พบการชูใจใน “หว่างเขาอันมัวมืด”
เล่าโดย บาร์บารา ชไวเซอร์
บางครั้ง เมื่อสิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่น ชีวิตฉันเป็นเหมือน ‘ทุ่งหญ้าเขียวสด’ ดูรื่นรมย์. แต่ฉันก็รู้มาแล้วด้วยว่าการผ่าน “ไปตามหว่างเขาอันมัวมืด” นั้นเป็นเช่นไร. อย่างไรก็ตาม ฉันเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาทรงเป็นผู้บำรุงเลี้ยงของเรา เราสามารถรับมือได้ ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม.—บทเพลงสรรเสริญ 23:1-4.
ปี1993 ตอนที่ฉันกับสามีต่างก็มีอายุเกือบ 70 ปี เราได้ตกลงกันว่าจะเริ่มผจญภัยครั้งใหม่ ซึ่งหมายถึงการรับใช้ในประเทศเอกวาดอร์ที่ซึ่งมีความต้องการมากด้านผู้สอน. ถึงแม้เป็นอเมริกันโดยกำเนิดแต่เราพูดภาษาสเปนได้และไม่มีพันธะผูกพันด้านการเงิน. เนื่องจากเรารู้ว่า ‘การจับคน’ ในเอกวาดอร์บังเกิดผลดี เราจึงวางแผนจะหย่อนอวนของเราลงในน่านน้ำอุดมสมบูรณ์นั้น.—มัดธาย 4:19.
หลังจากสองสามวันที่น่าตื่นเต้นระหว่างพักที่สำนักงานสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ในประเทศเอกวาดอร์ เราก็ได้ไปที่สถานีรถโดยสารประจำทางในเมืองกวายากีลด้วยความกระตือรือร้นอยากเดินทางไปเมืองมาชาลา—เมืองหนึ่งซึ่งมีความต้องการผู้เผยแพร่มากเป็นพิเศษ. อย่างไรก็ดี ระหว่างคอยรถ เฟรด สามีของฉันไม่สบายขึ้นมาอย่างกะทันหัน เราจึงตัดสินใจเลื่อนเวลาการเดินทาง. ฉันตรงไปที่ตู้โทรศัพท์เพื่อเตรียมการกลับไปที่สาขาขณะที่เฟรดนั่งเฝ้าสัมภาระของเรา. เมื่อฉันย้อนกลับมาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ปรากฏว่าสามีฉันไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว!
ฉันไม่ได้พบเห็นเฟรดอีกแล้ว. ณ สถานีรถโดยสารประจำทางนั้นแหละที่เขาเกิดอาการหัวใจวายอย่างรุนแรง แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ฉันไม่อยู่. ขณะที่ฉันลนลานตามหาเขา พนักงานของสถานีรถประจำทางได้เข้ามาหาฉันและบอกว่าเฟรดถูกนำส่งโรงพยาบาล. เมื่อฉันไปถึงโรงพยาบาล จึงรู้ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว.
ฉันรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวในประเทศที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีบ้านและขาดสามีที่จะพึ่งพาอาศัย. ฉันพูดคำว่า “พึ่งพาอาศัย” ก็เพราะตลอดเวลาเฟรดเป็นผู้นำและจัดการเรื่องทุกอย่างสำหรับเราสองคน. ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และฉันก็ยินดีที่เฟรดเป็นฝ่ายนำ. แต่ตอนนี้ฉันต้องทำการตัดสินใจ จัดการกับชีวิตของตัวเองและเวลาเดียวกันเอาชนะความโศกเศร้า. ฉันเกิดความรู้สึกสิ้นหวังอ้างว้าง—ราวกับว่าฉันกระโจนลงไปใน “หว่างเขาอันมัวมืด.” ฉันจะมีวันเรียนรู้เพื่อรับมือได้ด้วยตัวเองไหม?
