ที่ซึ่งวิกฤตการณ์รุนแรงกว่า
แมรีซึ่งอาศัยอยู่ในสหรัฐ เริ่มวันใหม่ด้วยการอาบน้ำฝักบัว, แปรงฟันโดยเปิดก๊อกน้ำให้ไหลไปด้วย, กดชักโครก, แล้วก็ล้างมือ. แม้ก่อนจะนั่งลงรับประทานอาหารเช้า เธออาจใช้น้ำมากพอที่จะใส่อ่างอาบน้ำขนาดทั่วไปให้เต็ม. พอหมดวัน แมรีก็เหมือนกับคนอื่น ๆ หลายคนที่อยู่ในสหรัฐ ใช้น้ำมากกว่า 350 ลิตร พอที่จะใส่อ่างอาบน้ำให้เต็มได้สองอ่างครึ่ง. สำหรับเธอแล้ว แหล่งน้ำที่สะอาด, ปริมาณเหลือเฟือ หาง่ายนิดเดียวจากก๊อกประปาใกล้มือ. เปิดเมื่อไรก็มีน้ำให้เสมอ จนทำให้เธอมองเป็นเรื่องธรรมดา.
สำหรับเดเด ซึ่งอาศัยอยู่ในแอฟริกาตะวันตก เป็นคนละเรื่องเลย. เธอตื่นนอนเป็นเวลานานก่อนจะรุ่งสาง, แต่งตัว, ทูนอ่างใบใหญ่บนศีรษะ และเดินแปดกิโลเมตรไปยังแม่น้ำที่นับว่าใกล้ที่สุด. ที่นั่น เธออาบน้ำ, ตักน้ำใส่อ่าง แล้วเดินกลับบ้าน. กิจวัตรประจำวันนี้ใช้เวลาราวสี่ชั่วโมง. สำหรับชั่วโมงถัดไป เธอกรองน้ำเพื่อกำจัดพวกปรสิต แล้วก็แบ่งเป็นสามถัง—ถังหนึ่งสำหรับดื่ม, ถังหนึ่งสำหรับใช้ในครัวเรือน, และอีกถังหนึ่งเธอกันเอาไว้อาบตอนเย็น. การซักผ้าใด ๆ ก็ตามต้องไปทำที่แม่น้ำ.
เดเดบอกว่า “การขาดแคลนน้ำกำลังฆ่าพวกเราที่นี่. แค่หาน้ำมาไว้ใช้ก็ต้องเสียเวลาไปเกือบครึ่งค่อนวัน แล้วจะมีเวลาเหลือสักเท่าไหร่กันเพื่อทำไร่ไถนาหรือทำงานอื่น ๆ?”
สถานการณ์ของเดเดแทบไม่ต่างไปจากคนอื่น. ตามคำกล่าวขององค์การอนามัยโลก (WHO) เวลาทั้งหมดที่พวกผู้หญิงและเด็ก ๆ จำนวนมากใช้ไปแต่ละปีในการไปเอาน้ำมาจากแหล่งน้ำไกล ๆ ซึ่งบ่อยครั้งปนเปื้อนนั้น รวมกันแล้วมากกว่าสิบล้านปี!
บางแห่งมี บางแห่งไม่มี
ดังนั้น ถึงแม้จะมีน้ำจืดอยู่มากมายทั่วโลก แต่ไม่มีการแจกจ่ายอย่างเท่าเทียมกัน. นั่นคือปัญหาใหญ่ประการแรก. เพื่อเป็นตัวอย่าง พวกนักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า ขณะที่ทวีปเอเชียมีน้ำ 36 เปอร์เซ็นต์ของน้ำในทะเลสาบและแม่น้ำในโลก แต่ทวีปนั้นมีผู้คนอยู่อาศัยถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก. เมื่อเทียบกับแม่น้ำแอมะซอนมีน้ำ 15 เปอร์เซ็นต์ของแม่น้ำในโลก แต่มีประชากรโลกเพียง 0.4 เปอร์เซ็นต์ที่อาศัยอยู่ใกล้พอจะใช้ประโยชน์จากแม่น้ำนั้น. ปริมาณฝนก็เฉลี่ยไม่เท่ากันด้วย. บางภูมิภาคของแผ่นดินโลกแทบจะแล้งตลอดกาล แต่ที่อื่น ๆ ประสบภัยแล้งเป็นบางครั้งบางคราว แม้ไม่บ่อยนัก.
ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งเชื่อว่า มนุษย์อาจจะเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงบางอย่างด้านภูมิอากาศซึ่งเกี่ยวพันกับปริมาณฝน. การตัดไม้ทำลายป่า, การเพาะปลูกมากเกินไป, และการเลี้ยงสัตว์ล้นที่ทั้งหมดนี้ทำให้ดินเลี่ยนเตียน. บางคนหาเหตุผลว่า เมื่อสภาพดังกล่าวเกิดขึ้น ผิวโลกก็สะท้อนแสงอาทิตย์กลับไปยังชั้นบรรยากาศได้มากขึ้น. ผลก็คือ: บรรยากาศร้อนขึ้น, เมฆสลายตัว, และปริมาณฝนลดลง.
แผ่นดินที่เลี่ยนเตียนอาจจะเป็นเหตุให้ปริมาณฝนลดลงอีกด้วย เนื่องจากน้ำฝนปริมาณมากที่ตกสู่ป่าคือน้ำที่ตอนแรกระเหยจากพืชพรรณนั้นเอง—จากใบของต้นไม้และไม้พุ่ม. พูดอีกนัยหนึ่ง พืชพรรณทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำมหึมา ดูดซับและกักเก็บน้ำฝนไว้. เมื่อต้นไม้และไม้พุ่มถูกกำจัดออกไป น้ำที่พร้อมจะก่อเป็นเมฆฝนก็มีน้อยลง.
การกระทำของมนุษย์มีผลกระทบร้ายแรงต่อปริมาณฝนแค่ไหนนั้น ยังเป็นเรื่องที่โต้เถียงกันอยู่; ต้องทำการศึกษาวิจัยกันต่อไป. แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือ การขาดแคลนน้ำมีขอบเขตกว้างขวาง. ธนาคารโลกเตือนว่า การขาดแคลนนี้คุกคามเศรษฐกิจและสุขภาพของ 80 ประเทศแล้ว. และประชากรบนแผ่นดินโลก 40 เปอร์เซ็นต์แล้ว—มากกว่าสองพันล้านคน—ไม่มีน้ำสะอาดใช้ และไม่มีการสุขาภิบาล.
เมื่อเผชิญกับการขาดแคลนน้ำ ประเทศต่าง ๆ ที่ร่ำรวยมักจะทุ่มเงินเข้าจัดการเพื่อให้ตนเองพ้นจากปัญหาร้ายแรง. พวกเขาสร้างเขื่อน, นำเทคโนโลยีราคาแพงมารีไซเคิลน้ำของตน, หรือกระทั่งใช้วิธีขจัดเกลือออกจากน้ำทะเล. ประเทศยากจนไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้. บ่อยครั้ง พวกเขาต้องเลือกวิธีปันส่วนน้ำสะอาด ซึ่งอาจทำให้ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจชะงักงันและการผลิตอาหารลดจำนวนลง หรือไม่ก็นำน้ำที่ยังไม่ได้บำบัดมาใช้อีก ซึ่งยังผลให้เกิดการแพร่เชื้อโรค. ขณะที่ความต้องการน้ำมีเพิ่มขึ้นทุกหนแห่ง อนาคตก็ดูจะแล้งน้ำเอามาก ๆ.
ทศวรรษแห่งความหวัง
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1980 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติพูดอย่างมั่นใจเกี่ยวกับ “ทศวรรษแห่งการจัดให้มีน้ำดื่มและการสุขาภิบาลทั่วโลก” ซึ่งกำลังจะมาถึง. สมัชชานี้ประกาศว่า เป้าหมายคือที่จะจัดให้ทุกคนซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนามีการสุขาภิบาลและน้ำสะอาดใช้อย่างทั่วถึงเมื่อถึงปี 1990. พอสิ้นทศวรรษดังกล่าว มีการจ่ายเงินไปถึง 3.35 ล้านล้านบาทเพื่อให้ประชาชนมากกว่าหนึ่งพันล้านคนได้รับน้ำสะอาด และมากกว่า 750 ล้านคนมีระบบกำจัดน้ำเสีย—เป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ.
