เสียงรบกวน—คุณอาจทำอะไรได้บ้าง?
ในตอนสิ้นสุดของวันอันเหน็ดเหนื่อย คุณผล็อยหลับสนิท. ทันทีทันใด คุณก็ต้องตกใจตื่นด้วยเสียงเห่าของบรรดาสุนัขข้าง ๆ บ้าน. คุณพลิกตัวบนเตียงและหวังว่าไม่ช้าเสียงกวนประสาทนี้จะหยุดลง. แต่มันไม่ยอมหยุด. สุนัขเหล่านั้นเห่าเป็นวรรคเป็นเวร. ด้วยความรู้สึกรำคาญ, ข้องขัดใจเพราะนอนไม่หลับ, และตอนนี้ตาคุณเบิกโพลง คุณสงสัยว่าเพื่อนบ้านทนกับเสียงรบกวนเช่นนี้ได้อย่างไร.
ผู้คนแตกต่างกันอย่างมากเรื่องการทนต่อเสียงรบกวน. ผู้ทำงานในสนามบินซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับลานวิ่งขึ้นลงของเครื่องบินไม่ค่อยจะรู้สึกรำคาญกับเสียงหนวกหูของเครื่องบินเท่าใดนักเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับเครื่องบิน. แม่บ้านที่ใช้เครื่องครัวไฟฟ้าทนกับเสียงหนวกหูของเครื่องได้ดีกว่าคนที่อยู่ในห้องถัดไปซึ่งพยายามจะอ่านหนังสือหรือดูทีวี.
มลพิษทางเสียงคืออะไร?
ประเทศต่าง ๆ ให้คำนิยามมลพิษทางเสียงแตกต่างกันไป. ในเม็กซิโก เสียงรบกวนคือ “เสียงอันไม่พึงปรารถนาใด ๆ ซึ่งก่อความรำคาญหรือก่อความเสียหายแก่คนเรา.” นิวซีแลนด์ ถือว่าเสียงรบกวนเกินไปก็ต่อเมื่อมี “ลักษณะที่เข้าไปก่อกวนอย่างไม่มีเหตุผลต่อความสงบสุข, ความสบายใจ, และความสะดวกสบายของบุคคลใด ๆ.”
นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงสองคนคือ อะเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ผู้ประดิษฐ์คิดค้นโทรศัพท์ และไฮน์ริค เฮิรตซ์ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน มีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับมาตราวัดระดับเสียง. เบล หรือที่รู้จักกันมากกว่าคือ เดซิเบล (หนึ่งส่วนสิบของเบล) เป็นหน่วยวัดความดังสัมพัทธ์ของเสียง ส่วนเฮิรตซ์เป็นหน่วยวัดความถี่ของเสียง. เมื่อมีการวัดความดังของเสียง โดยทั่วไปรายงานจะบอกให้ทราบถึงระดับเดซิเบลของเสียง.a
แต่ใครจะตัดสินว่าเสียงก่อการรบกวนมากแค่ไหน? ตัวคุณ ผู้ได้ยินเสียงนั่นแหละ! หนังสือพิมพ์ดิ อินดิเพนเดนต์แห่งลอนดอนให้ข้อสังเกตว่า “ในเรื่องการประเมินค่าเสียงรบกวนนั้น หูของมนุษย์ยังคงเป็นตัวตรวจจับที่ดีที่สุด.”
ผลกระทบของเสียงรบกวน
เนื่องจากหูเป็น “ตัวตรวจจับที่ดีที่สุด” ในเรื่องเสียงรบกวน จึงเห็นได้ชัดว่าหูเป็นอวัยวะที่ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายมากที่สุดจากเสียง. ความเสียหายที่เกิดกับเซลล์ประสาทของหูชั้นในซึ่งมีความบอบบาง อาจทำให้คุณสูญเสียความสามารถในการได้ยินแบบถาวร. จริงอยู่ ผู้คนตอบสนองต่อเสียงดังต่างกันไป. แต่การฟังเสียงที่ดังมากกว่า 80 ถึง 90 เดซิเบลซ้ำแล้วซ้ำอีกอาจทำให้ความสามารถในการได้ยินค่อย ๆ สูญเสียไป. ที่จริง ยิ่งความดังของเสียงมีระดับสูงเท่าไร โอกาสก็มีน้อยลงเท่านั้นที่คุณสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นประจำก่อนที่การได้ยินของคุณจะเสียไป.
