รับการชี้นำจากความเชื่อในพระเจ้า ณ ประเทศคอมมิวนิสต์
เล่าโดย ออนเดร คาดเลซ
ในช่วงฤดูร้อนปี 1966 ผมนำคณะทัวร์เที่ยวชมบ้านเกิดเมืองนอนของผม คือ กรุงปราก เชโกสโลวะเกีย. ด้วยความกระตือรือร้นอันแรงกล้าในความเชื่อใหม่ ผมได้พูดถึงพระเจ้าขณะที่พาคณะท่องเที่ยวชมโบสถ์และวิหารต่าง ๆ ที่น่าประทับใจในเมือง.
“คุณเป็นพยานพระยะโฮวาใช่ไหม?” ศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันถาม.
“เปล่า” ผมตอบ. “ผมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวาเลย. ผมเป็นโรมันคาทอลิก.”
กลายมาเป็นผู้เชื่อถือพระเจ้า
ผมได้รับการเลี้ยงดูโดยบิดามารดาซึ่งเด่นในวงการศึกษา, การเมือง, และการแพทย์. หลังจากผมเกิดในปี 1944 และไม่นานหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดในปีถัดมา คุณพ่อผมก็กลายเป็นคอมมิวนิสต์. ที่จริง ท่านเป็นผู้ร่วมก่อตั้งขบวนการนักปฏิรูปคอมมิวนิสต์ และในปี 1966 ท่านได้มาเป็นอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปราก. สองสามปีถัดมา ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแห่งเชโกสโลวะเกีย ซึ่งตอนนั้นเป็นทั้งประเทศที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์และไม่เชื่อถือพระเจ้า.
คุณแม่ผมเป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่งซึ่งมีความซื่อสัตย์โดยเคร่งครัด. ท่านเป็นจักษุศัลยแพทย์ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเยี่ยมที่สุดในประเทศ. ถึงกระนั้น ท่านอุทิศความพยายามของท่านเพื่อช่วยผู้ขัดสนโดยไม่คิดค่ารักษา. ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “พรสวรรค์ใด ๆ ซึ่งเราได้รับ ควรใช้เพื่อประโยชน์ของชุมชนและประเทศชาติ.” ท่านถึงกับไม่ได้ลาคลอดด้วยซ้ำตอนที่ผมเกิด เพื่อจะพร้อมให้การช่วยคนที่คลินิกได้เสมอ.
ในเรื่องการศึกษาเล่าเรียน ผมถูกคาดหมายว่าต้องเป็นเลิศ. คุณพ่อจะคอยถามว่า “มีใครทำได้ดีกว่าลูกไหม?” ผมกลายเป็นคนชอบแข่งขัน เนื่องจากผมได้รับรางวัลเรียนดีเด่นอยู่บ่อยครั้ง. ผมเรียนภาษารัสเซีย, อังกฤษ, และเยอรมัน แล้วท่องเที่ยวไปทั่วตามประเทศคอมมิวนิสต์และประเทศอื่น ๆ ด้วย. ผมชอบหักล้างแนวความคิดทางศาสนาว่าเป็นการเชื่อถือแบบงมงายขัดหลักเหตุผล. และแม้ผมจะรับเอาแนวคิดแบบอเทวนิยมอย่างเต็มตัว ผมเริ่มรู้สึกชิงชังวิธีที่อเทวนิยมแสดงออกทางการเมือง.
การเดินทางไปอังกฤษในปี 1965 ตอนที่ผมมีอายุเพียง 21 ปีนั้น มีผลอย่างลึกซึ้งต่อผม. ผมพบผู้คนซึ่งปกป้องความเชื่อของตนในเรื่องพระเจ้าองค์สูงสุดด้วยความเชื่อมั่นและเหตุผล. หลังจากที่ผมกลับมาถึงกรุงปราก คนหนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกันดีซึ่งเป็นโรมันคาทอลิกแนะว่า “อย่าอ่านหลักข้อเชื่อคริสเตียน. จงอ่านคัมภีร์ไบเบิล.” นั่นคือสิ่งที่ผมทำ. ผมใช้เวลาสามเดือนจึงอ่านจบ.
