ครอบครัวของฉันควรฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันไหม?
“ถึงเวลาที่จะให้ลูกฉีดวัคซีนแล้ว” แพทย์พูดขึ้น. นั่นอาจเป็นคำกล่าวที่บ่งบอกถึงการเจ็บตัวเมื่อเด็กน้อยได้ยินเข้า แต่มักจะเห็นรอยยิ้มที่ปลอบใจและการพยักหน้ารับจากบิดามารดา.
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้เกิดมีคำถามเกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กและผู้ใหญ่ตามที่ได้ถือปฏิบัติกันมา. ยาฉีดสร้างภูมิคุ้มกันแบบใดเป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ? แล้วผลข้างเคียงเป็นอย่างไร? เลือดเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่งไหมในการผลิตวัคซีน?
นี้เป็นคำถามที่ดีสำหรับครอบครัวคริสเตียนที่มีความเป็นห่วงกังวล. คำตอบอาจมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพและอนาคตของบุตร รวมทั้งของตัวคุณเองด้วย.
ความเป็นมา
ในช่วงทศวรรษปี 1950 มีการนำวัคซีนชนิดหนึ่งมาใช้ ซึ่งแทบจะขจัดความกลัวเกี่ยวกับโรคโปลิโอในดินแดนส่วนใหญ่ให้หมดไป. พอถึงปี 1980 มีการประกาศว่าไข้ทรพิษถูกถอนรากถอนโคนออกไปจากโลกนี้แล้ว ซึ่งเป็นผลจากโครงการฉีดวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ. สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นการยืนยันคำกล่าวของ เบนจามิน แฟรงคลิน ที่ว่า “ลงทุนป้องกันเล็กน้อย ได้ผลคุ้มค่ามหาศาล.”
ทุกวันนี้ โครงการสร้างภูมิคุ้มกันได้ผลส่วนใหญ่ในการควบคุมโรคหลายอย่าง เช่น บาดทะยัก, โปลิโอ, คอตีบ, และไอกรน เป็นต้น. นอกจากนั้น ยังมีการแสดงให้เห็นว่า เมื่อการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันทำกันไม่ทั่วถึงด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด โรคนั้นจะกลับมาอีก. ในประเทศหนึ่ง ได้เกิดสิ่งนี้ขึ้นกับโรคไอกรน.
ยาสร้างภูมิคุ้มกันนี้เข้าไปทำอะไรกับร่างกาย? หนึ่งในสองวิธีพื้นฐานก็คือ ทำการค้ำจุนระบบป้องกันตัวเองของร่างกายเพื่อต่อสู้การรุกรานของสิ่งก่อโรคที่เรียกว่า พาโทเจน ซึ่งรวมทั้งเชื้อโรคและไวรัส. วิธีแรกนี้เรียกว่าการสร้างภูมิคุ้มกันแบบที่กระตุ้นร่างกายให้สร้างขึ้นเอง (active immunization). ในกรณีนี้ ยาที่ฉีดจะมีพาโทเจนซึ่งถูกทำให้อ่อนตัวหรือตายแล้ว (หรือพิษของมัน) ซึ่งมีการแปรเปลี่ยนจนไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย. กลไกการป้องกันตัวของร่างกายจะเริ่มสร้างโมเลกุลนักฆ่า ที่เรียกว่าแอนติบอดี ซึ่งสามารถต่อสู้ตัวจริงที่จะก่อให้เกิดโรค หากมันเข้ามา. ถ้ายาฉีดเป็นสารสกัดจากพิษ (ทอกซิน) ของพาโทเจน จะเรียกว่าทอกซอยด์. หากทำจากพาโทเจนที่ยังเป็นอยู่ แต่ถูกทำให้อ่อนกำลังลง หรือทำจากเชื้อที่ตายแล้ว จะเรียกว่าวัคซีน.
