ตอน2
วิทยาศาสตร์—มนุษยชาติแสวงหาความจริงไม่หยุดยั้ง
การค้นคว้าเริ่มต้น
เดอะ เวิลด์ บุ๊ก เอ็นไซโคลพีเดีย เขียนดังนี้: “ไม่มีผู้ใดทราบว่าใครเป็นคนแรกที่ค้นพบไฟ, ประดิษฐ์ล้อ, พัฒนาคันธนูและลูกศร, หรือพยายามอธิบายการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์.” แต่เมื่อมีการค้นพบ, ประดิษฐ์, พัฒนา, และอธิบายสิ่งเหล่านี้ โลกนี้ก็ไม่เหมือนเดิมตั้งแต่นั้นมา.
การสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้เป็นก้าวแรก ๆ ของการเดินทางเพื่อค้นคว้าความจริงซึ่งจนกระทั่งปัจจุบันได้ดำเนินไปแล้วประมาณหกพันปี. มนุษยชาติกระหายใคร่รู้เสมอมา ต้องการจะเข้าใจถึงสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในโลกรอบตัวเขา. พวกเขายังสนใจในการประยุกต์สิ่งต่าง ๆ ที่เรียนรู้มาอีกด้วย ใช้สิ่งเหล่านั้นในภาคปฏิบัติเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเอง. การกระหายความรู้แต่กำเนิดนี้และความปรารถนาที่จะประยุกต์ใช้ความรู้นั้น เป็นพลังผลักดันการค้นหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ของมนุษยชาติอย่างไม่หยุดยั้ง.
แน่นอน ความพยายามในตอนแรกที่จะนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในภาคปฏิบัติไม่ได้เรียกว่าเทคโนโลยีตามที่รู้จักกันในทุกวันนี้. ทั้งบุคคลผู้ออกความพยายามทำเช่นนั้นก็ไม่ได้ถูกเรียกว่านักวิทยาศาสตร์ด้วย. ที่จริงแล้ว วิทยาศาสตร์ในความหมายสมัยใหม่ไม่ได้มีอยู่ระหว่างระยะเวลาส่วนใหญ่แห่งความเป็นอยู่ของมนุษยชาติด้วยซ้ำ. จนกระทั่งศตวรรษที่ 14 นี้เอง เมื่อเซาเซอร์กวีชาวอังกฤษใช้คำ “วิทยาศาสตร์” เขาเพียงแต่หมายถึงสรรพความรู้ชนิดต่าง ๆ กัน. เรื่องนี้สอดคล้องกับรากศัพท์ของคำนี้ซึ่งย้อนไปถึงคำภาษาลาตินที่มีความหมายว่า “รู้.”
นักสัตววิทยาคนแรกเบิกทาง
ไม่ว่าจะถูกเรียกเช่นไรก็ตามในตอนเริ่มต้น วิทยาศาสตร์เริ่มขึ้นในสวนเอเดนทันทีที่มนุษย์เริ่มตรวจดูโลกรอบตัวเขา. แม้กระทั่งก่อนการทรงสร้างฮาวา อาดามได้รับมอบหมายให้ตั้งชื่อสัตว์ต่าง ๆ. เพื่อจะตั้งชื่อที่เหมาะสม เรียกร้องให้เขาศึกษาคุณลักษณะและนิสัยของพวกสัตว์อย่างระมัดระวัง. ปัจจุบัน เราเรียกสิ่งนี้ว่าศาสตร์แห่งสัตววิทยา.—เยเนซิศ 2:19.
บุตรหัวปีของอาดามและฮาวาที่ชื่อ คายิน “ได้สร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง” ดังนั้นเขาต้องมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างเพียงพอเพื่อพัฒนาเครื่องมือที่จำเป็น. ต่อมา หนึ่งในลูกหลานของเขาชื่อ ทูบัล-คายิน ถูกเรียกว่า “ช่างทำเครื่องมือทองเหลืองและเหล็กต่าง ๆ.” ถึงตอนนั้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด.—เยเนซิศ 4:17-22.
คราวที่อียิปต์กลายเป็นมหาอำนาจโลก—มหาอำนาจแรกที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิล—ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นถึงระดับที่ชาวอียิปต์สามารถสร้างพีระมิดขนาดมหึมาได้. เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า การออกแบบพีระมิดเหล่านี้ “บรรลุผลสำเร็จก็ต่อเมื่อได้ผ่านการทดลองอย่างมากในเรื่องการแก้ปัญหาขนาดใหญ่ทางวิศวกรรม.” ที่จะไขปัญหาเหล่านี้ได้ต้องมีความรู้ทางคณิตศาสตร์อย่างมากมาย และแสดงให้เห็นถึงการมีความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ในแขนงที่เกี่ยวพันกัน.
