การเพ่งดูโลก
เด็ก ๆ ที่รุนแรง
เด็ก ๆ ที่ฆ่า, ปล้น, ข่มขืน, และทำทารุณพบได้ในหลายประเทศ และจำนวนครั้งของความรุนแรงและความเหี้ยมโหดมีแต่จะเพิ่มขึ้น. จำนวนการประกอบฆาตกรรมในสหรัฐโดยหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีเพิ่มขึ้น 85 เปอร์เซ็นต์ในช่วงห้าปีหลัง. สิ่งที่น่าเป็นห่วงพอ ๆ กันคือเจตคติแบบดูหมิ่นที่แสดงออกโดยผู้ประกอบอาชญากรรมหลายคน. อะไรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว? “สังคมที่ก้าวร้าวของเรา พร้อมด้วยมาตรฐานที่ถูกเซาะกร่อน ได้ทำให้ความรุนแรงเป็นที่ยอมรับ” เป็นคำกล่าวของหนังสือพิมพ์เยอรมัน เดอร์ สปีเกล. “มาตรฐานที่ชัดแจ้งในเรื่องอะไรผิดอะไรถูก, อะไรดีอะไรชั่ว. . . . แทบจะแยกแยะไม่ออกอีกต่อไป.” หนังสือดังกล่าวเสริมว่า “ผู้กระทำผิดวัยเยาว์ก็ตกเป็นเหยื่อด้วย. พวกเขาเป็นภาพลักษณ์สะท้อนถึงโลกของผู้ใหญ่ที่ซึ่งเขาเติบโตมา. . . . เด็กทุกคนซึ่งประพฤติรุนแรงได้สังเกตความรุนแรงและซึมซับเอาเป็นลักษณะของตนในปริมาณมากอย่างไม่น่าเชื่อ.” โดยทางทีวี เด็ก ๆ เห็น “ความรุนแรงของทั้งดาวเคราะห์.” พวกเขาได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในวิดีโอ, เกมส์คอมพิวเตอร์, และเพลงซึ่งยกย่องการฆ่าและการกระทำรุนแรงอื่น ๆ. รายการทีวีส่งเสริมความรุนแรงว่าเป็นวิธีที่มีเหตุผลในการแก้ปัญหาและยุติข้อวิวาทโต้แย้ง. ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาในฮัมบูร์กชื่อ สเตฟาน สมิตเชน บอกว่า “พวกเรากลายเป็นสังคมอมนุษย์ไปแล้วและลูก ๆ ของเรากำลังพัฒนาไปในทางนั้นด้วย.”
การขาดแคลนน้ำตั้งเค้าทะมึน
“เนื่องจากการตกของหิมะและฝนค่อนข้างจะสม่ำเสมอ น้ำที่จะกลับมาใหม่จึงมีปริมาณที่จำกัดโดยพื้นฐาน” เป็นข้อสังเกตในวารสาร ไซเยนส์. “พอถึงปี 2025 จำนวนผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศที่ขาดแคลนน้ำจะแตะระดับ 3 พันล้านคน” และแค่ “ถึงปี 2000 ประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกาและตะวันออกกลางจะได้รับผลกระทบร้ายแรงโดยเฉพาะ.” ตามรายงานขององค์การปฏิบัติกิจเพื่อประชากรระหว่างชาติบอกว่า หลายประเทศกำลังผลาญน้ำบาดาลให้หมดไปอยู่แล้ว และบางประเทศก็แยกไม่ออกว่าอะไรคือน้ำที่ใช้แล้วไม่กลับมาอีกและอะไรคือน้ำที่กลับมาใหม่ได้ ในการวางโครงการระยะยาวของตน. แม้ว่าได้มีการออกความพยายามปรับปรุงแหล่งน้ำก็ตาม แต่จนถึงบัดนี้ความพยายามดังกล่าวไร้ผลเนื่องจากการเพิ่มทวีของประชากร.
ความเสี่ยงในการผ่าตัดซึ่งเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์
คนไข้ผู้ซึ่งดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าห้าครั้งต่อวันเป็นประจำมีทางเป็นไปได้ถึงสามเท่าที่จะประสบอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัดเมื่อเทียบกับคนไข้ที่ดื่มน้อยกว่า ตามคำกล่าวของศัลยแพทย์ใหญ่ชาวเดนมาร์ก ดร. ฟินน์ ฮาร์ต. ดังที่วารสารแห่งสมาคมแพทย์เดนมาร์กได้รายงานไม่นานมานี้ การใช้แอลกอฮอล์อย่างผิด ๆ มีผลเชิงเป็นพิษต่อระบบอวัยวะแทบทุกระบบ ก่อแนวโน้มเพิ่มขึ้นที่เลือดจะออก อีกทั้งก่อปัญหาหัวใจและปอด. ภาวะเช่นนี้มักเป็นเหตุให้แพทย์สั่งให้อยู่ในโรงพยาบาลนานกว่าและมีการถ่ายเลือดมากขึ้น. คนเหล่านั้นที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากทุกวันยังเสี่ยงต่อการทำให้ระบบภูมิต้านทานอ่อนแอลงอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ. แต่การตรวจสอบได้พิสูจน์ว่าหลังจากงดดื่มเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ระบบภูมิต้านทานดีขึ้นมาก. ดร. ฮาร์ต แนะนำให้คนไข้งดดื่มหลายสัปดาห์ก่อนการผ่าตัดใด ๆ.
