แก้วผู้แรกที่ทำอยู่มานานแสนนานแล้ว
ไดอะตอม อินทรีย์เซลล์เดียว เล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ลอยอยู่ตามผิวน้ำทะเล และมีอยู่หกส่วนสิบของมวลอินทรีย์ที่ก่อเป็นแพลงตอนในมหาสมุทร. คำ “แพลงตอน” มีความหมายว่า “สิ่งที่ทำขึ้นเพื่อให้พเนจร” และกล่าวกันว่าแพลงตอน “เล็กและไม่มีแรงจนไม่อาจทำอะไร ๆ ได้เลย แต่ลอยไปตามการพัดพาของกระแสน้ำ.”
แพลงตอนอาจจะเล็ก แต่ไม่อ่อนแอเลย. เมื่อพายุพัดเอาสารอาหารจากใต้ทะเลขึ้นมา สาหร่ายเซลล์เดียวเหล่านี้ซึ่งเรียกกันว่า ไดอะตอม จะเริ่มรับอาหารกันอุตลุด และในสองวันพวกมันก็สามารถแบ่งตัวเป็นสองเท่า. และเมื่อพวกมันทวีคูณเป็นสองเท่า มันก็จะทวีคูณการผลิตแก้วเป็นสองเท่าเช่นกัน. หนังสือ ชีวิต—เกิดขึ้นมาอย่างไร? โดยวิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง? ขยายความเรื่องดังนี้:
‘ไดอะตอม ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียว นำซิลิคอนและออกซิเจนจากน้ำทะเลมาทำแก้ว มันสร้าง “ตลับจิ๋ว” จากแก้วนี้เองเพื่อบรรจุคลอโรฟีลล์สีเขียวของมัน. นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งยกย่องตลับจิ๋วดังกล่าว ทั้งในแง่ความสำคัญและความสวยงามของมันดังนี้: “ใบเขียวเหล่านี้ซึ่งห่อตัวอยู่ในตลับอัญมณี เป็นแหล่งอาหารมากถึงเก้าในสิบส่วนสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อาศัยในทะเล.” ส่วนใหญ่ของคุณค่าทางอาหารของมันอยู่ในน้ำมันที่ไดอะตอมผลิตขึ้น ซึ่งยังช่วยให้มันลอยตัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ ใกล้ผิวน้ำได้ ที่ซึ่งคลอโรฟีลล์ของมันสามารถรับแสงแดดได้.
‘นักวิทยาศาสตร์คนนี้บอกเราว่า เปลือกหุ้มที่เป็นกล่องแก้วสวยงามนี้มี “รูปแบบมากมายจนน่างุนงง—เป็นวงกลม, จัตุรัส, รูปโล่, สามเหลี่ยม, รูปวงรี, สี่เหลี่ยมผืนผ้า—มีลวดลายประกอบงดงามแบบเรขาคณิตเสมอ. ลวดลายเหล่านี้ประดับอยู่บนแก้วบริสุทธิ์ด้วยฝีมือประณีตบรรจงมาก จนต้องผ่าเส้นผมของมนุษย์เป็นสี่ร้อยส่วนตามยาวจึงจะสอดผ่านช่องระหว่างลวดลายเหล่านั้นได้.”’—หน้า 143-144.a
ผลงานด้านศิลปะขนาดจิ๋วอีกกลุ่มหนึ่งที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูในหมู่แพลงตอนแห่งมหาสมุทรก็คือตัว เรดิโอลาเรียน. สัตว์เซลล์เดียวตัวกระจิริดเหล่านี้—20 ตัวหรือมากกว่านั้นสามารถวางเรียงบนหัวเข็มหมุดโดยไม่เบียดแตะกันเลย—เป็นตัวที่สร้างแก้วเช่นกัน โดยใช้ซิลิคอนและออกซิเจนในมหาสมุทร. งานออกแบบอันน่าประหลาดและงามประณีตที่สัตว์เหล่านี้ก่อขึ้น เป็นสิ่งสุดจะพรรณนา เพราะล้ำเลิศกว่าไดอะตอมด้วยซ้ำ. ขอพิจารณารูปภาพที่นำมาประกอบ ณ ที่นี้ให้ถี่ถ้วน ซึ่งแสดงภาพเรดิโอลาเรียนตัวหนึ่ง โดยมีลูกกลมสามลูกก่อซ้อนกันเหมือนตุ๊กตารัสเซีย พร้อมด้วยหนามโพรโทพลาซึมโผล่ทะลุออกมาจากช่องโครงแก้วของมัน เพื่อจับเหยื่อและย่อยเป็นอาหาร. นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งให้ความเห็นดังนี้: “โดมแบบจีออเดซิค (โดมโครงสร้างเบาโดยใช้ชิ้นส่วนสำเร็จรูปมาประกอบเข้าด้วยกัน) โดมเดียวยังไม่พอสำหรับสถาปนิกชั้นยอดผู้นี้ มันจะต้องมีโดมแก้วที่มีลวดลายประดับดุจลูกไม้ถึงสามโดมซ้อน ๆ กัน.”
