การเพ่งดูโลก
“ความเร่งด่วนระดับโลก”
การประชุมสุดยอดเรื่องเอดส์ที่จัดขึ้นในกรุงปารีส ณ วันเอดส์ของโลกครั้งที่เจ็ด เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ นายบูทรอส บูทรอส-กาลี ขอร้องผู้นำประเทศและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขจาก 42 ประเทศ และ 5 ทวีปให้ “ประกาศภาวะเร่งด่วนระดับโลก” เนื่องจากการระบาดไม่หยุดยั้งอย่างน่าตกใจของโรคเอดส์. ทั้ง ๆ ที่มีความพยายามทั่วโลกที่จะยับยั้งการแพร่ของเอดส์ แต่ระหว่างเดือนกรกฎาคม 1993 ถึงกรกฎาคม 1994 จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์ในโลกเพิ่มขึ้น 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีถึงราว ๆ สี่ล้านราย. ในรายงานที่ดูมืดมน องค์การอนามัยโลกเตือนว่า จากอัตราการเพิ่มปัจจุบัน การแพร่ระบาดของเอดส์ “กำลังคุกคามอนาคตของทั่วทั้งสังคมต่าง ๆ” โดยแท้ และทำนายว่าไม่เกินปี 2000 ระหว่าง 30 ถึง 40 ล้านคนจะติดเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นเอดส์.
ชีวิตในนครใหญ่
แม้ว่าลอนดอน ในประเทศอังกฤษ เป็นนครที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตามข่าวในหนังสือพิมพ์ดิ อินดิเพนเดนต์ แต่ผู้อาศัยเจ็ดล้านคนก็ใช่ว่าจะสุขใจที่อยู่ที่นั่น. จากชาวลอนดอนที่หยั่งเสียง 6 ใน 7 คนเชื่อว่า ชีวิตในเมืองหลวงแย่ลงตลอดห้าปีที่ผ่านมา โดยมีภาวะมลพิษและสภาพจราจรติดขัดเป็นสิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุด. เมื่อถูกถามว่าเขาไว้ใจคนประเภทไหนบ้าง 64 เปอร์เซ็นต์บอกว่าแพทย์ ส่วนตำรวจและครูก่อความไว้ใจน้อยกว่า. เพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นรู้สึกว่าเขาสามารถไว้ใจนักธุรกิจที่ทำงานในย่านการเงินของลอนดอน. ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าย่านนี้ “เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งทำให้ตนรวยด้วยวิธีเอาเปรียบคนอื่นโดยไม่สร้างความมั่งคั่งที่แท้จริง.”
ความรุนแรงต่อผู้หญิงมีมากขึ้น
“การทำร้ายผู้หญิงโดยสามีของตนหรือคู่นอนชายเป็นรูปแบบความรุนแรงที่พบเห็นมากที่สุดในโลก” เป็นคำกล่าวของหนังสือพิมพ์ดิ ออสเตรเลียน ในบทความเกี่ยวกับรายงานหนึ่งของสหประชาชาติ. บทความนั้นอธิบายว่า “ผู้หญิงมากถึงหนึ่งในสี่ของโลกถูกทำร้ายอย่างรุนแรง.” ในบางประเทศ เช่น ชิลี, ปากีสถาน, ปาปัวนิวกินี, ไทย, และสาธารณรัฐเกาหลี มีอัตราสูงกว่าด้วยซ้ำ. ในการพิจารณารายงานเดียวกันนี้ของสหประชาชาติ หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งคือเดอะ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮรัลด์ รายงานว่า ในประเทศหนึ่งประชากรเพศหญิงประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ถูกทำร้าย. ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหลายคนยังต้องทนกับการทำร้ายทางอารมณ์อย่างต่อเนื่องอีกด้วย. การทำร้ายในวงครอบครัวแก้ยากเพราะแทบทุกครั้งจะเกิดขึ้นในลักษณะของภาวะเฉพาะส่วนตัวภายในบ้าน. บ่อยครั้งเพื่อน, คนข้างบ้าน และญาติลังเลใจที่จะรายงานเรื่องดังกล่าว.
การขับเคลื่อน สี่ล้อปลอดภัยกว่าหรือ?
