การเพ่งดูโลก
มลพิษและโรคมะเร็งในเด็ก
หลังจากวิเคราะห์การศึกษาวิจัยที่ทำอยู่นาน 27 ปีกับเด็ก 22,400 คนในบริเตน ทีมนักวิทยาโรคระบาดพบว่า เด็กซึ่งเกิดในระยะ 5 กิโลเมตรห่างจากแหล่งมลพิษมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคเม็ดโลหิตขาวมากผิดปกติและโรคมะเร็งชนิดอื่น ๆ ในเด็ก สูงกว่าเด็กในที่อื่น 20 เปอร์เซ็นต์. การได้รับสารก่อมลพิษทางอากาศเป็น “กลไกซึ่งเป็นไปได้มากที่สุด” อันเป็นสาเหตุที่ทำให้โรคมะเร็งในเด็กเพิ่มขึ้น หนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ในลอนดอนรายงาน. สารก่อมลพิษที่เป็นต้นเหตุดูเหมือนเกิดจากไอและควันน้ำมันเบนซินหรือสารเคมีอินทรีย์ระเหยที่พ่นกระจายจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงกลั่นน้ำมัน, โรงงานประกอบรถยนต์, สถานีผลิตพลังไฟฟ้าที่ไม่ใช้นิวเคลียร์, โรงงานถลุงเหล็ก และโรงงานปูนซีเมนต์. การศึกษาวิจัยนั้นรายงานด้วยว่า การเสียชีวิตเนื่องจากโรคมะเร็งมีมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่เกิดในระยะ 4 กิโลเมตรห่างจากถนนหนทางที่ยานยนต์วิ่งผ่านและทางรถไฟ. ผู้เขียนรายงานอ้างว่าน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลน่าจะเป็นต้นเหตุ.
ศาสนาในบราซิล
การสำรวจเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงว่า “ชาวบราซิลร้อยละ 99 เชื่อในพระเจ้า” จดหมายเหตุ อีเอ็นไอ บุลเลทินรายงาน. ตามการสำรวจประชาชนเกือบ 2,000 คน ร้อยละ 72 อ้างว่าตนเป็นคาทอลิก ร้อยละ 11 บอกว่าเป็นโปรเตสแตนต์ และร้อยละ 9 ไม่นับถือศาสนาใด ๆ โดยเฉพาะ. นอกนั้นติดตามศาสนาอื่น ๆ ของบราซิลและศาสนาของแอฟริกาที่ผสมผสานกับของบราซิล. อีเอ็นไอกล่าวว่า “เมื่อถามว่าพวกเขาเข้าโบสถ์หรือไปวัดในวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือไม่ ร้อยละ 57 บอกว่าไม่ได้ไป.” มีเพียงร้อยละ 44 เชื่อเรื่องการลงโทษชั่วกัปชั่วกัลป์. ถึงแม้ชาวบราซิลร้อยละ 69 เชื่อเรื่องสวรรค์ แต่มีเพียงร้อยละ 32 หวังจะไปที่นั่น.
ใครควบคุมรีโมตคอนโทรล?
ที่ประเทศอิตาลี เมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิจัยแห่งสถาบันศึกษาวิจัยด้านสังคม, การเมือง, และเศรษฐกิจ (EURISPES) ได้จัดพิมพ์ผลการวิจัยลักษณะนิสัยการดูโทรทัศน์. มีการสัมภาษณ์ชาวอิตาลีเกือบ 2,000 ครอบครัว. นอกจากคำถามอื่น ๆ แล้วมีการถามพวกเขาว่า ใครในครอบครัวที่มักจะถือและกดรีโมตคอนโทรลของทีวี ซึ่งบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ได้ให้ฉายาว่า คทาอาญาสิทธิ์สมัยใหม่ในครอบครัว. ส่วนใหญ่บอกว่าบิดาเป็นผู้ควบคุม. บุตรมาเป็นอันดับรองฐานะผู้ตัดสินชี้ขาดเมื่อถึงคราวกดปุ่มเปลี่ยนช่อง. ส่วนมารดามาเป็นอันดับสุดท้ายในการช่วงชิงอำนาจควบคุมรีโมตคอนโทรลในครอบครัว.
