บท 10
หลักฐานจากดาวเคราะห์ที่พิเศษเฉพาะ
1, 2. ผู้สังเกตการณ์ พูดถึงลูกโลกของเราว่าอย่างไร?
ลูกโลกของเราเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์จริง ๆ—เป็นอัญมณีงามเลิศ หายากในอวกาศ. นักบินอวกาศรายงานว่า เมื่อมองจากอวกาศ ท้องฟ้าสีน้ำเงินและเมฆสีขาวของโลก “ทำให้โลกเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดที่เขาเห็นได้.”1
2 อย่างไรก็ดี โลกไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น. ลูอิส โทมัสเขียนใน ดิสคัฟเวอร์ ว่า “ปริศนายิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์สาขาอวกาศซึ่งยากที่สุดที่จะเข้าใจนั้นได้แก่แผ่นดินโลก.” เขาเสริมว่า “เราเพิ่งเริ่มหยั่งรู้ว่าโลกยอดเยี่ยมและแปลกประหลาด น่าตื่นใจสักเพียงไร เป็นวัตถุที่สวยงามที่สุดที่ล่องลอยไปรอบดวงอาทิตย์ ห่อหุ้มด้วยบรรยากาศฟูฟ่องสีน้ำเงิน ผลิตออกซิเจนได้เองและหายใจเอาออกซิเจนนั้นทำให้ไนโตรเจนจากอากาศลงไปสู่เนื้อดิน ทำให้เกิดฤดูกาลขอมันเอง.”2
3. หนังสือโลก พูดถึงลูกโลกของเราว่าอย่างไร และเพราะเหตุใด?
3 อนึ่ง ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ จากดาวเคราะห์ทั้งหมดในระบบสุริยะ นักวิทยาศาสตร์พบชีวิตได้เฉพาะบนโลกเท่านั้น. และสิ่งมีชีวิตก็มากมายหลายหลากน่าอัศจรรย์มีอยู่ที่นี่—จุลชีพขนาดเล็กมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แมลง พืช ปลา นก สัตว์ต่าง ๆ และมนุษย์. นอกจากนั้น โลกยังเป็นโกดังมหึมาเป็นที่เก็บของมีค่าทุกสิ่งซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต. เป็นจริงตามที่หนังสือโลก กล่าวไว้ว่า “โลกเป็นสิ่งอัศจรรย์แห่งเอกภพ เป็นลูกกลมที่โดดเด่น.”3
4. อาจใช้ตัวอย่างอะไรเพื่อแสดงให้เห็นว่า โลกมีความพิเศษเฉพาะเพียงไร และเราต้องลงความเห็นอย่างไร?
4 เพื่อแสดงถึงความพิเศษเฉพาะของโลก ลองวาดภาพว่าคุณอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้ง ปราศจากสิ่งมีชีวิต. ทันใดนั้นคุณเห็นบ้านงามหลังหนึ่ง. บ้านหลังนี้มีระบบทำความเย็น ความร้อน ระบบประปาและไฟฟ้า. มีตู้เย็นและตู้กับข้าวเต็มไปด้วยอาหาร. ชั้นใต้ถุนมีเชื้อเพลิงและสิ่งของอื่น ๆ ที่นี้ สมมุติว่าคุณถามใครคนหนึ่งว่าสิ่งของทุกอย่างมาจากที่ไหนในทะเลทรายอันแห้งแล้วเช่นนี้. คุณจะคิดอย่างไรถ้าคนนั้นตอบว่า “มันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ”? คุณจะเชื่อเขาไหม? หรือคุณจะคิดว่า แน่นอน ต้องมีผู้ออกแบบและผู้ก่อสร้าง?
5. ตัวอย่างอะไรในพระคัมภีร์ซึ่งเหมาะที่จะนำมาใช้กับลูกโลกของเรา?
