การแพทย์สมัยใหม่—เอื้อมได้สูงแค่ไหน?
เด็กหลายคนรู้มาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วว่า ถ้าจะเก็บมะม่วงที่อยู่สูงจนเอื้อมไม่ถึง พวกเขาต้องปีนไหล่เพื่อน. ในวงการแพทย์ก็มีสิ่งที่คล้าย ๆ กัน. นักค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์ได้ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเรียนรู้และพัฒนาต่อจากความสำเร็จของผู้มีชื่อเสียงของวงการแพทย์ในอดีต.
ในบรรดาผู้รักษาโรคสมัยต้น ๆ เหล่านั้นก็มีคนที่มีชื่อเสียง อาทิเช่น ฮิปโปกราติสและปาสเตอร์ รวมทั้งอีกหลายคน อย่างเช่น เวซาลิอุสและวิลเลียม มอร์ตัน—ชื่อซึ่งหลายคนไม่ค่อยรู้จัก. บุคคลเหล่านี้มีส่วนช่วยในความสำเร็จของการแพทย์สมัยใหม่ในทางใดบ้าง?
ในสมัยโบราณ บ่อยครั้งศาสตร์แห่งการรักษาโรคไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโชคลางและพิธีกรรมทางศาสนา. หนังสือตำนานการแพทย์ (ภาษาอังกฤษ) เรียบเรียงโดยนายแพทย์เฟลิกซ์ มาร์ตี-อีบันเยส กล่าวว่า “เพื่อจะต่อสู้กับโรคภัย . . . ชาวเมโสโปเตเมียใช้วิธีรักษาซึ่งผสมผสานกันระหว่างการแพทย์และศาสนา เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าโรคภัยเป็นการลงโทษจากเทพเจ้า.” การแพทย์ของชาวอียิปต์ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นานนักก็มีพื้นฐานจากศาสนาเช่นกัน. ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว ผู้รักษาโรคจึงได้รับความนับถือในทางศาสนา.
ในหนังสือของเขาชื่อรากฐานที่เป็นดินเหนียว (ภาษาอังกฤษ) นายแพทย์โทมัส เอ. เพรสตันให้ข้อสังเกตว่า “ความเชื่อหลายอย่างในสมัยโบราณทิ้งร่องรอยไว้ในการรักษาซึ่งมีมาจนถึงสมัยนี้. หนึ่งในความเชื่อแบบนี้คือการเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บอยู่เหนือการควบคุมของคนไข้ และด้วยพลังวิเศษของแพทย์เท่านั้นที่มีความหวังว่าจะหาย.”
การวางพื้นฐาน
กระนั้น ในเวลาต่อมาวิธีการรักษาก็เริ่มเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อย ๆ. ผู้รักษาโรคแบบวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในยุคโบราณคือ ฮิปโปกราติส. เขาเกิดราว ๆ ปี 460 ก่อน ส.ศ. บนเกาะคอสของกรีซและหลายคนถือว่าเขาเป็นบิดาแห่งวงการแพทย์ตะวันตก. ฮิปโปกราติสวางพื้นฐานสำหรับการแพทย์ที่อาศัยเหตุผล. เขาปฏิเสธความคิดที่ว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นการลงโทษจากเทพเจ้า โดยแย้งว่าโรคภัยเหล่านั้นมีสาเหตุตามธรรมชาติ. ตัวอย่างเช่น มีการเรียกโรคลมบ้าหมูว่าโรคศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว เนื่องจากความเชื่อที่ว่าเหล่าเทพเจ้าเท่านั้นที่จะรักษาโรคนี้ได้. แต่ฮิปโปกราติสเขียนว่า “เกี่ยวกับโรคที่เรียกกันว่าโรคศักดิ์สิทธิ์: สำหรับข้าพเจ้าแล้วมันไม่ได้เป็นโรคที่มาจากเทพเจ้าหรือศักดิ์สิทธิ์มากไปกว่าโรคอื่น ๆ เลย แต่มีสาเหตุตามธรรมชาติ.” ฮิปโปกราติสยังเป็นผู้รักษาโรคคนแรกที่รู้จักกันว่าได้สังเกตอาการของโรคต่าง ๆ และบันทึกไว้เพื่ออ้างอิงถึงในอนาคต.