สิ่งที่ผมประทับใจคือวิธีที่ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลนำเสนอข่าวสารของตน. พวกเขาตรงไปตรงมาและวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง. ผมเริ่มเชื่อว่า อนาคตอันยอดเยี่ยมที่พวกเขากล่าวถึงนั้นเป็นเรื่องที่เฉพาะแต่พระเจ้าที่เป็นบุคคลจริงเท่านั้นจึงจะเห็นภาพได้ล่วงหน้าและจัดเตรียมให้ได้.
หลังจากหลายเดือนที่ผมได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลและคิดรำพึง ผมก็รู้สึกว่าพร้อมจะเผชิญหน้ากับคุณพ่อและเพื่อน ๆ ของผม. ผมรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาคงแย้งความเชื่อใหม่ของผม. หลังจากนั้น ผมก็กลายเป็นผู้พยายามชักจูงคนให้เปลี่ยนศาสนาอย่างกระตือรือร้น. ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เป็นต้องถูกผมโน้มน้าวชักชวน—อย่างในกรณีศาสตราจารย์ชาวอเมริกันที่เอ่ยถึงในตอนต้น. ผมถึงกับติดรูปพระเยซูถูกตรึงบนกางเขนไว้ที่ผนังห้องเหนือเตียงนอนเพื่อให้ทุกคนรับรู้ความเชื่อของผม.
อย่างไรก็ตาม คุณแม่ผมแย้งว่า ผมคงจะเป็นคริสเตียนได้ยาก เนื่องจากผมมีลักษณะเหมือนคุณพ่อมากซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัว. กระนั้น ผมก็ยังยืนหยัดเหมือนเดิม. ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นรอบที่สองและรอบที่สาม. ถึงตอนนี้ผมตระหนักว่าเพื่อจะก้าวหน้าต่อไป ผมจำต้องได้รับการชี้นำ.
การแสวงหาของผมได้รับบำเหน็จ
ผมได้ติดต่อกับคริสตจักรโรมันคาทอลิก. สิ่งที่บาทหลวงหนุ่มคนหนึ่งสนใจสอนผมเป็นพิเศษก็คือหลักข้อเชื่อของคริสตจักร ซึ่งผมรับเชื่อทุกอย่าง. แล้วในปี 1966 ผมได้รับบัพติสมา—ซึ่งยังความอัปยศแก่คุณพ่อของผม. หลังจากประพรมน้ำแล้ว บาทหลวงได้เสนอแนะให้ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิล แต่เขากล่าวเสริมว่า “โปปได้รับรองทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว แต่อย่าได้กังวล เราจะแยกแยะเอาข้าวดีออกจากข้าวละมาน.” ผมรู้สึกตะลึงที่หนังสือซึ่งทำให้ผมมีความเชื่อต้องตกเป็นเป้าแห่งความสงสัยเช่นนี้.
ช่วงนั้น ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1966 ผมได้สนทนากับเพื่อนคนหนึ่งที่ครอบครัวเป็นคาทอลิกและพูดกับเขาเรื่องความเชื่อของผม. เขาคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลด้วยเหมือนกัน และพูดกับผมเรื่องอาร์มาเก็ดดอน. (วิวรณ์ 16:16) เขาบอกว่ากำลังติดต่อกับพยานพระยะโฮวา ซึ่งผมได้ยินเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณสองเดือนก่อนหน้านั้นตอนที่ผมนำเที่ยวดังที่ได้เล่าไว้ข้างต้น. อย่างไรก็ดี ผมถือเสียว่าเป็นกลุ่มที่ไม่สำคัญอะไรเมื่อเทียบกับคริสตจักรโรมันคาทอลิกของผมซึ่งมีอำนาจ, ร่ำรวย, และมีประชากรมากมาย.