การเรียนรู้ความจริง และจัดชีวิตของเราให้เรียบง่าย
ตอนที่เราพบกันครั้งแรกนั้นทั้งเฟรดกับฉันต่างก็เคยแต่งงานและหย่ามาแล้วด้วย. มิตรภาพที่ดีได้งอกงามกลายเป็นสัมพันธภาพอันใกล้ชิด และเราก็ตกลงแต่งงานกัน. เรามีชื่อเป็นสมาชิกโบสถ์ในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา. ทว่าศาสนาไม่ค่อยมีความสำคัญมากนักในชีวิตของเราจนกระทั่ง เจมี ไพโอเนียร์ (ผู้เผยแพร่เต็มเวลา) วัยสาวอุปนิสัยร่าเริงได้แวะมาเยี่ยมที่บ้านของเรา. เธอเป็นคนน่ารักจริง ๆ จนฉันต้องยอมรับข้อเสนอที่เธอจะนำศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับฉัน.
เนื่องจากเฟรดแสดงความสนใจเช่นกัน พ่อแม่ของเจมีจึงได้มานำการศึกษากับเรา และหนึ่งปีถัดมา คือปี 1968 เราสองคนก็รับบัพติสมา. ตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว เราปรารถนาจะถือเอาผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นอันดับแรกในชีวิตของเรา. (มัดธาย 6:33) แน่นอน ลอร์นและรูดี้ คนุสท์ สองสามีภรรยาซึ่งนำการศึกษากับเราได้วางตัวอย่างในเรื่องนี้. ไม่นานหลังจากเรารับบัพติสมาแล้ว เขาได้ย้ายไปยังเมืองหนึ่งทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐเพื่อรับใช้ในเขตที่มีความต้องการมากกว่า. นี่เป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์ไว้ในหัวใจของเรา.
มีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราคิดถึงการย้ายถิ่นที่อยู่. ตอนนั้นเฟรดเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง. งานของเขาทำให้ต้องหมกมุ่นเอามาก ๆ และเขาตระหนักว่าการย้ายไปที่ไหนสักแห่งคงช่วยเขาจัดชีวิตให้เรียบง่ายได้ ทั้งยังสามารถให้การเอาใจใส่ต่อความจริงและลูกสองคนของเราได้มากขึ้น. นอกจากนี้ ฉันมีลูกสาวที่เกิดจากการสมรสครั้งแรกซึ่งตอนนี้แต่งงานแล้ว และเธอกับสามีได้รับเอาความจริงเหมือนกัน ฉะนั้น การตัดสินใจของเราที่จะไปจากเมืองซีแอตเทิลก็ไม่ง่ายเสียทีเดียว. อย่างไรก็ดี ลูกเข้าใจเจตนารมณ์ของเราและสนับสนุนการตกลงใจของเรา.
ด้วยเหตุนี้ เราจึงย้ายไปที่สเปนในปี 1973 ซึ่งสมัยนั้นเป็นประเทศหนึ่งที่มีความต้องการผู้เผยแพร่ข่าวดีและพี่น้องชายที่จะเป็นผู้นำจำนวนมาก. เฟรดคำนวณดูว่าถ้าเราอยู่อย่างมัธยัสถ์ เงินออมของเราคงจะพอเป็นค่าใช้จ่ายในสเปน และเราสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการประกาศเผยแพร่. และนี่แหละเป็นสิ่งที่เราได้ทำ. จากนั้นไม่นาน เฟรดได้รับใช้ฐานะผู้ปกครอง และพอถึงปี 1983 เราสองคนก็เป็นไพโอเนียร์.
เรารับใช้ในสเปนนานถึง 20 ปี เราได้เรียนพูดภาษาและมีประสบการณ์ดี ๆ มากมาย. เฟรดกับฉันมักจะทำงานเผยแพร่ด้วยกันและนำการศึกษากับคู่สมรสหลายรายซึ่งเวลานี้หลายคู่เป็นพยานฯ ที่รับบัพติสมาแล้ว. หลังจากอยู่ในสเปนหลายปี ลูกคนเล็กสองคนของเราคือ ไฮดีและไมค์ ก็รับเอางานไพโอเนียร์เช่นกัน. แม้เรามีทรัพย์สินเงินทองไม่มาก แต่ช่วงเวลานั้นชีวิตฉันมีความสุขอย่างยิ่ง. ชีวิตของเราเรียบง่าย. เรามีเวลามากที่จะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว และเช่นเดียวกับเรื่องน้ำมันของหญิงม่ายในคัมภีร์ไบเบิล การทำงบประมาณการใช้จ่ายอย่างรอบคอบช่วยไม่ให้เงินออมของเราหมดไป.—1 กษัตริย์ 17:14-16.
