ตอน 3
วิทยาศาสตร์—มนุษยชาติ แสวงหาความจริงไม่หยุดยั้ง
ศาสนากับวิทยาศาสตร์การผสมที่ไม่ค่อยจะเข้ากัน
หลายพันปีแห่งการเสาะหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนได้วางพื้นฐานอันมั่นคงสำหรับการค้นคว้าในเวลาต่อมา. เป็นที่แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดอาจขัดขวางความก้าวหน้าต่อไปได้. และกระนั้น เดอะ บุ๊ก ออฟ พอปูลาร์ ไซเยนส์ กล่าวว่า “วิทยาศาสตร์ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ในช่วงศตวรรษที่สาม, สี่, และห้าแห่งสากลศักราช.”
เหตุการณ์สองอย่างมีส่วนส่งเสริมอันสำคัญต่อสภาพการณ์นี้. ในช่วงศตวรรษแรก พระเยซูได้บุกเบิกศักราชใหม่ทางศาสนา. และหลายสิบปีก่อนหน้านั้น ในปี31 ก่อนศักราชสากล. ศักราชใหม่ทางการเมืองได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับการก่อตั้งจักรวรรดิโรมัน.
ไม่เหมือนนักปรัชญากรีกซึ่งอยู่ก่อนหน้า หนังสืออ้างอิงที่กล่าวถึงข้างต้นกล่าวว่าชาวโรมัน “สนใจการแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวันมากกว่าเสาะหาความจริงอันเป็นนามธรรม.” ดังนั้น เมื่อว่ากันตามหลักตรรกวิทยา “พวกเขาให้การสนับสนุนแก่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เพียงน้อยนิด.”
แต่ ชาวโรมันก็มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีการสะสมมาจนถึงเวลานั้น. ตัวอย่างเช่น พลินี ดิ เอลเดอร์ ได้ทำการเรียบเรียงทางด้านวิทยาศาสตร์ในระหว่างศตวรรษแรกซึ่งเรียกว่า แนเชอรัล ฮิสตอรี. ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาด การเรียบเรียงนั้นก็ได้รักษาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เอาไว้หลายประเภทซึ่งมิฉะนั้นก็คงสูญหายไม่ตกทอดมาถึงคนรุ่นหลัง.
เมื่อพูดถึงศาสนาแล้ว ประชาคมคริสเตียนที่แผ่ขยายอย่างรวดเร็วไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์สมัยนั้น. ไม่ใช่ว่าชนคริสเตียนต่อต้านการค้นคว้าดังกล่าว แต่สิ่งสำคัญแรกสุดของคริสเตียน ดังที่พระคริสต์เองทรงจัดลำดับไว้อย่างเห็นได้ชัด คือการเข้าใจและการเผยแพร่ความจริงทางศาสนา.—มัดธาย 6:33; 28:19,20.
ก่อนศตวรรษแรกจะสิ้นสุด คริสเตียนที่ออกหากก็ได้เริ่มปลอมปนความจริงทางศาสนาที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้เผยแพร่เสียแล้ว. จากสิ่งนี้พวกเขาก็ได้ก้าวไปสู่การก่อตั้งศาสนาคริสเตียนแบบออกหากขึ้นในเวลาต่อมา ดังที่มีบอกล่วงหน้าไว้. (กิจการ 20:30; 2เธซะโลนิเก 2:3; 1ติโมเธียว 4:1) เหตุการณ์ต่อมาแสดงให้เห็นว่าการปฏิเสธของพวกเขาต่อความจริงทางศาสนา ดำเนินควบคู่ไปกับเจตคติแห่งการไม่แยแส—บางครั้งกระทั่งเจตคติแห่งการต่อต้าน—ต่อความจริงทางวิทยาศาสตร์.