ขณะที่ถกกันต่อไป เราได้ตรวจสอบสามประเด็นพื้นฐานสำคัญ. ประการแรก คริสตจักรโรมันคาทอลิกเป็นผู้สืบทอดหลักการคริสเตียนในศตวรรษแรกไหม? ประการที่สอง อะไรที่ควรถือว่ามีอำนาจเด็ดขาดขั้นสุดยอด คริสตจักรของผมหรือคัมภีร์ไบเบิล? และประการที่สาม อะไรที่ถูกต้อง เรื่องราวการทรงสร้างในคัมภีร์ไบเบิล หรือทฤษฎีวิวัฒนาการ?
เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลเป็นแหล่งแห่งความเชื่อของเราทั้งคู่ เพื่อนผมจึงทำให้ผมมั่นใจได้ไม่ยากว่าคำสอนของคริสตจักรคาทอลิกแตกต่างอย่างมากจากคำสอนตามหลักการของคริสเตียนในยุคแรก. ยกตัวอย่างเช่น ผมรู้มาว่า แม้แต่แหล่งข้อมูลของคาทอลิกเองยังยอมรับว่าหลักคำสอนเด่นของคริสตจักรเรื่องตรีเอกานุภาพไม่ได้มีรากฐานมาจากคำสอนของพระเยซูคริสต์และอัครสาวกของพระองค์.
จุดนี้นำเรามาสู่คำถามที่เกี่ยวพันกันว่า อะไรที่ควรมีอำนาจเด็ดขาดขั้นสุดยอด? ผมได้ยกคำกล่าวของเซนต์ ออกัสติน ขึ้นมาที่ว่า “โรมา โลคูตา เอสต์; เคาซา ฟีนีตา เอสต์” ซึ่งมีความหมายว่า “เมื่อคริสตจักรโรมันคาทอลิกตัดสิน กรณีนั้นเป็นอันยุติ.” แต่เพื่อนผมถือว่าคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้าควรมีอำนาจสิทธิ์ขาดสูงสุด. ผมจำต้องเห็นด้วยกับคำพูดของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “แม้ทุกคนจะเป็นคนพูดมุสา, ก็ขอให้ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าปรากฏเด่นขึ้นเถิด.”—โรม 3:4.
ในที่สุด เพื่อนผมให้สำเนาพิมพ์ดีดที่เก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งแก่ผม ซึ่งมีชื่อว่าวิวัฒนาการกับโลกใหม่. เนื่องจากพยานพระยะโฮวาถูกห้ามในประเทศเชโกสโลวะเกียในช่วงปลายทศวรรษปี 1940 พวกเขาจึงทำสำเนาสรรพหนังสือต่าง ๆ สำหรับตนเองและต้องพิจารณาให้ดีเมื่อจะให้คนอื่น. เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มเล็กนี้แล้ว ผมพบว่านี่คือความจริง. เพื่อนผมเริ่มนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผม. เขาให้ผมยืมคู่มือการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล “จงให้พระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง” ครั้งละหลายหน้า และเราก็จะพิจารณาเนื้อความในหน้าเหล่านั้นด้วยกัน.
ไม่นานหลังจากที่เราเริ่มพิจารณากันในเรื่องเหล่านี้—เป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาสปี 1966—เพื่อน ๆ จากเยอรมนีตะวันตกมาเยี่ยมผมที่กรุงปราก. ในการถกกันคราวหนึ่ง พวกเพื่อนผมเย้ยหยันคริสเตียนว่าเป็นผู้กระหายสงครามที่หน้าซื่อใจคด. พวกเขากล่าวว่า “ในฐานะทหารของประเทศภายใต้สนธิสัญญานาโต้ เราสามารถรบต่อสู้คุณที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียนซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศคอมมิวนิสต์ภายใต้สนธิสัญญาวอร์ซอ.” การลงความเห็นของพวกเขาคือ: “เป็นคนหยามโลกดีกว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด.” ผมรู้สึกว่าบางทีพวกเขาอาจพูดถูก. ดังนั้น ในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคราวถัดมา ผมจึงถามเพื่อนว่าคริสเตียนแท้ทำอย่างไรในเรื่องสงครามและการฝึกรบ.