5 ดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสำรวจแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิต. แต่บนแผ่นดินโลกเต็มไปด้วยชีวิต ที่ได้รับการค้ำจุนด้วยระบบที่ซับซ้อนยิ่งซึ่งให้แสงสว่าง อากาศ ความร้อน น้ำและอาหาร ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่สมดุลยิ่ง. โลกแสดงหลักฐานว่าถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อสิ่งมีชีวิตจะอยู่อย่างสบาย—เหมือนกับบ้านหลังใหญ่ที่ดีเยี่ยม. และสมเหตุผลอย่างที่ผู้เขียนพระคัมภีร์คนหนึ่งบอกว่า “ตึกทุกหลังคงมีผู้สร้าง แต่ว่าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงก็คือพระเจ้า.” ถูกแล้ว “บ้าน” หลังใหญ่มหึมาและน่าพิศวงมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้คือลูกโลกของเรา จะต้องมาจากผู้ออกแบบ ผู้สร้างที่มีปัญญาสูงยิ่ง นั่นคือ พระเจ้า.—เฮ็บราย 3:4.
6. บางคนได้ยอมรับอย่างไรว่า โลกของเราให้หลักฐานแสดงถึงการออกแบบอย่างเฉลียวฉลาด?
6 ยิ่งนักวิทยาศาสตร์สำรวจโลกและชีวิตบนโลก เขายิ่งตระหนักว่าโลกได้รับการออกแบบอย่างดีเยี่ยม. ไซเยนติฟิค อเมริกัน รำพึงว่า “ขณะที่เรามองออกไปในเอกภพและเห็นหลักฐานแสดงอุบัติเหตุทางฟิสิกส์ และทางดาราศาสตร์หลายอย่างซึ่งประกอบกันเป็นผลดีต่อเรา ดูแล้วเหมือนกับว่า เอกภพคงได้รู้ว่าเรากำลังจะมา.”4 และไซเยนซ์ นิวส์ ยอมรับว่า “ดูเหมือนว่า สภาพที่พิเศษ และแม่นยำอย่างนั้นคงไม่อาจเกิดขึ้นได้เองโดยบังเอิญ.”5
ห่างจากดวงอาทิตย์ในระยะพอดี
7. โลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ในรูปของแสงและความร้อนในปริมาณที่พอเหมาะพอดีอย่างไร?
7 หนึ่งในหลายอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่พอเหมาะพอดีซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตในโลกคือปริมาณของแสงและความร้อนที่ได้รับจากดวงอาทิตย์. โลกได้รับเพียงส่วนน้อยนิดแห่งพลังงานของดวงอาทิตย์. กระนั้น ก็มากพอดีที่จะค้ำจุนชีวิต. ทั้งนี้เนื่องจากโลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ในระยะที่ถูกต้องพอดี—เฉลี่ยประมาณ 149,600,000 กิโลเมตร. ถ้าโลกอยู่ใกล้หรือไกลกว่านี้จากดวงอาทิตย์ อุณหภูมิบนโลกคงจะร้อนหรือไม่ก็เย็นเกินกว่าชีวิตจะอยู่ได้.
8. เหตุใดอัตราความเร็วของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์จึงสำคัญอย่างยิ่ง?
8 ขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ปีละครั้ง โลกเดินทางด้วยความเร็ว 107,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง. ความเร็วขนาดนี้พอเหมาะที่จะต้านแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ และทำให้โลกอยู่ในระยะห่างที่พอดี. ถ้าโคจรช้ากว่านี้ โลกจะถูกดึงเข้าหาดวงอาทิตย์ แล้วแผ่นดินโลกคงจะถูกความร้อนแผดเผาเป็นที่อ้างว้างเหมือนกับดาวพุธ ดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด. เวลากลางวันของดาวพุธอุณหภูมิสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส. แต่ถ้าการโคจรของโลกเร็วกว่าที่เป็นอยู่ โลกก็เคลื่อนตัวห่างจากดวงอาทิตย์มากขึ้น และจะกลายเป็นที่ว่างเปล่ามีน้ำแข็งปกคลุมเหมือนดาวพลูโต ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด. อุณหภูมิของดาวพลูโตประมาณ 180 องศาเซลเซียสต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง.
9. เหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่โลกหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราที่แน่นอน?
