กว่า 40 ปี ภายใต้การสั่งห้ามของคอมมิวนิสต์
เล่าโดย ยาร์มิลา ฮาโลวา
เวลา: หลังเที่ยงคืน, 4 กุมภาพันธ์ 1952. สถานที่: อพาร์ตเมนต์ของเราในกรุงปราก เชโกสโลวะเกีย. เราถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงออดหน้าประตูที่กดอย่างไม่รามือ. แล้วตำรวจก็พัง ประตูเข้ามา.
ตำรวจจับคุณแม่, คุณพ่อ, พาเวลน้องชาย, และดิฉันเอาไปไว้คนละห้อง ให้เจ้าหน้าที่คุมเราแต่ละคนไว้ และเริ่มค้นทุกสิ่ง. เกือบ 12 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็ยังค้นอยู่. หลังจากจดรายชื่อหนังสือทั้งหมดที่พบ พวกเขาก็บรรจุหนังสือเหล่านั้นลงเป็นกล่อง ๆ.
จากนั้น ดิฉันถูกสั่งให้เข้าไปในรถยนต์คันหนึ่ง และมีการสวมแว่นดำให้ดิฉัน. นั่นดูแปลก แต่ดิฉันหาทางขยับแว่นเล็กน้อยเพื่อดูว่าพวกเขากำลังพาดิฉันไปไหน. ถนนสายต่าง ๆ ดูคุ้นตา. จุดหมายปลายทางของเราคือสำนักงานใหญ่อันฉาวโฉ่ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ.
พวกเขาผลักดิฉันออกจากรถ. ต่อมาเมื่อแว่นถูกถอดออก ดิฉันพบตนเองอยู่ในห้องเล็ก ๆ สกปรก. ผู้หญิงคนหนึ่งในเครื่องแบบสั่งดิฉันให้ถอดเสื้อผ้าและให้สวมกางเกงทำงานขายาวเนื้อหนากับเสื้อเชิ้ตผู้ชาย. ดิฉันถูกผูกตาด้วยเศษผ้า และถูกพาตัวออกจากห้องทั้ง ๆ ที่มีผ้าปิดตา และถูกพาเดินไปตามทางเดินซึ่งดูเหมือนไม่สิ้นสุด.
ในที่สุด ผู้คุมก็หยุดและไขประตูเหล็ก และดิฉันถูกผลักเข้าไปในนั้น. ผ้าผูกตาถูกดึงออก และประตูถูกล็อก. ดิฉันอยู่ในห้องขัง. ผู้หญิงคนหนึ่งวัย 40 เศษอยู่ในนั้น ใส่ชุดเหมือนดิฉัน จ้องดิฉันเขม็ง. ดิฉันนึกขันและ—แม้อาจดูแปลก—อดที่จะหัวเราะไม่ได้. ในฐานะเด็กสาววัย 19 ปี ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องอย่างเช่นการถูกติดคุก ดิฉันก็ยังมีกำลังใจดีอยู่. ไม่ช้า ด้วยความยินดียิ่ง ดิฉันทราบว่าไม่มีใครอื่นในครอบครัวของเราถูกคุมขัง.
ในช่วงปีเหล่านั้นนับว่าอันตรายที่จะเป็นพยานพระยะโฮวาในประเทศซึ่งเวลานั้นคือเชโกสโลวะเกีย. ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ และพยานฯ ถูกสั่งห้าม. ครอบครัวของเราเข้าไปพัวพันเต็มที่ในองค์การที่ถูกสั่งห้ามได้อย่างไร?
เราเข้ามาเป็นพยานฯ ได้อย่างไร
คุณพ่อซึ่งเป็นชาวปรากโดยกำเนิดมีภูมิหลังเป็นโปรเตสแตนต์และจริงใจมากในความเชื่อมั่นของท่านทางศาสนา. ท่านพบคุณแม่ในช่วงทศวรรษปี 1920 เมื่อคุณแม่มาที่กรุงปรากเพื่อศึกษาวิชาแพทย์. คุณแม่มาจากแถบถิ่นที่เรียกว่า เบสซาเรเบีย ซึ่งตอนที่ท่านเป็นเด็กนั้นเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย. ถึงแม้เป็นคนยิว หลังจากที่ท่านทั้งสองแต่งงานกันคุณแม่ก็ได้เป็นสมาชิกของคริสตจักรทางฝ่ายสามี. กระนั้น ท่านไม่อิ่มใจพอใจกับคริสตจักรนั้น.