ยุโรป “คริสเตียน” สูญเสียการเป็นผู้นำ
สารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก อธิบายว่าในระหว่างยุคกลาง (ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 15) “ในยุโรป พวกผู้คงแก่เรียนพากันสนใจใน เทววิทยา หรือการศึกษาเรื่องศาสนา มากกว่าการศึกษาเรื่องธรรมชาติ.” และการ “เน้นถึงความรอดมากกว่าเน้นการศึกษาค้นคว้าธรรมชาติ” ตามคำชี้แจงของ คอลลิเออร์ส เอ็นไซโคลพีเดีย “เป็นการขัดขวางมากกว่าการสนับสนุนวิทยาศาสตร์.”
คำสอนของพระคริสต์ไม่ได้มุ่งหมายที่จะขัดขวางเช่นนั้น. อย่างไรก็ตาม ความสับสนยุ่งเหยิงในเรื่องแนวคิดจอมปลอมทางศาสนาของคริสต์ศาสนจักร รวมถึงการเน้นมากเกินไปในเรื่องความรอดของสิ่งที่คิดกันเอาเองว่าเป็นจิตวิญญาณอมตะ ได้สนับสนุนเหตุการณ์นี้. การเรียนส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของคริสต์จักรและโดยมากแล้วให้การอบรมตามอารามต่าง ๆ. เจตคติทางศาสนาเช่นนี้จึงชะลอการแสวงหาความจริงทางวิทยาศาสตร์.
เรื่องต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ตกอยู่ในอันดับรองจากเรื่องทางเทววิทยาตั้งแต่ตอนต้นศักราชสากลทีเดียว. ว่ากันตามจริงแล้วความก้าวหน้าเพียงอย่างเดียวทางวิทยาศาสตร์ที่ควรค่าจะกล่าวถึงก็คือเรื่องยารักษาโรค. ยกตัวอย่าง เอาลุส เคลซุส นักเขียนเรื่องทางแพทย์ชาวโรมันในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราชซึ่งถูกขนานนามว่า “ฮิปโปกราติสชาวโรมัน” ได้เขียนสิ่งที่ปัจจุบันนี้ถือกันว่าเป็นหนังสือทางการแพทย์แบบคลาสสิก. เภสัชกรชาวกรีกชื่อเพดานิอุส ดิออสคอริเดส ศัลยแพทย์คนหนึ่งในกองทัพโรมของเนโร ได้เขียนหนังสือคู่มือทางเภสัชกรรมที่ดีเด่นจนสำเร็จซึ่งได้มีการใช้กันอย่างกว้างขวางเป็นเวลาหลายศตวรรษ. กาเลน ชาวกรีกในศตวรรษที่สอง ซึ่งโดยการวางพื้นฐานด้านสรีรวิทยาขั้นทดลอง ก่อผลกระทบอย่างมากต่อทฤษฎีและการปฏิบัติทางแพทย์ตั้งแต่สมัยของเขาเรื่อยมาจนถึงยุคกลาง.
ช่วงแห่งความซบเซาทางวิทยาศาสตร์ยังคงมีกระทั่งภายหลังศตวรรษที่15. จริงอยู่ นักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรปได้ค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างช่วงเวลานี้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ใช่ต้นฉบับ. นิตยสาร ไทม์ ให้ข้อสังเกตว่า “[ชาวจีน] คือผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์พวกแรกของโลก. นานก่อนชาวยุโรป พวกเขารู้วิธีใช้เข็มทิศ, การทำกระดาษและดินปืน, [และ] การพิมพ์ระบบตัวเรียง.”
ดังนั้น เนื่องจากความว่างเปล่าในด้านแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในยุโรป “คริสเตียน” วัฒนธรรมของชนที่ไม่ใช่คริสเตียนจึงนำหน้า.