9 นอกจากนั้น โลกหมุนรอบตัวเอง หนึ่งรอบทุก ๆ 24 ชั่วโมง. ทั้งนี้จึงทำให้เกิดช่วงเวลาที่สว่างและมืดเป็นประจำ แต่จะเป็นอย่างไรถ้าโลกหมุนรอบตัวเองเพียงรอบเดียวในหนึ่งปี? นั่นจะหมายความว่า ด้านหนึ่งของโลกจะหันเข้าหาดวงอาทิตย์ตลอดทั้งปี. โลกด้านนั้นคงจะกลายเป็นเหมือนทะเลทรายที่ร้อนจัดขณะที่อีกด้านหนึ่งซึ่งหันออกจากดวงอาทิตย์คงจะกลายเป็นดินแดนอันเวิ้งว้างหนาวเย็นอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง. สิ่งมีชีวิตคงอยู่ได้เพียงไม่กี่ชนิดหรืออาจไม่มีเลยในสภาพที่ร้อนจัดหนาวจัดเช่นนั้น.
10. การเอียงตัวของโลกมีผลต่อภูมิอากาศและพืชผลอย่างไร?
10 ในขณะที่โลกหมุนรอบแกน โลกทำมุมเอียง 23.5 องศาเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์. ถ้าโลกไม่ทำมุมเอียง ก็จะไม่มีฤดูหมุนเวียน. สภาพอากาศจะคงที่เหมือนเดิมตลอดเวลา. ถึงแม้ว่าชีวิตอาจพอดำรงอยู่ได้ แต่ก็คงไม่รื่นรมย์นัก และพืชผลที่ออกมาตามฤดูกาลอย่างในปัจจุบันนี้ ก็อาจผันเปลี่ยนไปมากในหลายแห่ง. ถ้าโลกทำมุมเอียงกว่านี้ ฤดูร้อนจะร้อนจัดและฤดูหนาวจะหนาวจัด. แต่การเอียง 23.5 องศาทำให้เกิดมีฤดูต่าง ๆ ที่น่าหรรษาพร้อมกับความแตกต่างหลากหลายของแต่ละฤดู. ภูมิภาคหลายแห่งของโลกมีฤดูใบไม้ผลิที่ยังความสดชื่นเมื่อต้นไม้และต้นพืชเริ่มผลิใบ และดอกไม้ผลิดอกสวยงาม ฤดูร้อนที่เปิดโอกาสทำให้มีกิจกรรมนอกบ้านหลายอย่าง อากาศเย็นสดชื่อในฤดูใบไม้ร่วงพร้อมกับใบไม้เปลี่ยนสีสวย และฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั่วภูเขา ป่าไม้ และท่องทุ่ง.
บรรยากาศอันน่าทึ่งที่หุ้มลูกโลกของเรา
11. อะไรทำให้บรรยากาศของโลกพิเศษยอดเยี่ยม?
11 อนึ่ง บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกของเราก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะเป็นสิ่งน่าทึ่งอย่างแท้จริง. ไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดในระบบสุริยะมีบรรยากาศอย่างนี้. บนดวงจันทร์ก็ไม่มีเช่นกัน. เพราะเหตุนี้นักบินอวกาศจึงต้องสวมชุดอวกาศเมื่ออยู่บนดวงจันทร์. แต่บนโลกเราไม่จำเป็นต้องใช้ชุดอวกาศ เพราะบรรยากาศของเรามีก๊าซชนิดต่าง ๆ ได้สัดส่วนพอดีซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิต. ก๊าซบางชนิดตัวมันเองเป็นพิษถึงตาย. แต่เพราะในอากาศมีก๊าซชนิดต่าง ๆ กันในอัตราส่วนที่เหมาะสม เราสูดก๊าซเหล่านั้นเข้าไปได้โดยไม่เป็นอันตราย.
12. (ก) มีหลักฐานอะไรว่า เรามีออกซิเจนในปริมาณที่พอเหมาะจริง ๆ? (ข) ไนโตรเจนทำหน้าที่สำคัญอะไร?