แน่นอน ความอยากรู้อยากเห็นทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชาวอียิปต์. ชาวบาบูโลน นอกจากจะพัฒนาปฏิทินแล้ว ยังได้จัดระบบตัวเลขและระบบชั่งตวงวัด. ในตะวันออกไกลอารยธรรมจีนมีส่วนสนับสนุนอันมีค่าทางวิทยาศาสตร์. และบรรพบุรุษรุ่นแรก ๆ ของชาวเผ่าอินคาและมายาในทวีปอเมริกาได้พัฒนาอารยธรรมล้ำหน้าอย่างหนึ่ง ซึ่งในเวลาต่อมายังความประหลาดใจแก่นักสำรวจชาวยุโรป ผู้ซึ่งยากที่จะคาดหมายความสำเร็จเช่นนั้นจาก “ชาวพื้นเมืองที่ด้อยพัฒนา.”
แต่ ไม่ใช่ทุกสิ่งซึ่งคนสมัยโบราณเหล่านี้มองในตอนต้นว่าเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ แล้วได้กลับกลายเป็นความถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์. เดอะ เวิลด์ บุ๊ก เอ็นไซโคลพีเดีย บอกเราว่าควบคู่กันกับเครื่องมืออันเป็นประโยชน์ที่ชาวบาบูโลนสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ “พวกเขาพัฒนาวิทยาศาสตร์ปลอมในเรื่อง โหราศาสตร์ อีกด้วย.”a
บาบูโลนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
สำหรับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแล้วบาบูโลนโบราณใช้หมายความถึงการนมัสการเท็จ. ในโหราศาสตร์ที่ถือปฏิบัติกันที่นั่น เชื่อว่าพระต่างองค์ต่างก็ครอบครองแต่ละส่วนของฟ้าสวรรค์. คัมภีร์ไบเบิล ซึ่งสอนว่ามีพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ในการปฏิเสธวิทยาศาสตร์เทียมที่รู้จักกันว่าโหราศาสตร์.—พระบัญญัติ 18:10-12; 1โกรินโธ 8:6; 12:6; เอเฟโซ 4:6.
ศาสนาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตคนสมัยก่อน. ดังนั้น จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้พัฒนาขึ้นโดยอิสระปลอดจากความเชื่อและความคิดทางศาสนา. เรื่องนี้เห็นได้โดยเฉพาะในขอบเขตของวิทยาศาสตร์การแพทย์.
เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า “เอกสารโบราณที่แสดงถึงสังคมอียิปต์และการแพทย์ในช่วงอาณาจักรเก่า” แสดงให้เห็นว่าเวทมนตร์และศาสนาเป็นส่วนของการรักษาโรคโดยใช้ประสบการณ์และการรู้จักสังเกตควบคู่กับเหตุผล และยังแสดงให้เห็นอีกว่าหัวหน้าผู้วิเศษในวังฟาโรห์มักเป็นหัวหน้าแพทย์ประจำชาติ.”
ระหว่างราชวงศ์ที่สามของอียิปต์ สถาปนิกโด่งดัง อิมโฮเทปได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญไม่น้อย. ไม่ถึงหนึ่งศตวรรษหลังจากเขาเสียชีวิต เขาได้รับการนมัสการเป็นเทพแห่งยารักษาโรคของอียิปต์. มาถึงปลายศตวรรษที่หกก่อนสากลศักราช เขาถูกยกสูงขึ้นในตำแหน่งเทพเจ้า. บริแทนนิกา กล่าวว่าวิหารต่าง ๆ ที่อุทิศให้กับเขามัก “เนืองแน่นไปด้วยผู้ทุกข์ยากซึ่งสวดมนต์และหลับนอนที่นั่นโดยเชื่อมั่นว่าเทพเจ้าองค์นั้นจะเปิดเผยวิธีการเยียวยาให้พวกเขาในความฝัน.”
ผู้รักษาโรคชาวอียิปต์และบาบูโลนได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความคิดทางศาสนา. เดอะ บุ๊ก ออฟ พอปูลาร์ ไซเยนซ์ กล่าวว่า “ทฤษฎีที่แพร่หลายเกี่ยวกับโรคในขณะนั้น และสำหรับคนรุ่นต่อ ๆ มาคือว่า ไข้, การอักเสบ, และความเจ็บปวดมีสาเหตุมาจากวิญญาณชั่ว หรือปิศาจร้ายซึ่งคุกคามร่างกาย.” เนื่องจากเหตุนั้นการเยียวยารักษาจึงมักเกี่ยวข้องกับของเซ่นไหว้ หรือเวทมนตร์คาถา.