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง คุณพ่อถูกส่งเข้าค่ายแรงงาน ส่วนคุณแม่รอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวอย่างหวุดหวิด. นั่นเป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับเรา แต่เราทุกคนมีชีวิตรอดมาได้. กลางปี 1947 สองปีหลังจากสงครามยุติ พี่สาวของคุณพ่อ ซึ่งได้เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา บอกรับวารสารหอสังเกตการณ์ ให้ครอบครัวของเรา. คุณแม่นี่แหละที่เริ่มอ่านวารสารนั้น และท่านรับเอาข่าวสารนั้นทันทีฐานะเป็นความจริงที่ท่านเสาะหา.
ตอนแรก ท่านไม่บอกอะไรเรามากนัก แต่ท่านทราบว่าการประชุมจัดขึ้นที่ไหนในกรุงปราก และเริ่มเข้าร่วมประชุม. ภายในเวลาไม่กี่เดือน ในฤดูใบไม้ผลิปี 1948 ท่านรับบัพติสมา ณ การประชุมหมวดของพวกพยานฯ. จากนั้น ท่านเชิญเราให้เข้าร่วมการประชุมกับท่าน. คุณพ่อยอมไปอย่างเสียไม่ได้.
การประชุมจัดขึ้นในหอประชุมเล็ก ๆ กลางกรุงปราก ที่ซึ่งเราเริ่มเข้าร่วมเป็นครอบครัว. คุณพ่อกับดิฉันมีความรู้สึกระคนกัน ทั้งอยากรู้อยากเห็นและไม่ไว้ใจ. เราประหลาดใจที่คุณแม่มีเพื่อนใหม่แล้วที่จะแนะนำให้เรารู้จัก. ดิฉันประทับใจในความกระตือรือร้นและความมีเหตุผลของพวกเขา ประทับใจที่พวกเขาดูหยั่งรู้ค่าในภราดรภาพของพวกเขามากเหลือเกิน.
เมื่อเห็นว่าเราตอบรับ คุณแม่ก็แนะนำให้เชิญพยานฯ มาที่บ้านของเราเพื่อจะได้พูดคุยถึงรายละเอียด. คุณพ่อและดิฉันถึงกับตาค้างเมื่อพวกเขาแสดงให้เราเห็นจากคัมภีร์ไบเบิลของเราเองว่าไม่มีจิตวิญญาณอมตะและไม่มีตรีเอกานุภาพ! ใช่ การเรียนรู้ความหมายจริง ๆ ของการอธิษฐานขอให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์และขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มานั้นทำให้ตาสว่าง!
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา คุณพ่อเชิญนักเทศน์หลายคนในโบสถ์ของท่านมาที่บ้าน. ท่านบอกว่า “อาจารย์ ผมอยากจะพูดคุยบางจุดจากพระคัมภีร์กับท่าน.” แล้วคุณพ่อก็ยกหลักคำสอนพื้นฐานของคริสตจักรขึ้นมาทีละข้อ ๆ และชี้ว่าหลักคำสอนเหล่านี้ขัดแย้งกับคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร. พวกนักเทศน์ยอมรับว่า สิ่งที่คุณพ่อบอกเป็นความจริง. คุณพ่อจึงสรุปว่า “ผมตัดสินใจแล้ว และขอพูดแทนครอบครัวของผมว่า ขอลาออกจากโบสถ์.”
งานประกาศถูกสั่งห้าม
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1948 ไม่นานก่อนที่คุณพ่อกับดิฉันเริ่มเข้าร่วมประชุม พรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้าควบคุมประเทศ. ดิฉันเห็นเพื่อนนักเรียนปรักปรำอาจารย์ของตน และพวกครูเริ่มกลัวบิดามารดาของนักเรียน. ทุกคนเริ่มหมางเมินต่อกัน. อย่างไรก็ตาม ตอนแรกแทบจะเรียกได้ว่างานของพยานพระยะโฮวายังไม่ถูกรบกวน.
สำหรับเรา เหตุการณ์เด่นประจำปี 1948 ก็คือการประชุมภาคของพยานพระยะโฮวาในกรุงปราก. มีมากกว่า 2,800 คนเข้าร่วมระหว่างวันที่ 10 ถึง 12 กันยายน. ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน 1948 ตำรวจลับบุกเข้าสำนักงานสาขา และสำนักงานถูกปิด. เดือนเมษายนต่อมา มีการสั่งห้ามงานของเราอย่างเป็นทางการ.
