ความจริงคืนชีวิตให้ดิฉัน
เพื่อนเก่าของดิฉันส่วนใหญ่ เสียชีวิตไปเพราะโรคเอดส์. ก่อนหน้าที่พวกเขาจะตาย ดิฉันมักจะเจอพวกเขาบ่อย ๆ ตามถนน. ดิฉันก็เช่นกันคงตายไปแล้วหากไม่ใช่เพราะความจริง. ขอให้ดิฉันชี้แจง.
ดิฉันเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 1954 เป็นลูกคนที่สองและเป็นคนสุดท้องของจอห์นกับโดโรที ฮอร์รี. พ่อแม่ตั้งชื่อดิฉันว่าโดโลเรส แต่ตอนเกิดแม่ก็เรียกดิฉันว่าดอลลี เพราะแม่คิดว่าดิฉันคล้ายตุ๊กตา. ใครต่อใครเรียกชื่อเล่นนี้จนติดปาก แต่คงไม่มีใครนึกภาพว่าดิฉันจะกลายเป็นตัวแสบก่อปัญหาให้แม่.
เราอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แบบรถไฟ ที่เรียกอย่างนี้เพราะลักษณะบ้านที่เราอยู่เป็นห้องยาว, และแคบ, ตั้งอยู่บนถนนสายที่ 61 ในนครนิวยอร์ก. อพาร์ตเมนต์นี้ไม่น่าอยู่นัก; มีหนูเข้ามาอยู่ในห้องด้วย. อย่างไรก็ตาม คืนหนึ่งหลังจากดิฉันถูกหนูกัด เราก็ย้ายออกจากที่นั่นทันที.
ปี 1957 เราย้ายไปอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะแมนฮัตตันตอนใต้. เมื่อเปรียบเทียบกับที่ซึ่งเราเพิ่งย้ายออกมา ที่นี่นับว่าเยี่ยม—ห้องนอนน่าอยู่หลายห้อง, มองออกนอกหน้าต่างห้องดิฉันก็เห็นสวนสาธารณะที่กว้างขวาง, อีกทั้งมองเห็นทิวทัศน์แม่น้ำอีสต์ด้วย. ดิฉันสามารถเฝ้าดูเรือขึ้นล่องตามลำน้ำ, ดูเด็ก ๆ เตะบอลและเล่นเบสบอลในสวนสาธารณะ. ใช่ สำหรับดิฉันที่นี่คืออุทยาน. ครั้นแล้ว โลกที่มั่นคงปลอดภัยของดิฉันก็เริ่มพังทลาย.
โรคพิษสุราเรื้อรังและสิ่งเสพย์ติด
พ่อกับแม่มีปากมีเสียงกันบ่อย. ทีแรกดิฉันไม่เข้าใจสาเหตุ แต่แล้วก็เริ่มสังเกตว่าพ่อเมาเหล้าตลอดเวลา. พ่อไม่สามารถจะทำงานที่ไหนได้นาน. และมีแม่เพียงคนเดียวที่ทำงาน. เมื่อเพื่อนดิฉันรู้ว่าพ่อติดเหล้า การเยาะเย้ยจากเพื่อนฝูงทำให้ชีวิตดิฉันระทมทุกข์.
สภาพการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ. ท้ายที่สุด พ่อกลายเป็นคนที่ใช้ความรุนแรง และแม่ได้ไล่พ่อออกจากบ้าน. ดังนั้น พวกเราจึงกลายเป็นครอบครัวที่มีแต่แม่. ดิฉันอายุราว ๆ แปดหรือเก้าขวบ และมีความรู้สึกร้าวรานใจเพราะสภาพครอบครัวแบบนี้. แม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อมีรายได้พอประทังชีวิต ปล่อยให้พี่สาวกับดิฉันอยู่กับเพื่อนบ้านหลังจากเลิกเรียน.