12 ก๊าซเหล่านั้นชนิดหนึ่งคืออกซิเจน ในอากาศที่เราหายใจมีออกซิเจนเป็นส่วนประกอบร้อยละ 21. ถ้าไม่มีออกซิเจน มนุษย์และสัตว์จะตายภายในไม่กี่นาที. แต่ถ้ามีออกซิเจนมากเกินไปก็เกิดอันตรายกับเรา. เพราะเหตุใด ๆ ออกซิเจนบริสุทธิ์จะกลายเป็นพิษถ้าหายใจนานเกินไป. นอกจากนั้น ถ้ามีออกซิเจนมากเกินไป วัตถุที่ติดไฟได้จะติดไฟอย่างรวดเร็ว. ไฟจะลุกไหม้ขึ้นได้ง่ายและควบคุมยาก. เป็นการสุขุมที่มีก๊าซชนิดอื่นมาทำให้ออกซิเจนเจือจางลง โดยเฉพาะไนโตรเจนซึ่งเป็นร้อยละ 78 ของบรรยากาศ. แต่ไนโตรเจนไม่เป็นเพียงแต่ตัวทำให้เจือจางเท่านั้น. ในขณะเกิดพายุฟ้าคะนองมีฟ้าผ่านับล้าน ๆ ครั้งเกิดขึ้นทั่วโลกทุก ๆ วัน. สายฟ้าเหล่านั้นทำให้ไนโตรเจนบางส่วนรวมตัวกับออกซิเจน. สารประกอบนี้จะถูกฝนชะลงไปในดินและกลายเป็นปุ๋ยสำหรับต้นพืช.
13. คาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่พอเหมาะมีบทบาทอะไรต่อวัฏจักรชีวิต?
13 คาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของบรรยากาศ. ปริมาณเพียงเล็กน้อยนี้มีประโยชน์อย่างไร? ถ้าไม่มีก๊าซนี้ พืชจะตายหมด. ปริมาณเพียงเล็กน้อยนี้แหละเป็นสิ่งที่พืชต้องการหายใจเข้าไป แล้วคายออกซิเจนออกมา. มนุษย์และสัตว์หายใจเอาออกซิเจนเข้าไป แล้วหายใจคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา. ถ้าปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศมากขึ้น จะเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และสัตว์. ถ้าปริมาณต่ำกว่านี้พืชก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้. ช่างเป็นการจัดเตรียมวัฏจักรที่ยอดเยี่ยม แม่นยำ และต่อเนื่องได้เองอะไรเช่นนั้น เพื่อพืช สัตว์และมนุษย์จะยังชีพอยู่ได้!
14, 15. บรรยากาศเป็นเหมือนเปลือกหุ้มป้องกันอันตรายอย่างไร?
14 บรรยากาศยังเป็นเหมือนเปลือกที่ป้องกันอันตรายด้วย. เหนือพื้นโลกขึ้นไปประมาณ 25 กิโลเมตร ชั้นก๊าซโอโซนที่หุ้มอยู่บาง ๆ ทำหน้าที่กรองรังสีที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์. ถ้าไม่มีชั้นโอโซนนี้ รังสีดังกล่าวอาจทำลายชีวิตบนโลก. นอกจากนั้น บรรยากาศยังป้องกันโลกไว้จากการกระหน่ำโดยอุกกาบาต. อุกกาบาตส่วนใหญ่ไม่คอยตกถึงผิวโลก เพราะจะถูกเผาไหม้ไปขณะพุ่งลงผ่านบรรยากาศทำให้เราเห็นดาวตก. มิฉะนั้น อุกกาบาตจำนวนนับล้าน ๆ จะกระทบทุกส่วนของลูกโลกนี้ซึ่งยังผลเสียหายมากมายต่อชีวิตและทรัพย์สิน.
15 นอกจากนั้น บรรยากาศยังป้องกันความร้อนและโลกไม่ให้เสียไปต่อความหนาวเย็นของอวกาศ. และแรงโน้มถ่วงของโลกกันบรรยากาศไว้ไม่ให้หนีหายไป. แรงโน้มถ่วงนี้มีพลังพอดีที่จะทำให้เกิดผลดังกล่าว แต่ไม่แรงจนกระทั่งทำให้การเคลื่อนไหวของเราไม่สะดวก.
16. เราจะพรรณนาความสวยงามของท้องฟ้าอย่างไร?