หลายศตวรรษต่อมา กาเลน นายแพทย์ชาวกรีกซึ่งเกิดในปี ส.ศ. 129 ก็ได้ทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แบบใหม่เช่นกัน. โดยอาศัยการผ่าชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์และสัตว์ กาเลนได้เขียนตำรากายวิภาคศาสตร์ซึ่งแพทย์ได้ใช้เป็นเวลาหลายร้อยปี! แอนเดรียส เวซาลิอุส ซึ่งเกิดในกรุงบรัสเซลส์เมื่อปี 1514 เขียนหนังสือว่าด้วยโครงสร้างของร่างกายมนุษย์. หนังสือเล่มนี้ถูกต่อต้าน เนื่องจากขัดกับความเห็นหลายอย่างของกาเลน แต่หนังสือเล่มนี้วางพื้นฐานไว้สำหรับกายวิภาคศาสตร์สมัยใหม่. ดังที่กล่าวในหนังสือดี กรอสเซน (บรรดาผู้ยิ่งใหญ่) โดยวิธีนี้ เวซาลิอุสจึงกลายเป็น “หนึ่งในนักวิจัยทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดของทุกชนชาติและทุกยุคสมัย.”
ทฤษฎีของกาเลนเกี่ยวกับหัวใจและการไหลเวียนของเลือดในที่สุดก็ถูกหักล้างด้วย.a นายแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ วิลเลียม ฮาร์วีย์ ใช้เวลาหลายปีในการผ่าร่างของสัตว์และนก. เขาสังเกตดูการทำงานของลิ้นหัวใจ, วัดปริมาตรเลือดในหัวใจแต่ละห้อง, และกะปริมาณของเลือดในร่างกาย. ฮาร์วีย์ตีพิมพ์การค้นพบของเขาในปี 1628 ในหนังสือว่าด้วยความเคลื่อนไหวของหัวใจและเลือดในสัตว์. เขาถูกวิจารณ์, ถูกต่อต้าน, ถูกโจมตี, และถูกดูหมิ่น. แต่ผลงานของเขาเป็นจุดเปลี่ยนของวงการแพทย์—ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายได้รับการค้นพบแล้ว!
จากการตัดผมสู่การผ่าตัด
มีความก้าวหน้าอย่างมากในศาสตร์แห่งการผ่าตัดด้วย. ระหว่างยุคกลาง การผ่าตัดมักจะเป็นงานของช่างตัดผม. ไม่แปลกที่บางคนกล่าวว่าบิดาแห่งวงการศัลยกรรมสมัยใหม่คือชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 16 ชื่ออองบรัว ปาเร—ศัลยแพทย์รุ่นบุกเบิกซึ่งรับใช้กษัตริย์สี่องค์ของฝรั่งเศส. ปาเรคิดค้นเครื่องมือผ่าตัดหลายอย่างด้วย.
ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่ศัลยแพทย์สมัยศตวรรษที่ 19 เผชิญคือ การที่เขาไม่สามารถลดความเจ็บปวดในการผ่าตัดได้. แต่ในปี 1846 ศัลยแพทย์ช่องปากชื่อ วิลเลียม มอร์ตัน เปิดทางให้มีการใช้ยาชาในการผ่าตัดอย่างแพร่หลาย.b
ในปี 1895 ขณะกำลังทำการทดลองกับไฟฟ้า นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันชื่อ วิลเฮล์ม เรินท์เกน เห็นรังสีทะลุผ่านเนื้อแต่ไม่ผ่านกระดูก. เขาไม่รู้แหล่งกำเนิดของรังสีนั้น เขาจึงเรียกมันว่ารังสีเอกซ์ (เอกซ์เรย์) ชื่อที่ยังใช้กันอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ. (คนเยอรมันเรียกรังสีนี้ว่าเรินท์เกนสทราเลน.) ตามที่กล่าวในหนังสือดี กรอสเซน ดอยช์เชน (คนเยอรมันที่ยิ่งใหญ่) เรินท์เกนบอกภรรยาของเขาว่า “คนเขาจะพูดกันว่า ‘เรินท์เกนเป็นบ้าไปแล้ว.’ ” บางคนก็พูดอย่างนั้นจริง ๆ. แต่การค้นพบของเขาเป็นการปฏิวัติวงการศัลยกรรม. ตอนนี้ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นภายในร่างกายโดยไม่ต้องลงมือผ่า.