พอขึ้นชั้นประถมหก ดิฉันเป็นเด็กดื้อรั้นมาก. ดิฉันหนีเรียนไปเที่ยวเล่นในสวนสาธารณะทอมป์คินส์สแควร์ที่อยู่ใกล้ ๆ และริดื่มเหล้าเพื่อจะได้ลืมปัญหา. ในไม่ช้าดิฉันก็เริ่มคบกับกลุ่มเพื่อนที่อายุมากกว่า. ดิฉันอายุเพียง 11 ขวบแต่โตเกินอายุ ดังนั้น บางคนอาจคิดว่าดิฉันอายุ 16 หรือ 17 ปี. เพื่อนฝูงหน้าใหม่กลุ่มนี้ดื่มเหล้า, สูบกัญชา, ใช้ยาแอลเอสดี และฉีดเฮโรอีน. ดิฉันอยากทำตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน ๆ ฉะนั้น ดิฉันจึงริลองใช้สารเสพย์ติดเหล่านี้. ครั้นอายุ 14 ปี ดิฉันต้องพึ่งสารเสพย์ติดดังกล่าวเพื่อทำงานได้ตามปกติ.
ครั้นแม่รู้เรื่อง
“ฉันคลอดแกออกมาดูโลก และฉันจะเอาชีวิตแก.” นี่คือคำพูดของผู้เป็นแม่ในละแวกบ้านของเรา ซึ่งล้วนได้รับความเจ็บช้ำและผิดหวังเพราะลูก. แม่ดิฉันซึ่งปกติแล้วเป็นคนใจเย็นและหนักแน่น ครั้นได้มารู้ว่าลูกตัวเองวัย 14 ปีติดเฮโรอีน ท่านบอกว่าท่านจะทำอย่างคำพูดนั้นแหละคือฆ่าดิฉันเสีย.
ดิฉันวิ่งเข้าห้องน้ำและพยายามจะปิดประตูให้แน่นโดยเอาขายันอ่างอาบน้ำ แต่ช้าไป. ตอนนี้ดิฉันต้องแย่แน่ ๆ! ไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ว่าดิฉันถูกหวดอย่างรุนแรงที่สุด. ที่ดิฉันรอดจากความโมโหของแม่มาได้เพราะพี่สาวกับผู้หญิงที่รายงานเรื่องของดิฉันให้แม่รู้ได้เข้าไปในห้องน้ำแล้วยับยั้งแม่ไว้ ดิฉันจึงรอดตัวหนีออกจากอพาร์ตเมนต์ไปได้. เมื่อดิฉันกลับบ้านในเวลาต่อมา—หลังจากหนีไปสองสามวัน—ดิฉันตกลงรับการช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาการเสพย์ติด.
รับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ต่อมาอีกราว ๆ สองสามเดือน ดิฉันเห็นการโฆษณาทางทีวีเกี่ยวกับสถานบำบัดผู้ติดยาเสพย์ติด. คนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริงเพื่อเอาชนะปัญหาการติดยาสามารถได้รับความช่วยเหลือ. ดิฉันปรึกษากับแม่ และท่านส่งดิฉันเข้าศูนย์แห่งหนึ่งในนครนิวยอร์ก. ศูนย์แห่งนี้จัดบรรยากาศให้เป็นแบบครอบครัวเพื่อคนที่รับการบำบัดจะได้รับแรงกระตุ้นเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิตทั้งสิ้นของตัวเอง. ดิฉันอยู่ที่ศูนย์นั้นประมาณสองปีครึ่ง.
ถึงแม้ดิฉันได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือที่จัดเตรียมไว้ แต่ก็ผิดหวังมากเมื่อรู้ว่าเจ้าหน้าที่บางคนซึ่งดิฉันไว้ใจและนับถือ—และคาดว่าเขาคงได้เลิกใช้สิ่งเสพย์ติดใด ๆ—แต่เขาหันไปใช้อีก. ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกและโง่ด้วย. พวกเขาสอนว่าภาษิตเก่าที่ว่า “เสพย์ยาครั้งหนึ่งแล้วจะเสพย์เรื่อยไป” เป็นความเท็จ. พอมาตอนนี้ดิฉันถือว่าพวกเขาเป็นข้อพิสูจน์ที่มีชีวิตว่าภาษิตข้อนี้จริง.
