วิธีจัดการกับความรู้สึกต่าง ๆ
ปัจจุบันคุณกำลังดูแลผู้เป็นที่รักซึ่งเจ็บป่วยร้ายแรงไหม? ถ้าเช่นนั้น คุณอาจจะมีความรู้สึกสับสนและหวั่นวิตกไม่มากก็น้อย. คุณอาจทำอะไรได้บ้าง? ลองพิจารณาความรู้สึกต่าง ๆ ที่ผู้ปรนนิบัติดูแลบางคนต่อสู้อยู่ และคำชี้แนะที่ใช้การได้ซึ่งช่วยพวกเขาให้รับมือ.
ความอึดอัดใจ. เป็นครั้งคราว พฤติกรรมของผู้ป่วยอาจจะทำให้คุณขายหน้าคนอื่น. แต่การอธิบายลักษณะของความเจ็บป่วยของผู้เป็นที่รักนั้นต่อเพื่อนและเพื่อนบ้านอาจช่วยพวกเขาให้เข้าใจ แถมยังอาจกระตุ้นพวกเขาให้แสดง “ความเห็นอกเห็นใจ” และความอดทนอีกด้วย. (1 เปโตร 3:8, ล.ม.) หากเป็นไปได้ พูดคุยกับครอบครัวอื่นที่อยู่ในสถานการณ์คล้าย ๆ กันกับคุณ. คุณอาจจะรู้สึกอึดอัดน้อยลงเมื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน. ซู พูดถึงสิ่งที่ได้ช่วยเธอดังนี้: “ฉันสงสารพ่อเหลือเกิน—สิ่งนี้บดบังความรู้สึกอึดอัดใจหมดสิ้น. และอารมณ์ขันของพ่อก็ช่วยได้เช่นกัน.” ถูกแล้ว อารมณ์ขัน—ทั้งของผู้ป่วยและผู้ปรนนิบัติดูแล—เป็นเครื่องช่วยอันวิเศษในการผ่อนคลายประสาทที่ตึงเครียด.—เทียบกับท่านผู้ประกาศ 3:4.
ความวิตกกลัว. การไม่รู้เกี่ยวกับโรคนั้น ๆ อาจก่อความกลัวสุดแสน. หากเป็นไปได้ หาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่ออาการป่วยทรุดลง. เรียนรู้วิธีให้การดูแลภายใต้สภาพการณ์นั้น ๆ. สำหรับเอลซา หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดในการรับมือกับความวิตกกลัวของเธอคือ การพูดคุยกับผู้ปรนนิบัติดูแลอื่น ๆ และนางพยาบาลประจำสถานดูแลผู้ป่วย เกี่ยวกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่ออาการของผู้ป่วยทรุดลง. จีนนีแนะนำว่า “จงเผชิญหน้าและควบคุมความวิตกกลัวของคุณ. การกลัวสิ่งที่อาจจะ เกิดขึ้นนั้นมักจะเลวร้ายกว่าความเป็นจริง.” นายแพทย์เอิร์นเนสต์ โรเซนเบาม์ เสนอแนะว่า ไม่ว่าความกลัวของคุณจะเกิดจากอะไรก็ตาม ควร “พูดคุยถึงสิ่งนั้นเมื่อมันเกิดขึ้น.”—เทียบกับสุภาษิต 15:22.
ความอาลัย. ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับความอาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ของการปรนนิบัติดูแล. คุณอาจจะอาลัยที่สูญเสียความสัมพันธ์ฉันเพื่อน โดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยที่คุณรักไม่สามารถพูดคุย, ไม่สามารถเข้าใจชัดเจน, หรือจำคุณไม่ได้อีกต่อไป. คนอื่นอาจไม่เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ในทันที. การพูดคุยเรื่องความอาลัยของคุณกับเพื่อนที่เข้าใจ ผู้ซึ่งจะฟังด้วยความอดทนและความเห็นอกเห็นใจ อาจนำมาซึ่งการบรรเทาที่จำเป็นอย่างมาก.—สุภาษิต 17:17.
