บท 11
รูปแบบอันน่าทึ่งของสิ่งมีชีวิต
1, 2. (ก) อะไรแสดงว่า นักวิทยาศาสตร์เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีผู้ออกแบบ? (ข) กระนั้น เขาเองได้กลับเปลี่ยนไปอย่างไร?
เมื่อนักมานุษยวิทยาทำการขุดค้น และพบหินเหล็กไฟคมรูปสามเหลี่ยม พวกเขาลงความเห็นว่าหินนี้คงต้องถูกออกแบบโดยคนใดคนหนึ่งสำหรับเป็นหัวลูกธนู. นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่า สิ่งซึ่งถูกออกแบบไว้อย่างมีจุดมุ่งหมายนั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ.
2 แต่เมื่อพิจารณาถึงสิ่งมีชีวิต มักจะไม่ใช้การหาเหตุผลอย่างเดียวกันนี้. มักจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีผู้ออกแบบ. แต่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวแบบพื้น ๆ หรือเพียงแต่ดีเอนเอ ในรหัสพันธุกรรมของเซลล์นั้นก็ซับซ้อนยิ่งกว่าแท่งหินเหล็กไฟนัก. กระนั้น นักวิวัฒนาการก็ยังยืนกรานว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีผู้ออกแบบ แต่เกิดขึ้นมาโดยเหตุบังเอิญ.
3. ดาร์วินเห็นความจำเป็นของสิ่งใดและเขาได้พยายามอธิบายอย่างไร?
3 อย่างไรก็ดี ดาร์วินเองก็ยังยอมรับว่า จะต้องมีพลังทำการออกแบบบางอย่างและคิดว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติทำหน้าที่นั้น. เขากล่าวว่า “การคัดเลือกโดยธรรมชาตินั่นเองที่วิเคราะห์สิ่งแตกต่างกัน แม้เพียงน้อยนิดทุกวันทุกเวลาตลอดทั่วโลก ปฏิเสธสิ่งที่เลว สงวนและเสริมสิ่งที่ดีทั้งหมดเข้าด้วยกัน.”1 แต่ความเห็นดังกล่าวไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน.
4. ความเห็นในเรื่องการคัดเลือกตามธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
4 สตีเฟน กูลด์ รายงานว่า นักวิวัฒนาการร่วมสมัยปัจจุบันหลายคนกล่าวกันว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ “อาจไม่ได้เกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ และอาจแพร่ในสิ่งมีชีวิตอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ.”2 กอร์ดอน เทเลอร์เห็นพ้องว่า “การคัดเลือกโดยธรรมชาติบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ยังคงอธิบายไม่ได้.”3 เดวิด รอป นักธรณีวิทยากล่าวว่า “เรื่องใหม่ที่สำคัญซึ่งใช้แทนการคัดเลือกโดยธรรมชาติเกี่ยวข้องกับเหตุบังเอิญแท้ ๆ.”4 แต่ “เหตุบังเอิญแท้ ๆ” เป็นนักออกแบบหรือ? มันมีความสามารถทำให้เกิดสิ่งซับซ้อนอันเป็นโครงร่างของชีวิตได้หรือ?
5. นักวิวัฒนาการผู้หนึ่งยอมรับอย่างไรต่อการออกแบบและผู้ออกแบบ?
5 ริชาร์ด เลวอนติน นักวิวัฒนาการยอมรับว่า สิ่งมีชีวิต “ปรากฏว่าได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันและด้วยศิลปะ.” นักวิทยาศาสตร์บางคนจึงถือว่านี้เป็น “หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับผู้ออกแบบองค์ใหญ่ยิ่ง.”5 จะเป็นการดีที่เราลองพิจารณาหลักฐานเหล่านี้บางอย่าง.
สิ่งขนาดเล็ก
6. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเป็นแบบง่าย ๆ จริง ๆ หรือ?