กระนั้นก็ดี เมื่ออายุ 17 ปี ดิฉันกลับไปอยู่บ้านอย่างคนที่เลิกยาได้ และตั้งใจประพฤติตนให้ดีที่สุด จะไม่เสพย์เฮโรอีนอีก. ระหว่างนั้น แม่และพี่สาวเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา.
ยังคงเป็นคนสารเลวของครอบครัว
ถึงแม้ดิฉันเลิกใช้ยาเสพย์ติดแล้วก็ตาม ดิฉันยังคงสำนึกว่าตนเป็นคนสารเลวในครอบครัว. ทั้งนี้เนื่องจากดิฉันไม่พร้อมจะดำเนินชีวิตตามกฎระเบียบใหม่ของบ้าน ซึ่งรวมไปถึงการห้ามสูบบุหรี่, ห้ามการเข้าไปในสถานดิสโก และอื่น ๆ. จากนั้นไม่นาน แม่ไม่ยอมให้ดิฉันอยู่ที่บ้านอีกต่อไป เพราะดิฉันไม่ยอมเปลี่ยนการคบหาเพื่อนและไม่ยอมเปลี่ยนเจตคติแบบโลก. ดิฉันเกลียดแม่จริง ๆ ที่ปรามดิฉันในเรื่องนี้ แต่โดยแท้แล้วนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่ทำได้สำหรับดิฉัน. แม่ได้ยืนหยัดในหลักการอันชอบธรรมและไม่เคยหวั่นไหว.
ดังนั้น ดิฉันออกจากบ้านไปเพื่อสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่าสำหรับตัวเอง. ดิฉันกลับเข้าเรียนวิชาชีพต่อเพื่อได้ทุนเรียนระดับวิทยาลัย. ดิฉันทำได้ดีพอสมควรและกลับเป็นบุคคลที่สังคมยอมรับ. ดิฉันได้งานทำเงินเดือนงาม และมีอพาร์ตเมนต์อยู่เอง. ครั้นแล้วชีวิตรักก็เริ่มขึ้นเมื่อดิฉันเจอคู่รักเก่า. เราทั้งสองได้ฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นใหม่และตั้งใจจัดการให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้องแล้วจะแต่งงาน.
แต่ในเวลาต่อมา คนรักของดิฉันเริ่มใช้ยาเสพย์ติด และสภาพการณ์ต่าง ๆ สำหรับเราสองคนก็เริ่มเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ. เมื่อไม่อาจจะทนความปวดร้าวใจ ดิฉันหันไปหาสิ่งที่ตัวเองรู้ดีที่สุด นั่นคือการใช้ยาระงับอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ. ดิฉันได้หันไปใช้โคเคน ซึ่งให้สิ่งที่เรียกกันว่าความเคลิบเคลิ้มของเศรษฐี. ระยะนั้นโคเคนเป็นสิ่งที่ยอมรับกัน เพราะหลายคนไม่คิดว่านั่นเป็นสิ่งเสพย์ติด. แต่สำหรับดิฉันมันปรากฏว่าร้ายยิ่งกว่าเฮโรอีนเสียอีก.
ช่วงกลางทศวรรษปี 1970 ดิฉันพึ่งโคเคนนานประมาณสามปี. ในที่สุด ดิฉันเริ่มมองเห็นตัวเองอยู่ในวงจรชีวิตที่เลวร้าย และเริ่มสงสัยว่า ‘ชีวิตมีแค่นี้ละหรือ?’ ดิฉันลงความเห็นว่าถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ดิฉันก็เบื่อหน่ายชีวิต. ดิฉันกลับไปหาแม่และบอกแม่ว่าดิฉันเบื่อชีวิตแบบนี้ และจะกลับไปที่ศูนย์บำบัดผู้ติดยา. หลังจากอยู่ที่นั่นปีครึ่ง ดิฉันเลิกยาได้อีกครั้งหนึ่ง.
