การเพ่งดูโลก
เหตุใดจึงติดยา?
“หลายคนเชื่อว่าเภสัชวิทยาสมัยใหม่มียาเม็ดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาใด ๆ ของเราได้ทั้งนั้น. ถ้าใครหลับไม่ได้ เขาก็กินยาเม็ดเล็ก ๆ เม็ดหนึ่ง. ถ้าเขาอยากปรับปรุงผลงาน ณ ที่ทำงาน เขาก็จะกินอีกเม็ดหนึ่ง” เป็นคำอธิบายของ อัลเบอร์โต กอรัสซา หัวหน้าตำรวจแห่งเซาเปาโล ดังที่ยกมากล่าวในวารสาร เวฮา แห่งบราซิล. “เป็นเรื่องธรรมดาที่วัฒนธรรมเช่นนั้นจะมีอิทธิพลต่อเยาวชน.” เขาเสริมว่า “ร้อยละแปดสิบของผู้เสพย์ติดมีปัญหาร้ายแรงทางครอบครัว. พวกเขามาจากครอบครัวที่บีบบังคับมากหรือไม่ก็ปล่อยปละมากหรือมาจากบ้านที่ไร้บิดา.” แต่บิดามารดาจะป้องกันเยาวชนจากยาเสพย์ติดได้อย่างไร? กอรัสซาบอกว่า “อาจดูเป็นเรื่องโรแมนติก แต่ในบ้านที่สมดุลอย่างดี ซึ่งมีความรักให้กับลูก ๆ และสนทนาปราศรัยกัน ยาเสพย์ติดแทบไม่มีโอกาสกล้ำกราย.”
การดูแลรักษาให้เด็กมีสุขอนามัย
“เด็ก ๆ ก่อนวัยเข้าโรงเรียน มากกว่า 230 ล้านคนในโลกที่กำลังพัฒนา หรือ 43 เปอร์เซ็นต์ การเติบโตชะงักเพราะทุโภชนาการเนื่องจากขาดอาหารและเป็นโรค” ตามข่าวที่มาจากสหประชาชาติ. ในปี 1993 ประมาณกันว่าเด็ก ๆ สี่ล้านคนเสียชีวิตเพราะทุโภชนาการ ถ้าไม่โดยตรงก็โดยที่ภาวะนั้นทำให้ผลกระทบจากเชื้อโรคเลวร้ายยิ่งขึ้น. วิธีแก้คืออะไร? องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า “ทารกทุกคนควรจะได้รับการเลี้ยงโดยเฉพาะด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 4-6 เดือน. หลังจากนั้น ก็ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไป ขณะได้รับอาหารเสริมที่เหมาะสมและพอเพียงจนถึงอายุ 2 ขวบและให้ยาวออกไปอีก.” มารดาและผู้ให้บริการทางสุขอนามัยได้รับการรบเร้าไม่ให้สำคัญผิดในรูปแบบการเติบโตของทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่ฐานะเป็นการขัดจังหวะการเติบโตและเริ่มเลี้ยงด้วยอาหารอื่นก่อนเวลาอันควร. สิ่งนี้อาจเป็นอันตรายต่อทารกและเป็นปัจจัยเอื้อต่อทุโภชนาการและต่อโรคภัย โดยเฉพาะเมื่ออาหารที่นำมาเลี้ยงปนเปื้อนและด้อยคุณค่าทางโภชนาการ.