6 ให้เราเริ่มต้นกับสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุด นั่นคือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว. นักชีววิทยากล่าวว่า สัตว์เซลล์เดียวสามารถ “หาอาหาร ย่อยอาหาร กำจัดของเสีย เคลื่อนไหว สร้างที่อยู่และขยายพันธุ์โดยที่มันไม่มีเนื้อเยื่อ อวัยวะ หัวใจหรือสมอง—ที่จริงมันทำทุกอย่างที่เราทำ.”6
7. ไดอะตอมสร้างแก้วอย่างไร เพื่ออะไรและมันมีความสำคัญขนาดไหนต่อชีวิตในทะเล?
7 ไดอะตอม ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว นำซิลิคอนและออกซิเจนจากน้ำทะเลมาทำแก้ว มันสร้าง “กล่อง” เล็ก ๆ จากแก้วนี้เองเพื่อบรรจุคลอโรฟิลล์สีเขียวของมัน. นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งยกย่องไดอะตอมทั้งในแง่ความสำคัญและความสวยงามของมันดังนี้ “ใบเขียวเหล่านี้ห่อตัวอยู่ในกล่องอัญมณี เป็นแหล่งอาหารมากถึงเก้าในสิบส่วนสำหรับสัตว์ทุกอย่างที่อาศัยในทะเล.” ส่วนใหญ่ของคุณค่าทางอาหารของมันเป็นน้ำมันที่ไดอะตอมทำขึ้น ซึ่งยังช่วยให้มันลอยขึ้นมาใกล้ผิวน้ำที่ซึ่งคลอโรฟิลล์ของมันจะรับแสงแดดได้.
8. ไดอะตอมหุ้มตัวเองด้วยแบบต่าง ๆ ที่ซับซ้อนอะไรบ้าง?
8 นักวิทยาศาสตร์คนนี้บอกว่าเปลือกหุ้มที่เป็นกล่องแก้วสวยงามนี้มี “รูปแบบมากมายจนน่างุนงง—เป็นวงกลม, จัตุรัส, รูปโล่, สามเหลี่ยม, รูปวงรี, สี่เหลี่ยมผืนผ้า—มีลวดลายประกอบงดงามแบบเรขาคณิตเสมอ. ลวดลายเหล่านี้ประดับอยู่บนแก้วบริสุทธิ์ด้วยฝีมือประณีตบรรจงมาก จนต้องผ่าเส้นผมของมนุษย์เป็นสี่ร้อยส่วนตามยาวจึงจะสอดผ่านช่องระหว่างลวดลายเหล่านั้นได้.”7
9. บ้านที่ราดิโดแลเรียนสร้างขึ้นมีความซับซ้อนอย่างไร?
9 สัตว์กลุ่มหนึ่งที่อาศัยในทะเลเรียกว่า ราดิโอแลเรียน ผลิตแก้วแล้วใช้สร้าง “รัศมีแก้ว มีเข็มเล็ก ๆ โปร่งใสเป็นรัศมีออกไปจากลูกกลมที่เป็นศูนย์กลาง.” หรือสร้าง “แท่งแก้วเป็นรูปหกเหลี่ยมและใช้ในการสร้างโดมทรงเรขาคณิตอย่างง่าย ๆ.” เกี่ยวกับนักก่อสร้างบางตัวที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นนี้ มีคำกล่าวว่า “โดมทรงเรขาคณิตเพียงอันเดียวไม่อาจทำให้สถาปนิกยอดเยี่ยมนี้พอใจ จะต้องมีโดมแก้วลายสลักสามอันซ้อน ๆ กันจึงจะพอ.”8 คำพูดไม่อาจบ่งบอกถึงความมหัศจรรย์ของการออกแบบนี้—ต้องดูภาพเอาเอง.
10, 11. (ก) ฟองน้ำคืออะไร และเกิดอะไรขึ้นกับเซลล์แต่ละเซลล์เมื่อฟองน้ำแตกยุ่ยขาดจากกัน? (ข) คำถามอะไรเกี่ยวกับโครงสร้างของฟองน้ำซึ่งพวกนักวิวัฒนาการไม่อาจตอบได้? แต่เรารู้อะไร?