เซ็กซ์ในหมู่วัยรุ่น
ตามข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์ไนจีเรียวีกเอนด์ คอนคอร์ดบอกว่า จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้พบ “เด็กวัยรุ่นชาวไนจีเรียอยู่ในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์มากที่สุดในโลก.” เด็กผู้ชายประมาณร้อยละ 68 และเด็กผู้หญิงร้อยละ 43 อายุระหว่าง 14 ถึง 19 ปียอมรับว่าเคยร่วมประเวณี “หลังจากย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้ไม่นาน.” ทั้งนี้ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์กันมากมาย. การศึกษาอีกแหล่งหนึ่งแสดงให้เห็นว่า “71 เปอร์เซ็นต์ของการตายทั้งสิ้นของผู้หญิงในประเทศไนจีเรียที่อายุต่ำกว่า 19 ปี เกิดจากโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้ง” หนังสือพิมพ์คอนคอร์ดรายงาน.
วิกฤตการณ์การล้างมือ
ไม่นานมานี้มีบทความหนึ่งในวารสารทางการแพทย์ภาษาฝรั่งเศสเลอ โกติเดียง ดู เมดีแซงได้เน้นถึงเรื่องแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงซึ่งดูเหมือนจะมีมากขึ้น นั่นคือการไม่ล้างมือก่อนกินอาหารหรือหลังจากเข้าห้องส้วม. ตามคำกล่าวของนายแพทย์เฟรเดริก ซัลด์มานน์ แค่การขาดสุขอนามัยส่วนตัวง่าย ๆ เช่นนี้ก่อความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยเนื่องจากอาหารปนเปื้อน และดูเหมือนว่าเป็นปัญหาที่ระบาดไปทั่ว. บทความนี้อ้างถึงการศึกษาวิจัยหนึ่งที่พบว่า ถ้วยถั่วลิสงในร้านเหล้าหลายแห่งที่อังกฤษมีรอยปัสสาวะจาก 12 คนไม่ซ้ำกัน. การศึกษาวิจัยในโรงเรียนอเมริกันแห่งหนึ่งพบว่า การล้างมือเป็นประจำโดยมีครูที่คอยใส่ใจดูแลทำให้เด็กที่ขาดเรียนเพราะสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับระบบย่อยอาหารนั้นลดลงถึงร้อยละ 51 และคนเหล่านั้นที่ขาดเรียนเพราะมีปัญหาด้านระบบหายใจลดลงถึงร้อยละ 23. บทความนี้ลงท้ายด้วยการเน้นความสำคัญของการสอนหลักพื้นฐานด้านสุขอนามัยแก่เด็กตั้งแต่ยังเป็นทารก.
การเติบโตของเศรษฐกิจและความยากจน
แม้เศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตขึ้นร้อยละ 40 ระหว่างปี 1975 ถึงปี 1985 แต่ “จำนวนคนยากจนทั่วโลกก็เพิ่มขึ้นถึง 17%” เอชซีเอชอาร์ นิวส์จดหมายเหตุสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนให้ข้อสังเกต. ทุกวันนี้ ประชาชนใน 89 ประเทศอยู่ในสภาพย่ำแย่ทางด้านเศรษฐกิจยิ่งกว่าที่พวกเขาเคยประสบเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว. ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา 70 ประเทศ ระดับรายได้ต่ำกว่าเมื่อ 20 ปีและในบางแห่งต่ำกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วเสียด้วยซ้ำ. เอชซีเอชอาร์ นิวส์ กล่าวลงท้ายว่า ความเติบโตทางเศรษฐกิจได้อำนวยประโยชน์แก่ “ประเทศต่าง ๆ เป็นส่วนน้อย” เท่านั้น.
สิ่งปลูกสร้างในอิตาลีไม่ปลอดภัย
ในช่วงศตวรรษที่แล้ว แผ่นดินไหวได้คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 120,000 คนในอิตาลี. กระนั้น ชาวอิตาลีราว ๆ 25 ล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่ง “64 เปอร์เซ็นต์ของอาคารต่าง ๆ ไม่ปลอดภัยเมื่อเกิดแผ่นดินไหว” หนังสือพิมพ์โคร์รีเอเร เดลลา เซรารายงาน. ในบรรดาสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ปลอดภัยได้แก่ โรงพยาบาล, สถานีดับเพลิง, และอาคารอื่น ๆ ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์ฉุกเฉินหากเกิดภัยพิบัติขึ้น. ในอิตาลี เฉลี่ยแล้วทุกปีต้องจ่ายเงิน 7 ล้านล้านลีร์ (สี่พันล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อซ่อมแซมความเสียหายอันเนื่องมาจากมหันตภัยทางธรณีและด้านอุตสาหกรรม. ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งชี้แจงว่า “บ่อยครั้งหลังจากเกิดภัยพิบัติร้ายแรง . . . เงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นถูกนำไปสร้าง [อาคาร] ขึ้นใหม่อย่างไม่ถูกแบบเหมือนเดิมและสร้างขึ้นบนพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงสูงเหมือนเดิม.”
เลือดและการติดเชื้อเอชไอวี
ในจำนวนเกือบ 22 ล้านคนทั่วโลกที่ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ มากกว่าร้อยละ 90 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา. “การติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ๆ ในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีสาเหตุมาจากการถ่ายเลือดนั้นมีถึง 10 เปอร์เซ็นต์” พานอส องค์การฐานข้อมูลในลอนดอนรายงาน. ในหลายประเทศ เลือดที่จัดหามาได้นั้นไม่ปลอดภัย เนื่องจากการตรวจเชื้อเอชไอวีในห้องปฏิบัติการยังเชื่อถือไม่ได้เต็มที่. ยกตัวอย่าง ในปากีสถาน ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของธนาคารเลือดทั้งหมด มีเครื่องมือตรวจหาเชื้อเอชไอวี. ผลก็คือ ร้อยละ 12 ของรายใหม่ ๆ ทั้งหมดที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นมีสาเหตุมาจากการถ่ายเลือด. ตั้งแต่มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับผู้เป็นโรคเอดส์รายแรก ๆ มานานกว่าสิบห้าปีแล้ว ทั่วโลกมีเกือบ 30 ล้านคนได้รับเชื้อเอชไอวี ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์.
การกลัวพระเจ้าจนเกินควร
จากการศึกษาวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการสัมภาษณ์เด็กบราซิลซึ่งทนทุกข์เนื่องจากเครียด. จากรายงานข่าวของอีเอ็นไอ บุลเลทินพบว่า เด็ก ๆ ในอัตราสูงรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นทุกข์เกี่ยวเนื่องกับการกลัวพระเจ้าจนเกินควร. ขณะที่ร้อยละ 25 ของเด็กเหล่านี้ประสบความเครียดเนื่องจากปัญหาครอบครัวหรือการตายของญาติ แต่มีร้อยละ 75 แสดงอาการกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ เนื่องจากพวกเขามองพระเจ้าว่าเป็นผู้ซึ่งมุ่งแก้แค้นเป็นการลงโทษ. การวิจัยนั้น “ได้กระตุ้นเตือนบิดามารดาให้สั่งสอนบุตรของตนว่าพระเจ้าจะโปรดช่วยพวกเขาและทรงเข้าใจพวกเขา” อีเอ็นไอรายงาน.
การสื่อความของช้าง
ช้างมีสายเสียงใหญ่มากจนความถี่มูลฐานของเสียงที่ช้างก่อขึ้นนั้นวัดได้ 20 ไซเกิลต่อวินาทีหรือน้อยกว่า ซึ่งต่ำกว่าระดับการได้ยินของมนุษย์. เสียงต่ำเช่นนั้นเดินทางไปได้ไกลและช้างด้วยกันรับรู้เสียงได้จากระยะห่างไกลกันถึง 1.5 กิโลเมตร. พวกช้างยังสามารถระบุเสียงเรียกแตกต่างกันได้ถึง 150 อย่าง โดยตอบรับต่อสัญญาณของสมาชิกครอบครัวและช้างอื่นที่เข้ามาร่วมโขลง. ตามปกติช้างไม่สนใจรับรู้หรือไม่ก็แสดงอาการหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงช้างต่างโขลงที่มันไม่รู้จัก. ภายหลังการศึกษาวิจัยใน วนอุทยานแห่งชาติอัมโบเซลิ ประเทศเคนยา ดร. คาเรน แมกโคมบ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมของสัตว์ จากมหาวิทยาลัยซัสเซกซ์แห่งบริเตนได้ชี้แจงว่า “เครือข่ายที่กว้างใหญ่ในการใช้เสียงสื่อความเช่นนั้นยังไม่เคยปรากฏในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกอื่น.” หนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ในลอนดอนรายงาน.