“ชาติที่รุนแรงที่สุด”
“อเมริกาเป็นชาติรุนแรงที่สุดในโลก” นักเขียนคอลัมน์ แอน แลนเดอร์ส เขียนไว้. ในปี 1990 ปืนพกปลิดชีวิต 10 คนในออสเตรเลีย, 22 คนในเกรท บริเตน, 68 คนในแคนาดา และ 10,567 คนในสหรัฐ.” ทั้งยังเป็นชาติที่มีอาวุธมากที่สุดอีกด้วย. ประชาชนของสหรัฐมีปืน 200 ล้านกระบอก—แทบหนึ่งกระบอกต่อหนึ่งคนในพลเมือง 255 ล้าน. โรงเรียนก็ไม่ปลอดจากความรุนแรง. เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนมัธยมพกอาวุธอย่างใดอย่างหนึ่ง. อาชญากรรมเกือบสามล้านรายแต่ละปี เกิดขึ้นที่หรือใกล้บริเวณโรงเรียน. ทุกวันครู 40 คนถูกโจมตีทางร่างกาย และประมาณ 900 คนถูกขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย. ตามคำแถลงของสมาคมการศึกษาแห่งชาติ แต่ละวันนักเรียน 100,000 คนพกปืนไปโรงเรียน และวันธรรมดาจะมีเด็ก 40 คนถูกฆ่าหรือได้รับบาดเจ็บจากอาวุธปืน. “การยอมทนของเราต่อความรุนแรงนับว่าผิดธรรมดา และโรงเรียนเป็นเพียงภาพสะท้อนถึงเรื่องนั้น” เป็นคำกล่าวของจอห์น อี. ริกเตอร์ส ประจำสถาบันแห่งชาติว่าด้วยสุขภาพจิต. ครูสอนภาษาอังกฤษคนหนึ่ง ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ประสบผลด้วยอัตราเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ในการให้นักเรียนชั้นที่ 12 เขียนเรียงความ ได้ประสบผลถึง 100 เปอร์เซ็นต์เมื่อให้เขียนในหัวเรื่อง “อาวุธที่ฉันโปรด.”
สถานีวิทยุเปลี่ยนการเปิดเพลง
ในการยึดจุดยืนที่ไม่เหมือนใคร สถานีวิทยุแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียซึ่งเปิดดนตรีแร็ปออกอากาศบ่อยมาก เมื่อเร็ว ๆ นี้แถลงว่า จะไม่เปิดเพลงซึ่งทางสถานีถือว่า “ไม่รับผิดชอบต่อสังคม” อีกต่อไป. ทั้งนี้จะรวมถึงดนตรีใด ๆ ที่ “ยกย่องการใช้ยาเสพย์ติด, โจ่งแจ้งในเรื่องเพศ, ส่งเสริมความรุนแรงหรือเหยียดหยามสตรี.” เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า สถานีดังกล่าวได้ห้ามเพลงอย่างว่าเก้าเพลงแล้ว ในจำนวนนั้นมีหลายเพลงที่ไม่อาจตีพิมพ์ชื่อได้. ผู้กำหนดรายการของสถานีนั้นยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกกระตุ้นโดยความปรารถนาที่จะให้บริการที่ดีขึ้นแก่ชุมชน. สถานีคู่แข่งกลับชี้ว่า นโยบายใหม่นี้ถูกกระตุ้นโดยความปรารถนาที่จะสร้างข่าว.
ปัญหาเรื่องการสมรสในบริเตน
การสมรสมีปัญหาทุกหนแห่งในยุโรป แต่อาจไม่มีที่ใดมีปัญหามากไปกว่าในบริเตน เป็นการค้นพบจากการสำรวจเมื่อเร็ว ๆ นี้. ยูโรสแตต สำนักงานเก็บสถิติสำหรับ EU (สหภาพยุโรป) พยายามสำรวจรูปแบบชีวิตหลายหลากของผู้หญิง 177 ล้านคนที่อยู่ตามประเทศสมาชิกของ EU. โดยเฉลี่ย 6.5 เปอร์เซ็นต์จากผู้หญิงทั้งหมดเลี้ยงดูบุตรโดยปราศจากคู่ แต่ในบริเตนอัตราเฉลี่ยสูงกว่ามาก คือ 10.1 เปอร์เซ็นต์. เฉลี่ยที่สูงรองลงมาเป็นของประเทศเยอรมนี คือ 7.7 เปอร์เซ็นต์. โดยเฉลี่ยผู้หญิงบริเตนแต่งงานอายุน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้หญิง EU อื่น ๆ—ก่อนจะถึงอายุ 24 ปี. อนึ่ง อัตราการหย่าร้างในบริเตนก็สูงสุดด้วย.