10 ฟองน้ำ ประกอบด้วยเซลล์นับล้าน ๆ แต่มีเพียงไม่กี่ชนิด. ตำรามหาวิทยาลัยเล่มหนึ่งอธิบายว่า “เซลล์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกจัดให้เป็นเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะใด ๆ แต่เซลล์ต่าง ๆ ก็พอจะรู้จักกัน มันจึงจับกลุ่มกันและมีการก่อรูปขึ้น.”9 ถ้าฟองน้ำถูกขยำเละไหลผ่านผ้าผืนหนึ่งและถูกแยกออกเป็นเซลล์นับล้าน ๆ เซลล์เหล่านี้จะรวมตัวกันก่อเป็นฟองน้ำขึ้นมาอีก. ฟองน้ำสร้างโครงที่เป็นแก้วที่สวยงามมาก. ชนิดหนึ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ กระเช้าดอกไม้ของวีนัส.
11 นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวเกี่ยวกับสิ่งนี้ว่า “เมื่อคุณมองดูโครงสร้างที่ซับซ้อนของฟองน้ำ เช่น ตัวที่ทำด้วยซิลิคาแหลม ๆ ซึ่งเรียกว่า [กระเช้าดอกไม้ของวีนัส] เรารู้สึกทึ่ง. พวกเซลล์เล็ก ๆ กึ่งเอกเทศเหล่านี้ทำอย่างไรจึงมาร่วมกันผลิตแท่งแก้วจำนวนนับล้าน ๆ และก่อให้เกิดตารางที่ละเอียดและสวยงามอย่างนี้? เราไม่รู้.”10 แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้: เหตุบังเอิญคงไม่ใช่ผู้ออกแบบ.
การอยู่ร่วมกัน
12. ซิมไบโดสิสคืออะไร และมีตัวอย่างอะไรบ้าง?
12 มีหลายกรณี ซึ่งสิ่งมีชีวิตสองชนิดดูเหมือนถูกออกแบบให้อยู่ร่วมกัน. การอยู่ร่วมกันดังกล่าวเป็นตัวอย่างของซิมไบโอสิส (การอยู่ร่วมกัน). ต้นมะเดื่อและตัวต่อบางชนิดต้องพึ่งพากันเพื่อจะขยายพันธุ์ต่อไป. ปลวกกินไม้ แต่ต้องอาศัยพวกโปรโตซัวในร่างกายของมันช่วยย่อย. ทำนองเดียวกัน พวกวัว ควาย แพะและอูฐ ไม่อาจย่อยเซลลูโลสในหญ้า ถ้าไม่ได้พวกแบคทีเรียและโปรโตซัวที่อาศัยอยู่ภายในตัวมันเป็นตัวช่วย. รายงานหนึ่งแจ้งว่า “กระเพาะวัวส่วนย่อยอาหาร มีปริมาตรราว 100 ลิตร มีจุลชีพต่าง ๆ ถึง 10,000 ล้านตัวในทุก ๆ หยด.”11 สาหร่ายและราต้องร่วมกันกลายเป็นตะไคร่ แล้วจึงจะเจริญขึ้นได้บนหินล้วน ๆ ทำให้หินกลายเป็นดิน.
13. การอยู่ร่วมกันระหว่างมดกับต้นยางอาหรับก่อให้เกิดคำถามอะไร?
13 มดที่ต่อยเจ็บอาศัยอยู่ตามซอกกิ่งเป็นหนามของต้นอะเคเซีย. มดชนิดนี้ป้องกันมิให้แมลงลงกินใบและช่วยกำจัดไม้เลื้อยที่มาเกาะที่ต้น. แล้วต้นไม้ก็หลั่งของเหลวรสหวานซึ่งมดชอบ และยังออกผลเทียมลูกเล็ก ๆ ซึ่งเป็นอาหารของมด. ในตอนแรกมดช่วยป้องกันต้นไม้ และต่อมาต้นไม้ให้ผลเป็นรางวัลแก่มดหรือ? หรือกลับกัน? หรือว่าเป็นเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน?
14. ดอกไม้มีวิธีเตรียมการและกลไกอะไรเป็นพิเศษ เพื่อล่อแมลงมาผสมเกสร?
