ความรักที่ฉันมีต่อแผ่นดินโลกจะได้รับการตอบสนองตลอดกาล
เล่าโดย โดโรที คอนเนลลี
ตอนที่ฉันเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มีคนบอกว่าฉันจะตกนรกเพราะฉันเป็นชาวพื้นเมือง. หลายปีต่อมา คือในปี 1936 ฉันได้ฟังแผ่นเสียงคำบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่ได้ดับไฟนรกและจุดประกายความหวังขึ้นในหัวใจฉัน. มาบัดนี้ประกายความหวังยิ่งเจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน. ก่อนชี้แจงถึงมูลเหตุ ขอให้ฉันเล่าให้คุณฟังเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับตัวฉันเอง.
ฉันเกิดราว ๆ ปี 1911. ที่บอกว่า “ราว ๆ” ก็เพราะสมัยนั้นชาวพื้นเมืองไม่เคยสนใจกับเรื่องวันเดือนปีและใบเกิด. พ่อแม่ฉันเป็นคนที่ทำงานหนัก เคารพยำเกรงพระเจ้า. เราอยู่ในสปริงชัวร์อันเป็นเมืองเล็ก ๆ ใกล้เทือกเขาคาร์นาร์วอนที่ขรุขระมากแต่งดงามทางตอนกลางของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย.
พ่อเติบโตในศาสนานิกายโรมันคาทอลิกจากการเลี้ยงดูของครอบครัวคนผิวขาว. กระนั้น พ่อแม่ของฉันซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองได้ปลูกฝังธรรมเนียมพื้นบ้านและความรักต่อผืนแผ่นดินจนซึมซาบอยู่ในตัวฉัน. เราออกล่าจิงโจ้ นกอีมู จับเต่าจับงู ออกหาปลาและขุดด้วง. แต่ฉันจะไม่กินเนื้อนกอีมูเลย. ในครอบครัวของเรามีฉันคนเดียวที่กินนกอีมูไม่ได้เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว. ตามประเพณีของชาวพื้นเมือง หรือ “บรรพกาล” สมาชิกแต่ละคนของเผ่ามีสัญลักษณ์ประจำตัว ฉะนั้น ครอบครัวและเผ่าเป็นผู้บังคับใช้ข้อห้ามนั้น.
แม้ว่าความเชื่อในเรื่องนี้มีรากฐานมาจากการเชื่อโชคลาง แต่การบังคับใช้ข้อห้ามนี้เป็นสิ่งเตือนใจให้นึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต. ชาวพื้นเมืองไม่ล่าสัตว์เพื่อความสนุกสนาน. ฉันจำได้ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันกลัวตัวสั่นเมื่อพ่อโมโหเพราะจับได้ว่าฉันฉีกตัวตั๊กแตนเป็น ๆ. พ่อพูดเสียงดังลั่นว่า “ร้ายกาจจริง ๆ! ลูกไม่รู้หรือว่าพระเจ้าทรงเกลียดความโหดร้าย? ลูกชอบไหมหากมีคนทำแก่ลูกเช่นนั้น?”
มีหลายอย่างที่เราเชื่อถือโชคลาง. เช่น ถ้านกวิลลี แวกเทล (นกเล็ก ๆ ชนิดหนึ่ง) มาเล่นใกล้ที่พักของเรา แสดงว่าจะมีข่าวร้าย; หรือถ้านกแสกเกาะอยู่บนตอไม้ใกล้บ้านตอนกลางวัน แสดงว่าจะมีคนตาย. ความฝันบางอย่างก็ถือว่าเป็นลางบอกเหตุเช่นกัน. ยกตัวอย่าง ถ้าฝันเห็นน้ำขุ่น แสดงว่าคนในครอบครัวจะป่วย. แต่ถ้าน้ำเป็นโคลนก็เชื่อกันว่ามีคนตาย. จริงอยู่พวกเราเป็นคาทอลิก แต่นั่นไม่ได้ขจัดความเชื่อถือโชคลางทั้งหมดไปจากเผ่าของเรา.