ความโมโหและความข้องขัดใจ. สิ่งเหล่านี้เป็นการสนองตอบปกติในการดูแลผู้เจ็บป่วยร้ายแรง ซึ่งบางครั้งอาจจะมีพฤติกรรมที่ก่อความลำบากใจ. (เทียบกับเอเฟโซ 4:26.) ให้สำนึกว่าบ่อยครั้งอาการของโรค ไม่ใช่ตัวผู้ป่วย ที่เป็นสาเหตุของพฤติกรรมอันทำให้ทุกข์ใจ. ลูซี จำได้ว่า “เมื่อฉันโมโหขึ้นมาจริง ๆ ฉันก็จะลงเอยด้วยน้ำตา. แล้วฉันจะพยายามเตือนตัวเองให้นึกถึงอาการและโรคของผู้ป่วย. ฉันรู้ว่าผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือจากฉัน. สิ่งนี้จะช่วยฉันให้ทำต่อไป.” การหยั่งเห็นดังกล่าวอาจทำให้คุณ “ช้าในการโกรธ.”—สุภาษิต 14:29; 19:11, ล.ม.
ความรู้สึกผิด. ความรู้สึกผิดเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่ผู้ปรนนิบัติดูแล. กระนั้น จงมั่นใจว่า คุณกำลังปฏิบัติงานที่สำคัญยิ่งแต่เป็นงานที่ยากมาก. จงยอมรับความจริงที่ว่า คุณไม่มีทางจะแสดงปฏิกิริยาโดยคำพูดและการกระทำได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกเวลา. คัมภีร์ไบเบิลเตือนใจเราว่า “เราทุกคนต่างก็พลาดพลั้งกันหลายครั้ง. ถ้าผู้ใดไม่พลาดพลั้งในวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนสมบูรณ์ สามารถเหนี่ยวรั้งทั้งร่างกายของตนได้ด้วย.” (ยาโกโบ 3:2, ล.ม.; โรม 3:23) อย่าปล่อยให้ความรู้สึกผิดกันคุณไว้จากการลงมือกระทำในเชิงบวกเสียแต่เดี๋ยวนี้. เมื่อคุณรู้สึกไม่สบายใจในสิ่งที่คุณได้พูดหรือทำลงไป คุณคงพบว่าการพูด “ฉันเสียใจ” จะทำให้คุณและผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น. ชายคนหนึ่งซึ่งดูแลญาติที่ป่วย แนะนำดังนี้: “ทำให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ภายใต้สภาพการณ์นั้น ๆ.”
ความซึมเศร้า. ความซึมเศร้าเป็นเรื่องธรรมดามาก—และเป็นที่เข้าใจได้—ในครอบครัวต่าง ๆ ที่รับมือกับความเจ็บป่วยร้ายแรง. (เทียบกับ 1 เธซะโลนิเก 5:14.) ผู้ให้การดูแลซึ่งทนทุกข์เพราะความซึมเศร้าอธิบายถึงสิ่งที่ได้ช่วยเธอดังนี้: “หลายคนจะขอบคุณเราที่ให้การดูแล. เพียงคำพูดหนุนกำลังใจแค่สองสามคำก็สามารถกระตุ้นให้คุณทำต่อไปเมื่อคุณอ่อนล้าหรือซึมเศร้า.” คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ความกระวนกระวายของคนถ่วงเขาลง; แต่ถ้อยคำที่ดีกระทำให้เขาชื่นชม.” (สุภาษิต 12:25, ฉบับแปลใหม่) คนอื่นอาจไม่สำเหนียกว่าคุณจำต้องได้รับการหนุนกำลังใจ. ดังนั้น ในบางครั้งคุณอาจต้องเป็นฝ่ายริเริ่มพูดออกมาอย่างเปิดอกเรื่อง “ความกระวนกระวาย” ในหัวใจของคุณ เพื่อได้รับการหนุนกำลังใจด้วย “ถ้อยคำที่ดี” จากคนอื่น. แต่ถ้าความรู้สึกซึมเศร้ายืดเยื้ออยู่นาน หรือหนักข้อยิ่งขึ้น อาจเหมาะที่จะปรึกษาแพทย์.