ต่อมา ในช่วงศตวรรษที่สี่และห้าก่อนสากลศักราช นายแพทย์กรีกคนหนึ่งชื่อ ฮิปโปกราตีสท้าทายทัศนะนี้. เขาเป็นที่รู้จักดีเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากคำสาบานแบบฮิปโปกราติก ซึ่งโดยทั่วไปยังคงถูกมองว่าเป็นการแสดงถึงจรรยาแพทย์. หนังสือโมเมนต์ส ออฟ ดิสคัฟเวอร์รี—ดิ ออริจินส์ ออฟ ไซเยนซ์ ระบุว่า ฮิปโปกราตีส ก็เช่นกัน “อยู่ในกลุ่มแรกที่แข่งขันกับพวกนักบวชในการค้นหาคำอธิบายเรื่องความเจ็บปวดของมนุษย์” ในการบำบัดด้วยเวชกรรมตามวิธีทางวิทยาศาสตร์เขาค้นหาสาเหตุทางธรรมชาติของโรคต่าง ๆ. เหตุผลและประสบการณ์เริ่มเข้ามาแทนที่ไสยศาสตร์ทางศาสนาและการเดาสุ่ม.
ในการแยกเวชกรรมออกจากคำสอนทางศาสนา ฮิปโปกราตีสก้าวถูกทาง. แต่กระนั้น แม้ในปัจจุบันเรายังคงถูกเตือนใจให้ระลึกถึงพื้นเพทางศาสนาของการรักษาโรค. สัญลักษณ์ทางการแพทย์ งูพันรอบเสาของอัสเกลปิอุส ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการรักษาโรคของชาวกรีก สามารถย้อนรอยกลับไปยังวิหารโบราณแห่งการรักษาโรคที่ซึ่งงูศักดิ์สิทธิ์ถูกเก็บรักษาไว้. ตาม ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลิจัน งูเหล่านี้เล็งถึง “ความสามารถในการชุบชีวิตใหม่และการฟื้นฟูสุขภาพ.”
ในเวลาต่อมา ฮิปโปกราตีสเป็นที่รู้จักกันในฐานะบิดาแห่งการแพทย์. แต่สิ่งนี้หาได้ป้องกันเขาไว้จากความไม่ถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ในบางครั้ง. เดอะ บุ๊ก ออฟ พอปูลาร์ ไซเยนซ์ บอกเราว่า ความคิดอันขาดเหตุผลบางอย่างของเขา “ดูเหมือนเหลือเชื่อสำหรับพวกเราในปัจจุบันทีเดียว” แต่ก็ให้คำเตือนต่อการแสดงความหยิ่งทะนงทางการแพทย์ โดยกล่าวว่า “ทฤษฎีทางการแพทย์บางอย่างซึ่งถูกตั้งขึ้นอย่างมั่นคงมากในปัจจุบัน อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อพอ ๆ กันสำหรับคนรุ่นต่อไป.”
ก้าวหน้าขึ้นทีละขั้น
ด้วยเหตุนี้ การค้นพบความจริงทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปทีละเล็กละน้อย ซึ่งจำต้องคัดเลือกข้อเท็จจริงจากทฤษฎีต่าง ๆ ที่ผิดพลาดตลอดเวลาหลายศตวรรษ. แต่เพื่อเรื่องนี้จะเป็นไปได้ การค้นพบในรุ่นหนึ่งต้องถ่ายทอดสู่รุ่นต่อไปอย่างแม่นยำ. แน่ละ วิธีหนึ่งที่จะทำสิ่งนี้ได้คือ โดยทางคำพูด เนื่องจากมนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความสามารถในการพูด.—เทียบเยเนซิศ 2:23.
อย่างไรก็ตาม วิธีถ่ายทอดการสังเกตแบบนี้ไม่อาจเชื่อถือได้เพียงพอในการให้ความแม่นยำตามที่ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเรียกร้อง. เห็นได้ชัดว่า มีความจำเป็นที่จะปกปักษ์รักษาข้อมูลไว้ในรูปลายลักษณ์อักษร.
ไม่เป็นที่ทราบกันว่ามนุษย์เริ่มเขียนเมื่อไร. แต่เมื่อเริ่มแล้ว พวกเขาก็มีกรรมวิธีถ่ายทอดความรู้อันน่ามหัศจรรย์ซึ่งคนอื่นสามารถใช้เพื่อพัฒนาต่อไป. ก่อนกระดาษถูกประดิษฐ์ขึ้น—บางทีในประเทศจีนราวปี 105 สากลศักราช—มีการเขียนลงบนสิ่งต่าง ๆ เช่น แผ่นดินเหนียว, พาไพรัส, และแผ่นหนัง.