14 การร่วมมือกันดังกล่าวระหว่างแมลงและดอกไม้มีอยู่หลายราย. แมลงผสมเกสรให้ดอกไม้และดอกไม้ก็เลี้ยงแมลงด้วยเกสรและน้ำหวาน. ดอกไม้บางชนิดมีเกสรสองชนิด. ชนิดหนึ่งใช้ผสมให้เกิดเมล็ด และอีกชนิดหนึ่งผสมไม่ได้แต่ใช้เลี้ยงแมลงที่แวะเวียนมา. ดอกไม้หลายชนิดมีลายและมีกลิ่นพิเศษซึ่งเป็นสื่อนำแมลงมาหาน้ำหวาน. ระหว่างทางที่เข้าไปนั้น แมลงจะผสมเกสร. ดอกไม้บางชนิดมีกลไกบางอย่าง. เมื่อแมลงไต่ตอมกลไกนั้น ก้านเกสรตัวผู้ซึ่งมีเรณูอยู่ภายในจะตบมันทันที.
15. ต้นดัชแมนส์ ไพพ์ ทำอย่างไรเพื่อจะให้เกสรผสมข้ามดอกกัน และเรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามอะไร?
15 ตัวอย่างเช่น ดอกดัทช์แมนส์ ไพพ์ ไม่อาจผสมเกสรในตัวเองได้แต่ต้องอาศัยแมลงนำเกสรจากดอกอื่น. มันมีใบที่เป็นท่อ ซึ่งหุ้มรอบดอกและใบนี้เคลือบด้วยขี้ผึ้ง. แมลงซึ่งได้กลิ่นดอกไม้ จะบินมาเกาะที่ใบแล้วดิ่งลงตามทางที่ลื่นสู่กระเปาะที่ก้น. ณ ที่นี้รังไข่ที่สุกจะรับเกสรซึ่งแมลงนำมาและการผสมเกสรก็เกิดขึ้น. แต่แมลงจะถูกขังไว้ในกระเปาะนั้นต่อไปสามวันเพราะขนและขี้ผึ้งที่ผนังท่อ. หลังจากนี้เกสรของดอกไม้เองจะสุกและติดอยู่ตามตัวแมลง. ถึงตอนนี้ขนจะเฉาไปและท่อลื่นที่มีขี้ผึ้งก็เอนราบลง. แมลงจะไต่ออกมาพร้อมกับคลุกเกสรใหม่ติดตัวมาด้วยแล้วมันจะบินไปสู่ดอกอื่นเพื่อผสมเกสรต่อไป. แมลงไม่รังเกียจที่ต้องอยู่ถึงสามวัน เพราะมันกินน้ำหวานที่สะสมไว้ให้มันที่นั่น. ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญไหม? หรือว่ามันเป็นผลของการออกแบบที่ชาญฉลาด?
16. กล้วยไม้ออฟรีส และกล้วยไม้อีกชนิดหนึ่งมีการผสมเกสรโดยวิธีใด?
16 กล้วยไม้ ออฟรีส บางชนิดมีกลีบดอกเป็นรูปตัวต่อตัวเมีย มีตา หนวด และปีกครบ. นอกจากนั้นรูปนั้นยังส่งกลิ่นของตัวเมียในช่วงผสมพันธุ์ด้วย! ตัวผู้จะบินมาเพื่อผสมพันธุ์ แต่ก็เพียงมาผสมเกสรให้ดอกไม้เท่านั้น. กล้วยไม้อีกชนิดหนึ่งมีน้ำหวานที่เริ่มบูดเปรี้ยวซึ่งทำให้ผึ้งขาอ่อน มันจะตกลงไปในถังที่มีของเหลว และทางเดียวที่มันจะออกมาได้ก็ต้องดุกดิกลอดใต้ก้านเกสรซึ่งจะโปรยตัวผึ้งด้วยเกสร.
“โรงงาน” แห่งธรรมชาติ
17. ใบและรากทำงานร่วมกันอย่างไรในการหาอาหารเลี้ยงต้น?