16 บรรยากาศไม่เพียงแต่จำเป็นต่อชีวิต แต่ลักษณะของท้องฟ้าที่เปลี่ยนไปเป็นสภาพที่ชวนมองอย่างยิ่ง. ขนาดและความยิ่งใหญ่โอฬารของท้องฟ้าทำให้เราตะลึงทีเดียว โลกถูกหุ้มด้วยท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสีสันและงามสง่าไม่สิ้นสุด. ทางทิศตะวันออกแสงสีทองสาดส่องบอกเวลารุ่งอรุณ. ส่วนทางทิศตะวันตกท้องฟ้าบอกอำลากลางวันด้วยแสงสีชมพู คละสีส้ม สีแดง และสีม่วงอย่างสวยงามยิ่ง. ก้อนเมฆเป็นแนวยาวเหมือนปุยนุ่นบอกให้รู้ถึงวันที่สดชื่นในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน ม่านเมฆคล้ายขนแกะในฤดูใบไม้ร่วงบอกว่าฤดูหนาวกำลังจะมาถึง. ยามค่ำคืนท้องฟ้างามระยิบระยับด้วยดวงดาวและคืนเดือนหงายก็สวยงามอีกแบบหนึ่ง.
17. นักเขียนผู้หนึ่งพรรณนาเรื่องท้องฟ้าอย่างไร? และเกียรติยศควรเป็นของผู้ใด?
17 เมื่อพิจารณาทุกแง่ทุกมุมแล้วเห็นได้ว่าบรรยากาศของโลกเป็นการจัดเตรียมไว้อย่างน่าทึ่งจริง ๆ! เช่น วารสารการแพทย์ของนิวอิงแลนด์ กล่าวว่า “เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ท้องฟ้าเป็นผลงานที่มหัศจรรย์. มันใช้การได้และเมื่อคำนึงถึงเป้าหมายที่ได้ถูกออกแบบเพื่อให้บรรลุนั้น ท้องฟ้าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบไม่น้อยกว่าสิ่งอื่น ๆ ในธรรมชาติ. ผมคิดว่าคงไม่มีใครในพวกเราจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้ได้อีก นอกเสียจากจะย้ายเมฆจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเป็นครั้งคราว.”6 ข้อวิจารณ์นี้ทำให้นึกถึงบุรุษผู้หนึ่งหลายพันปีมาแล้ว เมื่อเขาสังเกตสิ่งน่าอัศจรรย์เช่นนั้นแล้วยอมรับว่าเป็น “ราชกิจมหัศจรรย์แห่งพระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งสัพพัญญู.” แน่นอน เขาหมายถึง “ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าและกางออกไว้นั้น.”—โยบ 37:16; ยะซายา 42:5.
น้ำ—สารประกอบที่แปลกพิสดาร
18. คุณสมบัติของน้ำมีอะไรบ้างซึ่งประหลาดเป็นพิเศษ?
18 โลกมีแหล่งน้ำมากมายซึ่งมีคุณสมบัติที่จำเป็นต่อชีวิต. โลกมีน้ำมากกว่าสารประกอบอื่นใดทั้งหมด. คุณสมบัติบางอย่างของน้ำซึ่งให้ประโยชน์ได้แก่ น้ำมีอยู่ในรูปของก๊าซ (ไอน้ำ) ของเหลว (น้ำ) และของแข็ง (น้ำแข็ง)—ล้วนแต่เกิดขึ้นในช่วงอุณหภูมิของโลก. นอกจากนั้น วัตถุดิบนับพัน ๆ ชนิดซึ่งจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืชจะต้องถูกลำเลียงในของเหลว เช่น เลือด หรือน้ำเลี้ยงต้นพืช. น้ำเหมาะสมที่สุดเพราะมันเป็นตัวละลายสารต่าง ๆ ได้มากชนิดกว่าของเหลวอื่น ๆ. ถ้าปราศจากน้ำ การบำรุงเลี้ยงจะหยุดชะงัก เพราะสิ่งมีชีวิตต้องใช้น้ำเพื่อละลายสารประกอบต่าง ๆ ที่เป็นอาหาร.
19. น้ำที่กำลังแข็งตัวมีคุณสมบัติพิเศษอะไรและเหตุใดเรื่องนี้จึงสำคัญมาก?