หลายคนเชื่อว่า การขับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อปลอดภัยกว่าเสมอโดยเฉพาะในหิมะและน้ำแข็ง. อย่างไรก็ตาม “เมื่อถึงคราวจะหยุดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อแล้วไม่มีข้อได้เปรียบเหนือรถยนต์ขับเคลื่อนสองล้อ” เดอะ วอลสตรีต เจอร์นัล รายงาน. ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ประกันภัย รถยนต์ประเภทนี้บางรุ่นซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดที่แท้แล้วมี “การเรียกค่าเสียหายจากการบาดเจ็บและการชนกันมากกว่าอัตราเฉลี่ย.” ดูเหมือนว่าผู้ขับหลายคนมั่นใจเกินไปและเสี่ยงโดยใช่เหตุเมื่อขับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ. มาร์ก เซิน นักวิจัยประจำศูนย์แพทย์ยูซีแอลเอในลอสแอนเจลิสให้ข้อสังเกตว่า “โดยสื่อภาพยนตร์และทีวี ทำให้ผู้คนเอารถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อไปเกี่ยวโยงกับความรู้สึกอิสระเสรี.” ความรู้สึกถึงพลังและความเกรียงไกรสามารถขัดขวางการตัดสินใจอย่างสุขุม ซึ่งในขั้นสุดท้ายเป็นนโยบายดีที่สุดสำหรับการขับรถอย่างปลอดภัย
ไอพิษ
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสหรัฐเป็นห่วงเรื่องจำนวนผู้รับพิษจากคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO). MMWR (รายงานประจำสัปดาห์เรื่องอัตราการเป็นโรคและการตาย) แจ้งว่า “ในระดับชาติ มีคนตายประมาณ 590 รายทุกปีจากการรับพิษ CO โดยบังเอิญ.” จำนวนนี้ไม่รวมผู้รับพิษ CO ที่ไม่ถึงตายอีกหลายราย. เนื่องจากก๊าซมรณะนี้ไม่มีสี, ไม่มีกลิ่น, และไม่มีรส จึงสังเกตยาก. ก๊าซนี้ทำให้ความสามารถของเลือดที่จะนำออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ บกพร่อง ทำให้ปวดหัว, คลื่นไส้, ก่อความผิดปกติในระบบประสาท, ทำให้โคม่า, และตาย. ตามรายงานของ MMWR การสะสมของ CO อาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาไหม้ใด ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้าน (เช่น การทำความอุ่นในบ้าน, การหุงต้ม, หรือการติดเครื่องยนต์ หรือเครื่องมือที่ใช้น้ำมันเบนซิน)—โดยเฉพาะเมื่อการระบายอากาศไม่เพียงพอ.”
เครื่องมือแบบใหม่เตือนอัตราเสี่ยงต่ออาการหัวใจวาย
นักวิทยาศาสตร์ในวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ได้พัฒนาเครื่องมือแบบใหม่ซึ่งเมื่อวางแนบผิวหนังบนเส้นเลือดแดงใหญ่บริเวณลำคอสามารถพยากรณ์อัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้. โดยไม่ต้องผ่าตัดใส่เครื่องตรวจในร่างกาย เครื่องนี้จะวัดความเร็วของเลือดและความแตกต่างในความดันโลหิตหลังจากการเต้นของหัวใจแต่ละครั้ง. หลังจากนั้นสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวณ “ความยืดหยุ่นของระบบเส้นเลือดหัวใจทั้งหมดของคนไข้” ตามรายงานในหนังสือพิมพ์เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮรัลด์. หวังกันว่าเครื่องมือนี้จะแม่นยำกว่าวิธีที่ใช้กันทั่วไปในการตรวจหาอัตราเสี่ยงของคนเราต่อโรคเส้นเลือดหัวใจ. ขณะที่อัตราโคเลสเตอรอลสูงและความดันโลหิตสูงเป็นสิ่งชี้บอกอย่างหนักแน่นถึงการเสี่ยงแต่ “หลายคนในจำพวกเหล่านี้ไม่ประสบอาการหัวใจวายเลย” รายงานนี้กล่าวและเสริมว่า “โดยใช้การตรวจนี้ พวกเขาจะไม่ต้องกินยาลดโคเลสเตอรอลราคาแพงหรือควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดโดยไม่จำเป็น.”