การกระทำเหล่านี้ไม่ทำให้ครอบครัวของเราสะทกสะท้านแต่อย่างใด และในเดือนกันยายน 1949 เราเข้าร่วมการประชุมรายการพิเศษในป่านอกกรุงปราก. หนึ่งสัปดาห์ต่อมา คุณพ่อกับดิฉันรับบัพติสมา. ทั้ง ๆ ที่พยายามระวังตัวในงานประกาศ ดิฉันก็ถูกจับในเดือนกุมภาพันธ์ 1952 ดังที่กล่าวตอนต้น.
ถูกสอบปากคำซ้ำแล้วซ้ำอีก
หลังจากถูกสอบปากคำสองสามครั้ง ดิฉันลงความเห็นว่า คงจะอยู่ในคุกอีกนาน. เจ้าหน้าที่สอบสวนดูเหมือนจะคิดว่า ยิ่งคนเราถูกกักขังนานโดยไม่มีอะไรทำฆ่าเวลา เขาก็ยิ่งจะเต็มใจร่วมมือ. แต่คำสั่งสอนของคุณพ่อคุณแม่ผุดขึ้นมาในความคิดเสมอ และนั่นช่วยค้ำจุนดิฉันไว้. ท่านมักยกบทเพลงสรรเสริญ 90:12 ซึ่งหนุนใจดิฉันให้ ‘นับวันคืนของดิฉัน’ นั่นคือประเมินค่าวันคืนนั้น “เพื่อจะได้มีใจประกอบไปด้วยสติปัญญา.”
ฉะนั้น ดิฉันจึงทบทวนในใจถึงเพลงสรรเสริญทั้งบทและตอนอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งดิฉันจดจำได้ก่อนหน้านี้แล้ว. ดิฉันยังคิดรำพึงถึงบทความในวารสารหอสังเกตการณ์ ที่ศึกษาก่อนถูกคุมขัง และดิฉันร้องเพลงราชอาณาจักรให้ตัวเองฟัง. นอกจากนี้ ในเดือนแรก ๆ ที่ถูกคุมขัง มีเพื่อนนักโทษที่จะคุยด้วย. อนึ่ง มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะทบทวนซึ่งดิฉันได้เรียนที่โรงเรียน เพราะดิฉันเพิ่งสอบไล่เสร็จเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น.
การสอบสวนหลายครั้งทำให้ดิฉันแน่ใจว่า ผู้มาสอดแนมคนหนึ่งเคยร่วมอยู่ในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรายหนึ่งของดิฉัน และรายงานกิจกรรมเผยแพร่ของดิฉัน. เจ้าหน้าที่ลงความเห็นว่า ดิฉันยังเป็นตัวการทำหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลฉบับพิมพ์ดีด ที่ยึดได้ในบ้านของเรา. ที่จริง น้องชายซึ่งอายุเพียง 15 ปีเป็นผู้พิมพ์ดีด.
หลังจากผ่านไประยะหนึ่งเจ้าหน้าที่สอบสวนเห็นว่าดิฉันจะไม่พาดพิงถึงใครอื่น ดังนั้น จึงมีการพยายามทำให้ดิฉันหันเหจากความเชื่อ. พวกเขาถึงกับให้ดิฉันเผชิญหน้ากับบุคคลที่ดิฉันรู้ว่าเป็นผู้ดูแลเดินทางของพยานพระยะโฮวา. แม้ว่าตัวเขาเองก็เป็นนักโทษ แต่ตอนนี้เขาร่วมมือกับพวกคอมมิวนิสต์ในการรณรงค์เพื่อทำให้พยานฯ คนอื่น ๆ ที่ถูกจำคุกละทิ้งความเชื่อของตน. เขาช่างเป็นบุคคลที่น่าสังเวชเสียนี่กระไร! หลายปีต่อมา หลังจากถูกปล่อยตัว เขาดื่มเหล้าจนเสียชีวิต.
