คริสเตียนและวรรณะ
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในอินเดีย
คุณคิดถึงอะไรเมื่อได้ยินคำว่า “ระบบวรรณะ”? อาจเป็นได้ว่าคุณคิดถึงประเทศอินเดียและหลายล้านคนที่ไม่มีวรรณะ—คนนอกวรรณะ. แม้ว่าระบบวรรณะเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาฮินดู นักปฏิรูปชาวฮินดูได้ต่อสู้เพื่อขจัดผลกระทบที่ระบบนี้มีต่อคนในวรรณะต่ำและคนนอกวรรณะ. เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงนี้แล้ว คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าคุณได้ยินว่ามีการถือวรรณะกระทั่งในคริสตจักรต่าง ๆ ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน?
จุดซึ่งอาจเป็นต้นกำเนิดของระบบวรรณะ
การแบ่งผู้คนออกเป็นชั้นต่าง ๆ ทางสังคมซึ่งทำให้บางคนรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าไม่ได้มีเฉพาะในอินเดีย. ทุกทวีปมีการถือชั้นชนไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง. สิ่งที่ทำให้ระบบวรรณะของอินเดียต่างออกไปคือข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อกว่า 3,000 ปีมาแล้ว กระบวนการกดขี่ทางสังคมได้ผนึกรวมเข้ากับศาสนา.
แม้ว่าจุดกำเนิดของระบบวรรณะไม่เป็นที่ทราบกันอย่างแน่นอน แหล่งอ้างอิงบางแหล่งชี้ว่า ระบบนี้มีต้นตอมาจากอารยธรรมโบราณแห่งที่ราบลุ่มสินธุในประเทศปากีสถานปัจจุบัน. หลักฐานทางโบราณคดีดูเหมือนจะระบุว่าในเวลาต่อมาประชากรที่อยู่ที่นั่นในยุคแรกสุดถูกเผ่าที่มาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือพิชิตในการรุกรานซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า “การอพยพของชาวอารยัน.” ในหนังสือ การค้นพบอินเดีย (ภาษาอังกฤษ) จาวาฮาร์ลัล เนห์รู ผู้เขียนหนังสือนี้ เรียกการอพยพดังกล่าวว่า “การหลอมรวมทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ครั้งแรก” ซึ่งก่อให้เกิด “ชนชาติอินเดียเชื้อสายต่าง ๆ และวัฒนธรรมพื้นฐานของอินเดีย.” อย่างไรก็ตาม การผสมผสานเช่นนี้ไม่ได้ยังผลเป็นความเสมอภาคทางเชื้อชาติ.
สารานุกรม เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวดังนี้: “ชาวฮินดูอธิบายว่า การเพิ่มทวีของวรรณะ (ชาตะ ความหมายตามตัวคือ ‘กำเนิด’) เป็นเพราะการแบ่งย่อยของสี่ชั้นชนหรือวรรณะ ซึ่งเกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะ (อันเป็นข้อห้ามในหลักธรรมของฮินดู). อย่างไรก็ตาม นักทฤษฎีสมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะสันนิษฐานว่า วรรณะเกิดจากข้อแตกต่างเรื่องกิจปฏิบัติทางพิธีกรรมในครอบครัว, ข้อแตกต่างทางเชื้อชาติ, รวมถึงความแตกต่างและความชำนัญพิเศษด้านอาชีพด้วย. ผู้คงแก่เรียนสมัยปัจจุบันหลายคนยังสงสัยด้วยว่าระบบวรรณะที่เรียบง่ายนี้เป็นเพียงอุดมคติตามทฤษฎีทางสังคม-ศาสนาหรือไม่ และพวกเขาเน้นว่าการแบ่งที่ซับซ้อนอย่างยิ่งของสังคมฮินดูออกเป็นเกือบ 3,000 วรรณะรวมทั้งวรรณะย่อย อาจมีที่ทางของมันอยู่แล้วด้วยซ้ำในสมัยโบราณ.”