ตามที่คุณคาดเดาได้ การฉีดป้องกันเหล่านี้ไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นทันที. ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งสำหรับร่างกายที่จะสร้างแอนติบอดีขึ้นป้องกัน. การฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันแบบที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างขึ้นเองเหล่านี้รวมไปถึงการฉีดทุกชนิดที่ให้กับเด็ก และการฉีดที่โดยทั่วไปจะเรียกว่า ฉีดวัคซีน. ยาฉีดเหล่านี้ไม่ได้ใช้เลือดในขั้นตอนใด ๆ ของการผลิต ยกเว้นยาฉีดเพียงอย่างเดียว (จะกล่าวในภายหลัง).
อีกวิธีหนึ่งเรียกว่า การสร้างภูมิคุ้มกันแบบรับเอา (passive immunization). วิธีนี้มักใช้ในกรณีของผู้ที่ได้รับเชื้อโรคร้ายแรง เช่น โรคพิษสุนัขบ้า. ในกรณีเช่นนั้น ไม่มีเวลาให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นเอง. ฉะนั้น ต้องฉีดแอนติบอดีที่ร่างกายของผู้อื่นสร้างขึ้นแล้วให้กับบุคคลนั้นเพื่อต่อสู้กับพาโทเจนที่เขาได้รับ. แกมมา กลอบูลิน, แอนติทอกซิน, และไฮเปอร์อิมมูนเซรุ่มเป็นชื่อที่เรียกยาฉีดซึ่งผลิตด้วยสารสกัดจากเลือดมนุษย์หรือสัตว์ที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว. การสร้างภูมิคุ้มกันแบบรับเอา หรือภูมิคุ้มกันที่ขอยืมมานี้ก็เพื่อให้ร่างกายมีผู้ช่วยขึ้นมาทันทีในการต่อสู้ผู้บุกรุก แต่เป็นอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น. ในไม่ช้า แอนติบอดีที่ถูกขอยืมมาก็จะถูกขจัดออกจากร่างกาย ในฐานะโปรตีนแปลกปลอม.
ลูกของฉันควรรับการฉีดไหม?
แม้จะได้ทราบภูมิหลังเช่นนี้แล้ว บางคนก็ยังสงสัยว่า ‘ลูกของฉันควรรับการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันตัวไหนบ้าง?’ ในประเทศส่วนใหญ่ที่ยาฉีดสำหรับเด็กหาได้ง่าย การฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันที่ถือปฏิบัติตามปกติวิสัยได้ลดอัตราการเกิดโรคนั้น ๆ ในเด็กอย่างเห็นได้ชัด.
เป็นเวลาหลายปี สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา ด้วยความเห็นพ้องโดยทั่วไปกับองค์การต่าง ๆ ในลักษณะเดียวกันทั่วโลก ได้แนะนำให้มีการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันเป็นปกติวิสัยสำหรับโรคต่อไปนี้ คือ โรคคอตีบ, โรคไอกรน, และบาดทะยัก. ยาทั้งสามมักถูกนำมารวมกัน และฉีดเป็นเข็มเดียว—ที่เรียกว่า DPT—โดยการฉีดภูมิคุ้มกันสำทับต่อเนื่องจำนวนสามเข็ม ในช่วงห่างกันอย่างน้อยสองเดือน. นอกเหนือจากนี้ ยาฉีดป้องกันโรคหัด, โรคคางทูม, และโรคหัดเยอรมันมักให้เป็นเข็มเดียว—คือ MMR—หลังจากอายุหนึ่งขวบ. ทั้งยังมีการให้วัคซีนป้องกันโปลิโอชนิดใช้รับประทาน (OPV) สี่ครั้งด้วยกัน ตามตารางเวลาเดียวกันกับ DPT.a
ในหลายแห่ง ชุดการฉีดยาที่ต้องทำเป็นปกติวิสัยนี้ถือเป็นข้อบังคับ แม้ว่าเข็มที่ฉีดสำทับเสริมต่ออาจมีจำนวนแตกต่างกัน. เมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคหัดหลายครั้ง มีการแนะนำให้ฉีดวัคซีนสำทับเสริมต่อเพื่อป้องกันโรคหัด เป็นการเพิ่มเติมพิเศษในบางแห่งด้วย. คุณอาจต้องปรึกษาแพทย์ในละแวกบ้านของคุณเพื่อขอรายละเอียด.
นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม (นูโมแวกซ์). ดูเหมือนว่ายานี้สร้างภูมิคุ้มกันได้ตลอดชีวิตสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ซึ่งด้วยเหตุผลบางอย่างเป็นโรคปอดบวมบางชนิดได้ง่าย.
วัคซีนอีกชนิดหนึ่งสำหรับเด็กมีชื่อเรียกว่า วัคซีน Hib (Haemophilus influenzae typeb). มีการให้วัคซีนนี้เพื่อป้องกันเชื้อฮีโมฟิลัสอินฟลูเอนซา. เชื้อตัวนี้ทำให้เกิดโรคหลายชนิดในทารก ที่เด่นชัดที่สุดก็คือเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดร้ายแรง. โดยทั่วไป วัคซีนชนิดนี้ปลอดภัย และเป็นส่วนของชุดยาฉีดสำหรับเด็กที่มีการแนะนำให้ใช้มากขึ้นทุกที.
อนึ่ง เท่าที่ผ่านมา ยังไม่มีการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันโรคอีสุกอีใสแบบที่ถือเป็นปกติวิสัย. ส่วนวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษนั้นไม่มีใช้อีกต่อไป เพราะการฉีดวัคซีนทั่วโลกได้ทำให้โรคร้ายนี้หมดสิ้นไปแล้ว.
จะว่าอย่างไรกับผลข้างเคียง?
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกัน? สำหรับการฉีดส่วนใหญ่ นอกจากการร้องไห้จ้าและน้ำตาไหลอยู่ชั่วขณะซึ่งถือเป็นปกติแล้ว ผลข้างเคียงมักมีจำกัดและเป็นเพียงชั่วคราว—อย่างมากก็เป็นไข้วันหนึ่งหรือราว ๆ นั้น. กระนั้น บิดามารดาจำนวนมากก็ยังกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของยาฉีดเหล่านี้. การศึกษาวิจัยทางการแพทย์รายหนึ่งได้สำรวจความห่วงใยของบิดามารดาที่มีต่อสุขภาพบุตร และพบว่าร้อยละ 57 ของบิดามารดาที่ได้รับการสำรวจนั้นกังวลเกี่ยวกับปฏิกิริยาที่มีต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน.
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการแพร่ข่าวการวิตกกังวลอย่างมากในเรื่องส่วนประกอบตัวหนึ่งของ DPT กล่าวคือส่วนประกอบที่ป้องกันโรคไอกรน. ผลสำเร็จของวัคซีนชนิดนี้ได้ทำให้โรคที่เคยกลัวกันนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด—จาก 200,000 รายต่อปีในประเทศเดียวก่อนมีการฉีดวัคซีน เป็น 2,000 รายต่อปีหลังจากที่มีการใช้วัคซีนอย่างแพร่หลาย. กระนั้น ผลข้างเคียงร้ายแรง คืออาการชักและความเสียหายที่อาจมีต่อสมอง เกิดขึ้นประมาณ 1 ครั้ง ต่อทุก 100,000 ครั้งที่ฉีดไป.