นอกจากนั้น ครอบครัวของฉันยังคงใช้ภาษาพื้นเมืองอยู่. แม้เวลานี้ภาษาของเราจะกลายเป็นหนึ่งในหลายภาษาที่ใกล้จะสาบสูญ. กระนั้น ฉันก็ยังสามารถใช้ภาษานี้พูดคุยกับคนอื่นเรื่องคัมภีร์ไบเบิลได้เป็นครั้งคราว. ทว่าส่วนใหญ่ฉันใช้ภาษาอังกฤษ หรือไม่ก็ใช้ภาษาพิดจินท้องถิ่น.
การอบรมแต่เยาว์วัยให้ประโยชน์
เมื่อฉันอายุประมาณสิบขวบ ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ห่างจากเมืองสปริงชัวร์ประมาณ 30 กิโลเมตร. ฉันเดินหนึ่งหรือสองกิโลเมตรทุกวันเพื่อไปทำงานบ้านในฟาร์มนั้น. วันหนึ่ง ๆ ฉันได้ค่าจ้างเป็นนมหนึ่งถังเล็ก ๆ และขนมปังหนึ่งก้อน. ครอบครัวของเราอาศัยในกระท่อมที่สร้างด้วยเปลือกไม้ ที่พักอาศัยดั้งเดิมของชาวพื้นเมือง. เมื่อฝนตก ตอนกลางคืนเราก็นอนในถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ. ฉันมองวิถีชีวิตเรียบง่ายแบบนี้เป็นความลำบากไหม? ไม่เลย. การอยู่แบบนี้เป็นวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองมานานหลายร้อยปีแล้ว และเราเองก็ยอมรับ.
จริง ๆ แล้ว ฉันดีใจที่ไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างแสนสบายและสะดวกไปเสียทุกอย่าง และดีใจที่มีพ่อแม่ที่เปี่ยมไปด้วยความรักซึ่งได้ว่ากล่าวเตือนสอนให้ฉันขยันทำงาน อีกทั้งได้สอนฉันให้รู้จักยังชีพด้วยสิ่งที่มีตามธรรมชาติ. ในปี 1934 ไม่นานหลังจากเราย้ายเข้าไปอยู่เขตป่าสงวนใกล้วูราบินดา รัฐควีนส์แลนด์ ฉันได้ออกจากบ้านเป็นครั้งแรกและมุ่งไปทางตะวันตกเพื่อทำงานเป็นแม่บ้านและช่วยงานทั่ว ๆ ไปในฟาร์มเลี้ยงวัวและแกะ. ในที่สุด งานทำให้ฉันต้องย้ายไปทางตะวันออก นอกเมืองชายฝั่งร็อกแฮมป์ตันไปไม่ไกลนัก. ที่นั่น ฉันได้พบกับมาร์ติน คอนเนลลี สามีของฉันผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งมีบิดาเป็นชาวไอริช. เราแต่งงานกันในปี 1939.
เรียนรู้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิล
ฉันนับถือคัมภีร์ไบเบิลอย่างลึกซึ้งเสมอมา. ตอนที่ฉันเป็นเด็ก นายผู้หญิงที่ฟาร์มปศุสัตว์จะเรียกพวกเราเด็ก ๆ ทั้งเด็กพื้นเมืองและเด็กฝรั่งมารวมกัน แล้วเล่าเรื่องพระเยซูให้พวกเราฟัง. ครั้งหนึ่ง เธออธิบายความหมายแห่งคำตรัสของพระเยซูที่ว่า ‘ให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย.’ (มัดธาย 19:14, ฉบับแปล คิงเจมส์) นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นแววแห่งความหวัง นับตั้งแต่ฉันได้ยินว่าฉันเป็นคนถูกสาปให้ตกนรก.