มีอยู่ช่วงหนึ่ง เกิดการแต่งงานข้ามวรรณะ และอคติแต่เดิมอันเนื่องมาจากสีผิวจึงเบาบางลงไป. กฎที่เข้มงวดซึ่งควบคุมวรรณะพัฒนาขึ้นมาโดยศาสนาในเวลาต่อมา โดยกล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวทและประมวลกฎหมาย (หรือหลักการขั้นมูลฐาน) ของมนู ปราชญ์ชาวฮินดู. พวกพราหมณ์สอนว่า คนในวรรณะสูงเกิดมาพร้อมกับความบริสุทธิ์ซึ่งแยกพวกเขาไว้ต่างหากจากวรรณะต่ำ. พวกเขาค่อย ๆ ปลูกฝังให้พวกศูทรหรือคนที่อยู่ในวรรณะต่ำสุดเชื่อว่างานในฐานะบ่าวไพร่ที่พวกศูทรทำนั้นเป็นการลงโทษที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดไว้สำหรับกรรมชั่วที่พวกเขาทำในชาติก่อน และการพยายามหักเครื่องกีดกั้นแห่งวรรณะจะทำให้พวกเขากลายเป็นคนนอกวรรณะ. การแต่งงานข้ามวรรณะ, การรับประทานอาหารร่วมกัน, การใช้แหล่งน้ำเดียวกัน, หรือการเข้าในโบสถ์เดียวกันกับพวกศูทรอาจทำให้คนในวรรณะสูงสูญเสียวรรณะของตน.
วรรณะในสมัยปัจจุบัน
หลังจากได้รับเอกราชในปี 1947 รัฐบาลอินเดียกำหนดให้มีรัฐธรรมนูญซึ่งระบุว่าการแบ่งชั้นวรรณะเป็นความผิดทางอาญา. เนื่องจากตระหนักถึงฐานะที่เสียเปรียบตลอดหลายศตวรรษของชาวฮินดูในวรรณะต่ำ รัฐบาลจึงออกกฎหมายสงวนตำแหน่งในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและตำแหน่งในสถาบันการศึกษาไว้สำหรับเผ่าชนและพวกวรรณะในโครงการ.a คำที่ใช้เรียกชาวฮินดูกลุ่มนี้คือ “ทริทร” ซึ่งมีความหมายว่า “ถูกกดขี่เหยียบย่ำ.” แต่พาดหัว ข่าว หนังสือพิมพ์ เมื่อ เร็ว ๆ นี้บอกว่า “คริสเตียนที่เป็นทริทรเรียกร้องการสงวนสิทธิ์ [สำหรับงานและโควตาของมหาวิทยาลัย].” เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไร?
ผลประโยชน์มากมายที่รัฐบาลให้แก่ชาวฮินดูที่อยู่ในวรรณะต่ำนั้นอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขาประสบความอยุติธรรมอันเนื่องมาจากระบบวรรณะ. ดังนั้น จึงมีการชักเหตุผลว่า ศาสนาที่ไม่ได้ถือระบบวรรณะไม่อาจคาดหมายว่าจะได้รับประโยชน์ดังกล่าว. อย่างไรก็ตาม คริสเตียนที่เป็นทริทรกล่าวว่า เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้เปลี่ยนศาสนาซึ่งอยู่ในวรรณะต่ำ หรือจัณฑาล พวกเขาก็ประสบการเหยียดหยามด้วย ไม่เฉพาะจากชาวฮินดูเท่านั้น แต่จาก ‘เพื่อนคริสเตียน’ ของพวกเขาด้วย. เรื่องนี้เป็นความจริงไหม?
มิชชันนารีแห่งคริสต์ศาสนจักรและวรรณะ
ชาวฮินดูหลายคนถูกชักจูงให้เปลี่ยนศาสนาโดยมิชชันนารีของทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ซึ่งเป็นชาวโปรตุเกส, ชาวฝรั่งเศส, และชาวบริเตน ในสมัยล่าอาณานิคม. ประชาชนจากทุกวรรณะได้เข้ามาเป็นคริสเตียนในนาม โดยที่นักเทศน์บางคนสามารถดึงดูดใจคนในวรรณะพราหมณ์ ส่วนคนอื่นก็สามารถดึงดูดคนที่เป็นจัณฑาล. คำสอนและการประพฤติของพวกมิชชันนารีส่งผลเช่นไรต่อความเชื่อฝังหัวในเรื่องวรรณะ?
เมื่อกล่าวถึงชาวบริเตนในอินเดีย นักประพันธ์ชื่อ นิรัต เชาธุรี กล่าวว่า ในโบสถ์ต่าง ๆ “ประชาคมชาวอินเดียไม่อาจนั่งร่วมกับชาวยุโรป. ศาสนาคริสเตียนไม่ได้ปิดซ่อนความสำนึกในเรื่องความเหนือกว่าด้านเชื้อชาติซึ่งเป็นฐานของการปกครองของบริเตนในอินเดีย.” โดยแสดงเจตคติคล้าย ๆ กัน ในปี 1894 มิชชันนารีคนหนึ่งรายงานถึงคณะกรรมการมิชชันนารีต่างแดนของสหรัฐว่า การเปลี่ยนคนในวรรณะต่ำให้มาเข้ารีตเป็น “การโกยขยะเข้าสู่คริสตจักร.”