การตัดสินใจที่ผมต้องเผชิญ
ผมนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำอธิบายอย่างชัดเจนจากเพื่อน. กระนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “ตีดาบเป็นผาลไถนา” ผมต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตและงานอาชีพที่มุ่งหมายจะทำ. (ยะซายา 2:4) อีกห้าเดือนผมจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ หลังจากนั้นผมจะต้องถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารระยะหนึ่ง. ผมจะทำอย่างไรดี? ผมรู้สึกตื่นตะลึง. ดังนั้น ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า.
หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างหนักอยู่หลายวัน ผมไม่พบข้อแก้ตัวที่จะเลี่ยงได้เกี่ยวกับข้อเรียกร้องสำหรับคริสเตียนแท้ที่ให้เป็นคนรักสันติ. หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว ผมตกลงใจว่าจะเข้าทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจนกว่าผมจะถูกตัดสินลงโทษในฐานะผู้ไม่ยอมรับราชการทหารเพราะขัดต่อสติรู้สึกผิดชอบ. แต่ต่อมาผมได้เรียนรู้สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกเกี่ยวกับการละเว้นจากเลือด. โดยตระหนักว่างานที่ทำอาจต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการถ่ายเลือด ผมจึงตัดสินใจเลิกทำงานที่โรงพยาบาล. (กิจการ 15:19, 20, 28,29) การตัดสินใจครั้งนั้นยังผลให้ผมมีชื่อเสียงไม่ดีในสายตาของสาธารณชน.
หลังจากทำให้แน่ใจแล้วว่าผมไม่ได้จงใจก่อปัญหาและพยายามทำลายอาชีพนักการเมืองของท่าน คุณพ่อได้ยื่นมือเข้ามาช่วยและจัดการให้มีการเลื่อนการถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารออกไปอีกปีหนึ่ง. ฤดูร้อนนั้นในปี 1967 นับว่าหนักหนาสำหรับผมทีเดียว. ลองนึกภาพสถานการณ์ของผมดู: ผมเป็นคนใหม่ที่เพิ่งศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผู้สอนซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาคนเดียวที่ผมติดต่อด้วยไม่อยู่ในช่วงฤดูร้อนนั้น. และเขาได้ให้หนังสือ “จงให้พระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง” เพียงไม่กี่บทแก่ผมเพื่อศึกษาส่วนตัว. สิ่งนี้และคัมภีร์ไบเบิลเป็นแหล่งเดียวแห่งการนำทางฝ่ายวิญญาณสำหรับผม.
ต่อมา ผมได้มารู้จักมักคุ้นกับพยานฯ คนอื่น ๆ และในวันที่ 8 มีนาคม 1968 ผมก็ได้แสดงเครื่องหมายการอุทิศตัวของผมแด่พระยะโฮวาพระเจ้าโดยรับบัพติสมาในน้ำ. ปีถัดมา ผมได้รับข้อเสนอให้ไปศึกษาต่อในหลักสูตรหลังปริญญาตรีสองปีที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ. บางคนแนะนำให้ผมรับข้อเสนอและไปอังกฤษที่ซึ่งผมจะได้ก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณในดินแดนซึ่งพยานฯ ไม่ถูกห้าม. ขณะเดียวกัน ผมก็สามารถเตรียมการเพื่อมีวิชาชีพที่ดี. อย่างไรก็ตาม คริสเตียนผู้ปกครองคนหนึ่งกล่าวว่า งานรับใช้ของผมไม่มีความจำเป็นในประเทศอังกฤษมากเท่ากับในประเทศเชโกสโลวะเกีย. ดังนั้นผมจึงตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอที่ให้ไปศึกษาต่อทางฝ่ายโลกและอยู่ในเชโกสโลวะเกียเพื่อช่วยงานประกาศซึ่งทำกันแบบใต้ดิน
ในปี 1969 ผมได้รับเชิญเข้าร่วมหลักสูตรโรงเรียนพระราชกิจซึ่งจัดให้มีการฝึกอบรมเป็นพิเศษสำหรับผู้ดูแลคริสเตียน. ในปีเดียวกันนั้นเอง ผมได้รับทุนในฐานะนักเภสัชวิทยาหนุ่มดีเด่นแห่งเชโกสโลวะเกีย. ผลก็คือ ผมได้ไปเข้าร่วมการประชุมสหพันธ์เภสัชวิทยานานาชาติที่สวิตเซอร์แลนด์.
