝ่ายนาซีได้คุมขังดิฉันนานหลายปี. ผลก็คือ ยามรักษาการณ์ได้ปฏิบัติต่อดิฉันด้วยความนับถือ. หัวหน้ายามคนหนึ่งที่เป็นผู้หญิงพูดว่า “พวกคุณพยานพระยะโฮวาไม่ใช่อาชญากร คุณไม่น่าจะต้องติดคุก.”
คราวหนึ่ง หัวหน้ายามคนเดียวกันได้เข้ามาในห้องขัง ซึ่งมีซิสเตอร์อีกสองคนอยู่กับดิฉัน และเธอแอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ใต้เตียงหลังหนึ่ง. มันเป็นอะไรหนอ? คัมภีร์ไบเบิลฉบับส่วนตัวซึ่งเธอได้ละไว้ให้เรา. อีกโอกาสหนึ่ง เธอได้แวะไปหาพ่อแม่ของดิฉันที่บ้าน เนื่องจากท่านอยู่ไม่ไกลจากเรือนจำ. เธอได้เอาสำเนาวารสารหอสังเกตการณ์ บางเล่มและอาหารมากพอสมควรซุกซ่อนไว้กับตัว แล้วลอบนำมาไว้ในห้องขังของดิฉัน.
ยังมีเรื่องอื่นอีกซึ่งดิฉันอยากเล่า. บางครั้งในตอนเช้าวันอาทิตย์ เรามักจะร่วมกันร้องเพลงราชอาณาจักรด้วยเสียงดังมาก ซึ่งพวกนักโทษอื่น ๆ พากันปรบมือแสดงความยินดีเมื่อจบการร้องเพลงแต่ละบท.
พลังเข้มแข็งและการช่วยเหลือจากพระยะโฮวา
ระหว่างการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 4 กันยายน 1951 ผู้พิพากษากล่าวชมเชยตามที่เกริ่นไว้ตอนต้นบทความนี้. ดิฉันรับโทษติดคุกในเมืองวัลด์ไฮม์ แล้วต่อจากนั้นติดคุกที่ฮัลเลอ และสุดท้ายในโฮเอเนค. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหนึ่งหรือสองครั้งเพียงช่วงสั้น ๆ จะแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นที่พึ่งพำนักและเป็นกำลังแก่พวกเราพยานพระยะโฮวาอย่างไร และพระคำของพระองค์ได้เสริมกำลังวังชาแก่พวกเราโดยวิธีใด.
ที่เรือนจำวัลด์ไฮม์ ซิสเตอร์พยานฯ ทั้งหลายได้มาร่วมพบปะกันเป็นประจำในห้องโถงห้องหนึ่ง ดังนั้นเราจึงสามารถจัดการประชุมคริสเตียนได้. เขาไม่อนุญาตให้เรามีดินสอหรือกระดาษ แต่ซิสเตอร์บางคนได้นำเศษผ้ามาและจัดการทำเป็นป้ายเล็ก ๆ สำหรับข้อคัมภีร์ประจำปี 1953 ซึ่งก็คือ “จงสวมเครื่องประดับอันบริสุทธิ์นมัสการพระยะโฮวา.”—บทเพลงสรรเสริญ 29:2.
ยามรักษาการณ์หญิงคนหนึ่งจับได้โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว และรายงานการกระทำของเราทันที. ผู้บัญชาการเรือนจำเข้ามาและสั่งให้ซิสเตอร์สองคนท่ามกลางพวกเรายกป้ายผ้าชูขึ้นให้สูง. เขาถามว่า “ใครเป็นคนทำ?” “ทำขึ้นด้วยจุดประสงค์อะไร?”
ซิสเตอร์คนหนึ่งต้องการสารภาพรับผิดเสียคนเดียว แต่พวกเรารีบกระซิบต่อ ๆ กัน โดยตกลงว่าทุกคนต่างก็ร่วมรับผิดชอบด้วยกัน. ดังนั้น เราได้ตอบว่า “เราทำขึ้นเพื่อเสริมความเชื่อของเราให้มั่นคง.” ป้ายแผ่นนั้นถูกยึด และเขางดให้อาหารเราเป็นการลงโทษ. แต่ตลอดเวลาที่ผู้บัญชาการเรือนจำทำการสอบสวน ซิสเตอร์สองคนก็ยังคงชูป้ายนั้นไว้ เพื่อพวกเราจะได้ตราตรึงข้อคัมภีร์ที่เสริมกำลังไว้ในใจของเรา.