มีฟองน้ำหลายชนิดที่ก่อโครงสร้างแก้ว—หนึ่งในสิ่งน่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ กระเช้าดอกไม้วีนัส. เมื่อมีการนำไปยังยุโรปเป็นครั้งแรกในตอนต้นศตวรรษที่ 19 รูปแบบของมันก่อความตื่นตาตื่นใจอย่างมากจนฟองน้ำเหล่านี้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่ถูกจัดให้อยู่ในการสะสมของสวนสัตว์—จนกระทั่งมีการค้นพบว่า หาพวกมันได้ไม่ยาก แต่ “ก่อตัวเป็นผืนอยู่ก้นทะเลบริเวณใกล้เกาะเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ และอยู่ตามชายฝั่งญี่ปุ่น ณ ความลึก 200-300 เมตร.”
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งรู้สึกประทับใจและงุนงงในฟองน้ำมาก จนเขากล่าวว่า “เมื่อคุณมองโครงสร้างอันซับซ้อนของฟองน้ำ เช่น ฟองน้ำที่เกิดจากแท่งผลึกใส ซึ่งรู้จักกันว่า [กระเช้าดอกไม้วีนัส] คุณจะตะลึงงัน. เป็นไปได้อย่างไรที่เซลล์กระจิ๋วหลิวกึ่งเอกเทศเหล่านี้ร่วมมือกันหลั่งเศษเสี้ยวแก้วนับล้าน ๆ และก่อรูปเป็นแลตติซ (โครงสร้างที่เป็นตารางต่อไขว้กันขึ้นไป) อันงดงามประณีตเช่นนี้? เราไม่รู้.”
ฟองน้ำก็ไม่รู้เช่นกัน. มันไม่มีสมอง. มันทำเช่นนั้นก็เพราะมันถูกตั้งโปรแกรมให้ทำ. ใครเป็นผู้เขียนโปรแกรม? ไม่ใช่มนุษย์. มนุษย์ยังไม่เกิดในตอนนั้น.
บทบาทของมนุษย์ในความเป็นมาของแก้ว
แต่ตอนนี้มีมนุษย์แล้ว และเห็นได้ชัดว่าเขายึดครองบทบาทสำคัญในการผลิตและใช้แก้ว. แก้วมีอยู่ทุกหนแห่ง รอบ ๆ ตัวเรา. คุณพบแก้วเป็นส่วนประกอบของหน้าต่าง, แว่นตา, จอคอมพิวเตอร์, ชุดรับประทานอาหาร, และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นับพัน ๆ ชนิด.
การนำไปใช้ได้สารพัดประโยชน์และความงดงาม ช่วยให้แก้วคงรักษาความนิยมไว้ได้. ถึงแม้ค่อนข้างจะแตกง่าย แต่มันก็แข็งแกร่งในด้านอื่น. แก้วยังคงเป็นที่นิยมใช้เก็บอาหาร. ไม่เหมือนโลหะ อย่างเช่น มันไม่ส่งผลกระทบต่อรสชาติของอาหาร. ภาชนะแก้วบางชนิดสามารถใช้หุงต้มได้. ไม่มีทางที่คุณจะคิดว่าภัตตาคารโปรดของคุณจะเสิร์ฟไวน์ชั้นดีด้วยถ้วยพลาสติก.