อย่างไรก็ตาม ผลสำเร็จเหล่านี้เป็นอันหมดความหมายเนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้นอีก 800 ล้านคนในประเทศกำลังพัฒนา. ด้วยเหตุนี้ พอถึงปี 1990 ยังคงมีมากกว่าหนึ่งพันล้านคนซึ่งขาดน้ำที่ปลอดภัยและการสุขาภิบาลพอเพียง. สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ดูเหมือนสะท้อนถ้อยคำที่พระราชินีตรัสกับแอลิซในนิทานสำหรับเด็กเรื่องหนูน้อยกับกระจกเงา ดังนี้: “ดูซิ เจ้าต้องวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อตัวเจ้าจะอยู่ที่เดิม. หากเจ้าต้องการเคลื่อนไปข้างหน้า เจ้าต้องวิ่งด้วยความเร็วอย่างน้อยสองเท่าของความเร็วนั้น!”
นับตั้งแต่ปี 1990 ความก้าวหน้าทั้งสิ้นเรื่องการปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ให้กับผู้ไม่มีน้ำและระบบสุขาภิบาลนั้น “ไม่เพียงพอ” ตามคำกล่าวขององค์การอนามัยโลก. แซนดรา โปสเตล ตอนที่เป็นรองประธานฝ่ายวิจัยแห่งสถาบันเวิลด์วอตช์ ได้เขียนไว้ว่า “คงเป็นข้อบกพร่องอันร้ายแรงทางศีลธรรมที่ 1,200 ล้านคนไม่สามารถดื่มน้ำโดยไม่ต้องเสี่ยงกับโรคภัยหรือความตาย. เหตุผลไม่ใช่เพราะขาดแคลนน้ำ หรือขาดเทคโนโลยี แต่เพราะสังคมและการเมืองขาดพันธะรับผิดชอบที่จะตอบสนองความจำเป็นพื้นฐานของคนจน. จะต้องใช้เงินอีกประมาณ 900,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเท่ากับราว ๆ 4 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายด้านแสนยานุภาพของโลก เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้รับสิ่งซึ่งเราส่วนใหญ่ถือเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบัน นั่นคือ น้ำดื่มที่สะอาดและระบบสุขาภิบาลในการกำจัดน้ำเสีย.”
ประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการเพิ่มขึ้น
ปัญหาเรื่องการได้รับน้ำไม่เท่าเทียมกันนี้ ยุ่งยากเข้าไปอีกด้วยปัญหาประการที่สองคือ เมื่อประชากรเพิ่ม ความต้องการน้ำก็เพิ่มตามกันไป. ปริมาณฝนทั่วโลกค่อนข้างจะเท่าเดิม แต่จำนวนประชากรถีบตัวสูงลิ่ว. การบริโภคน้ำเพิ่มเป็นสองเท่า อย่างน้อยก็สองครั้งในศตวรรษนี้ และบางคนกะประมาณว่า ภายใน 20 ปีข้างหน้าอาจเพิ่มอีกสองเท่า.
แน่ละ จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องมีไม่เพียงน้ำดื่มเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องมีอาหารเพิ่มขึ้นด้วย. ก็เป็นอันว่า การผลิตอาหารต้องใช้น้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ. อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรมต้องแข่งกับความต้องการน้ำของอุตสาหกรรมและของปัจเจกบุคคล. ขณะที่เขตเมืองและเขตอุตสาหกรรมขยายตัว เกษตรกรรมก็มักจะเป็นฝ่ายแพ้. นักวิจัยคนหนึ่งถามว่า “แล้วอาหารจะมาจากที่ไหนล่ะ? เป็นไปได้อย่างไรที่เราจะสนองความต้องการของประชาชนหนึ่งหมื่นล้านคน ในเมื่อเราแทบจะไม่สามารถรับมือกับความต้องการของห้าพันล้านคน และที่จริงแล้วกำลังแย่งน้ำไปจากการทำเกษตรกรรม?”
การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ส่วนใหญ่จะประสบในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งน้ำมักจะขาดแคลนอยู่แล้ว. น่าเศร้า ประเทศดังกล่าวอยู่ในจำพวกที่มีความสามารถน้อยที่สุด ทั้งด้านการเงินและด้านเทคนิคสำหรับจัดการกับปัญหาเรื่องน้ำ.