เกือบได้พบความจริง
อีกครั้งหนึ่ง ดิฉันได้งานดีและมีอพาร์ตเมนต์อยู่อย่างสบาย, และเจอคนรัก. แล้วเราก็หมั้นกัน. ช่วงเวลานั้น แม่ติดต่อดิฉันเป็นประจำ. แม่พูดคุยกับดิฉันเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล และส่งวารสาร หอสังเกตการณ์ และ ตื่นเถิด! ให้อ่าน แต่ดิฉันไม่เคยเปิดดูเลย. ดิฉันบอกแม่ว่าดิฉันมีโครงการจะแต่งงานและสร้างครอบครัว. ดังนั้น แม่จึงส่งหนังสือมาให้เล่มหนึ่งซึ่งเปลี่ยนชีวิตดิฉันไปชั่วกาลนาน นั่นคือหนังสือ การทำให้ชีวิตครอบครัวของท่านมีความสุข.
ขณะอ่านหนังสือเล่มนี้ ดิฉันรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและได้แสวงหาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง. ท้ายที่สุด มีผู้หนึ่งเข้าใจความรู้สึกของดิฉันและสิ่งที่อยู่ในหัวใจดิฉันจริง ๆ. การที่มีความรู้สึกอย่างที่ดิฉันมีก็ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ—ดิฉันปกติดี! แต่คนที่ดิฉันเกี่ยวข้องด้วยนั้นกลับเยาะเย้ยเมื่อดิฉันพยายามให้เขาดูหนังสือ ชีวิตครอบครัว และคัมภีร์ไบเบิล. เขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร ๆ ที่จำเป็นเพื่อชื่นชมกับชีวิตครอบครัวที่มีความสุข. ดังนั้น ดิฉันต้องคิดหนักก่อนตัดสินใจ—จะอยู่หรือไปจากเขา. ดิฉันตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องผละไปจากเขา.
คนรักของดิฉันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ. วันหนึ่ง เมื่อดิฉันกลับมาบ้านพบว่าเขาใช้ใบมีดโกนกรีดเสื้อผ้าทั้งหมดของดิฉันขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย. ข้าวของของดิฉันแทบไม่มีอะไรเหลือหลอ ไม่ว่ารองเท้า, เสื้อโค้ต, เครื่องแต่งห้อง ถ้าไม่ถูกฉีกขาดก็ถูกยกไปขาย. ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็คือชุดที่ใส่ติดตัว. ดิฉันอยากล้มลงตายเสียให้พ้น ๆ ไป. บางครั้งในชีวิตคุณเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องดิ้นรน. ฉะนั้น คุณก็กลับไปทำอย่างที่คุณเคยทำทุกครั้งเพื่อรับมือกับปัญหา นั่นคือการใช้ยาระงับความรู้สึก. ดิฉันคิดไว้แล้วถ้าไม่ใช้ยาก็จะฆ่าตัวตาย.
ถึงแม้ดิฉันหวนกลับไปใช้ยาเสพย์ติดอีกก็ตาม แต่แม่ไม่เคยทอดทิ้งดิฉัน. แม่ยังคงมาเยี่ยมดิฉันพร้อมกับนำวารสารหอสังเกตการณ์ และ ตื่นเถิด! มาให้. เย็นวันหนึ่ง ระหว่างการสนทนา ดิฉันบอกแม่ว่าดิฉันรู้สึกอย่างไร ดิฉันเบื่อที่จะพยายามและรู้สึกจนปัญญา. แม่เพียงพูดเรียบ ๆ ว่า “ลูกเคยลองทุกอย่างมาแล้ว ทำไมไม่ลองดูพระยะโฮวาบ้าง?”