ความรู้สึกสิ้นท่า. คุณอาจรู้สึกสิ้นท่าเมื่อเผชิญกับโรคที่ทำให้อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง. จงยอมรับความเป็นจริงแห่งสถานการณ์ของคุณ. จงยอมรับขีดจำกัดของคุณ—สุขภาพของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ แต่คุณสามารถให้การดูแลด้วยความเห็นอกเห็นใจได้. อย่าคาดหมายความสมบูรณ์จากตัวคุณ, จากผู้ป่วยของคุณ, หรือจากผู้ที่เกื้อหนุนคุณ. การจัดการปัญหาอย่างสมดุลไม่เพียงบรรเทาความรู้สึกสิ้นท่าเท่านั้น แต่ยังทำให้งานเบาลงด้วย. หลายคนซึ่งปรนนิบัติดูแลผู้ที่ตนรักแนะนำด้วยความสุขุม ดังนี้: เรียนรู้ที่จะรับมือเป็นวัน ๆ ไป.—มัดธาย 6:34.
[จุดเด่นหน้า 8]
“จงเผชิญหน้าและควบคุมความวิตกกลัวของคุณ. การกลัวสิ่งที่อาจจะ เกิดขึ้นนั้นมักจะเลวร้ายกว่าความเป็นจริง”
[รูปภาพหน้า 7]
ถ้อยคำให้กำลังใจจากผู้ปรนนิบัติดูแล
“อย่าเป็นทุกข์เนื่องจากความคิดในแง่ลบเกี่ยวกับตัวเอง. ภายใต้สภาพการณ์เช่นนั้นความคิดแบบนี้ถือว่าปกติ. แน่ละ คุณไม่ควรเก็บกดความรู้สึกเอาไว้. เผยกับใครสักคนว่าคุณรู้สึกอย่างไร และถ้าคุณทำได้ ให้หยุดพักชั่วคราว—ไปไหนไกล ๆ สักพัก—เพื่อคุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้น.”—ลูซี ซึ่งงานของเธอในคลินิกเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ดูแลคนป่วยและผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง.
“ถ้ามีสมาชิกครอบครัวหรือเพื่อน ๆ ที่อยู่พร้อมและเต็มใจ ก็ให้พวกเขาช่วยเหลือ. เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่คุณจะแบ่งภาระให้คนอื่นบ้าง.”—ซู ผู้พยาบาลดูแลบิดาก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตด้วยโรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรัง.
“เรียนรู้ที่จะปลูกฝังอารมณ์ขัน.”—มารีอา ผู้ที่ช่วยดูแลเพื่อนรักซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง.
“จงรักษาความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ. เข้าใกล้ชิดกับพระยะโฮวา และอธิษฐานไม่ละลด. (1 เธซะโลนิเก 5:17; ยาโกโบ 4:8) พระองค์ทรงจัดหาความช่วยเหลือและการชูใจโดยทางพระวิญญาณ, พระคำ, ผู้รับใช้ทางแผ่นดินโลก, และคำสัญญาของพระองค์. พยายามเป็นคนมีระบบให้มากเท่าที่เป็นไปได้. เพื่อเป็นตัวอย่าง การทำตารางเวลาให้ยาและตารางเวรผู้ช่วย นับว่าเป็นประโยชน์.”—ยาลมาร์ ผู้ปรนนิบัติดูแลพี่เขยที่รอความตาย.
“ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับลักษณะโรคของผู้ป่วย. แล้วการทำเช่นนี้ก็จะช่วยคุณให้ทราบถึงสิ่งที่จะคาดหมายได้จากผู้ป่วยและตัวคุณเอง และวิธีปรนนิบัติดูแลผู้ป่วยของคุณ.”—โจน ผู้มีสามีเป็นโรคอัลไซเมอร์.
“ให้ตระหนักว่า คนอื่นรับมือมาก่อนคุณ และพระยะโฮวาสามารถช่วยคุณให้รับมือได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.”—จีนนี ผู้ปรนนิบัติดูแลสามีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต.
[รูปภาพหน้า 8]
เพื่อให้ความกลัวของคุณสงบลง จงค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับความเจ็บป่วยนั้นให้มากเท่าที่คุณจะทำได้
[รูปภาพหน้า 9]
การพูดคุยกับเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจช่วยผ่อนคลายได้มาก