17 ใบเขียวของพฤกษชาติเป็นอาหารเลี้ยงพลโลกทั้งโดยตรงและทางอ้อม. แต่ถ้าไม่มีรากฝอย ใบเหล่านี้จะทำหน้าที่ไม่ได้. รากฝอยจำนวนนับล้านชอนไชลงในดิน—ที่ปลายรากแต่ละเส้นมีฝาป้องกันหล่อด้วยน้ำมัน. ขนของรากถัดจากฝานั้นจะดูดน้ำและแร่ธาตุซึ่งขึ้นไปตามร่องเล็ก ๆ ในเนื้อไม้ไปสู่ใบ. ในใบมีการสร้างน้ำตาลและกรดอะมิโนต่าง ๆ และอาหารเหล่านี้ถูกส่งไปทั่วทั้งต้นและลงไปที่ราก.
18. (ก) น้ำขึ้นจากรากถึงใบได้อย่างไร? และอะไรแสดงให้เห็นว่าระบบส่งน้ำเช่นนี้ดีเยี่ยม? (ข) ต้นไม้หายใจอย่างไรและมันมีส่วนส่งเสริมวัฏจักรของน้ำอย่างไร?
18 ลักษณะเฉพาะของระบบไหลเวียนในต้นไม้และพืชเป็นสิ่งน่าทึ่งมากจนนักวิทยาศาสตร์หลายคนถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์. ประการแรก น้ำถูกสูบขึ้นไปสูงหกสิบถึงเก้าสิบเมตรจากพื้นดินได้อย่างไร? ความดันในรากเริ่มทำให้น้ำขึ้นไป แต่เมื่อถึงลำต้นมีการใช้กลไกอย่างอื่น. โมเลกุลของน้ำจะเกาะกันโดยแรงเกาะตัว. โดยแรงเกาะตัวนี้เอง เมื่อน้ำระเหยออกไปจากใบ น้ำที่ต่อกันเป็นขบวนนี้ก็จะถูกดึงขึ้นไปเหมือนเชือก—เป็นเชือกที่ต่อกันจากรากไปจนถึงใบและเคลื่อนตัวขึ้นไปในอัตรา 60 เมตรต่อชั่วโมง. เชื่อกันว่าระบบนี้สามารถส่งน้ำในต้นไม้ขึ้นไปได้สูงถึงประมาณสามกิโลเมตร! ขณะที่น้ำส่วนเกิดระเหยออกทางใบ น้ำจำนวนหลายพันล้านตันจะถูกส่งกลับเข้าไปในอากาศ และตกลงมาเป็นฝนอีก—เป็นระบบที่มีการออกแบบไว้สมบูรณ์ยิ่ง!
19. รากบางชนิดและแบคทีเรียบางอย่างได้ร่วมกันทำงานที่สำคัญอะไร?
19 ไม่หมดเพียงแค่นั้น. ใบไม้ต้องการไนเทรตและไนไทรตจากพื้นดินเพื่อใช้สร้างกรดอะมิโนที่จำเป็น. บางส่วนลงไปอยู่ในดินเพราะฟ้าผ่า และโดยแบคทีเรียอิสระบางตัว. สารประกอบไนโตรเจนจำนวนมากถูกสร้างขึ้นโดยพืชตระกูลถั่ว. แบคทีเรียบางตัวจะเข้าไปในราก รากจะให้อาหารพวกคาร์โบไฮเดรตแก่แบคทีเรีย และแบคทีเรียจะเปลี่ยนหรือจับไนโตรเจนจากดินให้กลายเป็นไนเทรตและไนไทรตที่ใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เกิดสารเหล่านี้ประมาณ 40 กิโลกรัมต่อไร่ในแต่ละปี.
20. (ก) การสังเคราะห์แสงเป็นการทำอะไร เกิดขึ้นที่ไหน? และใครเข้าใจขบวนการนี้? (ข) นักชีววิทยาคนหนึ่งมีความเห็นอย่างไร? (ค) อาจตั้งชื่อให้พืชสีเขียวว่าเป็นอะไร มันมีข้อดีอะไร และเหมาะที่จะถามอะไร?