ต่อมา ฉันได้ฟังคำบรรยายซึ่งมีการบันทึกเสียงไว้ ดังที่เกริ่นตอนต้นว่านรกไม่ร้อน. ถึงแม้เรื่องนี้ทำให้ฉันเริ่มคิด แต่ฉันไม่เคยติดต่อกับพยานพระยะโฮวาอีก จนกระทั่งปี 1949. ตอนนั้นเราอยู่ที่เมืองเอมเมอรัลด์ ประมาณ 250 กิโลเมตรทางตะวันตกของเมืองร็อกแฮมป์ตัน. คนที่มาเยี่ยมเราคือ อาร์. เบนเนตต์ บริกเคลล์a ได้คุยกับเราเรื่องคัมภีร์ไบเบิล. หลังจากนั้น เบนมาพักที่บ้านของเราเมื่อใดก็ตามที่เขามาแถบนั้น. พวกเราทุกคน รวมทั้งมาร์ตินกับลูกสี่คนของเรา ต่างก็ให้ความนับถือเขามาก. มาร์ตินไม่สนใจข่าวสารจากคัมภีร์ไบเบิล แต่เขาใจดีและมีน้ำใจเอื้อเฟื้อพยานฯ เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเบน.
เบนให้คู่มือศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแก่ฉันหลายเล่ม แต่ปัญหาใหญ่คือฉันอ่านหนังสือไม่เป็น. ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ไบเบิลหรือหนังสืออีกหลายเล่มซึ่งยึดคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก เบนอุตส่าห์อ่านให้เด็ก ๆ ฟังรวมถึงฉันด้วย ทั้งอธิบายสิ่งที่เขาได้อ่านไปแล้ว. ช่างเป็นความสดชื่นเพียงใดที่เขาต่างกันกับนักเทศน์ซึ่งพอทำหน้าที่เสร็จตามระเบียบทางศาสนา ก็ไม่เคยแบ่งเวลาแม้เพียงห้านาทีสอนให้เราอ่านหนังสือ! เบนได้ชี้ให้เราเห็นจากคัมภีร์ไบเบิลว่าซาตานและผีปิศาจเป็นพวกที่ปั้นแต่งเรื่องการเชื่อถือโชคลางหลายอย่างซึ่งได้ผูกมัดมนุษยชาติ รวมถึงชนเผ่าเดียวกับฉันด้วย. ฉันได้มาหยั่งรู้ค่าคำตรัสของพระเยซูมากเพียงใดที่ว่า “ความจริงจะทำให้เจ้าเป็นอิสระ”!—โยฮัน 8:32, ล.ม.
ฉันรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้มารู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้มีอุทยานทางแผ่นดินโลกสำหรับคนทั้งหลายที่เชื่อฟังพระองค์. เหนืออื่นใด ฉันคอยท่าเวลาที่คนตายจะถูกปลุกให้ฟื้น แม่ฉันตายปี 1939 และพ่อตายปี 1951. ฉันตั้งตาคอยวันนั้นอยู่เนือง ๆ เมื่อฉันจะโผเข้ากอดพ่อแม่และต้อนรับท่านทั้งสองกลับสู่แผ่นดินโลกซึ่งท่านเคยรักและทะนุถนอมอย่างยิ่ง. และคงน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไรที่จะสอนท่านให้รู้จักพระยะโฮวาพระเจ้าและราชอาณาจักรของพระองค์!
ผู้เผยแพร่ที่ไม่รู้หนังสือ
ขณะที่ฉันมีความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น ฉันก็อยากบอกเล่าให้คนอื่นฟัง. ฉันได้พูดคุยกับญาติมิตร แต่แล้วฉันใคร่จะขยายงานรับใช้ให้กว้างขวางออกไป. ดังนั้น เมื่อเบนได้มาที่เอมเมอรัลด์ครั้งถัดมา ฉันจัดแจงแต่งเนื้อแต่งตัวให้ลูก ๆ แล้วเราทุกคนออกไปทำงานเผยแพร่กับเขา. เบนได้สาธิตวิธีเสนอแบบง่าย ๆ และสอนฉันให้วางใจในพระยะโฮวาด้วยการอธิษฐาน. ฉันต้องยอมรับว่าวิธีที่ฉันเสนอไม่ค่อยนุ่มนวลนัก แต่คำพูดนั้นออกมาจากใจจริงของฉัน.