ความจริงช่วยชีวิตไว้
ในปี 1982 นั้นเอง ดิฉันตกลงจะทำอย่างที่แม่เคยกระตุ้นเตือนอยู่หลายปีให้ดิฉันทำ. ดิฉันเริ่มต้นศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง. ในไม่ช้าดิฉันก็ตื่นเต้นกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้. ดิฉันเริ่มเข้าใจว่าชีวิตดิฉันมีค่ามากจำเพาะพระยะโฮวา และที่ว่าชีวิตมีจุดหมายอย่างแท้จริง. แต่ดิฉันก็ตระหนักว่าถ้าดิฉันจะปฏิบัติพระยะโฮวา ดิฉันต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิต และดิฉันต้องการแรงหนุนทั้งทางด้านอารมณ์และด้านวิญญาณ. ดิฉันจึงถามแม่ขอกลับมาที่บ้านอีกได้หรือไม่.
แม่ตรองอย่างรอบคอบ เนื่องจากดิฉันทำให้ท่านผิดหวังบ่อย ๆ. แม่ปรึกษากับคริสเตียนผู้ปกครองเรื่องดิฉันขอกลับมาอยู่ที่บ้าน. เมื่อผู้ปกครองเห็นว่าแม่เองรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ดิฉันจะกลับตัวได้จริงคราวนี้ เขาจึงสนับสนุนว่า “ลองให้โอกาสเธออีกสักครั้ง.”
เป็นที่น่าปีติยินดี คราวนี้ดิฉันไม่ทำให้แม่ผิดหวัง. ดิฉันศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างต่อเนื่องและเริ่มเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนอย่างสม่ำเสมอ. ด้วยการช่วยเหลือของพระยะโฮวา ดิฉันกลับตัวเปลี่ยนแนวทางชีวิตโดยสิ้นเชิง. คำแนะนำที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล พระคำแห่งความจริงของพระเจ้า ได้ช่วยดิฉันยืนหยัดผ่านช่วงยุ่งยากมาได้. (โยฮัน 17:17) ดิฉันถึงกับเลิกสูบบุหรี่ด้วยซ้ำ ซึ่งสำหรับดิฉันแล้วเป็นสิ่งเสพย์ติดที่เลิกได้ยากกว่าเฮโรอีนและโคเคนเสียอีก. เป็นครั้งแรกที่ดิฉันรู้สึกดีใจจริง ๆ ที่มีชีวิตอยู่.
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 1983 ดิฉันแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในน้ำ. ต่อมาในเดือนเมษายน ดิฉันเริ่มเป็นไพโอเนียร์สมทบซึ่งเป็นการรับใช้เพิ่มขึ้นรูปแบบหนึ่ง. ทีแรก เพื่อนฝูงเก่า ๆ พากันเยาะเย้ย เมื่อพวกเขาเห็นดิฉันออกประกาศเผยแพร่. เป็นอย่างที่อัครสาวกเปโตรเตือนไว้ล่วงหน้าทีเดียวที่ว่า “เพราะท่านทั้งหลายไม่ได้วิ่งร่วมกับเขาต่อไปในแอ่งโสโครกที่มีแต่ความเสเพลอย่างเดียวกัน เขาก็งงและกล่าวร้ายท่านทั้งหลายอยู่เรื่อยไป.”—1 เปโตร 4:4, ล.ม.
เดือนกันยายน 1984 ดิฉันสมัครเป็นไพโอเนียร์ประจำ และจากนั้นไม่นาน ดิฉันนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสิบรายทุกสัปดาห์. บางรายในจำนวนนี้อยู่ด้วยกับคนที่เคยพูดเยาะเย้ยเมื่อดิฉันเริ่มงานรับใช้ตอนแรก ๆ. ช่วงนี้เป็นเวลาอันน่าตื่นเต้นในชีวิตดิฉันทีเดียว เพราะดิฉันสามารถช่วยหนุ่มสาวหลายคนรับเอาความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิล. ดิฉันเคยนึกอยากจะมีลูกเสมอ ดังนั้น พอได้มาเป็นมารดามีลูกฝ่ายวิญญาณจึงถือได้ว่าเป็นแหล่งที่ยังความยินดีแก่ดิฉันมิได้ขาด.—เทียบกับ—1 โกรินโธ 4:15.