เมื่อเรือนจำหญิงที่วัลด์ไฮม์ปิด พวกเราซิสเตอร์ทั้งหลายก็ถูกย้ายไปที่ฮัลเลอ. ที่นี่ เขาอนุญาตให้เรารับพัสดุต่าง ๆ ได้ และอะไรนะที่เย็บติดกับรองเท้าแตะคู่หนึ่งซึ่งคุณพ่อส่งมาให้ดิฉัน? บทความต่าง ๆ จากหอสังเกตการณ์! ดิฉันยังจำชื่อบทความเหล่านั้นได้ เช่น “ความรักแท้ใช้ได้ผล” และ “การโกหกนำไปสู่การสูญเสียชีวิต.” บทความเหล่านี้และบทความอื่น ๆ เป็นอาหารเลิศรสอย่างแท้จริง และเมื่อเราแอบส่งจากคนหนึ่งต่อไปให้อีกคนหนึ่ง แต่ละคนก็จดข้อความไว้สั้น ๆ สำหรับตัวเอง.
ระหว่างการตรวจค้นครั้งหนึ่ง ยามคนหนึ่งค้นพบข้อความที่ดิฉันจดซ่อนไว้ในที่นอนฟาง. หลังจากนั้น เขาได้เรียกดิฉันไปสอบปากคำและพูดว่าเขาต้องการรู้ความหมายของบทความเรื่อง “ความคาดหวังของคนที่เกรงกลัวพระยะโฮวาในปี 1955.” สำหรับยามคนนี้ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ มีความวิตกกังวลไม่น้อยในอสัญกรรมของสตาลินผู้นำของเธอในปี 1953 และอนาคตดูมืดมน. สำหรับพวกเรา อนาคตคงจะช่วยให้สภาพในเรือนจำของเราดีขึ้นบ้าง แต่ดิฉันยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น. ดิฉันได้ชี้แจงอย่างมั่นใจว่าความคาดหวังของพยานพระยะโฮวานั้นดียอดเยี่ยม. ทำไม? ดิฉันได้อ้างถึงข้อคัมภีร์หลักของบทความนั้น คือบทเพลงสรรเสริญ 112:7 ที่ว่า “เขาจะไม่กลัวข่าวร้าย: จิตต์ใจของเขาปักแน่น, วางใจในพระยะโฮวา.”
พระยะโฮวายังคงเป็นที่พึ่งพำนักและกำลังของดิฉัน
เดือนมีนาคม ปี 1957 ภายหลังการล้มป่วยอย่างหนัก เขาได้ปล่อยตัวดิฉันจากที่คุมขังเร็วกว่าที่กำหนดไว้สองปี. พวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายเยอรมนีตะวันออกกดดันดิฉัน เพราะการงานต่าง ๆ ที่ดิฉันทำในการรับใช้พระยะโฮวา. ดังนั้น ดิฉันได้ฉวยโอกาสหลบหนีไปเบอร์ลินตะวันตกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1957 และจากนั้น ดิฉันได้ย้ายไปเยอรมนีตะวันตก.
นานหลายปีทีเดียวกว่าสุขภาพของดิฉันจะฟื้นคืนเป็นปกติ. แต่จวบจนปัจจุบัน ดิฉันก็ยังมีความอยากอาหารฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอและตั้งตารอรับวารสารหอสังเกตการณ์ ที่ออกใหม่ทุกฉบับ. เป็นครั้งคราวดิฉันคอยสำรวจและพิจารณาตัวเอง. ดิฉันยังคงใส่ใจต่อสิ่งฝ่ายวิญญาณไหม? ดิฉันได้ปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีไหม? คุณภาพความเชื่อของดิฉันที่ถูกทดสอบแล้วนั้นเป็นเหตุให้มีการสรรเสริญและถวายเกียรติยศแด่พระยะโฮวาไหม? เป้าหมายของดิฉันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ดิฉันทำก็เพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะเป็นที่พึ่งพำนักและกำลังของดิฉันตลอดกาล.
[เชิงอรรถ]
a “ภาพยนตร์” ที่ว่านี้ประกอบด้วยภาพนิ่งและภาพที่เคลื่อนไหวได้ และเริ่มตั้งแต่ปี 1914 ตัวแทนของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ได้นำออกฉายอย่างกว้างขวาง.
b วารสารโทรสท์ (คอนโซเลชัน, ภาษาอังกฤษ) จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ในกรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม 1940 หน้า 10 ได้รายงานว่า คราวหนึ่งสตรีพยานพระยะโฮวาในค่ายลิชเทนบูร์กไม่ได้รับอาหารมื้อกลางวันนานถึง 14 วัน เพราะพวกเขาไม่แสดงความเคารพขณะมีการบรรเลงเพลงสดุดีนาซี. ในค่ายแห่งนั้นมีพยานพระยะโฮวา 300 คน.
c รายงานเกี่ยวกับโยเซฟ เรห์วัลด์ ได้ลงในตื่นเถิด! ฉบับ 8 กุมภาพันธ์ 1993 (ภาษาอังกฤษ) หน้า 20-23.
[รูปภาพหน้า 26]
ที่ทำการของหน่วยเอสเอสที่เมืองราเฟนส์บรึค
[ที่มาของภาพ]
Top: Stiftung Brandenburgische Gedenkstätten
[รูปภาพหน้า 26]
หนังสืออนุญาตให้ผ่านไปทำงานนอกค่ายกักกัน