การพิชิตโรค
ตลอดหลายยุคหลายสมัย โรคติดเชื้อ เช่น ไข้ทรพิษ นำความหวาดกลัวและความตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า. อาร์-ราซี ชาวเปอร์เซียสมัยศตวรรษที่เก้า ซึ่งบางคนถือว่าเป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งโลกอิสลามยุคนั้น เขียนพรรณนาอาการของไข้ทรพิษในทางการแพทย์อย่างถูกต้องเป็นครั้งแรก. แต่ต้องผ่านไปอีกหลายศตวรรษจนกว่าแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ เอดเวิร์ด เจนเนอร์ ได้ค้นพบวิธีรักษาโรคนี้. เจนเนอร์สังเกตว่าถ้าใครติดโรคฝีดาษวัว—ซึ่งไม่เป็นอันตราย—เขาจะมีภูมิคุ้มกันไข้ทรพิษ. โดยอาศัยข้อสังเกตนี้ เจนเนอร์ใช้เนื้อเยื่อของรอยโรคฝีดาษวัวเพื่อพัฒนาวัคซีนต่อต้านไข้ทรพิษ. ตอนนั้นคือปี 1796. เช่นเดียวกับนักคิดค้นคนอื่น ๆ ก่อนหน้าเขา เจนเนอร์ก็ถูกวิจารณ์และต่อต้าน. แต่การค้นพบของเขาเกี่ยวกับกรรมวิธีในการผลิตวัคซีนนั้น ในที่สุดก็นำไปสู่การขจัดโรคนี้ได้อย่างสิ้นเชิงและทำให้วงการแพทย์มีเครื่องมืออันทรงพลังชิ้นใหม่.
ชาวฝรั่งเศสชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์ ใช้วัคซีนสู้กับโรคพิษสุนัขบ้าและโรคแอนแทร็กซ์. เขายังพิสูจน์ด้วยว่าเชื้อโรคเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรค. ในปี 1882 โรเบิร์ต คอค ค้นพบเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของวัณโรค ซึ่งเป็นโรคที่ได้รับการพรรณนาจากนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งว่า “โรคที่คร่าชีวิตคนมากที่สุดในศตวรรษที่สิบเก้า.” ประมาณหนึ่งปีถัดมา คอคค้นพบเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของอหิวาตกโรค. วารสารไลฟ์ กล่าวว่า “ผลงานของปาสเตอร์และคอคเป็นจุดเริ่มต้นของวิทยาศาสตร์สาขาจุลชีววิทยา และนำไปสู่ความก้าวหน้าด้านวิทยาภูมิคุ้มกัน, การสุขาภิบาลและสุขศาสตร์ซึ่งมีส่วนช่วยให้ช่วงชีวิตของมนุษย์ยืนยาวขึ้นมากกว่าความก้าวหน้าอื่น ๆ ทางวิทยาศาสตร์ในรอบ 1,000 ปีที่ผ่านมา.”
การแพทย์ในศตวรรษที่ยี่สิบ
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 การแพทย์ได้อาศัยความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้รวมทั้งแพทย์ที่หลักแหลมคนอื่น ๆ. นับแต่นั้นมา การแพทย์ก้าวหน้าไปอย่างน่าทึ่ง—อินซูลินสำหรับโรคเบาหวาน, เคมีบำบัดสำหรับมะเร็ง, การรักษาโดยใช้ฮอร์โมนสำหรับความผิดปกติเกี่ยวกับต่อม, ยาปฏิชีวนะสำหรับวัณโรค, คลอโรควินสำหรับมาลาเรียบางชนิด, และการแยกสารผ่านเยื่อสำหรับโรคไต รวมทั้งการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดและการปลูกถ่ายอวัยวะ และยังมีอีกมาก.