ครั้นหลายปีผ่านไป ดิฉันได้พบหน้าเพื่อนเก่าซึ่งดิฉันเคยเสพย์ยาด้วยกัน เดินอยู่แถวถนนใกล้บ้านเรา. เพราะผลของการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนที่ติดเชื้อ พวกเขาติดโรคเอดส์และดูน่าสังเวช. ตั้งแต่นั้น หลายคนเสียชีวิต. ดิฉันรู้ว่าตัวเองอาจเป็นคนหนึ่งที่ตายไปแล้วก็ได้หากไม่ใช่เพราะความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิล. โดยแท้แล้ว ความจริงได้คืนชีวิตให้ดิฉัน.
เลี่ยงความเจ็บปวด
ดิฉันมักปรารถนาอยู่เนือง ๆ ว่า ถ้าได้รู้ความจริงตั้งแต่อายุน้อยและหลีกเลี่ยงชีวิตที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวและความทุกขเวทนาได้ก็จะดี. แต่เดี๋ยวนี้พระยะโฮวาทรงช่วยดิฉันในการรับมือกับความเจ็บปวดอันสืบเนื่องจากการใช้ชีวิตอย่างผิด ๆ ในวัยสาว ถึงกระนั้น ดิฉันต้องคอยจนกระทั่งระบบใหม่ เพื่อรับการเยียวยารักษาแผลทางใจให้หายขาด. (วิวรณ์ 21:3,4) ทุกวันนี้ ดิฉันเพียรพยายามบอกเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายว่าเขามีพระพรเพียงใดที่ได้รู้จักพระยะโฮวา อีกทั้งได้รับการช่วยเหลือจากองค์การของพระองค์ในอันที่จะปฏิบัติตามการสั่งสอนของพระองค์.
โลกนี้อาจดูมีเสน่ห์เย้ายวน. และโลกต้องการให้คุณเชื่อว่าคุณหาความสนุกสนานตามแบบโลกได้โดยไม่เจ็บปวด. แต่เป็นไปไม่ได้แน่ ๆ. โลกนี้จะใช้คุณ และเมื่อใช้เสร็จสรรพแล้ว โลกจะโยนคุณทิ้งไป. คัมภีร์ไบเบิลนั้นกล่าวความจริงที่ว่า พญามารเป็นผู้ครอบครองโลกนี้—จริง ๆ แล้วมันเป็นพระเจ้าของโลกนี้—และเราไม่ควรรักโลกหรือสิ่งต่าง ๆ ในโลก. (โยฮัน 12:31; 14:30; 16:11; 2 โกรินโธ 4:4; 1 โยฮัน 2:15-17; 5:19) เนื่องจากชาวโลกยังเป็นทาสความเสื่อมทราม การคบหากับพวกเขาจึงไม่อาจให้ความสุขแท้แก่คุณได้.—2 เปโตร 2:19.
ดิฉันหวังว่าการเล่าเรื่องเหล่านี้เกี่ยวกับตัวดิฉันคงจะช่วยคนอื่นมองเห็นว่า “ชีวิตแท้”—คือชีวิตนิรันดร์ในโลกใหม่ของพระเจ้า—เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ให้ผลคุ้มค่ากับความบากบั่นของเรา. ไม่ว่าชีวิตของเราขณะที่ดำเนินในความจริงนั้นจะขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างไร สิ่งที่ดูเหมือนดีกว่าซึ่งอยู่ในโลกของซาตานที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น. ซาตานเพียงแต่พยายามทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น. พร้อมกับพี่น้องคริสเตียนชายหญิงทุกคน ดิฉันอธิษฐานขอให้ดวงตาของดิฉันจดจ้องอยู่ที่ชีวิตแท้ตลอดไป ใช่แล้ว ชีวิตนิรันดร์ในอุทยานบนแผ่นดินโลก. (1 ติโมเธียว 6:19)—เล่าโดย ดอลลี ฮอร์รี.
[รูปภาพหน้า 15]
ขณะประกาศเผยแพร่กับแม่ ที่สวนสาธารณะทอมป์คินส์สแควร์