เสียงรบกวน—สิ่งก่อความรำคาญสมัยใหม่
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในบริเตน
“หนึ่งในตัวการใหญ่ที่ก่อความเครียดให้กับชีวิต.”—มาคิส ทซาโปกาส, ที่ปรึกษาประจำองค์การอนามัยโลก.
“เป็นตัวก่อมลพิษที่แพร่กระจายมากที่สุดในอเมริกา.”—เดอะ บอสตัน ซันเดย์ โกลบ, สหรัฐอเมริกา.
“เป็นตัวก่อมลพิษที่ร้ายกาจที่สุดในยุคของเรา.”—เดลี เอกซ์เพรส, ลอนดอน, อังกฤษ.
คุณไม่สามารถมองเห็น, ได้กลิ่น, ลิ้มรส, หรือสัมผัสมันได้. เสียงรบกวน ซึ่งเป็นตัวก่อความเดือดร้อนให้กับชีวิตในเขตเมืองสมัยปัจจุบัน บัดนี้ ก่อมลพิษให้กับชนบทเช่นกัน.
นักธรรมชาติวิทยาชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งใช้เวลาประมาณ 16 ปี บันทึกเสียงต่าง ๆ ในธรรมชาติพบว่างานของเขายากขึ้นทุกที. ในปี 1984 เขาได้ศึกษาวิจัยสถานที่ที่เงียบสงบ 21 แห่งในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีช่วงที่ปลอดจากเสียงรบกวนนานกว่า 15 นาที. ห้าปีต่อมา มีสถานที่ดังกล่าวเหลือเพียงสามแห่งเท่านั้น.
สำหรับผู้อยู่อาศัยหลายคนบนโลกนี้ การพบสถานที่ที่ปลอดเสียงรบกวนสักสามแห่งนับเป็นเรื่องท้าทาย. ในญี่ปุ่น รายงานทั่วประเทศประจำปี 1991 บอกว่า เสียงรบกวนเป็นเหตุให้มีการร้องเรียนมากกว่ามลพิษรูปแบบอื่นใด. ที่จริง หนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ แห่งลอนดอนพรรณนาเสียงรบกวนอย่างเหมาะเจาะว่าเป็น “มหาวิบัติแห่งชีวิตยุคปัจจุบัน.” นับตั้งแต่เสียงเห่ายืดเยื้อน่ารำคาญของสุนัขจนถึงเสียงแสบแก้วหูจากสเตริโอของเพื่อนบ้าน หรือไม่ก็เสียงสัญญาณกันขโมยหรือเสียงวิทยุติดรถยนต์ที่ดังต่อเนื่องไม่หยุด เสียงรบกวนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว. กระนั้น มลพิษทางเสียงไม่ใช่เรื่องใหม่. มันมีประวัติยาวนาน.
ไม่ใช่ปัญหาใหม่
เพื่อป้องกันการจราจรติดขัด จูเลียส ซีซาร์ สั่งห้ามยวดยานที่มีล้อวิ่งในใจกลางกรุงโรมช่วงกลางวัน. น่าเศร้าสำหรับจูเลียส ซีซาร์และราษฎรในกรุงโรม กฤษฎีกานั้นก่อมลพิษทางเสียงอย่างหนักในตอนกลางคืน “ด้วยเสียงล้อเลื่อนทั้งล้อเหล็กล้อไม้ดังสนั่นหวั่นไหวบนถนนที่ปูด้วยหิน.” (หนังสือนครในประวัติศาสตร์, ภาษาอังกฤษ โดยลูอิส มัมฟอร์ด) กว่าหนึ่งร้อยปีต่อมา กวีจูเวนัลร้องเรียนว่า เสียงรบกวนเป็นตัวการทำให้ชาวกรุงโรมเป็นคนนอนไม่หลับตลอดกาล.
พอถึงศตวรรษที่ 16 กรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษได้กลายเป็นมหานครที่อึกทึกเอ็ดอึง. อลิสัน พลาวเดน ผู้ประพันธ์หนังสืออังกฤษยุคพระราชินีเอลิซาเบ็ท (ภาษาอังกฤษ) เขียนว่า “สิ่งแรกที่จะต้องประทับใจผู้มาเยือนส่วนใหญ่ก็คือ เสียงดังไม่ขาดสาย เป็นเสียงก๊อก ๆ แก๊ก ๆ และเสียงค้อนจากโรงงานนับพัน ๆ โรง, เสียงโครกครากและเสียงเอี๊ยดแอ๊ดของล้อรถม้า, เสียงร้องมอ ๆ ของวัวที่ถูกต้อนไปยังตลาด, เสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ของพวกพ่อค้าข้างถนนที่กำลังโฆษณาสินค้าของตน.”
ศตวรรษที่ 18 ได้เบิกโรงสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม. บัดนี้ ผลกระทบจากเสียงรบกวนของเครื่องจักรเป็นที่ประจักษ์ชัดเนื่องด้วยความสามารถในการได้ยินของคนงานในโรงงานได้รับความเสียหาย. แม้แต่ชาวเมืองที่ไม่ได้อาศัยอยู่ใกล้โรงงานก็ยังร้องเรียนเรื่องเสียงรบกวนที่เพิ่มขึ้น. นักประวัติศาสตร์โทมัส คาร์ไลล์ ได้หลบเข้าไปใน “ห้องปลอดเสียง” บนหลังคาบ้านของตนในลอนดอนเพื่อหนีเสียงไก่ขัน, เสียงเปียโนของเพื่อนบ้าน, และเสียงยวดยานบนท้องถนนใกล้ ๆ. เดอะ ไทมส์ รายงานว่า “วิธีดังกล่าวไม่ได้ผล.” เพราะเหตุใด? “เขาแทบคลั่งด้วยเสียงรบกวนใหม่อีกชุดหนึ่ง ซึ่งรวมถึงเสียงหวูดเรือ และหวูดรถไฟ”!