การย้ายประเทศอีกครั้งหนึ่ง
พอถึงปี 1992 เราเริ่มคิดเรื่องการโยกย้ายอีกครั้งหนึ่ง. ลูกของเราโตกันหมดทุกคน และความต้องการในสเปนน้อยกว่าเมื่อก่อน. เรารู้จักมิชชันนารีคนหนึ่งซึ่งทำงานรับใช้ในประเทศเอกวาดอร์ เขาบอกเราถึงความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องไพโอเนียร์และผู้ปกครองในประเทศนั้น. เราอายุมากเกินไปหรือเปล่าที่คิดจะเริ่มต้นอีกในประเทศใหม่? เราไม่ได้คิดอย่างนั้น เนื่องจากเราทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรงและรักงานประกาศเผยแพร่. ดังนั้น เราจึงติดต่อไปยังสาขาประเทศเอกวาดอร์และเริ่มเตรียมแผนงานของเรา. ที่จริง ไฮดีลูกสาวพร้อมด้วยฮวน มานูเอล สามีของเธอซึ่งขณะนั้นทำงานรับใช้อยู่ทางเหนือของสเปนก็ใคร่จะสมทบกับเราเช่นกัน.
ท้ายที่สุด เดือนกุมภาพันธ์ 1993 เราจึงจัดแจงการงานทุกอย่างและได้มาถึงประเทศใหม่ของเรา. เราสองคนตื่นเต้นยินดีกับความคาดหวังในงานไพโอเนียร์ที่เอกวาดอร์ ซึ่งผู้คนมากมายกระตือรือร้นอยากศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. หลังจากได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่สำนักงานสาขาแล้ว เรามีแผนจะแวะเยี่ยมอีกหลายเมืองซึ่งได้รับการเสนอว่าเป็นเขตงานที่มีความต้องการมากเป็นพิเศษ. แต่แล้วสามีของฉันก็เสียชีวิต.
ใน “หว่างเขาอันมัวมืด”
ทีแรกฉันตกใจแทบสิ้นสติ แล้วก็เกิดความรู้สึกไม่เชื่อโดยเด็ดขาด. เฟรดแทบจะไม่เคยป่วยมาก่อน. ฉันควรจะทำอย่างไร? ฉันจะไปที่ไหน? ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย.
ระหว่างช่วงเลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันอิ่มใจที่ได้รับการเกื้อหนุนที่เปี่ยมด้วยความรักใคร่ของบรรดาพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่เคยรู้จักฉันด้วยซ้ำ. พี่น้องที่สำนักงานสาขาแสดงความกรุณามากและเอาใจใส่ช่วยเหลือทุกอย่าง รวมถึงการจัดแจงเรื่องฌาปนกิจ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันไม่เคยลืมความรักซึ่งบราเดอร์กับซิสเตอร์โบโนได้แสดงต่อฉัน. เขาคอยดูแลไม่ให้ฉันถูกละไว้ตามลำพัง และอีดิธ โบโนถึงกับมานอนที่ปลายเตียงอยู่เป็นเพื่อนฉันหลายคืน เพื่อฉันจะไม่รู้สึกเดียวดาย. อันที่จริง ทุกคนในครอบครัวเบเธลได้แสดงความรักและความเห็นอกเห็นใจมากราวกับว่าได้ห่อฉันไว้ในผ้าห่มแห่งความรักที่แสนอบอุ่นและคุ้มกันได้.
ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน ลูกทั้งสามคนของฉันก็มาอยู่พร้อมหน้า และการเกื้อหนุนของลูก ๆ นั้นสุดจะประเมินค่าได้. ถึงแม้มีคนมากมายที่เปี่ยมด้วยความรักห้อมล้อมฉันตอนกลางวัน กระนั้น การผ่านราตรีที่ยาวนานได้นั้นกลับยากยิ่งกว่า. ตอนนั้นแหละที่พระยะโฮวาทรงค้ำจุนฉัน. ไม่ว่ายามใดที่ฉันรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเหลือทน ฉันได้เข้าเฝ้าพระองค์ด้วยการอธิษฐาน และพระองค์ทรงชูใจฉัน.