แม้ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลใจในส่วนของบิดามารดาที่รู้สึกว่าตนแทบจะไม่มีทางเลือกนอกจากยอมให้บุตรได้รับการฉีดเพื่อมีคุณสมบัติที่จะเข้าโรงเรียนได้. เนื่องจากโรคไอกรน แม้ไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่ก็สร้างความเสียหายมากหากเกิดในชุมชนหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าสำหรับเด็กโดยเกณฑ์เฉลี่ยแล้ว “วัคซีนปลอดภัยกว่าการที่จะปล่อยให้ติดโรค.” ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นแนะนำให้ฉีดยาดังกล่าว เว้นเสียแต่ว่า “เข็มก่อนหน้าทำให้เกิดอาการชัก, สมองอักเสบ, อาการทางประสาทเฉพาะที่, หรือหมดสติ. ทารกที่ฉีดแล้วมี ‘อาการง่วงเหงาหาวนอนมากผิดปกติ, กรีดร้องเกินควร (ร้องไห้หรือกรีดร้องไม่ยอมหยุดนานสามชั่วโมงหรือกว่านั้น), หรือมีไข้สูงเกิน 40.5 องศาเซลเซียส’ ไม่ควรรับการฉีดวัคซีนเข็มต่อไปอีก.”b
ในหลายดินแดน ทางแก้ปัญหาแท้จริงก็คือใช้วัคซีนซึ่งไม่มีเซลล์ของเชื้อที่ตายแล้ว อย่างที่ใช้กันในญี่ปุ่นปัจจุบัน ซึ่งคาดหวังผลได้เต็มที่. วัคซีนชนิดใหม่และดูเหมือนว่าปลอดภัยกว่านี้ก็หาได้ในประเทศอื่น ๆ เช่นกัน.
ส่วนยาฉีดป้องกันชนิดอื่น ๆ สำหรับเด็กซึ่งมีการให้ตามที่ปฏิบัติเป็นปกติวิสัยนั้นปรากฏยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามีประสิทธิภาพดีและค่อนข้างปลอดภัย.
จะว่าอย่างไรกับการสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ใหญ่?
เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ มีการสร้างภูมิคุ้มกันแบบที่กระตุ้นร่างกายให้สร้างขึ้นเองเพียงไม่กี่อย่างที่ควรคำนึงถึง. ที่จริงแล้ว ผู้ใหญ่ทุกคนน่าจะมีภูมิคุ้มกันสำหรับโรคหัด, โรคคางทูม, และโรคหัดเยอรมัน เนื่องจากได้รับเชื้อมาก่อนหรือมีการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันตอนเป็นเด็ก. หากสงสัยว่าจะมีภูมิคุ้มกันโรคดังกล่าวหรือไม่ แพทย์อาจแนะนำให้ฉีด MMR สำหรับผู้ใหญ่.
การฉีดทอกซอยด์บาดทะยักทุกสิบปีหรือราว ๆ นั้นถือเป็นสิ่งที่ดี เพื่อป้องกันโรคบาดทะยัก. ผู้สูงอายุและผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังอาจต้องสอบถามแพทย์เกี่ยวกับการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ประจำปี. ผู้ที่เดินทางไปส่วนอื่นของโลกควรคำนึงถึงการสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ เช่น ไข้เหลือง, อหิวาตกโรค, โรคแอนแทรกซ์, ไข้ไทฟอยด์, หรือกาฬโรค หากเป็นโรคที่แพร่ระบาดในถิ่นที่ตนกำลังจะไป.
การฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันแบบที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างขึ้นเองอีกวิธีหนึ่งก็ควรแก่การใส่ใจ เพราะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันวิธีเดียวที่ทำจากเลือด. นั่นคือวัคซีนตับอักเสบบี ที่เรียกว่า เฮ็บตาแวกซ์-บี. การสร้างภูมิคุ้มกันชนิดนี้ทำเพื่อบางคน เช่น ผู้ทำงานด้านบริการสาธารณสุข ที่อาจติดเชื้อจากผลิตภัณฑ์ซึ่งได้จากเลือดของคนไข้ที่มีเชื้อตับอักเสบบีเข้าโดยบังเอิญ. แม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ แต่วัคซีนนี้ได้ก่อให้เกิดความเป็นห่วงแก่หลายคน เนื่องจากวิธีการผลิต.