สิ่งก่อมลพิษสมัยใหม่แพร่ระบาด
พวกนักประท้วงเสียงรบกวนในปัจจุบันพุ่งเป้าไปยังสนามบิน ขณะที่สายการบินต่าง ๆ คัดค้านอย่างแข็งขันต่อการพยายามออกกฎหมายควบคุมมลพิษทางเสียง. เมื่อสนามบินแมนเชสเตอร์ในอังกฤษออกมาตรการเก็บค่าปรับอัตโนมัติในแต่ละครั้งที่เครื่องบินคอนคอร์ดที่เร็วเหนือเสียงทะยานสู่ท้องฟ้า มาตรการดังกล่าวได้ผลไหม? ไม่. กัปตันเครื่องบินคอนคอร์ดคนหนึ่งยอมรับว่า เสียงของเครื่องบินหนวกหูก็จริง แต่หากบินขึ้นโดยบรรทุกเชื้อเพลิงให้น้อยลงเพื่อลดระดับเสียงรบกวน เครื่องบินจะไปถึงโตรอนโตหรือนิวยอร์กรวดเดียวไม่ได้.
การป้องกันเสียงรบกวนจากการจราจรบนถนนก็มีปัญหาพอ ๆ กัน. เพื่อเป็นตัวอย่าง การศึกษาวิจัยในเยอรมนีเผยให้เห็นว่า มลพิษชนิดนี้ก่อความรำคาญให้กับประชากรถึง 64 เปอร์เซ็นต์. และเป็นปัญหาที่ขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ตามรายงานบอกว่า ใหญ่กว่าแต่ก่อนถึงหนึ่งพันเท่าเมื่อเทียบกับก่อนที่สังคมได้หันมาใช้เครื่องยนต์. รายงานจากกรีซบอกว่า “กรุงเอเธนส์เป็นหนึ่งในเมืองที่มีเสียงรบกวนที่สุดในยุโรป และเสียงที่ดังไม่ขาดสายนี้น่ารำคาญจนทำความเสียหายต่อสุขภาพของชาวเอเธนส์.” เช่นเดียวกัน หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นสังเกตเห็นแนวโน้มในทางเลวร้ายยิ่งขึ้นเรื่องเสียงรบกวนจากการจราจร และถือว่าสิ่งนี้เกิดจากการใช้รถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ. ณ ความเร็วต่ำ เครื่องของรถยนต์จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่ก่อเสียงรบกวน แต่ถ้าวิ่งด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ยางรถยนต์จะก่อเสียงรบกวนมากที่สุด.
สาเหตุใหญ่ที่สุดของการร้องเรียนเรื่องเสียงรบกวนในบริเตนคือเสียงดังจากบ้านของผู้คน. ในปี 1996 สถาบันสุขภาพด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งได้รับการรับรองตามกฎหมายของบริเตนสังเกตว่า มีการร้องเรียนเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์เรื่องเพื่อนบ้านทำเสียงดัง. โฆษกหญิงประจำสถาบันนี้ให้ความเห็นว่า “มันยากที่จะอธิบาย. ความกดดันในชีวิตการทำงานของผู้คนอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เขามีความต้องการมากขึ้นเรื่องสันติสุขและความเงียบสงบที่บ้าน.” สองในสามของการยื่นคำร้องเรียนทั้งหมดในบริเตนระหว่างปี 1994 เกี่ยวข้องกับเสียงดนตรียามดึกดื่นและเสียงเครื่องรถยนต์, เสียงหวอ, และเสียงแตรของยวดยานพาหนะที่ดังหนวกหู. แต่จะว่าอย่างไรกับผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษทางเสียงซึ่งกะประมาณว่ามี 70 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้ร้องเรียนใด ๆ เนื่องจากกลัวว่าจะถูกแก้แค้น? ปัญหานี้แผ่คลุมไปทุกหัวระแหงจริง ๆ.
ความรำคาญอันเกิดจากเสียงรบกวนที่ระบาดไปทั่ว ยังผลให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายจะปกป้องสิ่งแวดล้อม เรียกร้องให้มีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมมลพิษทางเสียง. เพื่อเป็นตัวอย่าง บางชุมชนในสหรัฐได้นำเอากฎข้อบังคับประจำท้องถิ่นมาใช้เพื่อจำกัดการใช้เครื่องมือจัดสวนที่เป็นเครื่องยนต์. ในบริเตน พระราชบัญญัติควบคุมเสียงรบกวนมุ่งเป้าไปยังเพื่อนบ้านที่ก่อเสียงอึกทึก และอนุญาตให้ปรับทันทีหากล่วงละเมิดในช่วง 23:00 น. ถึง 7:00 น. เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นถึงกับมีอำนาจยึดเครื่องสเตริโอที่เปิดเสียงดังรบกวนชาวบ้านด้วยซ้ำ. ถึงกระนั้น เสียงรบกวนก็ยังมีอยู่.
เนื่องจากมลพิษทางเสียงเป็นปัญหาที่กำลังขยายตัวอย่างแท้จริง คุณอาจจะสงสัยว่าผู้ได้รับความเสียหายอย่างคุณนี้จะทำอะไรได้บ้าง. แต่ขอให้คิดเช่นกันว่า คุณอาจหลีกเลี่ยงการก่อเสียงรบกวนได้อย่างไร? สันติสุขและความสงบเงียบตลอดไปจะมีวันเกิดขึ้นไหม? โปรดอ่านสองบทความถัดไปเพื่อได้คำตอบ.