หลังจากงานศพผ่านไปแล้ว มีปัญหาเกิดขึ้นว่าฉันจะทำอย่างไรกับชีวิตฉัน? ฉันต้องการอยู่ที่ประเทศเอกวาดอร์ เพราะเป็นการตัดสินใจร่วมกัน แต่ฉันรู้สึกว่าฉันไม่อาจทำได้เพียงลำพัง. ดังนั้น ไฮดีกับฮวน มานูเอล ซึ่งมีแผนจะย้ายมาที่เอกวาดอร์ในอนาคตอันใกล้อยู่แล้ว จึงเปลี่ยนแผนเพื่อพวกเขาจะสามารถมาได้เสียตอนนี้เลยและเราทุกคนจะรับใช้ด้วยกันได้.
ภายในหนึ่งเดือน เราหาบ้านได้ในเมืองโลฮา ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเมืองที่สาขาเสนอแนะ. ไม่ช้าฉันก็วุ่นกับการจัดข้าวของ เตรียมย้ายไปยังที่อยู่ใหม่และเริ่มงานเผยแพร่ในประเทศใหม่. กิจกรรมนี้ทั้งหมดช่วยบรรเทาความโศกเศร้าที่เกาะกุมฉันได้บ้าง. ยิ่งกว่านั้น ฉันยังร้องไห้ด้วยกันกับลูกสาวซึ่งสนิทกับเฟรดมาก และสิ่งนี้แหละช่วยผ่อนคลายความรู้สึกหลาย ๆ อย่างของฉัน.
อย่างไรก็ดี หลังจากสองเดือนผ่านไป เมื่อฉันจัดกิจวัตรใหม่ของฉันเข้าที่เข้าทางแล้ว การตระหนักถึงความสูญเสียอันร้ายกาจของฉันชัดเจนมากขึ้น. ฉันพบว่าฉันไม่อาจนึกถึงช่วงที่เฟรดกับฉันเคยมีความสุขร่วมกันเพราะมันรบกวนใจฉันเหลือเกิน. ฉันปิดกั้นตัวเองไม่ให้คิดถึงอดีตและมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่คิดอะไรมากเกี่ยวกับอนาคต. ทว่า แต่ละวันฉันพยายามเติมชีวิตด้วยบางสิ่งที่มีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยงานเผยแพร่. สิ่งนี้เองที่ทำให้ฉันดำเนินชีวิตต่อไปได้.
ฉันรักงานประกาศและการสอนคัมภีร์ไบเบิลเสมอมา และที่เอกวาดอร์ ผู้คนตอบรับดีมากงานนี้จึงน่าเพลิดเพลิน. ครั้งหนึ่งตอนแรก ๆ ที่ฉันออกไปเผยแพร่ตามบ้าน ฉันได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว พูดดังนี้: “ใช่ค่ะ ฉันอยากจะเรียนรู้เรื่องคัมภีร์ไบเบิล!” เธอเป็นคนแรกที่ฉันเริ่มนำการศึกษาพระคัมภีร์ในเอกวาดอร์. ประสบการณ์แบบนี้ดึงดูดความสนใจของฉันและป้องกันฉันไม่ให้คิดถึงความเศร้าโศกของตัวเองเกินไป. พระยะโฮวาทรงอวยพรการรับใช้ตามบ้านของฉันอย่างอุดม. ดูเหมือนว่าฉันได้ประสบการณ์ดี ๆ เกือบทุกครั้งที่ฉันออกไปเผยแพร่ข่าวดี.
ไม่ต้องสงสัย การคงอยู่ในงานรับใช้ฐานะไพโอเนียร์ทำให้มีความสุข. งานนี้ทำให้ฉันมีพันธะที่จะปฏิบัติให้สมชื่อ อีกทั้งช่วยให้ฉันได้ทำอะไรบางอย่างในเชิงสร้างสรรค์ทุกวัน. ภายในช่วงสั้น ๆ ฉันก็นำศึกษาพระคัมภีร์ถึงหกราย.