19 นอกจากนั้น น้ำเป็นสิ่งแปลกประหลาดในด้านการแข็งตัว. ขณะที่น้ำในทะเลสาบและน้ำในทะเลเย็นลง มันหนักขึ้นแล้วจมลง. นั่นทำให้น้ำซึ่งอุ่นกว่าและเบากว่าถูกดันขึ้นมาอยู่ข้างบน. แต่ขณะที่น้ำใกล้ถึงจุดเยือกแข็ง ขบวนการนี้จะกลับกัน! บัดนี้ น้ำที่เย็นจัดจะมีน้ำหนักเบาขึ้นและลอยขึ้นข้างบน. เมื่อน้ำกลายเป็นน้ำแข็งมันจะลอยเหนือน้ำ. น้ำแข็งเป็นเหมือนฉนวน และกันไม่ให้น้ำข้างใต้แข็งตัวเป็นการช่วยปกป้องชีวิตสัตว์น้ำไว้. ถ้าปราศจากคุณสมบัติพิเศษนี้ฤดูหนาวทุกปี ปริมาตรน้ำแข็งจำนวนมากขึ้นทุกที จะจมลงสู่ก้นทะเลซึ่งแสงแดดในฤดูร้อนปีถัดมาไม่อาจจะละลายน้ำแข็งนั้นได้. มิช้ามินานน้ำส่วนใหญ่ในแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือแม้แต่ในมหาสมุทรจะกลายเป็นน้ำแข็ง. โลกก็จะมีแต่น้ำแข็ง ไม่เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิต.
20. ฝนก่อตัวขึ้นอย่างไร และเหตุใดขนาดของเม็ดฝนแสดงถึงการออกแบบอย่างสุขุม?
20 วิธีที่บริเวณที่ห่างไกลจากแม่น้ำ ทะเลสาบ และทะเลได้รับน้ำที่จำเป็นต่อชีวิตก็เป็นเรื่องน่าประหลาดเช่นกัน. ทุกวินาทีทีเดียวความร้อนจากดวงอาทิตย์เปลี่ยนน้ำจำนวนมหาศาลให้กลายเป็นไอน้ำ. ไอน้ำซึ่งเบากว่าอากาศจะลอยสูงขึ้นและก่อตัวเป็นเมฆ. กระแสอากาศจะพัดพาก้อนเมฆเหล่านี้ และภายใต้สภาพที่เหมาะสม ความชื้นนี้จะตกลงมาเป็นฝน. แต่เม็ดฝนจะโตถึงขนาดหนึ่งเท่านั้น. จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฝนที่ตกลงมาเป็นเม็ดใหญ่มหึมาล่ะ? คงเป็นโศกนาฏกรรมทีเดียว! แต่ปกติแล้วเมื่อฝนตก มันก็โปรยเป็นเม็ดเล็ก ๆ ลงมา และมักจะไม่ทำให้ใบหญ้าหรือดอกไม้กลีบบางนุ่มต้องช้ำหรือยับเยิน.เห็นได้ว่าน้ำได้รับการออกแบบอย่างเชี่ยวชาญ และรอบคอบอย่างแท้จริง!—บทเพลงสรรเสริญ 104:1, 10-14; ท่านผู้ประกาศ 1:7.
“พื้นดินอันอุดม”
21, 22. ส่วนประกอบของ “ผืนแผ่นดินอันอุดม” แสดงถึงความสุขุมอย่างไร?
21 ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลผู้หนึ่งพรรณนาพระเจ้าว่าเป็น “ผู้ทรงจัดพื้นดินอันอุดมให้มั่นคงด้วยสติปัญญาของพระองค์.” (ยิระมะยา 10:12, ล.ม.) และ “พื้นดินอันอุดม” นี้—ดินของโลก—เป็นสิ่งน่าทึ่ง. การสร้างเนื้อดินขึ้นเช่นนี้ทำให้เราประจักษ์ถึงสติปัญญา. ดินมีคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของพืช. พืชประกอบสารอาหารและน้ำในดินเข้ากับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศในที่ที่มีแสงสว่างเพื่อที่จะผลิตอาหารขึ้นมา.—เปรียบเทียบยะเอศเคล 34:26, 27.