20 ยังมีอีก. ใบเขียวได้พลังงานจากดวงอาทิตย์ ได้คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศและน้ำจากรากเพื่อที่จะผลิตน้ำตาลและคายออกซิเจนออกมา. ขบวนการนี้เรียกว่าการสังเคราะห์แสงและเกิดขึ้นในตัวเซลล์ที่เรียกว่า คลอโรพลาสต์—ตัวเล็กมากจนอาจต้องใช้ถึง 400,000 ตัวเพื่อจะได้จุดมหัพภาคที่ท้ายประโยคนี้. นักวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจเข้าใจขบวนการนี้ได้อย่างถ่องแท้. นักชีววิทยาคนหนึ่งกล่าวว่า “มีปฏิกิริยาเคมีถึงเจ็ดสิบอย่างต่าง ๆ กันที่เกี่ยวข้องในการสังเคราะห์แสง. มันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ทีเดียว.”12 พืชสีเขียวถูกเรียกว่า “โรงงาน” แห่งธรรมชาติ—สวยงาม เงียบ ไม่เกิดมลภาวะสร้างออกซิเจน หมุนเวียนน้ำและเลี้ยงพลโลก. มันเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือ? นั่นน่าเชื่อไหม?
21, 22. (ก) นักวิทยาศาสตร์มีชื่อสองคนกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับปัญญาที่ปรากฏในโลกธรรมชาติ? (ข) พระคัมภีร์ให้เหตุผลอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?
21 นักวิทยาศาสตร์มีชื่อที่สุดบางคนรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อเช่นนั้น. เขาเห็นปัญญาอยู่เบื้องหลังธรรมชาติ. โรเบิร์ต เอ. มิลลิกัน นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลซึ่งแม้จะเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการก็ยังได้กล่าวว่า “มีสิ่งเบื้องบนควบคุมเราอยู่ . . . ปรัชญาวัตถุนิยมล้วน ๆ ในความคิดของผมแล้วเป็นเรื่องโง่เขลาอย่างยิ่ง. คนรอบรู้ทุกยุคทุกสมัยต่างก็เห็นมามากพอกระทั่งอย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกเกรงขาม.” ในคำกล่าวนั้น เขาได้อ้างคำพูดอันคมคายของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่ว่าเขาได้ “พยายามด้วยความเจียมตัวที่จะเข้าแม้แต่เพียงเสี้ยวเล็กน้อยของปัญญาที่ปรากฏในธรรมชาติ.”13
22 หลักฐานการออกแบบปรากฏอยู่รอบตัวเรา มีมากมายหลายชนิดนับไม่ถ้วนและซับซ้อนจนน่าอัศจรรย์ เป็นข้อบ่งชี้ถึงปัญญาอันสูงส่งยิ่ง. การสรุปเช่นเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งบอกว่า การออกแบบเป็นผลงานของพระผู้สร้างซึ่ง “คุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์อันไม่ประจักษ์ด้วยตาก็เห็นได้ชัดตั้งแต่การสร้างโลกต่อมา เพราะว่าคุณลักษณะเหล่านั้นเป็นที่เข้าใจได้ด้วยสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้างขึ้น กระทั่งฤทธานุภาพอันถาวรและความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น เหตุฉะนั้น เขาจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้.”—โรม 1:20, ล.ม.
23. ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญให้ข้อสรุปที่สมเหตุผลอย่างไร?
23 เนื่องจากหลักฐานการออกแบบมีมากเหลือหลายในชีวิตรอบตัวเรา จึงดูเหมือน “ไม่มีข้อแก้ตัว” ที่ว่า ความบังเอิญเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้. ดังนั้น จึงไม่เป็นการไร้เหตุผลที่นักประพันธ์บทเพลงสรรเสริญกล่าวดังนี้ “ข้าแต่พระยะโฮวา พระราชกิจของพระองค์มีเป็นเอนกประการจริง! พระองค์ได้ทรงกระทำการนั้นทั้งสิ้นโดยพระสติปัญญา.”—บทเพลงสรรเสริญ 104:24, 25.