เพื่อยกตัวอย่างความอิ่มใจพอใจที่ฉันได้รับจากงานเผยแพร่ ขอให้ฉันเอ่ยถึงสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งไม่นานมานี้ได้แสดงออกถึงความหยั่งรู้ค่าอย่างแท้จริงต่อหลักคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อฉันชี้ให้เธอดูคัมภีร์ข้อหนึ่ง เธออยากเข้าใจคัมภีร์ข้อนั้นให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ครั้นแล้วเธอก็เต็มใจปฏิบัติตามคำแนะนำนั้น. แม้ในอดีตเธอเคยใช้ชีวิตอย่างผิดศีลธรรม แต่เมื่อไม่นานมานี้ชายผู้หนึ่งซึ่งอยากให้เธอมาอยู่กินด้วยกันได้ขอให้เธอมีเพศสัมพันธ์กับเขา เธอปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างเข้มแข็ง. เธอบอกฉันว่าเธอสุขใจเพียงใดที่ได้ยึดมั่นกับมาตรฐานของพระคัมภีร์ เพราะเวลานี้เธอมีความสงบสุขในใจซึ่งเธอไม่เคยรู้มาก่อน. นักศึกษาแบบนี้ทำให้ฉันมีความอบอุ่นใจและรู้สึกว่าตนเองเป็นคนมีประโยชน์.
การคงไว้ซึ่งความชื่นชมยินดีของฉัน
ขณะที่งานทำให้คนเป็นสาวกยังความยินดีมากมายแก่ฉันแต่ความเศร้าโศกของฉันใช่ว่าจะบรรเทาเบาบางอย่างรวดเร็ว. ในกรณีของฉัน ความเศร้าเป็นอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นเป็นพัก ๆ. ลูกสาวพร้อมด้วยลูกเขยต่างก็ได้เกื้อหนุนฉันเป็นอย่างดีเยี่ยม แต่บางครั้งเมื่อฉันเห็นลูกทั้งสองมีส่วนร่วมกันในวาระพิเศษ ฉันยิ่งรู้สึกรันทดมากขึ้นในความสูญเสียของตัวเอง. ฉันคิดถึงสามีของฉันมาก ๆ ไม่ใช่ด้วยเหตุที่เราสนิทสนมกันเท่านั้น แต่เนื่องจากฉันหมายพึ่งเขาเกือบทุกเรื่องด้วย. มีอยู่หลายครั้งเมื่อไม่สามารถคุยกับเขา, ขอคำแนะนำ, หรือมีส่วนได้เล่าประสบการณ์ในงานรับใช้ตามบ้านด้วยกันกับเขา นั่นทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจและเกิดความรู้สึกว่างเปล่า ซึ่งการจะรับมือนั้นไม่ง่ายนัก.
อะไรช่วยฉันในสถานการณ์เช่นนั้น? ฉันอธิษฐานต่อพระยะโฮวาจากใจจริงและขอพระองค์โปรดช่วยให้ฉันคิดนึกถึงสิ่งอื่น สิ่งซึ่งเป็นแง่บวก. (ฟิลิปปอย 4:6-8) และพระองค์ทรงช่วยฉันจริง. เวลาผ่านไปหลายปี ตอนนี้ฉันสามารถพูดคุยถึงช่วงที่ฉันกับเฟรดเคยมีความสุขด้วยกัน. ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่ากระบวนการเยียวยานั้นปรากฏผลอย่างช้า ๆ. ฉันรู้สึกเช่นเดียวกับดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ว่า ฉันได้เดิน “ในหว่างเขาอันมัวมืด.” แต่พระยะโฮวาทรงอยู่ที่นั่นเพื่อชูใจฉัน และบรรดาพี่น้องที่ซื่อสัตย์ได้กรุณานำทางฉันไปในทิศทางที่ถูกต้อง.
บทเรียนที่ฉันได้เรียนรู้
เนื่องจากมีเฟรดเป็นผู้นำตลอดเวลา ฉันไม่เคยคิดว่าฉันจะสามารถก้าวไปข้างหน้าและทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง. แต่ด้วยการช่วยเหลือจากพระยะโฮวา, จากครอบครัวของฉัน, และพวกพี่น้อง ฉันจึงสามารถทำได้. ในหลายด้าน ฉันเข้มแข็งกว่าเมื่อก่อน. ฉันหันเข้าหาพระยะโฮวาบ่อยกว่าแต่ก่อน และฉันเรียนรู้ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง.