คู่มือฆ่าตัวตาย
คู่มือสมบูรณ์แบบสำหรับการฆ่าตัวตาย กลายเป็นหนังสือขายดีที่สุดในญี่ปุ่นไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้ได้มีบทบาทในความตายมาหลายรายแล้ว. หนังสือนั้นพรรณนาถึงป่าอาโอกิกาฮาราเนื้อที่ 6,000 เอเคอร์ ณ เชิงเขาฟูจิว่าเป็น “ที่เหมาะ” สำหรับการฆ่าตัวตาย. ภายในสามเดือนหลังจากการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าว ได้พบสองศพใน อาโอกิกาฮารา ทั้งสองมีคู่มือ นั้นติดตัว. เจ้าหน้าที่พบอีกรายหนึ่งซึ่งคิดจะฆ่าตัวตายกำลังเดินเตร่ในป่านั้นพร้อมหนังสืออย่างว่า. พอถึงสิ้นเดือนตุลาคม 1993 การฆ่าตัวตายในอาโอกิกาฮาราได้เพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนทั้งปี. อย่างไรก็ตาม ผู้ประพันธ์หนังสือนั้นปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงระหว่างการฆ่าตัวตายกับหนังสือของเขา. เขากล่าวว่า “ด้วยหนังสือเล่มนี้ ผมพยายามทำให้ชีวิตง่ายขึ้นโดยรวมเอาการฆ่าตัวตายไว้เป็นหนึ่งในทางเลือกของชีวิต.”
“แหล่งแห่งความทุกข์ยากใหญ่หลวงสำหรับคริสตจักร”
ในการให้บิชอปแห่งแคนาดาภาคตะวันออกเข้าพบ จอห์น พอล ที่ 2 ได้หันความสนใจไปที่การทำร้ายทางเพศโดยนักบวช. ดังที่รายงานไว้ใน ลอสเซร์วาโตเร โรมาโน โป๊ปบอกกับราชาคณะชาวแคนาดาว่า “เรื่องอื้อฉาวที่ก่อขึ้นโดยสมาชิกของคณะบาทหลวงและสมาชิกของวงการนักบวชผู้ซึ่งผิดพลาดในเรื่องนี้เป็นแหล่งแห่งความทุกข์ยากใหญ่หลวงสำหรับคริสตจักรในแคนาดา.” เขาเสริมว่า ตนได้อธิษฐาน “เผื่อผู้เหล่านั้นที่เคยตกเป็นเหยื่อของการประพฤติผิดทางเพศ รวมทั้งผู้กระทำผิดด้วย.” บางคนเชื่อว่าการยกเลิกข้อบังคับเรื่องความเป็นโสดสำหรับนักบวชอาจจะมีส่วนทั้งช่วยลดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทำร้ายทางเพศโดยนักบวชและช่วยแก้ปัญหา “การขาดหรือการกระจายนักบวชที่ไม่ได้สัดส่วน” ซึ่งโป๊ปได้กล่าวถึง. แต่ตามคำพูดของจอห์น พอล ที่ 2 บอกว่า “ความยากลำบากในปัจจุบันเกี่ยวกับการครองความเป็นโสดไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะล้มเลิกความมั่นใจของคริสตจักรว่าเป็นสิ่งมีคุณค่าและเหมาะสม.”
การเป็นทาสในปัจจุบัน
แม้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระบุว่า “ไม่มีใครตกเป็นทาสหรืออยู่ในสภาพทาส” กระนั้นผู้คนนับหลายร้อยล้านกำลังทนทุกข์ฐานะทาส. วารสาร ยูเอ็น โครนิเคิล ชี้ว่า ผู้คนซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้พฤติกรรมเยี่ยงทาส ความจริงแล้วมีมากกว่าจำนวนทาสระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 18 อันเป็น “ช่วงสุดยอดของยุคค้าทาส.” แง่หนึ่งที่น่าตกใจเกี่ยวกับการเป็นทาสในปัจจุบันก็คือเหยื่อหลายคนเป็นเด็ก. ผู้เยาว์เจ็ดถึงสิบขวบตรากตรำในโรงงาน 12 ถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน. คนอื่น ๆ ทำงานเยี่ยงทาสฐานะเป็นคนรับใช้ตามบ้าน, โสเภณี, หรือทหาร. “แรงงานเด็กเป็นที่ต้องการอย่างมาก” จากรายงานของศูนย์เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ “เพราะราคาถูก” และเพราะเด็ก “กลัวจนไม่กล้าบ่น.” สหประชาชาติให้ข้อสังเกตว่า สภาพทาสยังคงเป็น “ความเป็นจริงสมัยใหม่” ที่น่าสยดสยอง.