เห็นได้ชัดทีเดียว ความรู้สึกถึงความเหนือกว่าด้านเชื้อชาติในส่วนของมิชชันนารียุคแรกและการหลอมรวมแนวคิดแบบพราหมณ์เข้ากับคำสอนของคริสตจักรเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้มีการใช้ระบบวรรณะอย่างเปิดเผยโดยคนจำนวนมากที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนในอินเดีย.
วรรณะในคริสตจักรปัจจุบัน
ขณะกล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมบิชอปคาทอลิกแห่งอินเดียในปี 1991 จอร์จ เซอร์ อาร์ชบิชอปของคาทอลิกได้กล่าวดังนี้: “ผู้เปลี่ยนมาเข้ารีตที่เป็นพวกวรรณะในโครงการถูกปฏิบัติในฐานะเป็นวรรณะชั้นต่ำไม่เฉพาะแต่โดยชาวฮินดูในวรรณะสูงเท่านั้น แต่โดยคริสเตียนในวรรณะสูงด้วย. . . . มีการจัดที่แยกต่างหากให้พวกเขาในโบสถ์ต่าง ๆ ของท้องถิ่นรวมทั้งที่ฝังศพด้วย. มีการแสดงความไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานข้ามวรรณะ . . . ลัทธิถือวรรณะมีอยู่แพร่หลายในหมู่นักบวช.”
บิชอปเอ็ม. อซาไรอาห์ แห่งคริสตจักรอินเดียใต้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรยูไนเต็ด โปรเตสแตนต์ กล่าวในหนังสือของเขาที่ชื่อ ด้านที่ไม่เป็นคริสเตียนของคริสตจักรอินเดีย (ภาษาอังกฤษ) ดังนี้: “คริสเตียนที่เป็นพวกวรรณะในโครงการ (ทริทร) จึงถูกเหยียดหยามและกดขี่โดยเพื่อนคริสเตียนด้วยกันภายในคริสตจักรต่าง ๆ โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เพียงแต่บังเอิญเกิดมาในวรรณะต่ำ แม้แต่ในกรณีที่เขาเป็นคริสเตียนในชั่วอายุที่ 2, ที่ 3, หรือที่ 4 แล้ว. คริสเตียนในวรรณะสูงซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในคริสตจักรมีอคติในเรื่องวรรณะแม้เวลาจะผ่านไปหลายชั่วอายุคน โดยไม่ได้รับผลกระทบเลยจากความเชื่อและกิจปฏิบัติของคริสเตียน.”
การสืบสาวของรัฐบาลเพื่อไปให้ถึงปัญหาของกลุ่มชนที่ล้าหลังในอินเดีย ซึ่งรู้จักกันในนามคณะกรรมาธิการมันดัล พบว่าคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนในรัฐเคราลาถูกแบ่งออก “เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายโดยอาศัยภูมิหลังทางวรรณะของพวกเขา. . . . แม้แต่หลังจากเปลี่ยนศาสนาแล้ว ผู้เปลี่ยนศาสนาที่อยู่ในวรรณะต่ำก็ยังคงถูกปฏิบัติในฐานะ หริจันb . . . สมาชิกชาวซีเรียและปูลายาที่สังกัดโบสถ์เดียวกันประกอบกิจทางศาสนาแยกต่างหากกันในอาคารคนละหลัง.”
รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ดิ อินเดียน เอกซ์เพรส ในเดือนสิงหาคม 1996 กล่าวถึงคริสเตียนที่เป็นทริทรดังนี้: “ในรัฐทมิฬนาทุ พวกเขามีถิ่นที่อยู่แยกต่างหากจากคนในวรรณะสูง. ในรัฐเคราลา พวกเขาส่วนใหญ่เป็นกรรมกรซึ่งไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง และทำงานให้คริสเตียนชาวซีเรียและคนอื่น ๆ ในวรรณะสูงซึ่งมีที่ดิน. ไม่มีทางที่จะมีการรับประทานอาหารร่วมกันหรือการแต่งงานกันระหว่างคริสเตียนที่เป็นทริทรกับคริสเตียนชาวซีเรีย. ในหลายกรณี พวกทริทรนมัสการในโบสถ์ของพวกเขาเอง ซึ่งเรียกว่า ‘โบสถ์ปูลายา’ หรือ ‘โบสถ์ปาริยา.’” ชื่อดังกล่าวเป็นชื่อของวรรณะย่อย.