โป๊ปสนับสนุนการทำงานตามบ้าน
โดยยอมรับการรบเร้าของ จอห์น พอล ที่สอง ผู้เลื่อมใสจำนวนหนึ่งในขบวนการทำให้คนเปลี่ยนศาสนามาเป็นคาทอลิกได้ตกลงที่จะใช้วิธีเผยแพร่ตามบ้านและตามถนนในกรุงโรมและเขตชานเมือง. ดังที่รายงานในหนังสือพิมพ์ ลา เรปุบบลิกา ว่า “คู่แข่งที่คุยจ้อของพวกพยานพระยะโฮวา” จะ “เล่าชีวประวัติของพระเยซู.” กลุ่มแรกมีเพียง 15 ครอบครัว แต่โป๊ปหวังว่าโครงการนี้ “จะให้ผลอุดมทุกหัวระแหง.” เหตุใดจึงเกิดความริเริ่มใหม่นี้? สภาปกครองคาทอลิกตระหนักว่า “ได้สูญเสียความสามารถในการชักจูง หรือแรงดึงดูดใจทางศาสนา” เป็นคำกล่าวของนักสังคมวิทยา มาเรีย มาชอตี และโป๊ปสนับสนุนขบวนการดังกล่าว “เพื่อให้คนเปลี่ยนศาสนาโดยแรงจูงใจอันทรงพลังทางอารมณ์.” นักเขียนชาวคาทอลิกเซอร์โช กวินเจีย เสริมว่า “ดูเหมือนเขาไม่อยากมองข้ามโอกาสใด ๆ ด้วยความหวังว่า หรือด้วยความหลงเพ้อว่า อะไร ๆ ก็อาจเป็นประโยชน์.”
ปิดประตูกันผู้ลี้ภัย
ผู้ลี้ภัยได้เพิ่มทวีขึ้นมากกว่าแปดเท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านไป เป็นคำกล่าวของซาดาโกะ โอกาตะ ข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และยังผลให้มี “การพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจของเจตคติแบบอมิตรและเกลียดกลัวชาวต่างประเทศ.” พอถึงปลายปีที่แล้ว มีผู้ลี้ภัย 19.7 ล้านคนอยู่นอกประเทศบ้านเกิดของตน และอีก 24 ล้านคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศของตนเอง. ทั่วโลก 1 ในทุก ๆ 125 คนถูกบังคับให้ทิ้งชีวิตปกติในบ้าน โดยความรุนแรง, สงครามกลางเมือง, หรือการข่มเหง. สิ่งนี้ “เกินกำลังความสามารถของโลกที่จะรับมือ” รวมทั้ง “ขนบประเพณีของมนุษย์ในการให้ที่ลี้ภัย” เป็นรายงานของ เดอะ วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งเป็นการรายงานถึงการศึกษาค้นคว้าระดับโลกครั้งแรกเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย. ประเทศต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง แบกภาระหนักอยู่แล้วจากสภาวะตกต่ำและเบื่อหน่ายกับความขัดแย้งกันซึ่งดูเหมือนไม่อาจแก้ไขได้ จึงได้ดำเนินขั้นตอนต่าง ๆ ที่จะปิดประตูกันผู้ลี้ภัย. “ความขัดแย้งกันอันก่อให้เกิดผู้ลี้ภัยแทบทุกรายที่มีขึ้นในโลกระหว่าง . . . ปี 1993 เกิดขึ้นภายในประเทศแทนที่จะเป็นระหว่างประเทศ” การศึกษาค้นคว้านั้นกล่าวไว้ แล้วเรียกร้องให้มีนโยบายระหว่างชาติเพื่อยุติสงครามกลางเมือง. ในระหว่างนั้น ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญกับ “บรรยากาศที่ไม่ค่อยจะต้อนรับแขกเท่าใดนัก.”
เงินเฟ้อหนึ่งล้านเปอร์เซ็นต์
อัตราเงินเฟ้อในสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียพุ่งสูงถึงหนึ่งล้านเปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1993 ตามข่าวของสำนักงานสถิติแห่งสหพันธ์. ค่าครองชีพสูงกว่าเดือนก่อนถึง 2,839 เท่า และสูงกว่าเมื่อเทียบกับตอนต้นปีถึง 6 ล้านล้านเท่า. ผลก็คือธนบัตรจะไร้ค่าไม่กี่วันหลังจากปล่อยออกมา. เพื่อรับมือ ธนาคารกลางได้ตัดเลขศูนย์ออกจากเงินดีนาร์. ในเวลาเพียงสามเดือน 5 ล้านล้านดีนาร์คงเหลือเพียง 5 ดีนาร์.