“ลูกต้องกินผลไม้และผัก”
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ได้แนะนำให้รับคาโรเต-นอยด์ (สารสีเหลืองปนแดงที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ มีในผักผลไม้) เป็นอาหารเสริม. เบตาคาโรตีนคือคาโรเตนอยด์ที่รู้จักกันดี และเกี่ยวข้องกับการป้องกันหัวใจวาย, โรคเส้นเลือดสมอง, และมะเร็งบางชนิด. อย่างไรก็ตาม การวิจัยใหม่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับประโยชน์ของอาหารเสริมเบตาคาโรตีน. ตามรายงานของเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส ดร. พอล ลาชานส์ นักวิทยาศาสตร์สาขาอาหาร “เตือนให้ระวังการรับประทานอาหารเสริมในรูปคาโรเตนอยด์แยกชนิด.” เขาอธิบายว่า “ในอาหารธรรมชาติ เรารับคาโรเต-นอยด์ผสมและเรายังไม่ทราบว่าการรับในลักษณะผสมนี้สำคัญเพียงไร.” ดร. เรจินา ซิกเลอร์ นักวิจัยอีกคนหนึ่งแนะนำว่า “เราไม่สามารถบรรจุเป็นเม็ดได้ จนกว่าเราจะระบุธาตุแท้ที่มีฤทธิ์ป้องกันในผลไม้และผัก.” หนังสือพิมพ์ ไทม์ส ให้ข้อสังเกตว่า “ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ได้กลับไปยังคำแนะนำที่พวกมารดาให้มานมนานแล้วที่ว่า “ลูกต้องกินผลไม้และผัก.”
การลาออกจากคริสตจักร
ตามข่าวในหนังสือพิมพ์คาทอลิกชื่อพระคริสต์ในปัจจุบัน (ภาษาเยอรมัน) 28 ล้านคนในเยอรมนี หรือหนึ่งในสามของประชากร เป็นคาทอลิก. ในปี 1992 และ 1993 รวมทั้งหมดเกือบ 350,000 คนลาออกจากคริสตจักรคาทอลิก. หนังสือพิมพ์ซืดดอยต์เช ไซทุง รายงานว่า บิชอป คาร์ล เลห์มานน์ ประธานสมัชชาบิชอปเยอรมันเกรงว่าภาษีแบบใหม่ของสหพันธ์ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 1995 จะนำไปสู่การลาออกที่เพิ่มอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น. สมาชิกของคริสตจักรในเยอรมนีต้องเสียภาษีคริสตจักร. ด้วยเหตุนี้ จึงเชื่อกันว่า ชาวคาทอลิกบางคนจะพยายามเลี่ยงภาษีสหพันธ์แบบใหม่นี้โดยวิธีลาออกจากคริสตจักร.
“ยาเสพย์ติดที่เลวร้ายที่สุด”
พาดหัวข่าวเมื่อไม่นานมานี้ในหนังสือพิมพ์เจอร์นัล โด บราซิล ได้ระบุว่าบุหรี่เป็น “ยาเสพย์ติดที่เลวร้ายที่สุด.” ตามคำกล่าวของ ดร. มาร์คอส โมริส ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติของบราซิลอุตสาหกรรมยาสูบกำลังเล็งเป้าไปยังคนหนุ่มสาว. เขาอธิบายว่า “ยิ่งหนุ่มสาวเริ่มสูบบุหรี่เร็วเท่าไร เขาก็ยิ่งจะสูบนานออกไปเท่านั้นในช่วงชีวิตของเขา. และยิ่งเขาสูบบุหรี่นานเท่าไรก็ยิ่งเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้นเท่านั้น.” ดร. โมริส ให้ข้อสังเกตว่า ท่ามกลางคนสูบบุหรี่ 30 ล้านคนในบราซิล “2.4 ล้านคนเป็นเด็กและวัยรุ่น.” เขาเสริมว่า “บุหรี่ฆ่าผู้คนมากกว่าเอดส์, โคเคน, เฮโรอีน, แอลกอฮอล์, ไฟไหม้, อุบัติเหตุทางรถยนต์และการฆ่าตัวตายรวมกัน.”