[คำโปรยหน้า 151]
“มีปฏิกิริยาเคมีถึงเจ็ดสิบอย่างต่าง ๆ กันที่เกี่ยวข้องในการสังเคราะห์แสง. มันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ทีเดียว”
[กรอบ/ภาพหน้า 148, 149]
การออกแบบที่น่าทึ่งของเมล็ด
เมล็ดแก่ได้ที่และพร้อมจะกระจาย!
การออกแบบที่ฉลาดหลายวิธีทำให้เมล็ดกระจายออกไป! เมล็ดของกล้วยไม้เบาจนลอยได้เหมือนฝุ่น. เมล็ดแดนดิไลเอ็นมีอุปกรณ์เหมือนร่มชูชีพ. เมล็ดเมเปิลมีปีกและบินโฉบคล้ายกับผีเสื้อ. เมล็ดของพืชน้ำบางชนิดมีทุ่นที่มีอากาศภายในทำให้ลอยตามน้ำได้.
พืชบางชนิดมีฝักซึ่งจะแตกออก และเมล็ดถูกดีดออกไป. เมล็ดวิทช์เฮเซิลนั้นลื่นจะถูกบีบก่อน แล้วจึงถูกดีดออกจากผลของมันเหมือนเด็กใช้นิ้วดีดเมล็ดแตงโม. แตงพ่นเมล็ดใช้หลักไฮดรอลิกส์. ขณะที่แตงโตขึ้นเปลือกจะหนาเข้าข้างใน ส่วนเนื้อที่เหลวใจกลางผลจะถูกแรงกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ ครั้นเมล็ดแก่จัด ความดันมีมากจนกระทั่งมันระเบิดก้านให้หลุดไป เหมือนจุกกระเด็นจากปากขวด และเมล็ดก็ทะลักออกมาโดยเร็ว.
[รูปภาพ]
แดนดิไลเอ็น
เมเปิล
แตงพ่นเมล็ด
เมล็ดที่วัดน้ำฝน
ไม้ล้มลุกบางอย่างในทะเลทรายมีเมล็ดซึ่งจะไม่งอกเป็นต้นจนกว่าปริมาณฝนที่ตกลงมา วัดได้มากกว่าหนึ่งเซนติเมตร. พืชชนิดนี้ดูเหมือนจะรู้ทิศทางของน้ำอีกด้วย—ถ้าฝนตกจากฟ้ามันจะงอก. แต่ถ้ามันได้น้ำจากดินข้างล่างมันจะไม่งอก. ในดินมีเกลือซึ่งจะขัดขวางไม่ให้เมล็ดงอก. จะต้องให้น้ำฝนจากข้างบนชะเกลือเหล่านี้เสียก่อน. น้ำซึ่งซึมขึ้นมาจากดินเบื้องล่างชะเกลือไม่ได้.
ถ้าไม้ล้มลุกเหล่านี้ในทะเลทรายเริ่มงอกเมื่อมีฝนตกเพียงเล็กน้อย มันจะตาย. จะต้องมีฝนมากเพื่อให้ดินชุ่มชื้นพอที่จะช่วยให้พืชอยู่รอดในช่วงที่แห้งแล้งต่อมา. ดังนั้น พืชประเภทนี้จึงรออยู่. เหตุบังเอิญ—หรือมีการออกแบบไว้?
ยักษ์ใหญ่ในกล่องเล็ก
เมล็ดชนิดหนึ่งที่เล็กที่สุดหุ้มห่อสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกไว้—นั่นคือ ต้นสนยักษ์ซีโคยา. ต้นไม้ชนิดนี้เติบโตขึ้นสูงกว่า 100 เมตร. ลำต้นส่วนที่อยู่เหนือดินประมาณ 1 เมตรอาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 11 เมตร. สนชนิดนี้แค่ต้นเดียวอาจมีไม้ใช้สร้างบ้านขนาดหกห้องได้ถึง 50 หลัง. เปลือกไม้ซึ่งหนาถึง 60 เซนติเมตรมีแทนนินอยู่มากมายช่วยกันแมลง และเนื้อที่หยุ่นมีใยของเปลือกมีความทนไฟเกือบเท่ากับแร่ใยหิน. รากของมันซอกซอนไปไกลในเนื้อที่ประมาณ 7 ถึง 10 ไร่. มันยืนต้นอยู่ได้นานกว่า 3,000 ปี.