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเปลี่ยนทัศนะของตน
ในระหว่างการบรรยายหนึ่งที่ผมเข้าฟังในปี 1970 นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งชื่อ ฟรานทีเชก วีสคอชีล ได้อธิบายถึงเรื่องที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการถ่ายทอดสัญญาณประสาท. เขากล่าวว่าเมื่อไรก็ตามที่สิ่งมีชีวิตประสบความจำเป็นอย่างหนึ่งขึ้นมา จะมีทางแก้ไขที่น่าทึ่งเสมอ. “ธรรมชาติ เปรียบเสมือนหญิงผู้วิเศษ รู้วิธีที่จะจัดการ.” เขากล่าวลงความเห็น.
หลังคำบรรยายผมเข้าไปหาเขาและถามว่า “คุณไม่คิดหรือว่าน่าจะให้เกียรติพระเจ้าสำหรับการออกแบบที่ยอดเยี่ยมในสิ่งมีชีวิต?” คำถามของผมทำให้เขาประหลาดใจ เนื่องจากเขาเป็นนักอเทวนิยม. เขาตอบโต้ด้วยคำถามที่ต่างออกไป เช่น “ความชั่วร้ายมาจากไหน?” และ “ใครควรถูกตำหนิที่มีเด็กกำพร้าอยู่มากมาย?”
เมื่อผมให้คำตอบที่มีเหตุผลโดยอาศัยคัมภีร์ไบเบิล เขาจึงเกิดความสนใจขึ้นมา. แต่เขาถามว่า ทำไมคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เฉพาะเรื่อง เช่น อรรถาธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างของเซลล์ เพื่อผู้คนจะสังเกตได้โดยง่ายว่าผู้ประพันธ์พระคัมภีร์เป็นพระผู้สร้าง. ผมตอบว่า “อะไรที่นับว่ายากกว่า การอธิบายหรือการสร้าง?” แล้วผมก็ให้เขายืมหนังสือมนุษย์มาอยู่ที่นี่โดยวิวัฒนาการหรือการทรงสร้าง?
หลังจากได้อ่านอย่างลวก ๆ ฟรานทีเชกก็กล่าวอย่างดูแคลนว่า หนังสือเล่มนี้ยังอ่อนหลักฐานและไม่ถูกต้อง. เขายังได้วิจารณ์สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงการมีภรรยาหลายคน, การผิดประเวณีของดาวิด, และการที่ดาวิดสังหารชายผู้หนึ่งที่ปราศจากผิด. (เยเนซิศ 29:23-29; 2 ซามูเอล 11:1-25) ผมหักล้างข้อคัดค้านของเขาโดยชี้ให้เห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลรายงานอย่างตรงไปตรงมาถึงข้อบกพร่องแม้กระทั่งของผู้รับใช้ของพระเจ้า เช่นเดียวกับการล่วงละเมิดที่ร้ายแรงของเขา.