ท่านโยบเปรียบเทียบแก้วว่ามีค่าดุจทองคำ. (โยบ 28:17) แน่นอนว่าในสมัยของท่านคงไม่มีแก้วเกลื่อนกลาดเหมือนปัจจุบัน แต่เป็นไปได้ว่าเคยมีการใช้กันมามากกว่าหนึ่งพันปีแล้ว.
ในที่สุดศิลปะการทำแก้วก็ไปถึงอียิปต์. ชาวอียิปต์ใช้วิธีที่เรียกกันว่า การก่อรูปจากแกน. แกนถูกปั้นขึ้นมาจากดินเหนียวและมูลสัตว์ แล้วแก้วที่หลอมจนละลายจะถูกเทหุ้มรอบ ๆ แกน และทำให้เป็นรูปเป็นร่างเมื่อนำไปหมุนคลึงบนพื้นผิวเรียบ. แล้วจะลากด้ายใยแก้วที่มีสีสันสดใสต่าง ๆ ไปบนพื้นผิวเพื่อทำให้เกิดลวดลายหลากหลาย. ครั้นแก้วเย็นตัวลงแล้ว ก็จะดึงแกนดินเหนียวออกด้วยเครื่องมือที่แหลม. เมื่อคำนึงถึงวิธีโบร่ำโบราณนี้แล้ว นับได้ว่าเครื่องแก้วบางชิ้นซึ่งดึงดูดใจอย่างน่าประหลาดได้ถูกผลิตขึ้น.
ต่อมาอีกนานทีเดียวที่วิธีใหม่คือ การเป่าแก้ว ได้ปฏิวัติการผลิตแก้ว. อาจเป็นได้ว่าศิลปะแบบนี้มีการคิดค้นขึ้นมาแถบ ๆ ชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และยังคงเป็นวิธีหลักของการทำแก้วด้วยมือในปัจจุบัน. โดยการเป่าผ่านหลอดกลวง ช่างเป่าแก้วที่ชำนาญสามารถเป่าให้เกิดรูปทรงที่ละเอียดประณีตและได้ลักษณะสมมาตรอย่างรวดเร็ว โดยเป่าออกมาจาก “ม้วนน้ำแก้ว” ที่หลอมละลายแล้วซึ่งอยู่ตรงปลายหลอดเป่าของเขา. หรืออีกวิธีหนึ่ง เขาอาจเป่าน้ำแก้วเข้าไปในแม่พิมพ์ก็ได้. เมื่อพระเยซูอยู่บนโลก การเป่าแก้วเพิ่งจะเริ่มทำกัน.
นวัตกรรมด้านการเป่าแก้ว พร้อมด้วยการสนับสนุนของจักรวรรดิโรมันอันเกรียงไกร ทำให้ผลิตภัณฑ์แก้วเข้าถึงคนสามัญมากขึ้น และเครื่องแก้วก็ไม่ตกเป็นสมบัติเฉพาะของพวกขุนนางและคนมั่งคั่งอีกต่อไป. ขณะที่อิทธิพลของโรมเพิ่มมากขึ้น ศิลปะในการทำแก้วก็แพร่กระจายไปหลายประเทศ.
พอถึงศตวรรษที่ 15 เมืองเวนิชซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญของยุโรปก็ได้กลายเป็นผู้ผลิตเครื่องแก้วรายใหญ่ในยุโรป. อุตสาหกรรมแก้วแห่งเวนิชมีศูนย์กลางอยู่ที่มูราโน. ช่างแก้วชาวเวนิชได้รับการยกย่องอย่างสูง แต่ก็ถูกห้ามไม่ให้ออกจากเกาะมูราโน เกรงว่าพวกเขาจะนำความลับทางวิชาชีพอันมีค่าไปเปิดเผยกับคนอื่น.
เครื่องแก้วของเวนิชที่งดงาม ช่วยเพิ่มความนิยมให้กับแก้วเป็นอย่างมาก แต่การทำแก้วไม่ใช่งานง่าย ๆ เลย. หนังสือความเป็นมาของแก้วโดยสังเขป (ภาษาอังกฤษ) อ้างถึงสิ่งพิมพ์หนึ่งในปี 1713 ซึ่งพรรณนาถึงสภาพนั้นว่าเป็นอย่างไร. “พวกผู้ชายยืนเปลือยร่างครึ่งท่อนตลอดเวลา ท่ามกลางอากาศในฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกใกล้ ๆ เตาหลอมอันร้อนจัด . . . พวกเขาเหี่ยวย่นเพราะร่างกายและผิวหนังในสภาพเดิม . . . ถูกไหม้เกรียมและถูกทำลายด้วยความร้อนเกินขีด.” ในปีหลัง ๆ นี้ช่างเจียระไนแก้วขัดเกลาตกแต่งแก้วโดยใช้ล้อหมุน และผงขัดถู.