มลภาวะ
นอกเหนือจากปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำและความต้องการของประชากรที่เพิ่มจำนวนขึ้นนั้น ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวพันประการที่สามคือ มลภาวะ. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึง “แม่น้ำแห่งชีวิต” แต่แม่น้ำหลายสายในปัจจุบันเป็นแม่น้ำแห่งความตาย. (วิวรณ์ 22:1) ตามการกะประมาณรายหนึ่ง ปริมาณน้ำเสีย—ทั้งในบ้านและในโรงงานอุตสาหกรรม—ซึ่งปล่อยสู่แม่น้ำสายต่าง ๆ ในโลกทุกปี รวมแล้ว 450 ลูกบาศก์กิโลเมตร. แม่น้ำและธารน้ำหลายสายเกิดมลพิษตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ.
ในประเทศกำลังพัฒนา น้ำเสียที่ไม่ได้บำบัดทำให้แม่น้ำสายใหญ่ ๆ แทบทุกสายเกิดมลพิษ. การสำรวจแม่น้ำสายใหญ่ ๆ 200 สายในรัสเซีย พบว่า 8 ใน 10 มีระดับแบคทีเรียและไวรัสสูงอย่างน่าอันตราย. แม่น้ำและน้ำใต้ดินในประเทศอุตสาหกรรม ถึงแม้ไม่เอ่อล้นด้วยน้ำเสีย แต่ก็มักจะเป็นพิษเนื่องด้วยสารเคมีพิษ รวมทั้งสารเคมีจากปุ๋ยที่ใช้ในการเกษตร. ในเกือบจะทุกส่วนของโลก ประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลสูบน้ำเสียที่ยังไม่ได้บำบัดลงสู่บริเวณน้ำตื้นนอกชายฝั่ง ทำให้หาดทรายปนเปื้อนอย่างรุนแรง.
ดังนั้น มลพิษในน้ำจึงเป็นปัญหาระดับโลก. เพื่อสรุปสถานการณ์ จุลสารน้ำ: ทรัพยากรอันสำคัญยิ่ง (ภาษาอังกฤษ) ของสมาคมออดูบอน กล่าวว่า “หนึ่งในสามของมนุษย์ต้องทนทุกข์กับความเจ็บป่วยหรือความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงตลอดชีวิตเนื่องจากน้ำที่ไม่บริสุทธิ์สะอาด; อีกหนึ่งในสามถูกคุกคามด้วยสารเคมีที่ปล่อยลงน้ำ ซึ่งผลกระทบระยะยาวยังไม่เป็นที่รู้กัน.”
น้ำไม่ดี สุขภาพไม่ดี
เมื่อเดเดซึ่งเอ่ยถึงในตอนต้นบอกว่า “การขาดแคลนน้ำกำลังฆ่าพวกเรา” เธอพูดในความหมายเป็นนัย. กระนั้น การขาดน้ำจืดที่สะอาดคร่าชีวิตตามตัวอักษรได้จริง ๆ. สำหรับเธอและอีกหลายล้านคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน แทบไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้น้ำจากแม่น้ำลำธาร ซึ่งบ่อยครั้งเกือบจะเหมือนกับคูน้ำทิ้ง. จึงไม่แปลกที่องค์การอนามัยโลกบอกว่า ทุก ๆ แปดวินาทีเด็กหนึ่งคนเสียชีวิตด้วยโรคที่เกี่ยวพันกับน้ำ!
ตามคำกล่าวของวารสารเวิลด์ วอตช์ ในประเทศกำลังพัฒนา 80 เปอร์เซ็นต์ของโรคภัยทั้งหมดแพร่ระบาดโดยการบริโภคน้ำที่ไม่สะอาด. เชื้อโรคและมลพิษที่มากับน้ำคร่าชีวิต 25 ล้านคนทุกปี.