ในที่สุด ณ การถกกันคราวหนึ่ง ผมบอกฟรานทีเชกว่า หากคนเราไม่มีเหตุจูงใจที่ดี หากขาดความรักต่อความจริง ไม่ว่าจะเป็นการประคารมกันแบบไหนหรือเหตุผลใดก็ตามก็จะไม่ช่วยให้เขาเชื่อในความเป็นอยู่ของพระเจ้าได้. ขณะที่ผมกำลังจะจากไป เขาเรียกผมไว้และขอศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. เขาบอกว่า เขาจะอ่านหนังสือมนุษย์มาอยู่ที่นี่โดยวิวัฒนาการหรือการทรงสร้าง? อีกครั้ง—คราวนี้จะอ่านด้วยใจเปิด. ต่อมาภายหลัง ทัศนะเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงดังจะเห็นได้จากข้อความต่อไปนี้ที่ยกมาในจดหมายฉบับหนึ่งของเขา: “ความใฝ่สูงของมนุษย์จะต้องถูกเหยียดลงมาต่ำ, และความเย่อหยิ่งของมนุษย์จะต้องถูกข่มให้ต่ำลง; และในวันนั้นพระยะโฮวาแต่องค์เดียวจะต้องถูกเทิดให้สูงยิ่ง.”—ยะซายา 2:17.
ฤดูร้อนปี 1973 ฟรานทีเชกและภรรยาได้รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา. ปัจจุบัน เขารับใช้เป็นผู้ปกครองในประชาคมแห่งหนึ่งในกรุงปราก.
การประกาศภายใต้คำสั่งห้าม
ระหว่างถูกสั่งห้าม เราได้รับการชี้นำให้ทำการรับใช้ตามบ้านด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง. ครั้งหนึ่ง มีพยานฯ คนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าพยายามขอผมให้ไปในงานประกาศกับเขา. เขาสงสัยว่า คนที่นำหน้าในองค์การของพยานพระยะโฮวาได้ออกไปในงานรับใช้ตามบ้านด้วยตัวเองจริง ๆ ไหม. เราเพลิดเพลินกับการสนทนาในหลายโอกาสที่ให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการ. แต่ในที่สุด เราพบผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งแม้ผมไม่ได้รู้ตัวในตอนนั้น แต่เขาเกิดจำหน้าผมได้จากรูปที่อยู่ในแฟ้มของตำรวจลับ. แม้ผมไม่ได้ถูกจับ แต่นับจากนั้นมาผมถูกทางการจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งขัดขวางการบังเกิดผลของผมในกิจกรรมการประกาศแบบใต้ดินของเรา.
ในช่วงฤดูร้อนปี 1983 เช่นที่ผมเคยทำในปีก่อน ๆ ผมจัดให้เยาวชนพยานฯ กลุ่มหนึ่งได้ใช้เวลาสองสามวันในการให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการในเขตห่างไกลแห่งหนึ่งของประเทศ. โดยที่ไม่ได้เอาใจใส่คำแนะนำที่ฉลาดสุขุม ผมใช้รถยนต์ส่วนตัวเพราะสะดวกกว่าใช้บริการของการขนส่งสาธารณะ. เมื่อเราหยุดพักสั้น ๆ เพื่อซื้อของสองสามอย่างจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมจอดรถไว้หน้าห้าง. ขณะที่กำลังจ่ายเงิน ผมชี้ไปที่พนักงานขายที่เป็นหนุ่มสาวบางคนแล้วพูดกับลูกจ้างคนหนึ่งที่สูงวัยกว่าว่า “ในอนาคต พวกเราทุกคนจะเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมด.” สตรีคนนั้นยิ้ม. “แต่ว่า มนุษย์เราไม่มีความสามารถจะทำได้” ผมพูดต่อ. “จำเป็นต้องมีการช่วยจากเบื้องบน.”
เนื่องจากไม่เห็นปฏิกิริยาตอบรับอีก ผมจึงจากไป. โดยที่ผมไม่ทราบว่าลูกจ้างคนนั้นสงสัยว่าผมพยายามเผยแพร่แง่คิดทางศาสนา และจับตาดูผมทางหน้าต่างขณะผมเก็บของใส่รถ. จากนั้น เธอแจ้งตำรวจ. หลายชั่วโมงต่อมา หลังจากร่วมให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการในส่วนอื่น ๆ ของเมือง ผมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนก็กลับมาที่รถ. ทันใดนั้นเอง ตำรวจสองนายก็ปรากฏตัวขึ้นและจับกุมเรา.