ก่อนอื่น ฉันบอกเจ้าของบ้านว่าฉันไม่รู้หนังสือ; แล้วขั้นต่อมาฉันเชิญเขาอ่านข้อความตามที่ฉันชี้ในคัมภีร์ไบเบิล. ฉันท่องจำข้อคัมภีร์เหล่านั้น. บางคนในเมืองนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนผิวขาวมองฉันด้วยความประหลาดใจ กระนั้นก็ไม่ค่อยมีคนหยาบคาย. ในที่สุด ฉันอ่านได้. สิ่งนี้ช่วยยกระดับความมั่นใจและสภาพฝ่ายวิญญาณของฉันให้สูงขึ้นอย่างแท้จริง!
การประชุมใหญ่ครั้งแรกสำหรับฉัน
เดือนมีนาคม 1951 หลังจากอุทิศชีวิตของฉันแด่พระยะโฮวา ฉันก้าวเข้าสู่เหตุการณ์สำคัญยิ่งสองประการในชีวิต นั่นคือการรับบัพติสมาในน้ำ และการร่วมประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวาครั้งแรกสำหรับฉัน. แต่นั่นหมายถึงการเดินทางไปซิดนีย์นครใหญ่—ความคิดที่ทำให้เด็กบ้านนอกถึงกับใจฝ่อทีเดียว. ยิ่งกว่านั้น ฉันไม่มีเงินเป็นค่าโดยสารรถไฟ. เช่นนั้นแล้วฉันจะทำอย่างไร?
ฉันตัดสินใจเล่นการพนันด้วยหวังจะได้เงินเป็นค่าเดินทาง. ฉันชักเหตุผลว่า ‘ฉันทำเช่นนี้เพื่อพระยะโฮวา พระองค์จะช่วยให้ฉันชนะพนันแน่.’ ครั้นเล่นไปได้สองสามรอบ ฉันรู้สึกว่าพระองค์ได้ช่วยฉัน เพราะฉันได้เงินมากพอเป็นค่ารถไปกลับ.
เบนรู้แผนการที่ฉันจะไปซิดนีย์ ดังนั้นเมื่อเขามาเยี่ยมครั้งถัดไป เขาถามว่าฉันมีเงินพอหรือเปล่า. ฉันตอบว่า “อ๋อ มีพอ! ฉันเล่นการพนันได้เงินสำหรับค่ารถไฟแล้ว.” เอาละซี หน้าของเขาแดงเป็นลูกตำลึงสุกทีเดียว และฉันรู้ทันทีว่าฉันคงพูดอะไรบางอย่างผิดไป. ดังนั้น เพื่อรีบแก้ตัว ฉันเสริมว่า “ทำไมคุณทำหน้าอย่างนั้น? ฉันไม่ได้ขโมยเงินใครนี่!”
เมื่อเบนใจสงบลงแล้ว เขาได้ชี้แจงอย่างกรุณาว่าคริสเตียนไม่เล่นการพนัน และพูดเสริมให้สบายใจว่า “แต่ไม่ใช่ความผิดของคุณ. ผมไม่ได้บอกคุณแต่แรก.”
ทำให้รู้สึกว่าได้รับการต้อนรับ
การประชุมใหญ่สี่วันครั้งนั้น วันที่ 22-25 มีนาคม 1951 นับเป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบปะพยานฯ จำนวนมาก. ด้วยการรู้จักเบนเพียงคนเดียวและคนอื่น ๆ อีกไม่กี่คน ฉันชักไม่แน่ใจว่าจะได้รับการต้อนรับแบบไหน. ดังนั้น คุณคงมโนภาพได้ว่าฉันรู้สึกตื่นเต้นเพียงใดที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดาผู้ที่จะกลายเป็นพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณของฉันในอนาคต ซึ่งไม่ได้แสดงอคติแม้แต่น้อย. ฉันรู้สึกสบายใจจริง ๆ เหมือนอยู่ที่บ้าน.