ฉันยินดีมากที่เฟรดกับฉันอยู่ที่ประเทศสเปนในช่วงเวลา 20 ปี ทำงานรับใช้ด้วยกันในที่ซึ่งมีความต้องการมากกว่า. ในระบบนี้ เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันนี้หรือพรุ่งนี้ ดังนั้น ฉันคิดว่าสำคัญมากที่เราพึงทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อพระยะโฮวาและเพื่อครอบครัวของเราขณะยังมีโอกาสอยู่. ปีเหล่านั้นได้เพิ่มพูนคุณค่าของชีวิตและการสมรสของเรา และฉันเชื่อมั่นว่ากาลเวลานั้นได้เตรียมฉันไว้รับมือกับการสูญเสีย. เนื่องจากงานไพโอเนียร์ได้กลายเป็นวิถีชีวิตอยู่แล้วก่อนการตายของเฟรด งานนี้จึงช่วยให้ฉันรู้เป้าหมายเมื่อฉันต้องรับมือกับสภาพความเป็นจริง.
ตอนที่เฟรดตาย ทีแรกดูเหมือนว่าชีวิตของฉันพลอยดับไปด้วย. แต่แน่นอน ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น. ฉันมีงานที่ต้องทำในการรับใช้พระยะโฮวา และฉันมีคนที่ต้องช่วยเหลือ. เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนมากมายรอบ ๆ ตัวฉันยังคงต้องการความจริง ฉันจะเลิกได้อย่างไร? การช่วยผู้อื่นเป็นประโยชน์แก่ตัวฉันเอง ดังที่พระเยซูตรัสไว้. (กิจการ 20:35) ประสบการณ์ที่ฉันได้จากเขตงานประกาศทำให้ฉันมีหลายสิ่งที่เฝ้ารอคอย สิ่งซึ่งต้องวางแผนไว้เผื่อ.
เมื่อสองสามวันก่อน ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวได้หวนกลับมาหาฉันอีก. แต่เมื่อฉันออกจากบ้านไปนำการศึกษาพระคัมภีร์ ฉันรู้สึกแจ่มใสขึ้นมาทันที. สองชั่วโมงหลังจากนั้น ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยความอิ่มใจและได้รับการเสริมสร้าง. ดังผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวไว้ บางครั้งคนเราอาจ “หว่านพืชด้วยน้ำตาไหล” แต่แล้วพระยะโฮวาทรงอวยพรความบากบั่นของเรา และเราจะ “เก็บเกี่ยวผลด้วยความยินดี.”—บทเพลงสรรเสริญ 126:5, 6.
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากความดันโลหิตสูง ฉันจึงต้องปรับเปลี่ยนตารางเวลาทำงานบ้างเล็กน้อย และเวลานี้ฉันเป็นไพโอเนียร์สมทบประจำ. ฉันอิ่มใจในชีวิต ถึงแม้ฉันคิดว่าความรู้สึกสูญเสียของฉันไม่มีวันจะลบล้างให้หมดไปได้โดยสิ้นเชิงในระบบนี้. ฉันประสบความชื่นใจยินดีที่เห็นลูกทั้งสามคนทำงานรับใช้เต็มเวลา. เหนือสิ่งอื่นใด ฉันเฝ้าคอยจะพบเฟรดอีกในโลกใหม่. ฉันแน่ใจว่าเขาจะตื่นเต้นดีใจเมื่อเขารู้เรื่องการงานที่ฉันสามารถทำได้ในเอกวาดอร์—ที่โครงการของเราบังเกิดผล.
ฉันอธิษฐานขอให้ถ้อยคำของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญปรากฏเป็นความจริงต่อ ๆ ไปในกรณีของฉัน. “พระเมตตาและพระกรุณาคุณคงจะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า; และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในพระบรมมหาราชวังของพระยะโฮวาเป็นนิจกาล.”—บทเพลงสรรเสริญ 23:6.
[รูปภาพหน้า 23]
ขณะเผยแพร่ในซานลูกัส เมืองโลฮา ประเทศเอกวาดอร์