ที่สถานีตำรวจ เราถูกสอบสวนเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนจะถูกปล่อยตัว. สิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดผมคือ จะทำอย่างไรดีกับที่อยู่ของผู้ที่แสดงความสนใจที่เราได้มาในวันนั้น. ผมจึงไปที่ห้องส้วมเพื่อจะชักโครกมันทิ้งไป. แต่ไม่ทันได้ทำก็มีมืออันแข็งแรงของตำรวจคนหนึ่งขวางผมไว้เสียก่อน. เขาหยิบกระดาษเหล่านั้นขึ้นจากโถส้วมและเอามาทำความสะอาด. นี่ทำให้ผมเครียดหนักเข้าไปอีก เพราะคนที่ได้ให้ที่อยู่กับผมตกอยู่ในอันตรายแล้วในตอนนี้.
ต่อมา เราทุกคนถูกพาตัวไปที่โรงแรมของเราซึ่งตำรวจรื้อค้นห้องของเราไปแล้ว. แต่พวกเขาก็ไม่ได้พบที่อยู่อื่นใดของผู้สนใจ แม้ว่าไม่มีการซ่อนไว้อย่างดี. จากนั้น ณ ที่ทำงานซึ่งผมทำหน้าที่เป็นนักเภสัชวิทยาทางประสาท ผมถูกตำหนิอย่างแรงต่อหน้าผู้คนในการไปเข้าส่วนในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย. อนึ่ง ผมถูกว่ากล่าวโดยผู้ดูแลการงานเผยแพร่ในเชโกสโลวะเกีย ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยเตือนผมแล้วว่าไม่ให้ใช้รถส่วนตัวเมื่อเราเดินทางเพื่อเข้าส่วนในงานนี้.
น้อมรับการตีสอน
ในปี 1976 ผมได้รับมอบหมายให้รับใช้ในคณะกรรมการที่ดูแลการงานเผยแพร่ของพยานพระยะโฮวาในเชโกสโลวะเกีย. แต่เนื่องจากผมถูกตำรวจลับคอยจับตามองอยู่อย่างใกล้ชิดด้วยเหตุที่ผมได้ทำอย่างสะเพร่าในเรื่องต่าง ๆ เช่นที่กล่าวข้างต้น ผมจึงถูกถอดจากการรับใช้ในคณะกรรมการของประเทศนี้รวมทั้งสิทธิพิเศษอีกหลายอย่าง. สิทธิพิเศษอย่างหนึ่งที่ผมถือว่าสูงค่าเป็นพิเศษคือ การสอนในโรงเรียนฝึกอบรมผู้ดูแลเดินทางและไพโอเนียร์ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกผู้เผยแพร่เต็มเวลา.
ผมยอมรับการตีสอนนั้น แต่ช่วงเวลานี้ ในครึ่งทศวรรษหลังแห่งปี 1980 นับเป็นช่วงที่ยากเอาการสำหรับผมในการตรวจสอบตัวเอง. ผมจะเรียนรู้ไหมที่จะทำงานอย่างสุขุมยิ่งขึ้นและหลีกเลี่ยงความประมาทเลินเล่ออีก? บทเพลงสรรเสริญ 30 ข้อ 5 กล่าวว่า “การร้องไห้ร่ำไรอาจมีอยู่ตลอดคืน, แต่ในเวลาเช้าคงจะมีความโสมนัสยินดี.” เวลาเช้าดังกล่าวมาถึงผมพร้อมกับการล่มสลายของระบอบการปกครองของคอมมิวนิสต์ในเชโกสโลวะเกียเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1989.
พระพรอันน่าพิศวง
ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ที่สามารถรับใช้อย่างมีเสรีภาพและติดต่อกับสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาที่บรุกลิน นิวยอร์ก ได้อย่างเปิดเผย! ไม่นานหลังจากนั้น ผมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลเดินทาง และเริ่มงานนี้ในเดือนมกราคม 1990.