การประชุมใหญ่คราวนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากฉันอยู่ในจำนวนผู้รับบัพติสมา 160 คน ที่อ่าวบอตตานี. ดูเหมือนว่าฉันเป็นหนึ่งในหมู่ชาวพื้นเมืองรุ่นแรก ๆ ในออสเตรเลียที่เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา. ภาพของฉันปรากฏในหนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์และในภาพยนตร์ข่าวซึ่งนำออกฉายที่โรงภาพยนตร์ด้วย.
พยานฯ เพียงคนเดียวในเมือง
ภายหลังกลับจากนครซิดนีย์ได้หนึ่งเดือน ครอบครัวของเราได้ย้ายไปที่เมาท์ไอซา อันเป็นเมืองทำเหมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐควีนส์แลนด์. เราอาศัยอยู่ในเพิงพักนานถึงหกปีในฐานะผู้ดูแลที่ดินแปลงใหญ่อยู่นอกตัวเมืองไปไม่ไกลนัก. เราได้ตัดไม้จากป่าละเมาะใกล้เคียงนำมาสร้างฝาด้านนอกเพิงพักของเรา. เราเอาถังยางมะตอยมาตัดตามยาวแล้วทุบให้แบนทำเป็นหลังคา. มาร์ตินทำงานกับการรถไฟ แต่การดื่มจัดทำลายสุขภาพของเขาในที่สุด. ฉันจึงกลายเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวแต่ผู้เดียว. เขาเสียชีวิตไปเมื่อปี 1971.
ตอนเริ่มต้นฉันเป็นพยานฯ คนเดียวในเมาท์ไอซา. เบนจะมาเยี่ยมทุกหกเดือนหรือประมาณนั้น เนื่องจากเมาท์ไอซาเป็นส่วนหนึ่งของเขตงานกว้างใหญ่ไพศาลที่เขาทำงานให้คำพยาน. ถ้าเขาบังเอิญมาอยู่ในเมืองช่วงที่มีการประชุมอนุสรณ์รำลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์—ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษอย่างยิ่งสำหรับเบน เพราะเขามีความหวังเกี่ยวกับชีวิตทางภาคสวรรค์—เขาจะฉลองอนุสรณ์กับครอบครัวของฉัน ซึ่งบางครั้งจะจัดข้างนอกใต้ต้นไม้.
ปกติแล้ว เบนพักอยู่ไม่นาน ดังนั้น ส่วนใหญ่ฉันกับลูก ๆ ให้คำพยานกันตามลำพัง. จริงอยู่ เราอยู่โดดเดี่ยว; แต่พระวิญญาณของพระยะโฮวาได้บันดาลกำลังความสามารถแก่พวกเรา และองค์การที่ประกอบด้วยความรักของพระองค์ก็เช่นกัน. ผู้ดูแลเดินทางที่สัตย์ซื่อพร้อมทั้งภรรยาได้สู้ทนความร้อนอบอ้าว, แมลงวัน, ฝุ่นละออง, และถนนขรุขระเพื่อมายังเมาท์ไอซาให้การหนุนกำลังใจพวกเรา ถึงแม้ว่าพวกเราเป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ อยู่หลายปี. อนึ่ง เพื่อนพยานฯ จากประชาคมใกล้เคียงที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ในเมืองดาร์วิน ไกลจากที่เราอยู่มากกว่า 1,200 กิโลเมตร ก็ยังมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว.
การก่อตั้งประชาคม
เดือนธันวาคม ปี 1953 มีการก่อตั้งประชาคมขึ้นที่เมาท์ไอซา. เบนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแล และมีฉันกับแอนน์ลูกสาวเท่านั้นที่ร่วมงานเผยแพร่ตอนนั้น. แต่ไม่ช้ามีพยานฯ คนอื่น ๆ ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง. เขตงานของเราเริ่มผลิตสาวกเพิ่มขึ้นหลายคนเช่นกัน ต่อมาก็มีชาวพื้นเมืองรวมอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง.
ประชาคมเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และในไม่ช้าก็ปรากฏชัดว่าจำเป็นที่เราต้องมีหอประชุมราชอาณาจักรสำหรับการประชุมของเรา. ในเดือนพฤษภาคม 1960 หลังจากตรำงานหนักมามาก หอประชุมใหม่ของเราเองก็เสร็จ. ในช่วง 15 ปีหลังจากนั้นมีการขยายหอประชุมสองครั้ง. แต่พอถึงกลางทศวรรษ 1970 เรามีผู้ร่วมประกาศ 120 คน และอีกครั้งหนึ่งหอประชุมเล็กเกินไป. ดังนั้น จึงมีการสร้างหอประชุมที่งดงามซึ่งมี 250 ที่นั่ง และได้อุทิศหอประชุมนี้ในปี 1981. เนื่องจากสามารถจุได้เกินกว่าจำนวนผู้ประกาศ อาคารแห่งนี้จึงถูกใช้สำหรับการประชุมที่ใหญ่กว่าซึ่งเรียกว่าการประชุมหมวด.
การเจริญเติบโตท่ามกลางชาวพื้นเมือง
สิ่งที่ยังความตื่นเต้นแก่ฉันคือในปี 1996 มีการก่อตั้งกลุ่มชาวพื้นเมืองและชาวเกาะที่ได้สมทบกับประชาคมเมาท์ไอซา. ชาวเกาะได้แก่ชนพื้นเมืองซึ่งมาจากเกาะต่าง ๆ ใกล้ผืนแผ่นดินออสเตรเลีย. จุดมุ่งหมายหลักของกลุ่มนี้ก็เพื่อให้คำพยานได้ดีขึ้นแก่ชาวพื้นเมืองด้วยกัน มีบางคนค่อนข้างจะรู้สึกอึดอัดกับคนผิวขาว.
มีกลุ่มชาวพื้นเมืองดังกล่าวอีกประมาณ 20 กลุ่มกระจายอยู่ทั่วออสเตรเลีย. นอกจากนั้น ยังมีประชาคมที่ประกอบด้วยชาวพื้นเมืองในแอดิเลด, คานส์, อิปส์วิช, เพิร์ท, และทาวน์สวิล. ประมาณ 500 คนรวมทั้งบางคนในครอบครัวของฉันได้ร่วมกับกลุ่มและประชาคมเหล่านี้. เกือบสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ประกาศชาวพื้นเมืองเป็นไพโอเนียร์หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลา!
ฉันป่วยด้วยโรคเบาหวานในปี 1975 และตลอดหลายปี โรคนี้ทำให้ฉันลำบากเหมือนชาวพื้นเมืองอีกมากมาย. การอ่านกลายเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งขึ้น. ถึงกระนั้น พระยะโฮวายังทรงค้ำจุนและประทานความชื่นชมยินดีแก่ฉัน.
ฉันสำนึกบุญคุณบรรดาผู้เผยแพร่ที่กล้าหาญซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือฉันและครอบครัว. ใจแรงกล้าไม่ย่อท้อของเขา, ความรัก, และสมบัติฝ่ายวิญญาณที่เขาได้บรรทุกบนจักรยานขณะที่พวกเขาขับขี่ไปตามถนนและทางเปลี่ยวซึ่งมีแต่ฝุ่น ในเขตทุรกันดารของรัฐควีนส์แลนด์ ทำให้เราสามารถได้เรียนความจริงของคัมภีร์ไบเบิล. มาบัดนี้ ฉันตั้งตาคอยเวลานั้นด้วยความเชื่อมั่นเมื่อความรักที่ฉันมีต่อแผ่นดินโลกจะได้รับการตอบสนองตลอดกาลนาน.
[เชิงอรรถ]
a เรื่องราวชีวิตน่าทึ่งของเบน บริกเคลล์ มีปรากฏในวารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 กันยายน 1972 หน้า 533-536.
[แผนที่/ภาพหน้า 15]
เพิร์ท
ดาร์วิน
คานส์
ทาวน์สวิล
เมาท์ไอซา
ร็อกแฮมป์ตัน
เอมเมอรัลด์
สปริงชัวร์
วูราบินดา
อิปส์วิช
ซิดนีย์
แอดิเลด
โดโรที ในปัจจุบัน
[รูปภาพหน้า 13]
ช่วงฝึกหัดกับเบนกลางทศวรรษ 1950