ถูกขังเดี่ยว
หลังจากเจ็ดเดือน ดิฉันถูกย้ายไปยังอีกเรือนจำหนึ่งและถูกขังเดี่ยว. คราวนี้อยู่คนเดียวจริง ๆ จึงขึ้นอยู่กับตัวเองอย่างสิ้นเชิงว่าจะใช้เวลาของตนอย่างไร. มีหนังสือให้เมื่อขอ แต่แน่นอน ไม่มีเล่มใดเป็นหนังสือฝ่ายวิญญาณ. ดังนั้น ดิฉันจึงทำตารางกิจกรรมซึ่งรวมช่วงเวลาในการอ่านและเวลาสำหรับการคิดรำพึงในสิ่งฝ่ายวิญญาณเข้าไว้ด้วย.
ดิฉันต้องบอกว่า ไม่เคยมาก่อนเลยที่ตนเองรู้สึกใกล้ชิดกับพระยะโฮวาในคำอธิษฐานเหมือนในตอนนั้น. การคิดถึงภราดรภาพของเราทั่วโลกไม่เคยมีค่าขนาดนี้. ทุกวัน ดิฉันพยายามมโนภาพว่า ในช่วงเวลานี้ข่าวดีอาจกำลังเผยแพร่ในส่วนต่าง ๆ ของโลกอย่างไร. ดิฉันจะมโนภาพตัวเองว่ากำลังมีส่วนในงานนี้ เสนอข่าวสารเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลแก่ประชาชน.
กระนั้น ในบรรยากาศที่เงียบสงบนี้ ดิฉันก็ติดกับในที่สุด. เนื่องจากชอบอ่านและกระหายใคร่รู้ความเป็นไปของโลกภายนอกเสมอ บางครั้งดิฉันจึงจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งโดยเฉพาะ จนละเลยตารางเวลาสำหรับการคิดรำพึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ. หลังจากที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ดิฉันรู้สึกเสียใจเสมอ.
แล้วเช้าวันหนึ่งดิฉันถูกนำตัวไปยังสำนักงานของอัยการ. ไม่มีการพูดถึงเรื่องใดโดยเฉพาะ—เพียงแต่ผลของการสอบสวนคราวก่อน ๆ. ดิฉันรู้สึกผิดหวัง เนื่องจากไม่มีการกำหนดวันพิจารณาคดีของดิฉัน. ในราวครึ่งชั่วโมง ดิฉันก็กลับเข้าห้องขัง. ที่นั่นดิฉันสูญเสียความสงบใจและเริ่มร้องไห้. เพราะเหตุใด? สัปดาห์อันยาวนานที่ถูกขังเดี่ยวในที่สุดก่อผลกระทบอย่างนั้นหรือ?
ดิฉันเริ่มวิเคราะห์ปัญหาของตนเองและพบสาเหตุอย่างรวดเร็ว. วันก่อนดิฉันหมกมุ่นอยู่กับการอ่าน และอีกครั้งหนึ่งดิฉันไม่ได้รักษากิจกรรมทางฝ่ายวิญญาณ. ดังนั้น เมื่อดิฉันถูกนำตัวไปสอบปากคำโดยไม่คาดคิด จิตใจของดิฉันจึงไม่ได้อยู่ในสภาพฝักใฝ่อธิษฐานอย่างเหมาะสม. ในทันทีทันใด ดิฉันระบายความในใจกับพระยะโฮวาและตั้งใจแน่วแน่จะไม่ละเลยเรื่องฝ่ายวิญญาณอีก.
หลังจากประสบการณ์นั้น ดิฉันตัดสินใจขจัดการอ่านออกไปทั้งหมด. แต่แล้วความคิดที่ดีกว่าก็เกิดขึ้น นั่นคือบังคับตัวเองให้อ่านภาษาเยอรมัน. ช่วงที่ถูกเยอรมนียึดครองในสงครามโลกครั้งที่สอง เราต้องเรียนภาษาเยอรมันที่โรงเรียน. แต่เนื่องจากสิ่งน่าสยดสยองที่พวกเยอรมันทำระหว่างยึดครองกรุงปราก หลังจากสงครามดิฉันจึงต้องการลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับเยอรมัน รวมทั้งภาษาด้วย. ดังนั้น ตอนนี้ดิฉันจึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้มงวดกับตนเองโดยเรียนภาษาเยอรมันอีกครั้งหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มุ่งหมายเป็นการลงโทษกลับกลายเป็นคุณ. ขอให้ดิฉันอธิบาย.