ความก้าวหน้าขนานใหญ่ทางวิทยาศาสตร์จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าปราศจากระบบการนับและการชั่งตวงวัด. ความสำคัญในการพัฒนาสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางมองข้ามได้. ขณะที่เรียกคณิตศาสตร์ประยุกต์ว่า “มีอาณาเขตครอบจักรวาล” นั้น เดอะ บุ๊ก ออฟ พอปูลาร์ ไซเยนซ์ ย้ำว่า “การวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์นำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ๆ มากมาย.” คณิตศาสตร์เป็น “เครื่องมืออันสูงค่ายิ่งสำหรับนักเคมี, นักฟิสิกส์, นักดาราศาสตร์, วิศวกรและอื่น ๆ.”
ตลอดหลายศตวรรษปัจจัยอื่น ๆ หลายอย่างได้เพิ่มพลังในการค้นหาความจริงทางวิทยาศาสตร์. ตัวอย่างเช่น การเดินทาง. เดอะ บุ๊ก ออฟ พอปูลาร์ ไซเยนซ์ อธิบายว่า “บุรุษผู้ซึ่งเดินทางไปต่างแดนคงจะประสบว่าความอยากรู้อยากเห็นของตนแรงกล้าขึ้นด้วยสิ่งใหม่ ๆ เช่น ภาพ, เสียง, กลิ่น และรส. เขาจะถูกเร้าใจให้ถามว่าทำไม สิ่งต่าง ๆ ในดินแดนใหม่จึงแตกต่างออกไปเช่นนี้ และในความพยายามที่จะสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขา เขาก็จะมีสติปัญญาขึ้น. เป็นเช่นนั้นกับชาวกรีกโบราณ.”
ใช่แล้ว, ไปไหนก็เจอชาวกรีก
ลองอ่านประวัติศาสตร์ทางศาสนา, การเมือง, หรือการค้า แล้วคุณจะพบว่ามีการเอ่ยถึงชาวกรีกไม่ใช่แค่โดยบังเอิญ. และใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินเรื่องปรัชญาเมธี (ฟิโลโซเฟอร์) ผู้มีชื่อเสียงของกรีกซึ่งคำนี้ในภาษาอังกฤษมาจากคำกรีกที่ว่า ฟิโล-โซ-ฟี΄อา หมายถึง “รักสติปัญญา”? การรักสติปัญญาและการกระหายความรู้ของชาวกรีกเป็นที่รู้จักกันดีในศตวรรษแรกเมื่ออัครสาวกคริสเตียนเปาโลไปเยี่ยมประเทศของพวกเขา. ท่านได้อ้างถึงปรัชญาเมธีอีพิคูเรียนและสโตอิก ผู้ซึ่งเหมือนกับ “ชาวอะเธนายทั้งปวงกับชาวต่างประเทศซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นไม่ได้สนใจในการอื่นนอกจากจะกล่าวหรือฟังข้อความใหม่ ๆ.”—กิจการ 17:18-21.
ดังนั้น จึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่ในบรรดาผู้คนสมัยโบราณทั้งหมด ชาวกรีกเป็นพวกที่ละมรดกชิ้นใหญ่ที่สุดให้แก่วงการวิทยาศาสตร์. เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวต่อไปว่า “ความพยายามของปรัชญากรีกที่จะจัดตั้งทฤษฎีว่าด้วยลักษณะและต้นกำเนิดของเอกภพขึ้นแทนตำนานเกี่ยวกับลักษณะและต้นกำเนิดของจักรวาล ในที่สุดก็นำไปสู่การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้การได้.”
ที่จริงแล้ว ปรัชญาเมธีชาวกรีกบางคนยังประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการค้นหาความจริงทางวิทยาศาสตร์. พวกเขาพยายามกำจัดความคิดผิด ๆ และทฤษฎีของคนรุ่นก่อนออกไป ในขณะเดียวกันก็พัฒนาทฤษฎีนั้น ๆ บนพื้นฐานของสิ่งที่พวกเขาพบว่าถูกต้อง. (ดูตัวอย่างในกรอบ). ดังนั้น ปรัชญาเมธีชาวกรีกในอดีตมีความคิดที่ใกล้เคียงกับนักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันมากกว่าพวกอื่น ๆ. อนึ่ง จนกระทั่งเร็ว ๆ นี้ตามเวลาโดยเทียบเคียง คำว่า “natural philosophy (ปรัชญาธรรมชาติ)” เคยถูกนำมาใช้เพื่อพรรณนาถึงสาขาต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์.