นวัตกรรมช่วงหลัง ๆ
ประเทศอังกฤษสมควรได้รับการกล่าวขวัญเป็นพิเศษในประวัติความเป็นมาของแก้ว. ช่างแก้วชาวอังกฤษได้ปรับปรุงสูตรทำแก้วตะกั่วให้สมบูรณ์แบบในปี 1676. การเติมตะกั่วออกไซด์ลงไปทำให้เกิดแก้วที่หนักซึ่งแข็งแรง, ใส, และแวววาว.
จักรวรรดิบริเตนรุ่งเรืองสุดยอดระหว่างยุควิคตอเรีย และช่วงนี้บริเตนก็เป็นผู้ผลิตแก้วรายใหญ่อยู่แล้ว. ที่มีชื่อโด่งดังเป็นพิเศษก็คือนิทรรศการอันยิ่งใหญ่ ณ คริสตัลพาเลซในปี 1851 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าระดับโลกงานแรก ที่ดึงดูดผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าด้านศิลปอุตสาหกรรมและหัตถกรรมจากประเทศต่าง ๆ เกือบ 90 ประเทศ. ถึงแม้เครื่องแก้วเป็นจุดเด่นอย่างเห็นได้ชัดในการแสดงสินค้า แต่ตัวคริสตัลพาเลซเองซึ่งมีน้ำพุแก้วเทียมสูงถึง 8.2 เมตรอยู่ตรงใจกลาง กลับแย่งความสนใจไปหมด. โครงสร้างมหึมานี้ใช้แผ่นแก้วประมาณ 400 ตัน ซึ่งประกอบด้วยแก้วที่เป่าด้วยแรงคนถึง 300,000 แผ่น.
แต่ ในสหรัฐนั่นเองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งต่อไปในการทำแก้ว. นั่นก็คือ มีการปรับปรุงเครื่องปั๊มแก้วอัตโนมัติได้สำเร็จในทศวรรษปี 1820. หนังสือความเป็นมาของแก้วโดยสังเขป ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “ด้วยเครื่องปั๊มแก้วหนึ่งเครื่อง คนสองคนที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไร สามารถผลิตแก้วได้มากเป็นสี่เท่าของทีมนักเป่าแก้วที่ชำนาญสามหรือสี่คน.”
ตอนต้นศตวรรษที่ 20 มีการพัฒนาเครื่องเป่าขวดอัตโนมัติขึ้นมาในสหรัฐ. ปี 1926 โรงงานแห่งหนึ่งในเพนซิลเวเนีย ได้ใช้เครื่องเป่าแก้วอัตโนมัติซึ่งสามารถผลิตหลอดไฟชนิดกลมได้นาทีละ 2,000 หลอด.
ช่างศิลป์และนักออกแบบหลายคนรู้สึกติดตรึงใจในศักยภาพเชิงศิลปะของแก้ว. ทั้งนี้นำไปสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ และมีการสร้างสรรค์งานศิลปะแก้วเพิ่มมากขึ้น.
แน่นอน แก้วเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์. นอกเหนือจากการใช้ในครัวเรือนแล้ว ลองนึกถึงสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายหลายอย่างที่นำแก้วไปประยุกต์ใช้—เช่น ใช้ในการทำกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล, ทำเลนส์กล้องถ่ายรูป, ใช้ทำเส้นใยนำแสงในระบบสื่อสาร, และใช้ในห้องปฏิบัติการทางเคมี. ถึงจะเปราะแตกง่าย แต่ก็ใช้ได้สารพัดประโยชน์และงดงามจริง ๆ.
[เชิงอรรถ]
a พิมพ์โดยสมาคม ว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่ง นิวยอร์ก.
[ที่มาของภาพหน้า 17]
Top and Bottom: The Corning Museum of Glass
[ที่มาของหน้า 18]
The Corning Museum of Glass