วารสารนิว ไซเยนติสต์รายงานว่า สเตริโอส่วนตัวหลายยี่ห้อที่ขายในฝรั่งเศสให้พลังเสียงสูงสุดถึง 113 เดซิเบล. การศึกษาวิจัยหนึ่งซึ่งมีการอ้างอิงถึง ให้ข้อสังเกตว่า “ดนตรีร็อกที่เปิดดังสุดเสียงเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงด้วยเครื่องเล่นคอมแพ็กต์ดิสก์ส่วนตัวจะให้ความดังมากกว่า 100 เดซิเบลเกือบตลอดเวลา และขึ้นถึงขีดสุดราว ๆ 127 เดซิเบล.” แต่ผลกระทบของเสียงรบกวนในช่วงของการแสดงคอนเสิร์ตสด ๆ รุนแรงกว่านั้นอีก. นักสำรวจคนหนึ่งพบว่า ผู้คนที่เบียดเสียดห้อมล้อมอยู่ใกล้ ๆ ลำโพงที่วางซ้อนกันหลาย ๆ ตัวเป็นลมหมดสติไป. เขาเล่าว่า “ตาของผมพร่ามัว ทั่วสรรพางค์กายสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยเสียงเบสกระหน่ำ และเสียงนั้นทำให้หูของผมระบมไปหมด.”
เสียงรบกวนอาจก่อผลกระทบอะไรแก่คุณบ้าง? หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งกล่าวว่า “เสียงที่ดังไม่ขาดสายในระดับปานกลางถึงระดับสูงเป็นสาเหตุของความเครียด, ความอ่อนเปลี้ยเพลียแรง, และความหงุดหงิด.” ศาสตราจารย์เกรัลด์ ไฟลเชอร์ ประจำมหาวิทยาลัยกีเซน เยอรมนี ให้ข้อสังเกตว่า “การทนทรมานกับเสียงรบกวนไม่เพียงพรากความสุขไปจากชีวิตเท่านั้น แต่อาจบั่นทอนสุขภาพทางกายและอารมณ์ได้.” ตามคำพูดของศาสตราจารย์มาคิส ทซาโปกาส เมื่อเสียงรบกวนผนวกเข้ากับสภาพตึงเครียดอื่น ๆ มันสามารถกระตุ้นให้เกิดความซึมเศร้าได้ อีกทั้งทำให้เกิดโรคทางกายได้ด้วย.
การฟังเสียงรบกวนเป็นเวลานาน ๆ อาจส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพของคุณ. เมื่อพวกนักวิจัยของรัฐบาลบริเตนถามผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษทางเสียงว่า พวกเขารู้สึกอย่างไรกับผู้ที่เป็นต้นเหตุ ผู้เสียหายตอบว่าพวกเขาเกลียด, อยากแก้แค้น, และกระทั่งอยากฆ่าผู้ที่เป็นต้นเหตุด้วยซ้ำ. ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ก่อเสียงรบกวนมักจะกลายเป็นคนก้าวร้าวเมื่อพวกเขาตกเป็นเป้าของการร้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีก. ผู้รณรงค์ต่อต้านเสียงรบกวนคนหนึ่งอ้างว่า “เสียงรบกวนทำให้ผู้คนคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นน้อยลง และก่อให้เกิดความก้าวร้าวตลอดจนความเป็นปฏิปักษ์.”
คนส่วนใหญ่ซึ่งต้องทนต่อมลพิษทางเสียงยอมรับว่า ความต้านทานที่ตนมีต่อสิ่งรบกวนนั้นค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง. พวกเขาสะท้อนทัศนะของสตรีผู้หนึ่งซึ่งเพื่อนบ้านที่ก่อเสียงรบกวนเปิดดนตรีเสียงดังเป็นประจำ ดังนี้: “เมื่อคุณจำใจต้องฟังสิ่งที่คุณไม่อยากฟัง มันบั่นทอนกำลังของคุณ. . . . แม้เมื่อเสียงหนวกหูนั้นหยุดแล้ว แต่เราก็รู้ว่ามันจะเริ่มขึ้นอีก.”
แล้วไม่มีทางใดเลยหรือที่จะจัดการกับมลพิษทางเสียง?