ดิฉันสามารถรับหนังสือบางเล่มทั้งฉบับภาษาเยอรมันและภาษาเช็ก และเริ่มฝึกฝนตัวเองให้แปลภาษาเยอรมันเป็นภาษาเช็กและภาษาเช็กเป็นภาษาเยอรมัน. กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่ปรากฏว่าเป็นยาอีกขนานหนึ่งที่แก้ผลกระทบที่อาจเป็นอันตรายจากการถูกขังเดี่ยว แต่ยังมีประโยชน์ในเวลาต่อมา.
ถูกปล่อยตัวและเผยแพร่ต่อไป
ในที่สุด หลังจากถูกขังเดี่ยวแปดเดือน คดีของดิฉันก็ถูกนำขึ้นพิจารณา. ดิฉันถูกกล่าวหาว่าทำกิจกรรมที่บ่อนทำลายและถูกตัดสินจำคุกสองปี. แต่เนื่องจากดิฉันถูกจำคุกมาแล้ว 15 เดือนและมีการประกาศนิรโทษกรรมในคราวการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ดิฉันจึงถูกปล่อยตัว.
ในเรือนจำ ดิฉันได้อธิษฐานขอให้ครอบครัวปราศจากความกังวลเกี่ยวกับดิฉัน และเมื่อกลับบ้าน ดิฉันพบว่าคำอธิษฐานนี้ได้รับคำตอบแล้ว. คุณพ่อเป็นหมอ และท่านสนับสนุนคนไข้ของท่านหลายรายให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ผลก็คือ คุณแม่นำการศึกษาประมาณ 15 รายต่อสัปดาห์! นอกจากนี้ คุณพ่อยังนำกลุ่มการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์. ท่านแปลหนังสือบางเล่มของสมาคมว็อชเทาเวอร์ด้วย จากภาษาเยอรมันเป็นภาษาเช็ก และน้องชายพิมพ์ต้นฉบับ. ดังนั้น ดิฉันจึงกระโดดเข้าสู่กิจกรรมฝ่ายวิญญาณทันที และในไม่ช้าก็นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหลายราย.
งานมอบหมายใหม่
บ่ายฝนพรำวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 1954 มีเสียงออดที่หน้าประตู. ที่ยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมด้วยเสื้อฝนพลาสติกสีเทาเข้มมีน้ำไหลเป็นทางคือ คอนสตันชิน เพาเคิร์ต หนึ่งในบรรดาผู้นำหน้าในงานประกาศ. โดยปกติเขาต้องการพูดกับคุณพ่อหรือ พาเวล น้องชายของดิฉัน แต่คราวนี้เขาถามดิฉันว่า “คุณจะออกมาเดินเล่นสักครู่ได้ไหม?”
เราเดินไปเงียบ ๆ สักครู่หนึ่ง มีผู้เดินผ่านไปมาสองสามคน. ไฟถนนส่องแสงสะท้อนสลัว ๆ บนพื้นทางเดินสีดำที่เปียกแฉะ. คอนสตันชิน เหลียวมอง ถนนที่อยู่เบื้องหลังปราศจากผู้คน. เขาถามขึ้นในทันใดว่า “คุณจะช่วยงานอะไรหน่อยได้ไหม?” ดิฉันพยักหน้ารับด้วยความงงงวย. เขากล่าวต่อไปว่า “เรามีงานแปลที่จะต้องทำ. คุณต้องหาสถานที่ทำงาน แต่ไม่ใช่ที่บ้าน และไม่ใช่กับคนใด ๆ ซึ่งตำรวจรู้จัก.”
สองสามวันต่อมา ดิฉันได้นั่งทำงานในห้องพักเล็ก ๆ ของสามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งซึ่งดิฉันแทบไม่รู้จัก. เขาทั้งสองเป็นคนไข้ของคุณพ่อ และมีการเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขาทั้งสองไม่นานก่อนหน้านี้. ดังนั้น การศึกษาภาษาเยอรมันของดิฉันในเรือนจำจึงปรากฏว่าเป็นประโยชน์มาก เนื่องจากเวลานั้นเราแปลสรรพหนังสือจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาเช็ก.