นอนกับทารก
“เราจะไม่เพียงลดอาการทารกเสียชีวิตฉับพลัน (SIDS) แต่เราจะเลี้ยงทารกที่มีความสุขกว่าและมีสุขภาพดีกว่า ถ้าคุณแม่ทั้งหลายจะทำเพียงสิ่งเดียวคือ ให้ลูกนอนด้วยในช่วงปีแรก แทนที่จะแยกไว้ต่างหากในเตียงเด็กของพวกเขาเอง” เป็นคำกล่าวของ เจมส์ แม็คเคนนา ศาสตราจารย์ประจำวิทยาลัยโปโมนาในแคลิฟอร์เนีย. การนอนหลับโดยสัมผัสกับมารดา “ช่วยควบคุมการทำงานด้านสรีระของทารกตลอดคืน” จากรายงานของ เดอะ ดัลลัส มอร์นิง นิวส์. การทดสอบได้ยืนยันว่าเมื่อทารกนอนเคียงข้างมารดาของตน “รูปแบบการหายใจ, อัตราเต้นของหัวใจและช่วงระยะการนอนหลับจะเป็นไปตามมารดา.” และเนื่องจากมารดาและลูกมักจะหันหน้าไปทางกันและกันทารกจึงสามารถกินนมได้ง่ายตามความต้องการ. “ทารกที่นอนคนเดียวในเตียงเด็กจะประสบความสูญเสียทางความรู้สึก” มร. แม็คเคนนา กล่าว. “พวกเราคิดว่า ทั้งนี้อาจนำไปสู่การขาดพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาที่สำคัญยิ่ง และอาจเป็นได้ที่จะนำไปสู่ภาวะล่อแหลมต่อ SIDS.” สถิติแสดงว่า ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งทารกมักนอนในเตียงเดียวกันกับมารดา อัตราของ SIDS ต่ำกว่ามาก.
กาเฟอีนและการตั้งครรภ์
ในปี 1980 กองควบคุมอาหารและยาแห่งสหรัฐแนะนำว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ควรจำกัดการบริโภคกาเฟอีน อันเป็นสารเคมีที่มีในกาแฟ, ชา, โกโก้, และเครื่องดื่มโคล่า. คำแนะนำนี้ส่วนใหญ่อาศัยการทดลองกับสัตว์. อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมาการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ได้แสดงอย่างประจักษ์ชัดมากขึ้นถึงความจำเป็นที่จะระมัดระวังการใช้กาเฟอีน. วารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (ภาษาอังกฤษ) รายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ 75 เปอร์เซ็นต์บริโภคกาเฟอีน ถึงแม้การศึกษาส่วนใหญ่ได้แสดงว่าการดื่มกาเฟอีนมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน (กาแฟสามถ้วยโดยประมาณ) สามารถก่อความเสียหายแก่ทารกในครรภ์ได้. แต่การศึกษาที่ใหม่กว่าชี้แนะว่า แม้แต่ระดับกาเฟอีนที่ต่ำกว่า—163 มิลลิกรัมต่อวัน—ก็อาจเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการแท้งในผู้หญิงบางคน. ผู้ทำการศึกษาค้นคว้าให้ข้อสังเกตว่า “คำแนะนำที่มีเหตุผลคือ ลดการบริโภคเครื่องดื่มกาเฟอีนระหว่างตั้งครรภ์.”
ความเกี่ยวพันทางศาสนา
ในการสำรวจความเห็นรายหนึ่ง ชาวอเมริกันมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์บอกว่าเขาเชื่อพระเจ้า และมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์อ้างว่าไปโบสถ์ทุกสัปดาห์. การสำรวจความเห็นของแกลลัปในปี 1992 แสดงว่าชาวโปรเตสแตนต์ 45 เปอร์เซ็นต์ในสหรัฐ และชาวคาทอลิก 51 เปอร์เซ็นต์เข้าโบสถ์ในสัปดาห์หนึ่ง. อย่างไรก็ตาม การศึกษารายใหม่แสดงให้เห็นว่าผู้คนที่อ้างว่าเคร่งศาสนาและไปโบสถ์เป็นประจำ มีมากกว่าจำนวนที่เป็นจริงยิ่งนัก. ตามรายงานของทีมค้นคว้าทีมหนึ่งบอกว่า แท้จริงชาวโปรเตสแตนต์เพียง 20 เปอร์เซ็นต์และชาวคาทอลิก 28 เปอร์เซ็นต์เข้าโบสถ์ทุกสัปดาห์. อีกทีมหนึ่งพบว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเพียง 36 ล้านคน—19 เปอร์เซ็นต์—ปฏิบัติกิจทางศาสนาของตนเป็นประจำ และเกือบหนึ่งในสามของชาวอเมริกันอายุ 18 ปีขึ้นไปมีทัศนะทางโลกโดยสิ้นเชิง. “แม้ว่าศาสนาแผ่ซ่านไปทั่วสังคมอเมริกา แต่คนเพียงส่วนน้อยเอาจริงเอาจัง” ตามรายงานจากนิวส์วีก. “ครึ่งหนึ่งของประชากรอเมริกันถือศาสนาโดยไม่มีผลกระทบต่อเจตคติหรือพฤติกรรมของพวกเขา.”