ต่อมาในปี 1991 ผมได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าร่วมโรงเรียนฝึกอบรมเพื่อการรับใช้ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ. นับเป็นพระพรอย่างยิ่งที่ได้อยู่ที่นั่นสองเดือน ชื่นชมการคบหาสมาคมและการสอนจากเหล่าคริสเตียนผู้อาวุโส! ในช่วงหนึ่งของแต่ละวัน พวกเราที่เป็นนักเรียนได้รับมอบหมายงานให้ทำซึ่งช่วยผ่อนคลายจากการสอนที่อัดแน่นตามหลักสูตร. ผมได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดหน้าต่าง.
ทันทีที่กลับจากอังกฤษ ผมเริ่มช่วยจัดเตรียมการประชุมครั้งยิ่งใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในเชโกสโลวะเกียซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9-11 สิงหาคม ที่สนามกีฬาขนาดมหึมาชื่อ สตราฮอฟ ในกรุงปราก. ณ โอกาสนั้นมี 74,587 คนจากหลายประเทศมาชุมนุมกันอย่างเสรีเพื่อนมัสการพระเจ้าของเรา พระยะโฮวา!
ปีต่อมาผมเลิกทำงานฝ่ายโลกฐานะนักเภสัชวิทยาทางประสาท. เป็นเวลาเกือบสี่ปีที่ผมทำงานอยู่ที่สำนักงานในกรุงปราก ที่ซึ่งผมรับใช้อีกครั้งในคณะกรรมการที่ดูแลการงานของพยานพระยะโฮวาในสาธารณรัฐเช็ก. ไม่นานมานี้ อาคารใหม่สิบชั้นที่มีการบริจาคให้กับพยานพระยะโฮวา ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่และใช้เป็นสำนักงานสาขา. วันที่ 28 พฤษภาคม 1994 มีการอุทิศอาคารที่สวยงามนี้เพื่อการรับใช้พระยะโฮวา.
หนึ่งในพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมคือ สิทธิพิเศษในการแบ่งปันความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้กับคนอื่น ๆ รวมทั้งญาติ ๆ ของผม. จนบัดนี้ คุณพ่อและคุณแม่ผมยังไม่ได้มาเป็นพยานฯ แต่ท่านทั้งสองก็เห็นดีเห็นงามกับกิจกรรมที่ผมทำ. ในสองสามปีหลังนี้ ท่านได้ร่วมการประชุมบางนัดด้วย. ผมหวังอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งสองพร้อมทั้งคนอื่น ๆ ที่มีหัวใจสุจริตอีกหลายล้านคน จะถ่อมใจลงยอมอยู่ใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าและชื่นชมกับพระพรถาวรที่พระเจ้าทรงมีไว้รอท่าคนเหล่านั้นซึ่งเลือกรับใช้พระองค์.
(สรรพหนังสือที่อ้างถึงในบทความนี้จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.)
[รูปภาพหน้า 12]
ตอนที่ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย
[รูปภาพหน้า 13]
คุณพ่อผม ซึ่งเวลาต่อมาได้ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการแห่งเชโกสโลวะเกีย และคุณแม่ผม ซึ่งเป็นจักษุ ศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียง
[รูปภาพหน้า 15]
ฟรานทีเชก วีสคอชีล นักวิทยาศาสตร์และ นักอเทวนิยม ผู้ซึ่งได้มาเป็นพยานฯ
[รูปภาพหน้า 16, 17]
หลังจากการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ พยานพระยะโฮวาได้จัดการประชุมใหญ่ขึ้นหลายครั้งในยุโรปตะวันออก. มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 74,000 คนในการประชุมครั้งนี้ ณ กรุงปรากในปี 1991
[รูปภาพหน้า 18]
กำลังทำงานที่ได้รับมอบหมายระหว่างที่เข้าร่วมโรงเรียน ฝึกอบรมเพื่อการรับใช้ ณ ประเทศอังกฤษ
[รูปภาพหน้า 18]
อาคารสำนักงานสาขาของเรา ในกรุงปราก ทำการอุทิศเมื่อ วันที่ 28 พฤษภาคม 1994