สองสามสัปดาห์ต่อมา พี่น้องคริสเตียนที่นำหน้าในการงานถูกจำคุก รวมทั้งบราเดอร์เพาเคิร์ต. กระนั้น การประกาศของเราไม่หยุดชะงัก. พวกผู้หญิงรวมทั้งคุณแม่และดิฉันช่วยดูแลกลุ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและงานเผยแพร่ฝ่ายคริสเตียนของเรา. พาเวลน้องชายของดิฉัน แม้ยังเป็นเด็กวัยรุ่น ก็ทำหน้าที่เป็นคนนำส่งสรรพหนังสือและคำชี้นำขององค์การไปทั่วประเทศในส่วนที่พูดภาษาเช็ก.
คู่ชีวิตผู้เป็นที่รัก
ปลายปี 1957 ยารอสลาฟ ฮาลา พยานฯ ซึ่งถูกจับปี 1952 และถูกตัดสินจำคุก 15 ปีนั้นถูกปล่อยตัวชั่วคราวจากเรือนจำเพื่อรับการรักษาทางการแพทย์. พาเวลติดต่อเขาทันที และไม่ช้า ยารอสลาฟ ก็เข้ามาเกี่ยวพันเต็มที่อีกครั้งในการช่วยพี่น้อง. เนื่องจากรู้ทั้งสองภาษาเป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มทำส่วนใหญ่ของงานแปล.
เย็นวันหนึ่งกลางปี 1958 ยารอสลาฟชวนพาเวลกับดิฉันไปเดินเล่น. นี่เป็นเรื่องปกติในการพูดคุยกิจธุระขององค์การ เนื่องจากอพาร์ตเมนต์ของเรามีการดักฟัง. แต่หลังจากพูดกับพาเวลเป็นการส่วนตัวแล้ว เขาขอให้พาเวลนั่งคอยที่ม้านั่งในสวนสาธารณะขณะที่เราสองคนเดินต่อไป. หลังจากพูดคุยสั้น ๆ เรื่องงานของดิฉัน เขาก็ถามว่า ดิฉันจะแต่งงานกับเขาไหม ถึงแม้เขามีสุขภาพอ่อนแอและอนาคตไม่แน่นอน.
ดิฉันตะลึงงันกับการขอแต่งงานที่จริงใจ ตรงไปตรงมา โดยผู้ที่ดิฉันเคารพนับถือยิ่ง และดิฉันตอบตกลงโดยไม่ลังเล. การหมั้นของเราทำให้ดิฉันใกล้ชิดกับคุณแม่ของยารอสลาฟ คริสเตียนผู้ถูกเจิม. ท่านกับสามีเป็นพยานฯ คนแรก ๆ ในกรุงปรากช่วงปลายทศวรรษ 1920. ท่านทั้งสองถูกคุมขังโดยพวกนาซีระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และสามีของท่านเสียชีวิตในเรือนจำคอมมิวนิสต์ปี 1954.
ก่อนที่จะได้แต่งงาน ยารา ตามที่เราเรียกกัน ก็ถูกเจ้าหน้าที่เรียกตัว. พวกเขาบอกว่า ยาราต้องรับการผ่าตัดเยื่อหุ้มปอดอักเสบเรื้อรัง—ซึ่งเวลานั้นหมายความว่าต้องรับการถ่ายเลือด—หรือไม่ก็ต้องติดคุกไปจนครบกำหนด. เนื่องจากเขาปฏิเสธการผ่าตัด จึงหมายความว่าเขาต้องติดคุกอีกเกือบสิบปี. ดิฉันตัดสินใจรอเขา.
เวลาแห่งการทดสอบ และความกล้า
ต้นปี 1959 ยาราถูกพาตัวเข้าเรือนจำ และไม่นานหลังจากนั้นเราได้รับจดหมายฉบับหนึ่งส่อแสดงว่าเขามีกำลังใจดี. แต่จากนั้นก็เว้นช่วงไปนานกว่าจดหมายฉบับหนึ่งมาถึง ซึ่งทำให้เรางงงัน. จดหมายฉบับนั้นพรรณนาถึงความเสียใจ, ความเศร้า, และความกลัวต่าง ๆ นานา ราวกับว่า ยารา เป็นโรคประสาทอย่างนั้นแหละ. คุณแม่ของเขาบอกว่า “นี่จะต้องเขียนโดยคนอื่น.” แต่เหมือนลายมือของเขา!