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
พอมาถึงศตวรรษที่เก้า นักวิทยาศาสตร์ชาวอาหรับได้กลายเป็นผู้นำในเรื่องวิทยาศาสตร์อย่างรวดเร็ว. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่10 และ11—ในขณะที่คริสต์ศาสนจักรหยุดชะงัก—บรรดานักวิทยาศาสตร์อาหรับก็พากันยินดีกับยุคทองแห่งความสำเร็จ. พวกเขาได้ให้การสนับสนุนอันมีค่ามากต่อเวชกรรม, เคมี, พฤกษศาสตร์, ฟิสิกส์, ดาราศาสตร์, และยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ต่อคณิตศาสตร์. (ดูกรอบหน้า 20.) มาแอน แซด. มาดีนา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าวว่า “วิชาตรีโกณมิติสมัยใหม่รวมทั้งพีชคณิตและเรขาคณิตส่วนมากเป็นการประดิษฐ์คิดค้นของพวกอาหรับ.”
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นต้นฉบับ. แต่ก็มีบางส่วนที่อาศัยพื้นฐานกว้าง ๆ ของปรัชญากรีกและ น่าแปลก เกิดขึ้นมาโดยมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง.
กล่าวโดยเทียบเคียงในช่วงต้น ๆ แห่งสากลศักราช คริสต์ศาสนจักรแพร่เข้าไปในเปอร์เซียและจากนั้นก็เข้าไปในอาระเบียและอินเดีย. ในระหว่างศตวรรษที่ห้า เนสโตริอุส บาทหลวงระดับราชาคณะแห่งคอนสแตนติโนเปิล ได้เข้าไปพัวพันในกรณีพิพาทหนึ่งซึ่งนำไปสู่ความแตกแยกภายในคริสต์จักรตะวันออก. สิ่งนี้ได้นำไปสู่การก่อตั้งกลุ่มที่แยกตัวออกไปกลุ่มหนึ่งคือพวกเนสโตเรียน.
ในศตวรรษที่เจ็ด เมื่อศาสนาใหม่คืออิสลามได้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในฉากของโลกและเริ่มการรณรงค์แผ่ขยายศาสนา พวกเนสโตเรียนก็ถ่ายทอดความรู้ของตนอย่างรวดเร็วให้ชาวอาหรับผู้พิชิต. ตาม สารานุกรมศาสนา (ภาษาอังกฤษ) “พวกเนสโตเรียนเป็นพวกแรกที่ส่งเสริมวิทยาศาสตร์และปรัชญาของกรีก โดยการแปลข้อความภาษากรีกเป็นภาษาซีเรียแล้วก็ภาษาอาหรับ.” พวกเขายัง “เป็นพวกแรกที่นำเอาเวชกรรมของกรีกเข้าสู่แบกแดด” อีกด้วย. นักวิทยาศาสตร์อาหรับได้เริ่มพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ที่เขาเรียนรู้จากพวกเนสโตเรียน. ภาษาอาหรับได้เข้ามาแทนที่ภาษาซีเรียในฐานะเป็นภาษาทางวิทยาศาสตร์ในจักรวรรดิอาหรับและได้มาเป็นภาษาที่เหมาะสมยิ่งสำหรับการเขียนทางวิทยาศาสตร์.
แต่ ชาวอาหรับก็มีทั้งให้และรับ. เมื่อพวกมัวร์บุกยุโรปโดยผ่านสเปน—เพื่อยึดอาศัยเป็นเวลากว่า 700ปี—พวกเขาได้นำเอาวัฒนธรรมอันก้าวหน้าของชาวมุสลิมเข้าไปด้วย. และในช่วงที่เรียกว่าสงครามคริสเตียนครูเสดแปดครั้ง ระหว่างปี 1096 และ 1272 พวกนักรบครูเสดชาวตะวันตกประทับใจในความก้าวหน้าของอารยธรรมอิสลามซึ่งพวกเขาได้สัมผัส. พวกเขาจึงกลับไปพร้อมด้วย “ความประทับใจใหม่ ๆ มากมาย” ดังที่นักประพันธ์คนหนึ่งกล่าวไว้.