โรคเพชฌฆาตที่เกี่ยวพันกับน้ำ—รวมถึงโรคท้องร่วง, อหิวาตกโรค, และไข้ไทฟอยด์—คร่าชีวิตเหยื่อส่วนใหญ่ในเขตร้อน. กระนั้น โรคที่มากับน้ำไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเทศกำลังพัฒนา. ระหว่างปี 1993 ในเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐมี 400,000 คนล้มป่วยหลังจากดื่มน้ำประปาที่มีจุลินทรีย์ดื้อคลอรีน. ในปีเดียวกัน จุลินทรีย์ร้ายได้เล็ดลอดเข้าไปในระบบจ่ายน้ำของเมืองอื่น ๆ ในสหรัฐ—กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.; นครนิวยอร์ก; และเมืองคาบูล รัฐมิสซูรี—ทำให้ชาวเมืองต้องต้มน้ำที่ได้จากก๊อกประปา.
จัดสรรปันส่วนแม่น้ำ
ปัญหาการขาดแคลนน้ำที่เกี่ยวพันถึงกัน, ความต้องการน้ำอันเกิดจากประชากรเพิ่มจำนวนขึ้น, และมลพิษที่ทำให้สุขภาพย่ำแย่ ล้วนเป็นปัจจัยซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดและความขัดแย้งได้. ถ้าจะว่าไป น้ำเห็นทีจะไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย. นักการเมืองคนหนึ่งในสเปนซึ่งกำลังปล้ำสู้กับวิกฤตการณ์น้ำ บอกว่า “มันไม่ใช่การต่อสู้ทางเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด.”
ความตึงเครียดหลักก็คือ การแบ่งปันน้ำจากแม่น้ำต่าง ๆ. เพเทอร์ ไกลค์ นักวิจัยคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกา บอกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกอาศัยอยู่ตามบริเวณลุ่มน้ำ 250 แห่ง ซึ่งมีการแย่งกันใช้น้ำมากกว่าหนึ่งประเทศ. แม่น้ำพรหมบุตร, แม่น้ำสินธุ, แม่น้ำโขง, แม่น้ำไนเจอร์, แม่น้ำไนล์, และแม่น้ำไทกริส แต่ละสายไหลผ่านหลายประเทศ—ประเทศซึ่งต้องการดึงเอาน้ำจากแม่น้ำเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้. เคยมีข้อพิพาทกันแล้ว.
ขณะที่ความต้องการน้ำเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดเช่นว่าก็จะทวีขึ้น. รองประธานเพื่อการพัฒนาเชิงค้ำจุนสิ่งแวดล้อมของธนาคารโลกทำนายว่า “สงครามหลายครั้งในศตวรรษนี้เกี่ยวข้องกับน้ำมัน แต่สงครามในศตวรรษหน้าจะเกิดจากปัญหาเรื่องน้ำ.”
[กรอบ/รูปภาพหน้า 7]
โมเลกุลซึ่งไม่เคยหยุดนิ่ง
ให้เรามาติดตามการเดินทางของโมเลกุลน้ำหนึ่งโมเลกุล ขณะที่มันท่องไปไม่สิ้นสุด. ลำดับภาพในหน้านี้ซึ่งมีหมายเลขกำกับตรงตามข้อความอธิบาย แสดงให้เห็นภาพเพียงหนึ่งในวิถีทางนับไม่ถ้วน ที่โมเลกุลน้ำหนึ่งโมเลกุลสามารถกลับมายังที่ที่มันจากไป.—โยบ 36:27; ท่านผู้ประกาศ 1:7.