โดยพื้นฐานแล้ว เลือดของผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบชนิดบีซึ่งได้รับการคัดเลือกไว้จะถูกนำมารวมกันและผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อไวรัสต่าง ๆ แล้วแอนติเจนของตับอักเสบบีจะถูกแยกออกมา. แอนติเจนที่ไม่ก่อให้เกิดโรค ซึ่งได้รับการแยกอย่างละเอียดแล้วนี้สามารถนำมาฉีดเป็นวัคซีนได้. อย่างไรก็ตาม หลายคนปฏิเสธที่จะรับวัคซีนนี้ เพราะกลัวจะเสี่ยงต่อการรับผลผลิตจากเลือดของผู้ที่ติดเชื้อเช่น ผู้สำส่อนทางเพศ. นอกจากนี้ สติรู้สึกผิดชอบของคริสเตียนบางคนไม่ยอมรับวัคซีนดังกล่าว เพราะได้มาจากเลือดของอีกบุคคลหนึ่ง.c
ข้อขัดข้องที่มีต่อวัคซีนตับอักเสบดังกล่าวได้ถูกขจัดออกไปเมื่อมีการออกวัคซีนตับอักเสบบีอีกชนิดหนึ่งซึ่งได้ผลพอ ๆ กัน. วัคซีนชนิดนี้ถูกทำขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีทางพันธุกรรม ซึ่งตัววัคซีนถูกผลิตในเซลล์ยีสต์ โดยไม่มีการเกี่ยวข้องกับเลือดมนุษย์เลย. หากคุณทำงานด้านการบริการทางสาธารณสุข หรือมีเหตุผลอื่น ๆ ที่จะต้องรับการฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบชนิดบี คุณควรปรึกษาแพทย์ในเรื่องนี้.
เลือดในการผลิตวัคซีน
นี่เป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญสำหรับคริสเตียนผู้ซึ่งเป็นห่วงเกี่ยวกับข้อห้ามในพระคัมภีร์เรื่องการใช้เลือดในทางผิด. (กิจการ 15:28,29) มีวัคซีนอื่นอีกไหมที่ทำจากเลือด?
โดยทั่วไปแล้วในทุกวันนี้ ยกเว้นเฮ็บตาแวกซ์-บี ยาสร้างภูมิคุ้มกันชนิดต่าง ๆ แบบที่กระตุ้นร่างกายให้สร้างขึ้นเองไม่ได้ผลิตจากเลือด. ทั้งนี้รวมถึงยาสร้างภูมิคุ้มกันทุกชนิดในเด็ก.
แต่เป็นเรื่องตรงกันข้ามทีเดียวสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันแบบรับเอา. เราสันนิษฐานได้เลยว่า เมื่อได้รับคำแนะนำให้ฉีดยาป้องกันหลังจากคิดว่าได้รับเชื้อ เช่น หลังจากที่เหยียบตะปูขึ้นสนิม หรือหลังจากถูกสุนัขกัด ยาที่ใช้ฉีด (นอกเสียจากว่าเป็นยาที่ฉีดสำทับเสริมต่อซึ่งปฏิบัติเป็นปกติวิสัย) จะเป็นไฮเปอร์อิมมูนเซรุ่ม ซึ่งทำจากเลือด. เช่นเดียวกับ อาร์เอช อิมมูน กลอบูลิน (โรแกม) ซึ่งมักมีการแนะนำให้มารดาที่มีอาร์เอชลบ (Rh-negative) ผู้ซึ่งโดยเหตุผลบางอย่างไปสัมผัสเลือดที่มีอาร์เอชบวก (Rh-positive) อย่างเช่นในตอนคลอดบุตรที่มีอาร์เอชบวก.