การตอบสนองต่อความไม่พอใจ
มีกลุ่มนักปฏิบัติการเชิงรุกที่เป็นบุคคลธรรมดาอยู่หลายกลุ่ม อย่างเช่นกลุ่ม เฟซ (สภาต่อต้านการแสวงประโยชน์จากคริสเตียน) กำลังพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลจัดสวัสดิการแก่ทริทรที่เป็นคริสเตียน. เรื่องหลักที่สนใจคือความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจสำหรับผู้เปลี่ยนมาถือศาสนาคริสเตียน. อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ สนใจในเรื่องการปฏิบัติในคริสตจักร. ในจดหมายฉบับหนึ่งถึงโปปจอห์น ปอลที่ 2 ผู้ร่วมลงนามประมาณ 120 คนแจ้งว่า พวกเขาได้ “รับเชื่อศาสนาคริสเตียนก็เพื่อปลดแอกจากระบบวรรณะ” แต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าในโบสถ์ประจำหมู่บ้านหรือร่วมในการนมัสการ. พวกเขาถูกบังคับให้สร้างบ้านอยู่บนถนนสายเดียวซึ่งไม่มีคริสเตียนในวรรณะสูง—และไม่มีบาทหลวงในเขตปกครอง—ย่างกรายไปที่นั่นเลย! หญิงชาวคาทอลิกผู้เป็นทุกข์ใจคล้าย ๆ กันกล่าวดังนี้: “แน่ละ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันที่ลูกชายจะได้ศึกษาในสถานศึกษาดี ๆ. แต่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ การที่เขาได้รับการยอมรับว่าเท่าเทียมกันจากเพื่อนร่วมความเชื่อ [คาทอลิก] ของเขา.”
ขณะที่บางคนพยายามยกระดับสภาพชีวิตของคริสเตียนที่เป็นทริทร หลายคนเริ่มหมดความอดทน. พรรคการเมืองอย่างเช่น พรรควิศวะฮินดูปาริชาต (องค์การฮินดูโลก) กำลังพยายามดึงคนที่เปลี่ยนไปถือศาสนาคริสเตียนให้กลับมายังศาสนาฮินดู. หนังสือพิมพ์ ดิ อินเดียน เอกซ์เพรส รายงานถึงพิธีหนึ่งซึ่งมีผู้เข้าร่วมประมาณ 10,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีมากกว่า 600 คนเป็นครอบครัว “คริสเตียน” ที่คืนสู่อ้อมอกของลัทธิฮินดู.
แนวทางคริสเตียนแท้
หากมิชชันนารีขององค์การศาสนาแห่งคริสตจักรทั้งหลายสอนคำสอนของพระคริสต์ซึ่งอยู่บนฐานของความรัก ย่อมจะไม่มี “คริสเตียนที่เป็นพราหมณ์,” ไม่มี “คริสเตียนที่เป็นทริทร,” ไม่มี “คริสเตียนที่เป็นปาริยา.” (มัดธาย 22:37-40) จะไม่มีการแยกโบสถ์เฉพาะสำหรับพวกทริทรและไม่มีการแยกกันรับประทานอาหาร. คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลที่ทำให้เป็นอิสระซึ่งอยู่เหนือการแบ่งชั้นวรรณะคืออะไร?
“ด้วยพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, เป็นพระเจ้าเหนือพระอื่นทั้งปวง, . . . ผู้มิได้เห็นแก่บุคคลผู้ใด, และมิได้เห็นแก่อามิษสินบน.”—พระบัญญัติ 10:17.
“พี่น้องทั้งหลาย โดยพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ข้าพเจ้ากระตุ้นเตือนท่านทั้งหลาย คือพวกท่านทุกคนควรพูดจาปรองดองกัน และไม่ควรมีการแบ่งแยกกันในท่ามกลางท่าน แต่ให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวโดยมีจิตใจและแนวความคิดเดียวกัน.”—1 โกรินโธ 1:10, ล.ม.
“โดยเหตุนี้คนทั้งปวงจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา ถ้าเจ้ามีความรักระหว่างพวกเจ้าเอง.”—โยฮัน 13:35, ล.ม.
คัมภีร์ไบเบิลสอนว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษยชาติทั้งสิ้นจากคน ๆ เดียว. คัมภีร์ไบเบิลยังบอกด้วยว่า ลูกหลานของชายคนเดียวนั้นควร ‘แสวงหาพระเจ้าให้พบ มาตรว่าพระองค์มิได้ทรงอยู่ห่างไกลจากพวกเราแต่ละคน.’—กิจการ 17:26, 27, ล.ม.