ในเวลาต่อมา ประเทศกรีซซึ่งรักปรัชญาก็ถูกบดบังทางการเมืองโดยจักรวรรดิโรมันที่ตั้งขึ้นใหม่. สิ่งนี้มีผลกระทบต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ไหม? หรือศาสนาคริสเตียนที่กำลังมาจะก่อผลแตกต่างออกไปไหม? ตอน 3 ในฉบับหน้าจะให้คำตอบ.
[เชิงอรรถ]
a โหราศาสตร์ การศึกษาเรื่องความเคลื่อนไหวของเทหวัตถุบนท้องฟ้าโดยเชื่อว่าวัตถุเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนหรือทำนายอนาคตได้ ไม่ควรจะนำมาปนกับดาราศาสตร์ซึ่งเป็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เรื่องดวงดาว, ดาวเคราะห์ และวัตถุธรรมชาติอื่น ๆ ในอวกาศโดยปราศจากความหมายแฝงทางด้านวิญญาณ.
[กรอบหน้า 16]
“นักวิทยาศาสตร์” ชาวกรีกก่อนยุคคริสเตียน
ธาเลส แห่ง มิเลตุส (ศตวรรษที่หก) เป็นที่รู้จักกันดีโดยเฉพาะผลงานด้านคณิตศาสตร์และความเชื่อของเขาที่ว่าน้ำเป็นส่วนสำคัญในสสารทั้งมวล มีวิธีการประเมินโครงสร้างของโลกอย่างรอบคอบ ซึ่ง เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า “มีความสำคัญต่อการพัฒนาความคิดทางวิทยาศาสตร์.”
โสกราตีส (ศตวรรษที่ห้า) ได้รับการเรียกโดยหนังสือ เดอะ บุ๊ก ออฟ พอปูลาร์ ไซเยนซ์ ว่าเป็น “ผู้ก่อกำเนิดวิธีค้นคว้า—วิภาษวิธี—ซึ่งเข้ามาใกล้มากกับแก่นแห่งวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง.”
เดโมคริตุส แห่ง แอ็บเดรา (ศตวรรษที่ห้าถึงสี่) ได้ช่วยเตรียมพื้นฐานเรื่องทฤษฎีอะตอมแห่งเอกภพ รวมทั้งทฤษฎีที่ว่าสสารไม่อาจทำลายได้และการอนุรักษ์พลังงาน.
เพลโต (ศตวรรษที่ห้าถึงสี่) ก่อตั้งสถาบันศึกษาขึ้นในเอเธนส์เป็นสถาบันเพื่อการค้นคว้าทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ.
อาริสโตเติล (ศตวรรษที่สี่) นักชีววิทยาผู้ทรงความรู้ ก่อตั้งไลเซียม สถาบันวิทยาศาสตร์ซึ่งทำการค้นคว้าในหลายแขนง. ความคิดของเขาทรงอิทธิพลครอบงำความคิดทางวิทยาศาสตร์นานกว่า 1,500 ปี และเขาถูกมองฐานะผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดทางวิทยาศาสตร์.
ยูคลิด (ศตวรรษที่สี่) นักคณิตศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในสมัยโบราณ มีชื่อเสียงที่สุดทางการรวบรวมความรู้ด้าน “geometry” (เรขาคณิต), ซึ่งคำนี้มาจากภาษากรีกที่มีความหมายว่า “การวัดพื้นที่.”
ฮิปปาร์คุส แห่ง ไนเซีย (ศตวรรษที่สอง) นักดาราศาสตร์ผู้โดดเด่นและผู้ก่อตั้งตรีโกณมิติ เป็นผู้แยกดาวออกเป็นพวกโดยอาศัยความสว่าง ระบบนี้โดยพื้นฐานแล้ว ยังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน. เขาเป็นผู้เบิกทางให้กับปโตเลมีนักภูมิศาสตร์และนักดาราศาสตร์ผู้โด่งดังในศตวรรษที่สองสากลศักราช ผู้ซึ่งแผ่ขยายการค้นพบของฮิปปาร์คุสและสอนว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของเอกภพ.
[รูปภาพหน้า 17]
สัญลักษณ์งูพันรอบเสา ของอัสเกลปิอุส เตือนใจว่าวิทยาศาสตร์ไม่ได้พัฒนาขึ้นโดยอิสระปลอดจากอิทธิพลทางศาสนา