กระนั้นเมล็ดจำนวนนับล้าน ซึ่งหล่นจากต้นซีโคยา มีขนาดใหญ่กว่าหัวเข็มหมุดเพียงเล็กน้อยมีปีกเล็ก ๆ ติดอยู่รอบ. มนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยที่ยืนอยู่ที่โค่นต้นได้แต่แหงนหน้ามองขึ้นไปอย่างเงียบ ๆ ตื่นตะลึงในความมโหฬารของมัน. มีเหตุผลไหมที่จะเชื่อว่าการวางรูปแบบยักษ์ใหญ่ที่งามสง่านี้รวมทั้งเมล็ดจิ๋วที่หุ้มห่อมันไว้นั้นไม่ได้เป็นมาโดยการออกแบบ?
[กรอบ/ภาพหน้า 150]
นักดนตรียอดเยี่ยม
นกม็อคกิงเบิร์ดได้ชื่อว่าเป็นนกที่เลียนเสียงเก่ง. นกตัวหนึ่งเลียนเสียงนกอื่น 55 ตัวในหนึ่งชั่วโมง. แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกทึ่งคือ เสียงร้องอันไพเราะอย่างต่อเนื่องของนกม็อคกิงเบิร์ดเอง. เสียงร้องนั้นมีมากกว่าเพียงเสียงง่าย ๆ ที่จำเป็นเพื่อการบ่งบอกเขตที่มันอ้างเป็นเจ้าของ. เสียงเพลงนี้เพื่อความสุขของนกเอง—และของพวกเราด้วยไหม?
นกเร็นนักดนตรี ประจำทวีปอเมริกาใต้ก็น่าทึ่งเช่นกัน. ตัวผู้และตัวเมียจะร้องเพลงร่วมกันเหมือนคู่นกอื่น ๆ ในแถบร้อน. ท่วงทำนองเพลงของนกนี้มีลักษณะเฉพาะ ดังที่หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งกล่าวว่า “ตัวเมียและตัวผู้จะร้องเพลงเดียวกันร่วมกัน ร้องคนละเพลง หรือส่วนต่าง ๆ ของเพลงเดียวกันสลับกัน มันอาจมีจังหวะที่แน่นอนมากจนฟังดูเหมือนมีนกเพียงตัวเดียวที่กำลังร้องเพลง.”a การพูดจาประสาดนตรีอย่างนุ่มนวลในขณะนกเร็นติดต่อกันเป็นคู่ ๆ เช่นนี้ช่างไพเราะเสียนี่กระไร! เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือ?
[ภาพหน้า 142]
ต้องมีผู้ออกแบบ
ไม่ต้องมีผู้ออกแบบหรือ?
[ภาพหน้า 143]
แบบต่าง ๆ ในโครงสร้างแก้วของพืชขนาดมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ไดอะตอม
[ภาพหน้า 144]
ราดิโอแลเรียน: แบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโครงสร้างแก้วของสัตว์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
กระเช้าดอกไม้ของวีนัส
[ภาพหน้า 145]
ดอกไม้หลายชนิดมีป้ายบอกทางที่นำแมลงให้มาหาน้ำหวานที่ซ่อนไว้
[ภาพหน้า 146]
ดอกไม้บางชนิดมีท่อเคลือบด้วยขี้ผึ้ง ล่อให้แมลงตกลงไปเพื่อให้มีการผสมเกสร
เหตุใดกล้วยไม้ชนิดนี้จึงมีลักษณะเหมือนกับต่อตัวเมีย?
[ภาพหน้า 147]
กล่าวกันว่า แรงเกาะระหว่างโมเลกุลของน้ำอาจดันน้ำในต้นไม้ขึ้นไปสูงถึงสามกิโลเมตร!