เนื่องจากการสร้างภูมิคุ้มกันแบบรับเอาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องเลือด ตามสติรู้สึกผิดชอบแล้ว คริสเตียนควรมีจุดยืนอย่างไรต่อเรื่องดังกล่าว? บทความก่อน ๆ ในวารสารนี้และวารสาร หอสังเกตการณ์ ซึ่งออกคู่กัน ได้เสนอจุดยืนที่คงเส้นคงวาว่า สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับสติรู้สึกผิดชอบอันได้รับการฝึกฝนตามหลักคัมภีร์ไบเบิลของคริสเตียนเป็นรายบุคคล ที่จะยอมรับการรักษาชนิดนี้สำหรับตนเองและครอบครัวของตนหรือไม่.d
ครอบครัวของฉันควรฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันไหม?
คริสเตียนให้ความนับถืออย่างยิ่งต่อชีวิตและปรารถนาอย่างจริงใจที่จะทำสิ่งดีที่สุดเพื่อสุขภาพของครอบครัว. ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจโดยอาศัยสติรู้สึกผิดชอบให้ครอบครัวของคุณฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันหรือไม่ก็ตาม นั่นเป็นการตัดสินใจส่วนตัวที่คุณจะต้องทำ.—ฆะลาเตีย 6:5.
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งได้สรุปสถานการณ์เช่นนี้ไว้เป็นอย่างดีว่า “บิดามารดาควรได้รับการชี้แจงให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาบุตรในแต่ละครั้ง. พวกเขาเป็นยิ่งกว่าผู้ปกครองตามกฎหมายของบุตร. เขาต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพและการปกป้องคุ้มครองบุตรในช่วงชีวิตที่บุตรยังต้องพึ่งพาตน.” ในเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันนี้ ก็เช่นเดียวกับเรื่องทางการรักษาอื่น ๆ ทั้งหมด พยานพระยะโฮวารับเอาหน้าที่รับผิดชอบนั้นอย่างจริงจัง.—แพทย์ส่งมา.
[เชิงอรรถ]
a เวลานี้ ในหลายส่วนของโลก องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ปฏิบัติเป็นปกติวิสัยในการฉีดยาป้องกันโรคตับอักเสบชนิดบี สำหรับทารก.
b ดูเหมือนว่าประวัติการชักในครอบครัวไม่เกี่ยวพันกับปฏิกิริยาข้างเคียงที่มีต่อยาฉีดป้องกัน. และแม้การติดเชื้อทางเดินหายใจดูเหมือนจะไม่ชักนำให้เกิดปฏิกิริยาง่ายขึ้น แต่อาจเป็นการสุขุมที่จะงดการฉีดไว้ก่อนแม้ว่าเด็กจะไม่สบายเพียงเล็กน้อยก็ตาม.
c (ดู “คำถามจากผู้อ่าน” ในวารสาร หอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มิถุนายน 1990.)
d ดูวารสาร ว็อชเทาเวอร์ ฉบับ 15 มิถุนายน 1978 หน้า 30-31.
[กรอบหน้า 20]
ยาฉีดสร้างภูมิคุ้มกัน ที่ไม่ได้ทำจากเลือด
วัคซีนที่ให้กับเด็ก (DPT, OPV, MMR)
วัคซีน Hib
นูโมแวกซ์
ทอกซอยด์
ยาฉีดป้องกันไข้หวัดใหญ่
รีคอมบีแวกซ์-เอชบี
ยาฉีดสร้างภูมิคุ้มกัน ที่ทำจากเลือด
เฮ็บตาแวกซ์-บี
โรแกม
แอนติทอกซิน
แอนติเวนิน (สำหรับพิษงูและแมงมุม)
อิมมูน กลอบูลิน (สำหรับโรคหลายชนิด)
แกมมา กลอบูลิน
ไฮเปอร์อิมมูนเซรุ่ม (เช่น เซรุ่มป้องกันพิษสุนัขบ้า)