ฟอสซิลปลอมอีกชิ้น
แมลงวันที่ติดอยู่ในก้อนอำพัน หรือยางไม้ที่เป็นฟอสซิล ได้รับความเคารพอย่างสูงเป็นเวลานานในวงการวิทยาศาสตร์ฐานะเป็นตัวอย่างที่ถูกรักษาสมบูรณ์แบบตั้งแต่สมัย 38 ล้านปีมาแล้ว. อย่างไรก็ตาม วารสาร นิว ไซเยนติสต์ รายงานว่า ตัวอย่างล้ำค่านี้ที่แท้เป็น “อาชญากรรมทางกีฏวิทยาเทียบเท่ากับการหลอกลวงเรื่องมนุษย์พิลต์ดาวน์.” ดูเหมือนว่าอย่างน้อย 140 ปีที่แล้ว นักหลอกลวงที่มีศิลปะ แท้ที่จริงได้ผ่าก้อนอำพันและแกะเป็นรอยเว้าในซีกข้างหนึ่งแล้วใส่แมลงวันธรรมดา ๆ เข้าไป. “ฟอสซิล” นี้ขายให้แก่พิพิธภัณฑสถานประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งอังกฤษเมื่อปี 1922 และได้รับการตรวจสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนตั้งแต่นั้นมา กระทั่งมีการยกขึ้นมากล่าวในหนังสือเรื่องฟอสซิลเมื่อปี 1992 ไม่นานมานี้เอง.
การหาเส้นทางของมด
มดหาเส้นทางได้อย่างไร? มดหลายชนิดทิ้งร่องรอยสารเคมีไว้เพื่อจะสามารถเดินกลับรังตามเส้นทางเดิมของมันได้. แต่ ดร. รูดิเกอร์ เวห์เนอร์ นักสัตวศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยซูริก สวิตเซอร์แลนด์ ได้สงสัยว่ามดในสะฮาราหาทางอย่างไร—ถ้าจะว่าไปแล้ว แสงแดดที่ทะเลทรายจะทำให้รอยสารเคมีที่ทิ้งไว้ระเหยภายในไม่กี่นาที. ในคำบรรยาย ณ มหาวิทยาลัยแห่งเท็กซัส ดร. เวห์เนอร์พรรณนาถึงระบบนำร่องอันสลับซับซ้อนที่มดทะเลทรายใช้ ซึ่งคล้ายกันกับอุปกรณ์ที่เคยใช้นำร่องสำหรับเครื่องบินในสงครามโลกครั้งที่สอง. มดจะมองท้องฟ้าและเห็นรูปแบบเชิงซ้อนของแสงโพลาไรส์ซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น. มดจะวนรอบ ๆ ใต้รูปแบบแสงนั้นเพื่อจับทิศทางใหม่ แล้วมุ่งตรงสู่บ้านของตน. เดอะ ดัลลัส มอร์นิง นิวส์ พูดแบบเหน็บแนมว่า “ถ้าคุณหลงทางในทะเลทรายสะฮาราตอนเหนือในเวลากลางวันน่าจะถามทางจากมด.”
ความซึมเศร้ามากขึ้น
“การศึกษาวิจัยอิสระสิบสองรายซึ่งรวมการสัมภาษณ์ 43,000 คนในเก้าประเทศ ได้ยืนยันการวิจัยในอเมริกาที่ทำก่อนหน้านั้น โดยชี้ว่าอัตราความซึมเศร้าขนานใหญ่ได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างสม่ำเสมอในส่วนใหญ่ของโลกระหว่างศตวรรษที่ 20” เป็นคำกล่าวใน เดอะ ฮาร์วาร์ด เมนทัล เฮลธ์ เลตเตอร์. หลังจากจัดผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ไว้ “เป็นพวก ๆ ตามทศวรรษที่ถือกำเนิดมา เริ่มต้นก่อนปี 1905 และสิ้นสุดหลังปี 1955” การศึกษาแทบทุกรายแสดงว่า “ผู้คนที่เกิดในช่วงหลัง ๆ มีโอกาสมากกว่าที่จะประสบความซึมเศร้าอย่างรุนแรง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในชีวิตของเขา.” การศึกษาส่วนใหญ่ยังแสดงถึงการเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอของความซึมเศร้าขนานใหญ่ตลอดศตวรรษนี้.