ความเรียบง่ายทางคณิตศาสตร์ของชาวอาหรับ
การส่งเสริมอันสำคัญประการหนึ่งที่ชาวอาหรับได้ให้แก่ยุโรปคือการนำเอาตัวเลขอารบิคเข้ามาแทนการใช้อักษรแบบโรมัน. แท้จริงแล้ว คำว่า “ตัวเลขอารบิค” เป็นการใช้คำไม่เหมาะสม. คำที่ถูกต้องกว่าน่าจะเป็น “ตัวเลขฮินดู-อารบิค.” จริงอยู่ อัล-ควาริซมี นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวอาหรับแห่งศตวรรษที่เก้า ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับระบบนี้ แต่เขาได้รับระบบตัวเลขนี้มาจากนักคณิตศาสตร์ชาวฮินดูแห่งประเทศอินเดียซึ่งได้ประดิษฐ์ระบบนี้ขึ้นเมื่อกว่าหนึ่งพันปีล่วงมาแล้ว ในศตวรรษที่สามก่อนสากลศักราช.
ระบบนี้แทบจะไม่รู้จักกันในยุโรปก่อนที่ ลีโอนาร์โด ฟีโบนาตชี นักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง (เป็นที่รู้จักกันในนามลีโอนาร์โดแห่งปิซาด้วย) ได้นำระบบนี้เข้ามาในปี 1202 ใน ลีเบอร์ อาบาคี (หนังสือลูกคิด). เพื่อแสดงถึงข้อได้เปรียบของระบบนี้ เขาอธิบายว่า “ตัวเลขอินเดียทั้งเก้าคือ: 9 8 7 6 5 4 3 2 1. ด้วยตัวเลขทั้งเก้านี้ พร้อมกับเครื่องหมาย 0 . . . ก็จะเขียนจำนวนใด ๆ ก็ได้.” ตอนแรกชาวยุโรปตอบรับอย่างช้า ๆ. แต่ตอนท้าย ๆ ยุคกลาง พวกเขาได้รับเอาระบบตัวเลขใหม่นี้ และความเรียบง่ายของระบบนี้ได้เสริมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์.
หากคุณสงสัยเรื่องที่ตัวเลขฮินดู-อารบิคเรียบง่ายกว่าตัวเลขโรมันที่ใช้กันมาก่อนละก็ ขอให้ลองเอา LXXIX ลบออกจาก MCMXCIII ดู. คุณงงไหม? บางที 79 ลบออกจาก 1,993 ดูจะง่ายกว่าไม่น้อย.
การจุดประกายขึ้นใหม่ในยุโรป
เริ่มต้นในศตวรรษที่ 12 เปลวไฟแห่งการเรียนรู้ซึ่งลุกโชติช่วงในโลกมุสลิมก็เริ่มริบหรี่ลง. แต่ความกระตือรือร้นนั้นถูกจุดให้ลุกโพลงขึ้นอีกในยุโรปเมื่อกลุ่มผู้คงแก่เรียนเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นตัวบุกเบิกสู่มหาวิทยาลัยสมัยใหม่. ในตอนกลางศตวรรษที่ 12 มหาวิทยาลัยปารีสและมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดได้ถือกำเนิดขึ้น. ตามด้วยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในต้นศตวรรษที่ 13 และมหาวิทยาลัยปรากกับมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์กในศตวรรษที่ 14. พอมาถึงศตวรรษที่ 19 มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางอันสำคัญของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์.
ในตอนเริ่มแรก สถานศึกษาเหล่านี้ได้รับอิทธิพลอย่างแรงจากศาสนา การศึกษาส่วนใหญ่มุ่งสู่หรือเอนเอียงไปในทางเทววิทยา. แต่ในขณะเดียวกัน สถานศึกษาหลายแห่งได้ยอมรับหลักปรัชญากรีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเขียนของอาริสโตเติล. ดัง สารานุกรมศาสนา (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “วิธีการศึกษา . . . ตลอดยุคกลาง . . . มีโครงสร้างตามหลักตรรกศาสตร์แบบอาริสโตเติลในเรื่องการให้คำจำกัดความ, การจำแนกแยกแยะ, และการหาเหตุผล เพื่ออธิบายข้อความและเพื่อแก้ปัญหายุ่งยากต่าง ๆ.”
ผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งในศตวรรษที่ 13 ซึ่งมีเจตนาจะรวมการเล่าเรียนแบบอาริสโตเติลกับเทววิทยาของคริสเตียนคือ โทมัส อะควินัส ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “คริสเตียนอาริสโตเติล.” แต่ในบางข้อ เขาแตกต่างจากอาริสโตเติล. ยกตัวอย่าง อะควินัสปฏิเสธทฤษฎีที่ว่าโลกนี้มีอยู่แล้วเสมอมา แต่เห็นด้วยกับพระคัมภีร์ที่ว่าโลกถูกสร้างขึ้น. เดอะ บุ๊ก ออฟ พอปูลาร์ ไซเยนส์ กล่าวว่า โดยการยึดถือ “อย่างมั่นคงในความเชื่อที่ว่าเอกภพของเรามีระเบียบซึ่งสามารถเข้าใจได้โดยแสงสว่างแห่งเหตุผล” เขา “ได้ให้การส่งเสริมอันมีคุณค่าต่อพัฒนาการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่.”
แต่ ส่วนใหญ่แล้ว คำสอนของอาริสโตเติล, ปโตเลมี, และกาเลน ยอมรับกันว่าเป็นความจริงที่เชื่อถือได้ แม้คริสต์จักรก็ยอมรับเช่นกัน. หนังสืออ้างอิงที่กล่าวมาแล้วนั้นอธิบายว่า “ในยุคกลาง เมื่อความสนใจในการทดลองทางวิทยาศาสตร์และการสังเกตโดยตรงนั้นเสื่อมถอยลง คำกล่าวของอาริสโตเติลก็เป็นกฎหมาย. อิปเซ ดิกสิต (‘เขาเองได้กล่าวเช่นนั้น’) เป็นข้อโต้แย้งที่พวกอาจารย์ในยุคกลางใช้เพื่อพิสูจน์ความจริงจากการสังเกต ‘ทางวิทยาศาสตร์’ หลายประการ. ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้เองที่ความผิดพลาดของอาริสโตเติล โดยเฉพาะในด้านฟิสิกส์และดาราศาสตร์ ทำให้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ชะงักงันเป็นเวลาหลายศตวรรษ.”
คนหนึ่งที่ท้าทายการยึดมั่นต่อความคิดเห็นแต่ก่อน ๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้คือ โรเจอร์ เบคอน นักบวชแห่งอ็อกฟอร์ด. โดยถูกเรียกว่า “บุคคลเด่นที่สุดในวิทยาศาสตร์ยุคกลาง” เบคอนเกือบเป็นเพียงคนเดียวที่กล่าวสนับสนุนการทดลองฐานะเป็นวิธีเรียนความจริงทางวิทยาศาสตร์. กล่าวกันว่าตั้งแต่ปี 1269 โน่นแล้วที่เขาทำนายว่าจะมีรถยนต์, เครื่องบิน, และเรือยนต์ เห็นได้ชัดว่าเป็นการกล่าวล้ำยุคหลายศตวรรษทีเดียว.
กระนั้น แม้จะมีความคิดที่มองการณ์ไกลและหลักแหลม ความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของเบคอนก็มีจำกัด. เขาเชื่ออย่างมั่นคงในเรื่องโหราศาสตร์, เวทมนตร์, และการเล่นแร่แปรธาตุ. สิ่งนี้แสดงว่าที่แท้แล้ววิทยาศาสตร์เป็นการแสวงหาความจริงอย่างไม่หยุดยั้ง และมักต้องมีการแก้ไขปรับปรุงอยู่เสมอ.