ทั้งคุณแม่ของเขากับดิฉันเขียนตอบและแสดงความวางใจของเราในพระเจ้าและหนุนกำลังใจเขา. หลังจากนั้นหลายสัปดาห์ ก็มีจดหมายอีกฉบับหนึ่งมา ยิ่งทำให้งงงวยเข้าไปอีก. คุณแม่ของเขาบอกอีกครั้งหนึ่งว่า “เป็นไปไม่ได้ที่เขาเขียนเช่นนี้.” กระนั้น ลายมือนั้นเป็นแบบเฉพาะของเขาอย่างแน่นอน และมีสำนวนที่เป็นลักษณะของเขา. ไม่มีจดหมายมาอีก และไม่อนุญาตให้เยี่ยม.
ในทำนองคล้ายกัน ยารา ก็ได้รับจดหมายที่รบกวนจิตใจซึ่งชวนให้เข้าใจว่ามาจากเรา. จดหมายของคุณแม่ตำหนิเขาที่ปล่อยให้ท่านอยู่คนเดียวในยามแก่เฒ่า และจดหมายของดิฉันแสดงความขัดเคืองใจที่ต้องคอยเขานานเช่นนั้น. อนึ่ง จดหมายเหล่านี้ก็เช่นกันมีลายมือและสำนวนการเขียนเหมือนของเราทุกอย่าง. ตอนแรก ก็รบกวนใจเขาเช่นกัน แต่แล้วเขาก็มั่นใจว่าไม่มีทางที่เราจะเขียนจดหมายเหล่านี้.
วันหนึ่ง มีคนมาปรากฏที่หน้าประตู ยื่นของห่อเล็ก ๆ ให้ดิฉัน และรีบไป. ในนั้นเป็นกระดาษห่อบุหรี่หลายสิบแผ่นซึ่งมีลายมือที่เขียนเล็กที่สุดเท่าที่เป็นได้. ยารา ได้ลอกจดหมายที่ถือว่าเราเขียนขึ้น และจดหมายของเขาเองจำนวนหนึ่งซึ่งได้รับการตรวจ. หลังจากได้รับจดหมายเหล่านี้ซึ่งลักลอบนำออกมาโดยนักโทษที่ไม่ใช่พยานฯ ซึ่งถูกปล่อยตัว เรารู้สึกโล่งใจและขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ! จนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่ทราบเลยว่าความพยายามอันชั่วร้ายที่จะทำลายความซื่อสัตย์มั่นคงของเรานั้นใครออกหัวคิดและวางแผน.
ต่อมา คุณแม่ของ ยารา ได้รับอนุญาตให้เยี่ยมลูกชาย. ในโอกาสเหล่านี้ ดิฉันไปกับท่านยังประตูเรือนจำและเฝ้าดูสตรีร่างเล็กบอบบางผู้นี้กระทำสิ่งที่กล้าหาญยิ่ง. โดยที่มีผู้คุมจ้องมองอยู่ ท่านจะกุมมือลูกชายและส่งสรรพหนังสือที่ถ่ายสำเนาขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ให้เขา. แม้ว่าการถูกจับได้จะหมายถึงโทษทัณฑ์สถานหนักโดยเฉพาะสำหรับลูกชาย แต่ท่านก็วางใจพระยะโฮวา โดยตระหนักว่าการธำรงไว้ซึ่งสุขภาพฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเสมอ.
ต่อมาในปี 1960 มีการประกาศนิรโทษกรรมทั่วไป และพยานฯ ส่วนใหญ่ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำ. ยารา กลับบ้าน และภายในไม่กี่สัปดาห์เราก็เป็นคู่สมรสใหม่ที่มีความสุข.
เปลี่ยนรูปแบบชีวิต
ยารา ได้รับมอบหมายให้ทำงานเดินทาง เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์แห่งสังคมพี่น้องทั่วประเทศ. ปี 1961 เขาได้รับมอบหมายให้จัดชั้นเรียนแรกของโรงเรียนพระราชกิจในส่วนที่พูดภาษาเช็กของประเทศ และดูแลชั้นเรียนของโรงเรียนนี้หลายรุ่นหลังจากนั้น.