สิ่งที่คุณสามารถทำได้
เนื่องด้วยเสียงหนวกหูมีดาษดื่นทั่วทุกหนแห่ง หลายคนจึงไม่รู้ตัวว่าเขากำลังก่อเสียงรบกวนคนอื่น. หากเขารู้ เขาก็คงจะหยุดกิจกรรมที่ก่อความขัดเคืองใจอย่างไม่ต้องสงสัย. ด้วยเหตุผลนี้แหละที่การเข้าไปพูดคุยด้วยท่าทีเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านที่ก่อเสียงรบกวนอาจทำให้เกิดผลดีได้. คนหนึ่งโกรธที่เพื่อนบ้านของตนไปร้องเรียนเจ้าหน้าที่ว่าเขาก่อเสียงรบกวน. เขาบอกว่า “ผมคิดว่าเขาน่าจะมาหาผมโดยตรงเพื่อคุยกันซึ่ง ๆ หน้า หากเขาไม่พอใจกับเสียงนั้น.” มารดาคนหนึ่งซึ่งจัดปาร์ตี้ให้เด็ก ๆ แสดงสีหน้าตกตะลึงเมื่อเผชิญกับเจ้าหน้าที่ซึ่งมาสอบสวนตามคำร้องเรียนเรื่องเสียงดังรบกวน. เธอให้ข้อสังเกตว่า “ฉันอยากให้คนที่ไปร้องเรียนมาเคาะประตูบ้านแล้วบอกฉันถ้าเขารู้สึกรำคาญ.” ดังนั้น ไม่แปลกที่เจ้าหน้าที่สถาบันสุขภาพด้านสิ่งแวดล้อมของบริเตนตะลึงงันเมื่อค้นพบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ร้องเรียนเรื่องเสียงดังจากบ้านข้าง ๆ ไม่เคยเข้าไปขอร้องเพื่อนบ้านของตนให้ลดเสียงลง.
การที่ผู้คนไม่ปริปากบอกเพื่อนบ้านที่ก่อเสียงรบกวน บ่งชี้ถึงการขาดความนับถือซึ่งกันและกัน. ‘เมื่อไรที่ฉันอยากเปิดเพลงฟัง ฉันก็จะทำ. มันเป็นสิทธิของฉัน!’ นี่แหละคือคำตอบที่พวกเขาคาดหมายและได้รับบ่อย ๆ. พวกเขากลัวว่า การชี้แนะด้วยความกรุณาให้ลดเสียงลงอาจนำไปสู่การเผชิญหน้า เพราะเพื่อนบ้านที่ก่อเสียงรบกวนถือว่าการร้องเรียนของเขานั้นไม่เข้าท่า. ช่างเป็นภาพสะท้อนอันน่าเศร้าอะไรเช่นนี้ในสังคมปัจจุบัน! เป็นเหมือนคำกล่าวในคัมภีร์ไบเบิลสักเพียงไรที่ว่า ใน “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้” นี้ผู้คนโดยทั่วไปจะเป็น ‘คนรักตัวเอง, จองหอง, ดุร้าย, และหัวดื้อ’!—2 ติโมเธียว 3:1-4, ล.ม.
ส่วนมากขึ้นอยู่กับวิธีเข้าหาของผู้ได้รับความเสียหาย. นิตยสารวูแมนส์ วีกลี เสนอฉากเหตุการณ์ต่อไปนี้เกี่ยวด้วยวิธีแก้สถานการณ์ตึงเครียดหลังจากการบ่นอย่างรุนแรงจนทำให้คู่กรณีไม่พอใจ: “ด้วยท่าทีอบอุ่นและเข้าอกเข้าใจ อาจพูดว่า ‘นี่นะ ฉันเองก็เสียใจ—ฉันโมโห แต่ฉันเหนื่อยมากเมื่อนอนไม่หลับ’ คำพูดนี้อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการคืนดีกัน [กับเพื่อนบ้านที่เป็นปฏิปักษ์].” บางที เขาอาจยินดีย้ายเครื่องขยายเสียงไปให้ไกลจากผนังห้องที่ติดกัน และลดความดังลงบ้าง.