22 ดินมีสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต่อการค้ำจุนชีวิตของมนุษย์และสัตว์. แต่ก่อนอื่นพืชต้องเปลี่ยนธาตุเหล่านี้ให้เป็นสิ่งที่ร่างกายจะดูดซึมได้. จุลชีพช่วยในเรื่องนี้. และในดินเพียงหนึ่งช้อนอาจมีผู้ช่วยตัวจิ๋วอยู่มากมายหลายล้าน! รูปร่างของมันมีต่าง ๆ กันจนไม่อาจนับได้ แต่ละตัวทำงานเพื่อเปลี่ยนซากใบไม้ หญ้าและของเสียอื่น ๆ กลับคืนเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ หรือเพื่อทำให้ดินร่วนเพื่อน้ำและอากาศจะแทรกซึมผ่านได้. แบคทีเรียบางตัวเปลี่ยนไนโตรเจนเป็นสารประกอบที่พืชต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโต. หนอนและแมลงที่ชอนไชทำให้ผิวหน้าดินดีขึ้นก็โดยการนำสิ่งที่อยู่ในดินชั้นล่างขึ้นมาสู่ผิวหน้าดิน.
23. ดินมีพลังในการคืนสภาพอย่างไร?
23 เป็นความจริงที่หน้าดินบางแห่งถูกทำลายเพราะการใช้ดินอย่างไม่ถูกต้องหรือเพราะสาเหตุอื่น ๆ. แต่สภาพดินเสียจะไม่เป็นอย่างถาวร. ดินมีพลังในการฟื้นตัวที่น่าทึ่ง. เราอาจสังเกตได้จากบริเวณที่มีไฟไหม้ หรือเนื่องจากการปะทุของภูเขาไฟซึ่งได้ทำลายพื้นดินบริเวณนั้นหมด. ต่อมาบริเวณดังกล่าวจะมีพันธุ์พืชขึ้นเต็มอีก. และเมื่อมลภาวะถูกควบคุมไว้ ดินจะคืนสภาพอีก แม้แต่ในบริเวณที่เคยร้างและแห้งแล้ง. สำคัญที่สุดเพื่อจะจัดการกับปัญหาการใช้ดินอย่างผิด ๆ พระผู้สร้างโลกทรงตั้งพระทัยประสงค์ไว้ที่จะ “ทำลายคนทั้งหลายที่ทำร้ายแผ่นดินโลก” และที่จะสงวนโลกไว้เป็นที่อาศัยชั่วนิรันดร์สำหรับมนุษยชาติดังที่พระองค์ทรงมุ่งหมายไว้ตั้งแต่แรก.—วิวรณ์ 11:18; ยะซายา 45:18.
ไม่ใช่ความบังเอิญ
24. เราอาจถามคำถามอะไรบ้างเกี่ยวกับเหตุบังเอิญที่ไม่มีใครควบคุม?
24 เมื่อคิดไตร่ตรองถึงเรื่องที่กล่าวไปแล้ว สิ่งซึ่งต้องคำนึงถึงก็คือ: เป็นเพราะความบังเอิญไหมที่ลูกโลกนี้อยู่ในระยะที่ห่างพอเหมาะจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งของพลังงานในรูปของความร้อนและแสงสว่าง? เป็นความบังเอิญไหมที่ทำให้โลกนี้โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วที่เหมาะสมพอดี และหมุนรอบตัวเองทุก ๆ 24 ชั่วโมง และทำมุมเอียงตามแกนหมุนของโลกที่พอเหมาะ? การที่โลกมีบรรยากาศที่เป็นเครื่องป้องกันอันตรายและเอื้อต่อชีวิตโดยมีก๊าซต่าง ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเช่นนั้น เป็นเรื่องความบังเอิญหรือ? เป็นความบังเอิญหรือที่ให้โลกมีน้ำและดินที่จำเป็นเพื่อปลูกพืชผลต่าง ๆ? เป็นความบังเอิญหรือที่ให้โลกมีผลไม้ พืชผัก และอาหารรสชาติอร่อยพร้อมด้วยสีสันสวยงาม? เป็นความบังเอิญหรือที่ทำให้มีความสวยงามปรากฏอยู่ในท้องฟ้า ภูเขา ลำธาร ทะเลสาบ ดอกไม้ พืชต่าง ๆ และต้นไม้ และมีอยู่ในสรรพสิ่งอันมีชีวิตที่น่าชื่นชมอีกมากมาย?