เราจะเริ่มกับโมเลกุลหนึ่งบนผิวมหาสมุทร.(1) ขณะที่น้ำระเหยด้วยแสงอาทิตย์ โมเลกุลนี้จะลอยขึ้นไปหลายพันฟุตเหนือพื้นโลก.(2) แล้วก็ไปรวมตัวกับโมเลกุลอื่น ๆ ของน้ำเพื่อก่อตัวเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ. หยดน้ำนี้ลอยไปกับสายลมหลายร้อยกิโลเมตร. ต่อมา หยดน้ำก็ระเหย และโมเลกุลนั้นจะลอยขึ้นไปอีกจนกระทั่ง ในที่สุด มันก็รวมตัวกับเม็ดฝนที่ใหญ่พอจะตกสู่พื้นดิน.(3) เม็ดฝนนี้ตกลงบนเนินเขาพร้อม ๆ กับเม็ดฝนอื่นนับพัน ๆ ล้านเม็ด; น้ำฝนไหลบ่าสู่ลำธาร.(4)
แล้วกวางตัวหนึ่งก็มากินน้ำจากลำธาร กลืนโมเลกุลน้ำของเราเข้าไป.(5) หลายชั่วโมงหลังจากนั้น กวางถ่ายปัสสาวะ และโมเลกุลนั้นซึมลงไปในดิน แล้วรากของต้นไม้ต้นหนึ่งก็ดูดเข้าไป.(6) จากที่นั่น โมเลกุลเคลื่อนขึ้นไปตามลำต้น และในที่สุดก็ระเหยออกจากใบสู่อากาศ.(7) เช่นคราวก่อน มันลอยสูงขึ้นเพื่อไปช่วยก่อหยดน้ำเล็ก ๆ อีกหยดหนึ่ง. หยดน้ำนี้ลอยล่องไปกับสายลมจนมันไปรวมกับเมฆฝนมืดครึ้มก้อนใหญ่.(8) โมเลกุลน้ำของเราก็ตกลงมากับฝนอีก แต่ครั้งนี้มันไปถึงแม่น้ำซึ่งพามันไหลสู่มหาสมุทร.(9) ที่นั่น มันอาจจะใช้เวลาหลายพันปีกว่าจะมีโอกาสผุดขึ้นไปยังผิวน้ำ, ระเหย, แล้วลอยขึ้นไปในอากาศอีกครั้งหนึ่ง.(10)
วัฏจักรนี้ไม่มีวันสิ้นสุด: น้ำระเหยจากทะเล, ลอยขึ้นไปเหนือพื้นดิน, ตกลงมาเป็นฝน, และไหลกลับสู่ทะเล. โดยวิธีนี้ น้ำจึงค้ำจุนทุกชีวิตบนแผ่นดินโลก.
[กรอบ/รูปภาพหน้า 9]
สิ่งที่มีการเสนอแนะกัน
สร้างโรงงานขจัดเกลือ. โรงงานเหล่านี้จะสกัดเกลือออกจากน้ำทะเล. ตามปกติ ทำโดยการสูบน้ำเข้าไปในห้องที่มีความกดอากาศต่ำ แล้วต้มน้ำนั้นจนเดือด. น้ำจะระเหยเป็นไอ และถูกแยกไปไว้ที่อื่น เหลือไว้แต่ผลึกเกลือ. กรรมวิธีนี้เสียค่าใช้จ่ายสูง สุดเอื้อมสำหรับหลายประเทศที่กำลังพัฒนา.
ละลายภูเขาน้ำแข็ง. นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า ภูเขาน้ำแข็งลูกมหึมา ๆ ซึ่งประกอบไปด้วยน้ำจืดบริสุทธิ์ สามารถลากมาจากแอนตาร์กติกโดยเรือโยงขนาดใหญ่ แล้วทำให้ละลายเพื่อจะมีน้ำสำหรับประเทศแห้งแล้งแถบซีกโลกใต้. ปัญหาอย่างหนึ่งคือ ภูเขาน้ำแข็งราว ๆ ครึ่งลูกจะละลายในทะเลก่อนถึงปลายทาง.
สูบน้ำจากหินน้ำซึม. หินน้ำซึมคือ ชั้นหินอุ้มน้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวโลก. จากแหล่งนี้ อาจสูบน้ำขึ้นมาใช้ได้แม้ในทะเลทรายที่แห้งแล้งสุดประมาณ. แต่การดูดเอาน้ำวิธีนี้เสียค่าใช้จ่ายสูง และทำให้ระดับน้ำใต้ดินลดต่ำลง. ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือ หินน้ำซึมส่วนใหญ่กลับสู่สภาพเดิมช้ามาก—และบางแห่งไม่คืนสภาพเลย.
[ที่มาของภาพหน้า 8]
Photo: Mora, Godo-Foto
[รูปภาพหน้า 5]
อาจใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงแต่ละวันเพื่อจะได้น้ำมาใช้
[รูปภาพหน้า 8]
แต่ละปี น้ำเสียราว ๆ 450 ลูกบาศก์กิโลเมตร ไหลสู่แม่น้ำ