ตามความเป็นจริงแล้ว นับว่าเป็นประโยชน์ที่จะรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านเอาไว้. เจ้าหน้าที่ในบางท้องถิ่นให้บริการการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้แก่เพื่อนบ้านที่เป็นปฏิปักษ์กัน. เมื่อคำนึงถึงความรู้สึกรุนแรงอันเกิดจากการร้องเรียนเจ้าหน้าที่ การโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ควรมองว่าเป็น “แหล่งพึ่งพิงสุดท้ายเท่านั้น.”
ถ้าคุณคิดจะย้ายไปบ้านหลังใหม่ คุณคงพบว่าเป็นการฉลาดที่จะตรวจสอบดูแหล่งซึ่งอาจก่อเสียงรบกวนก่อน ทำสัญญาขั้นสุดท้าย. นายหน้าอสังหาริมทรัพย์เสนอแนะว่า คุณควรไปเยี่ยมชมบ้านที่คุณคาดว่าจะไปอยู่ ในเวลาต่าง ๆ กันเพื่อตรวจสอบเสียงรบกวน. คุณอาจถามเพื่อนบ้านเกี่ยวกับข้อสังเกตของเขา. หากคุณเผชิญปัญหาหลังจากย้ายไปยังบ้านหลังใหม่แล้ว จงพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีที่เป็นมิตร. โดยทั่วไป การฟ้องร้องชวนให้เป็นศัตรูกัน.
แต่จะว่าอย่างไร หากคุณอาศัยอยู่ในละแวกที่มีเสียงรบกวน และคุณไม่มีทางย้ายไปที่ใดอื่น? คุณจำต้องทนรับสภาพนั้นตลอดไปไม่มีสิ้นสุดไหม? ไม่จำเป็น.
วิธีป้องกันเสียงรบกวน
ลองพิจารณาดูสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อกันเสียงรบกวนจากภายนอกไม่ให้เข้ามาในบ้านของคุณ. ตรวจผนังและพื้นเพื่อดูว่ามีช่องใด ๆ ไหมที่สามารถอุดได้. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้สังเกตตำแหน่งที่เต้าเสียบไฟฟ้าติดตั้งอยู่. มันแน่นหนาไหม?
บ่อยครั้ง เสียงรบกวนเข้ามาในบ้านทางประตูและหน้าต่าง. การเพิ่มกระจกหน้าต่างเป็นสองชั้นอาจช่วยลดเสียงรบกวนได้. แม้แต่การเพิ่มแถบโฟมบาง ๆ ที่กรอบประตูก็จะช่วยให้แน่ใจว่าประตูสนิทพอดี. บางที การสร้างระเบียงและติดตั้งประตูอีกชั้นหนึ่งจะป้องกันบริเวณที่พักอาศัยของคุณจากเสียงการจราจรที่รบกวน.
แม้ว่าเสียงรบกวนจากการจราจรจะเพิ่มทวีอย่างน่าตกใจ แต่ผู้ผลิตรถยนต์ก็พัฒนาวัสดุและวิธีการใหม่ ๆ ตลอดเวลาเพื่อลดระดับเสียงภายในรถของคุณ. ยางรถลดเสียงก็ช่วยได้เช่นกัน. การทดลองกับพื้นผิวถนนชนิดต่าง ๆ ในหลายประเทศได้ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์อย่างเช่น “คอนกรีตเสียงกระซิบ” ซึ่งส่วนผสมบางอย่างจะถูกปล่อยให้โผล่ตามผิวถนน และยังผลให้หน้ายางสัมผัสผิวถนนแบบที่ไม่สม่ำเสมอ. ตามรายงานบอกว่า การใช้ผิวถนนแบบนี้ลดระดับเสียงรบกวนได้มากถึงสองเดซิเบลสำหรับรถที่มีน้ำหนักเบาและหนึ่งเดซิเบลสำหรับรถบรรทุกที่หนัก. ถึงแม้ตัวเลขนี้ดูเหมือนไม่มากมายอะไร แต่การลดลงสามเดซิเบลโดยเฉลี่ยมีค่าพอ ๆ กับการลดเสียงรบกวนจากการจราจรถึงครึ่ง!