25. หลายคนสรุปอย่างไรเกี่ยวกับโลกที่พิเศษเฉพาะของเรา?
25 หลายคนได้สรุปว่าทั้งหมดนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากเหตุบังเอิญโดยไม่มีการควบคุม แต่เขาเห็นหลักฐานชัดเจนของการออกแบบอย่างจงใจ กระทำด้วยความเฉลียวฉลาดรอบคอบ. เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว เขาจึงรู้สึกว่าผู้ที่รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้สมควรจะ “เกรงกลัวพระเจ้าและถวายเกียรติยศแด่พระองค์” เพราะว่าพระองค์เป็น “ผู้ได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกและทะเล.”—วิวรณ์ 14:7.
[คำโปรยหน้า 129]
“โลกเป็นสิ่งอัศจรรย์แห่งเอกภพ เป็นลูกกลมโดดเด่น”
[คำโปรยหน้า 135]
ถ้าปราศจากออกซิเจนมนุษย์และสัตว์จะตายภายในไม่กี่นาที
[คำโปรยหน้า 137]
“ท้องฟ้าเป็นผลงานที่มหัศจรรย์”
[คำโปรยหน้า 137]
ถ้าปราศจากน้ำ พืชและสัตว์ไม่อาจจะได้รับอาหารที่จำเป็น
[คำโปรยหน้า 141]
แผ่นดินโลกให้หลักฐานชัดแจ้งถึงการออกแบบอย่างจงใจ
[ภาพเต็มหน้า 128]
[ภาพหน้า 131]
ความเร็วในการโคจรของโลก ทำให้โลกอยู่ห่างพอดีจากดวงอาทิตย์
[ภาพหน้า 136]
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีความสวยงามอีกแบบหนึ่ง
[ภาพหน้า 138]
น้ำที่เย็นจะจมลง แต่จะลอยขึ้นเมื่อใกล้จุดเยือกแข็ง. โดยวิธีนี้จึงป้องกันโลกไม่ให้กลายเป็นดาวเคราะห์ที่มีแต่น้ำแข็ง
[ภาพหน้า 139]
แสงจากดวงอาทิตย์ คาร์บอนไดออกไซจากอากาศ น้ำและสารเคมีจากดินประกอบกันเข้าอย่างมหัศจรรย์แล้วผลิตอาหารขึ้น
[ภาพหน้า 140]
ดินมีพลังที่น่าพิศวงในการฟื้นตัว. เวลาผ่านไปไม่นาน พืชพันธุ์ก็งอกขึ้นใหม่
[ภาพหน้า 141]
สิ่งดีมากมายที่เราชื่นชมนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่มีการควบคุมหรือ?
[แผนภาพ/ภาพหน้า 130]
เนื่องจากบ้านทุกหลังต้องมีผู้ออกแบบและมีผู้ก่อสร้าง จะว่าอย่างไรกับโลกของเราที่ประณีตซับซ้อนยิ่งกว่าและถูกจัดเตรียมไว้พร้อมมูลมากกว่าบ้าน?
[แผนภาพ]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
อิฐ
ช่องหลังคา
กระเบื้องไม้
รางน้ำฝน
ท่อน้ำฝน
ปูนฉาบผนังภายนอก
วงกบ
ฝาไม้
ก, ก-10
13, 1
12, 12
ค, ค, ค, ค
[แผนภาพ/ภาพหน้า 132, 133]
การที่โลกเอียงทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนอย่างน่าชื่นชม
ฤดูร้อน
ฤดูใบไม้ร่วง
ฤดูหนาว
ฤดูใบไม้ผลิ
[แผนภาพ]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
เอียง 23.5°
[แผนภาพ/ภาพหน้า 134]
ก๊าซบางอย่างโดยตัวมันเองแล้ว เป็นพิษถึงตาย แต่เมื่อก๊าซเหล่านี้ปนกันในบรรยากาศมันกลายเป็นสิ่งค้ำจุนชีวิต
บรรยากาศของโลกประกอบด้วย
ไนโตรเจน 78%
ออกซิเจน 21%
ก๊าซอื่น ๆ ทั้งหมด 1%
[แผนภาพ]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
บรรยากาศป้องกันโลกไว้จากรังสีอันตรายและจากอุกกาบาต