เนื่องจากปี 1968 มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเชโกสโลวะเกีย ปีถัดไปพวกเราจำนวนหนึ่งจึงสามารถเข้าร่วมการประชุมนานาชาติของพยานพระยะโฮวา “สันติภาพบนแผ่นดินโลก” ในเมืองนูเรมเบิร์ก เยอรมนี. อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ ยารา ออกนอกประเทศ. บางคนในพวกเราถ่ายภาพสไลด์การประชุมที่ยิ่งใหญ่ครั้งนั้น และ ยารา ได้รับสิทธิพิเศษให้มีส่วนในการบรรยายที่เสริมสร้างความเชื่อตลอดทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วยการฉายภาพเหล่านี้. หลายคนอยากชมซ้ำแล้วซ้ำอีก.
เราไม่ตระหนักเลยว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของ ยารา ที่ไปเยี่ยมพี่น้อง. ต้นปี 1970 สุขภาพของเขาทรุดฮวบลง. การอักเสบเรื้อรังซึ่งเขาทนอยู่ ทำให้ไตของเขาติดเชื้อ และภาวะไตวายทำให้เขาถึงแก่ชีวิต. เขาเสียชีวิตอายุ 48 ปี.
ได้รับการค้ำจุนด้วยความช่วยเหลือของพระยะโฮวา
ดิฉันสูญเสียผู้ที่ตนรักอย่างสุดซึ้ง. แต่ความช่วยเหลือในทันทีก็มีมาภายในองค์การของพระเจ้า เพราะมีการเปิดโอกาสให้ดิฉันมีส่วนในการแปลสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. ราวกับอยู่ในการวิ่งผลัด ดิฉันรู้สึกว่าสามีส่งไม้ให้ดิฉันรับช่วงต่อไปในส่วนหนึ่งของงานที่เขาเองเคยทำ.
พวกเราหลายคนในยุโรปตะวันออกรับใช้พระยะโฮวากว่า 40 ปีภายใต้การสั่งห้ามของคอมมิวนิสต์. ครั้นแล้วปี 1989 เมื่อมีการขจัดม่านเหล็ก ชีวิตที่นี่เริ่มเปลี่ยนอย่างเด่นชัด. แม้ดิฉันเคยใฝ่ฝันที่จะเห็นพยานพระยะโฮวาจัดการประชุมภาคที่สนามกีฬาใหญ่สตราฮอฟในกรุงปราก แต่ดิฉันไม่เคยคิดว่าฝันนี้จะเป็นจริง. กระนั้นในเดือนสิงหาคม 1991 ความฝันนี้เป็นจริงอย่างน่ามหัศจรรย์เมื่อผู้คนกว่า 74,000 คนร่วมชุมนุมในการนมัสการที่น่าปีติยินดี!
เชโกสโลวะเกียไม่มีอีกต่อไปในเดือนมกราคม 1993 เมื่อประเทศนั้นถูกแบ่งเป็นสองประเทศ—สาธารณรัฐเช็ก และสโลวาเกีย. เราช่างมีความสุขสักเพียงไรเมื่อสาธารณรัฐเช็กให้การยอมรับอย่างเป็นทางการแก่พยานพระยะโฮวาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1993!
จากประสบการณ์ในชีวิต ดิฉันรู้ว่าพระยะโฮวาทรงมีพระพรคอยท่าเสมอหากเรายอมให้พระองค์สอนวิธีนับวันคืนของเรา. (บทเพลงสรรเสริญ 90:12) ดิฉันทูลอธิษฐานถึงพระเจ้าไม่หยุดหย่อนให้สอนวิธีนับวันเวลาที่เหลืออยู่ของดิฉันในระบบสิ่งต่าง ๆ นี้ เพื่อว่า ณ วันเวลาที่นับไม่ถ้วนข้างหน้าในโลกใหม่ของพระองค์ ดิฉันจะได้อยู่ท่ามกลางผู้รับใช้ที่มีความสุขของพระองค์.
[รูปภาพหน้า 19]
คุณพ่อคุณแม่
[รูปภาพหน้า 21]
การประชุมในป่าปี 1949 ระหว่างถูกสั่งห้าม: 1. พาเวล น้องชาย, 2. คุณแม่, 3. คุณพ่อ, 4. ดิฉัน, 5. บราเดอร์ฮาลา
[รูปภาพหน้า 22]
กับยารา สามีของดิฉัน
[รูปภาพหน้า 23]
คุณแม่ของยาราและหนังสือที่ถ่ายสำเนาซึ่งท่านลักลอบให้เขา
[รูปภาพหน้า 24]
ปัจจุบันทำงานที่สาขาในกรุงปราก