ปัจจุบันนี้ ผู้สร้างถนนออกแบบทางหลวงโดยมีกำแพงหรือคันดินขนาบปิดไว้ จึงเป็นการลดเสียงรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ. แม้บนถนนซึ่งไม่มีเนื้อที่ให้ทำเช่นนั้น แผงกั้นเสียงซึ่งออกแบบเป็นพิเศษ เช่นที่แห่งหนึ่งในลอนดอนตะวันออก ซึ่งทำจากกิ่งหลิวและต้นเอเวอร์กรีนที่นำมาถักสานกัน ก็ป้องกันผู้อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ทางหลวงไว้จากเสียงรบกวนอันไม่พึงปรารถนา.
การกลบเสียงน่ารำคาญด้วยสิ่งที่เรียกกันว่า เสียงขาว—เช่น เสียงที่เกิดจากไฟฟ้าสถิตหรือเสียงลมที่พุ่งแรง—อาจเป็นประโยชน์ในสถานที่บางแห่ง เช่น ตามสำนักงาน.b ในญี่ปุ่น เปียโนเก็บเสียงออกวางตลาดแล้ว. แทนที่ค้อนจะเคาะสายลวด ค้อนจะไปกระตุ้นวงจรอิเล็กทรอนิกให้เกิดเป็นเสียงดนตรีที่หูฟังของผู้เล่น.
พวกนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลายาวนานในการวิจัยการสร้างสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่า ตัวต้านเสียงรบกวน. โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งนี้หมายถึงการใช้เสียงจากอีกแหล่งหนึ่งเพื่อก่อเกิดความสั่นสะเทือนซึ่งจะไปลบล้างฤทธิ์ของเสียงรบกวน. แน่ละ สิ่งนี้ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษและค่าใช้จ่ายเพิ่ม และจริง ๆ แล้วไม่ได้ขจัดต้นตอของปัญหา. วารสารยู.เอส.นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต ให้ข้อสังเกตว่า “กว่าผู้คนจะเริ่มมองเสียงรบกวนว่าเป็นขยะทางเสียง วิธีต้านเสียงรบกวนอาจเป็นทางเดียวที่จะได้ความเงียบมาชั่วขณะเท่านั้น.” อาจมีทางเป็นเช่นว่าก็ได้ แต่ความเงียบเป็นวิธีแก้มลพิษทางเสียงไหม?
จริง ๆ แล้ว มีความหวังใด ๆ ไหมเกี่ยวด้วยสันติสุขและความสงบเงียบในบ้านของคุณเองและละแวกบ้านข้าง ๆ? บทความถัดไปจะให้ความหวังแท้แก่เรา.
[เชิงอรรถ]
a ระดับความดังของเสียง ตามปกติจะทราบได้โดยใช้มิเตอร์วัดเสียงซึ่งมีหน่วยเป็นเดซิเบล. เนื่องจากหูได้ยินเสียงในบางความถี่มากกว่าความถี่อื่น มิเตอร์วัดเสียงจึงถูกออกแบบมาให้ตอบสนองคล้ายกัน.
b เช่นเดียวกับแสงขาวซึ่งเป็นการผสมของทุกความถี่ในสเปกตรัมแสง เสียงขาวก็คือเสียงที่ประกอบด้วยทุกความถี่ในพิสัยที่สามารถยินเสียงได้ ณ ระดับความดังเท่ากันโดยประมาณ.
[กรอบหน้า 6]
วิธีที่คุณสามารถหลีกเลี่ยงการเป็นเพื่อนบ้านที่ก่อเสียงรบกวน
• คิดคำนึงถึงเพื่อนบ้านเมื่อคุณทำอะไร ๆ ที่ก่อเสียงรบกวน และแจ้งให้เขาทราบล่วงหน้า.
• ให้ความร่วมมือเมื่อเพื่อนบ้านขอให้ลดเสียงรบกวน.
• จงตระหนักว่า ความเพลิดเพลินของคุณไม่ควรเป็นเหตุให้เพื่อนบ้านเดือดร้อน.
• จำไว้ว่า เสียงรบกวนและความสั่นสะเทือนเล็ดลอดผ่านผนังและพื้นได้อย่างง่ายดาย.
• เครื่องใช้ต่าง ๆ ในบ้านที่ก่อเสียงรบกวนให้วางบนแผ่นรอง.
• ทำให้แน่ใจว่ามีคนที่สามารถเรียกมาจัดการกับเสียงสัญญาณเตือนภัยจากบ้านและรถยนต์ที่ดังโดยไม่มีสาเหตุ.