ถึงแม้การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ดูเหมือนอยู่ในสภาพหยุดอยู่กับที่ในศตวรรษที่ 14 ครั้นศตวรรษที่ 15 ใกล้สิ้นสุด การแสวงหาของมนุษยชาติเพื่อจะได้ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็ดำเนินต่อไปไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น. ที่จริง 500ปีถัดมาจะบดบังปีก่อนหน้าทั้งหมด. โลกยืนอยู่บนธรณีประตูแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์. และดังที่เป็นจริงกับการปฏิวัติทุกครั้ง การปฏิวัติครั้งนี้จะมีวีรบุรุษ, มีคนเลว, และยิ่งกว่าอื่นใด มีผู้ตกเป็นเหยื่อ. เชิญเรียนรู้มากขึ้นในตอน 4 ของเรื่อง “วิทยาศาสตร์—มนุษยชาติแสวงหาความจริงไม่หยุดยั้ง.”
[กรอบหน้า 20]
ยุคทองของวงการวิทยาศาสตร์อาหรับ
อัล-ควาริซมี (ศตวรรษที่แปด-เก้า) นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวอิรัก; มีชื่อเสียงด้วยการเริ่มใช้คำ “algebra” (พีชคณิต) มาจากคำ al-jebr มีความหมายในภาษาอาหรับว่า “การรวมกันของส่วนต่าง ๆ ที่แตกแยก.”
อะบู มูซา จาบีร์ อิบัน ไฮยัน (ศตวรรษที่แปด-เก้า) นักเล่นแร่แปรธาตุ; เรียกกันว่า บิดาแห่งวิชาเคมีของอาหรับ.
อัล-บัตตานี (ศตวรรษที่เก้า-สิบ) นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์; ปรับปรุงแก้ไขการคำนวณทางดาราศาสตร์ของปโตเลมี ด้วยเหตุนี้จึงกำหนดสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้องแม่นยำกว่าเช่นความยาวของปีและของฤดูกาล.
อา-ราซี (ราซีซ) (ศตวรรษที่เก้า-สิบ) หนึ่งในนักฟิสิกส์ชาวเปอร์เซียโดยกำเนิดซึ่งเป็นที่รู้จักดีที่สุด; คนแรกที่แยกให้เห็นความแตกต่างระหว่างโรคไข้ทรพิษกับโรคหัดและระบุสสารทุกอย่างว่าอยู่ในจำพวกสัตว์, หรือพืช, หรือแร่ธาตุอย่างใดอย่างหนึ่ง.
อะบู อาลี อัล-ฮาซัน อิบัน อัล-ไฮทัม (อัลฮาซัน) แห่งบัสรา (ศตวรรษที่ 10-11) นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์; ได้ให้การสนับสนุนอย่างสำคัญต่อทฤษฎีเกี่ยวกับแสง รวมทั้งการหักเห, การสะท้อน, การมองด้วยตาทั้งสองข้าง, และการหักเหในบรรยากาศ; เป็นคนแรกที่อธิบายอย่างถูกต้องในเรื่องการมองว่าเป็นผลของแสงที่มาจากวัตถุสู่ดวงตา.
โอมาร์ คัยยัม (ศตวรรษที่ 11-12) ชาวเปอร์เซียที่มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นนักคณิตศาสตร์, นักฟิสิกส์, นักดาราศาสตร์, แพทย์, และปรัชญาเมธี; ชาวตะวันตกรู้จักเขาดีที่สุดจากบทกวีของเขา.
[รูปภาพหน้า 18]
อาริสโตเติล (บน) และเพลโต (ล่าง) มีอิทธิพลมากต่อแนว ความคิดทางวิทยาศาสตร์ ตลอดหลายศตวรรษ
[ที่มาของภาพ]
National Archaeological Museum of Athens
Musei Capitolini, Roma