เมื่อการแบ่งชั้นวรรณะเริ่มแทรกซึมเข้ามาในประชาคมคริสเตียนในยุคแรก ผู้เขียนพระธรรมยาโกโบซึ่งเขียนภายใต้การดลใจ กล่าวตำหนิพฤติกรรมดังกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม. ท่านกล่าวดังนี้: “ท่านก็แบ่งชั้นวรรณะในพวกท่าน และกลายเป็นผู้พิพากษาที่ตัดสินอย่างชั่วช้ามิใช่หรือ?” (ยาโกโบ 2:1-4, ล.ม.) คำสอนของคริสเตียนแท้ไม่ยอมให้กับระบบวรรณะไม่ว่าในรูปใดก็ตาม.
ความจำเป็นที่ต้องคิดแบบโลกใหม่
พยานพระยะโฮวาหลายล้านคนได้เต็มใจเปลี่ยนความเชื่อและการกระทำแต่เก่าก่อนของตนซึ่งถูกปลูกฝังจากศาสนาต่าง ๆ มากมาย. คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลขจัดความรู้สึกในเรื่องความเหนือกว่าหรือด้อยกว่าออกจากหัวใจและความคิดจิตใจของพวกเขา ไม่ว่าความคิดเหล่านี้มีต้นตอมาจากการล่าอาณานิคม, เชื้อชาติ, การแยกผิว, หรือระบบวรรณะหรือไม่ก็ตาม. (โรม 12:1, 2) พวกเขามีความเข้าใจที่ชัดเจนในสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “แผ่นดินโลกใหม่” ที่ซึ่ง “ความชอบธรรมจะดำรงอยู่.” ช่างเป็นความหวังอันยอดเยี่ยมจริง ๆ สำหรับผู้คนมากมายในโลกที่ทนทุกข์อยู่ในเวลานี้!—2 เปโตร 3:13.
[เชิงอรรถ]
a “วรรณะในโครงการ” เป็นคำที่ทางการใช้สำหรับวรรณะต่ำในหมู่ชาวฮินดู หรือคนนอกวรรณะ (จัณฑาล) ซึ่งถูกกีดกันทางสังคมและเศรษฐกิจ.
b เอ็ม. เค. คานธี คิดคำนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เรียกคนในวรรณะต่ำ. คำนี้มีความหมายว่า “ประชาชนแห่งหริ” (หริคือชื่อหนึ่งของพระวิษณุ).
[จุดเด่น/รูปภาพหน้า 25]
“พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชนในประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติในทรงชอบธรรม ก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์.”—กิจการ 10:34, 35
[กรอบ/รูปภาพหน้า 23]
รู้สึกอย่างไรที่ถูกเหยียด?
ความรู้สึกจะเป็นอย่างไรเมื่อถูกคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนเหยียดว่าเป็นคนนอกวรรณะ? คริสเตียนคนหนึ่งซึ่งบรรพบุรุษเป็นชาวฮินดูที่เปลี่ยนมาถือศาสนาคริสต์ ซึ่งอยู่ในวรรณะต่ำที่เรียกว่า เชอร์มาร์ หรือ ปูลายา เล่าเหตุการณ์ในครั้งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในรัฐเคราลาอันเป็นบ้านเกิดของเขา เมื่อหลายปีมาแล้ว ดังนี้:
ผมได้รับเชิญไปยังงานสมรสซึ่งแขกหลายคนที่มาร่วมงานเป็นสมาชิกโบสถ์. เมื่อพวกเขาเห็นผมที่งานเลี้ยง ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมา และคนที่มาจากคริสตจักรออร์โทด็อกซ์ของชาวซีเรียบอกว่า พวกเขาจะไม่อยู่ร่วมงานเลี้ยงนอกเสียจากผมจะออกจากงานเลี้ยง เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมรับประทานอาหารร่วมกับคนในวรรณะปูลายา. เมื่อพ่อเจ้าสาวไม่ยอมทำตามคำขาดของพวกเขา พวกเขาทั้งกลุ่มก็พากันคว่ำบาตรงานเลี้ยงนั้น. หลังจากพวกเขาไปแล้ว ก็มีการเสิร์ฟอาหาร. แต่คนที่ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารปฏิเสธไม่ยอมเก็บใบตองรองอาหารที่ผมรับประทานและไม่ยอมทำความสะอาดโต๊ะผม.
[รูปภาพ]
โบสถ์ที่เห็นทั่วไปในอินเดียตอนใต้ ซึ่งเฉพาะคนในวรรณะต่ำเท่านั้นที่ประชุมกันที่นี่