• ยามดึกดื่น อย่าทำงานที่ก่อเสียงรบกวน หรือใช้อุปกรณ์ที่ก่อเสียงดัง.
• อย่าเล่นดนตรีดังจนก่อความรำคาญให้กับเพื่อนบ้านของคุณ.
• อย่าทิ้งสุนัขไว้ตามลำพังเป็นเวลานาน.
• อย่าปล่อยให้เด็ก ๆ กระโดดบนพื้นห้อง เพราะนั่นเป็นการรบกวนผู้อาศัยอยู่ชั้นล่าง.
• อย่ากดแตรรถ, ปิดประตูรถดังโครมคราม, หรือเร่งเครื่องยนต์ตอนกลางคืน.
[กรอบ/รูปภาพหน้า 7]
เสียงรบกวนและคุณ
หนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ให้ข้อสังเกตว่า “ปัจจุบัน เสียงรบกวนเป็นภัยทางอุตสาหกรรมที่แพร่ระบาดมากที่สุดในบริเตน และอาการหูตึงเป็นผลสืบเนื่องที่พบเห็นทั่วไป.” การศึกษาวิจัยบางรายด้านสุขภาพที่เกี่ยวพันกับอาชีพชี้ให้เห็นว่า เสียงที่ดังเกิน 85 เดซิเบลขึ้นไปอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้. การได้ยินของทารกจะได้รับความเสียหาย และทารกอาจมีความผิดปกติทางฮอร์โมน แถมยังอาจเกิดมาไม่สมประกอบอีกด้วย.
การฟังเสียงที่ดังหนวกหูทำให้หลอดเลือดหดตัว และปริมาณเลือดที่ไหลสู่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายคุณจะลดน้อยลง. แล้วร่างกายของคุณก็จะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองโดยผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และอัตราการเต้นของหัวใจคุณก็จะเพิ่มขึ้น บางครั้ง ทำให้หัวใจเต้นระรัวหรือกระทั่งเกิดอาการแองไจนา.
เมื่อเสียงรบกวนขัดจังหวะกิจวัตรของคุณ ปัญหาอื่น ๆ อาจเกิดขึ้นได้. การนอนที่ถูกรบกวนอาจก่อผลกระทบต่อปฏิกิริยาของคุณตอนกลางวัน. เสียงรบกวนอาจจะไม่เปลี่ยนความเร็วโดยรวมในการทำงานของคุณ แต่อาจจะส่งผลต่อจำนวนครั้งที่คุณทำผิดพลาด.
[กรอบ/รูปภาพหน้า 9]
การป้องกันเสียงรบกวน ณ ที่ทำงาน
ถ้าคุณรู้สึกว่าเสียงรบกวน ณ ที่ทำงานเป็นปัญหา ลองนึกถึงการใส่อุปกรณ์บางชนิดเพื่อป้องกันหู.* นวมหูที่ครอบศีรษะของคุณพอดีคล้าย ๆ หูฟัง โดยทั่วไปแล้วใช้ได้ผลในที่ที่เสียงรบกวนมีระดับสูง. อุปกรณ์เหล่านี้มีข้อดีตรงที่คุณยังสามารถได้ยินเสียงพูดและเสียงสัญญาณเตือนของเครื่องจักร แม้ว่าจะทำให้คุณยากแก่การระบุทิศทางที่มาของเสียงนั้น. ตัวอุดหูจะต้องมีขนาดพอดี และคงจะไม่เหมาะถ้าคุณเป็นโรคเกี่ยวกับหู หรือมีอาการระคายเคืองในช่องหู.
การบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างดีสามารถลดความสั่นสะเทือนได้. การวางเครื่องใช้ต่าง ๆ บนฐานรองที่เป็นยางจะช่วยลดมลพิษทางเสียง และการทำฉากกั้นเครื่องจักรที่มีเสียงดังก็ช่วยเช่นกัน.
* กฎหมายในหลายประเทศเรียกร้องให้นายจ้างดูแลให้พนักงานของตนสวมเครื่องป้องกันโสตประสาทอย่างเหมาะสม.
[รูปภาพหน้า 8]
คุณจะป้องกันตัวเองได้อย่างไรจากเสียงรบกวนจากสังคมที่ใช้ยวดยาน?