แต่ขณะนี้เมื่อเราอยู่ ณ ตอนต้นของศตวรรษที่ 21 การแพทย์ใกล้จะบรรลุเป้าหมายที่รับประกันเรื่อง “การให้ทุกคนในโลกมีสุขภาพดีในระดับซึ่งเป็นที่ยอมรับได้” สักแค่ไหนแล้ว?
เป้าหมายที่สูงเกินเอื้อมหรือ?
เด็กรู้ว่าถึงแม้จะปีนขึ้นบนไหล่เพื่อน เขาก็เก็บมะม่วงไม่ได้ทุกลูก. มะม่วงบางลูกที่น่ากินที่สุดอยู่บนยอดต้น ยังอยู่สูงเกินเอื้อมมากนัก. ในทำนองเดียวกัน การแพทย์มีความสำเร็จมากขึ้น ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ. แต่เป้าหมายที่ไขว่คว้ากันมากที่สุด—การทำให้ทุกคนมีสุขภาพดี—ยังคงอยู่บนยอดที่สูงเกินเอื้อม.
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าในปี 1998 คณะกรรมาธิการยุโรปได้รายงานว่า “ชาวยุโรปไม่เคยมีชีวิตยืนยาวและมีสุขภาพดีอย่างนี้มาก่อน” แต่รายงานนั้นก็เสริมว่า “ประชากรหนึ่งในห้าจะเสียชีวิตก่อนอายุครบ 65 ปี. มะเร็งจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเหล่านั้นประมาณ 40% โรคหัวใจและหลอดเลือดอีก 30% . . . จำเป็นต้องมีการปกป้องที่ดีกว่านี้เพื่อจะสู้กับภัยคุกคามทางสุขภาพแบบใหม่ ๆ.”
วารสารทางสุขภาพของเยอรมนีชื่อ เกซุนด์ไฮท์ รายงานในเดือนพฤศจิกายน 1998 ว่า โรคติดเชื้อ เช่น อหิวาตกโรคและวัณโรคกำลังเป็นภัยคุกคามมากขึ้น. เพราะเหตุใด? ยาปฏิชีวนะ “กำลังมีประสิทธิภาพลดลง. แบคทีเรียจำนวนมากขึ้นกำลังดื้อยาแบบธรรมดาอย่างน้อยหนึ่งตัว; ที่จริง แบคทีเรียหลายชนิดกำลังดื้อยาหลายตัว.” ไม่เพียงแต่โรคเก่า ๆ กำลังหวนกลับมาเท่านั้นแต่โรคใหม่ ๆ เช่น เอดส์ ก็ปรากฏขึ้นด้วย. หนังสือด้านเภสัชภัณฑ์ของเยอรมนีชื่อ สทาทิสทิกส์ 97 เตือนเราว่า “สองในสามของโรคที่รู้จักกันทั้งหมด—ประมาณ 20,000 โรค—ตอนนี้ยังไม่มีทางรักษาที่ต้นเหตุ.”
ยีนบำบัดเป็นทางแก้ไหม?
จริงอยู่ มีการพัฒนาวิธีการรักษาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง. ตัวอย่างเช่น หลายคนรู้สึกว่าพันธุวิศวกรรมอาจเป็นกุญแจสู่การมีสุขภาพดีขึ้น. หลังจากการวิจัยในสหรัฐช่วงทศวรรษ 1990 โดยนายแพทย์เช่น ดร. ดับเบิลยู. เฟรนช์ แอนเดอร์สัน การบำบัดด้วยยีนได้รับการพรรณนาว่าเป็น “การวิจัยทางการแพทย์สาขาใหม่ที่มาแรงที่สุด.” หนังสือไฮเลน มิท เกเนน (การรักษาด้วยยีน) กล่าวว่า โดยใช้การบำบัดด้วยยีน “วิทยาศาสตร์การแพทย์อาจใกล้จะถึงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาขั้นบุกเบิกอย่างหนึ่ง. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการรักษาโรคซึ่งจนถึงปัจจุบันยังรักษาไม่ได้.”
นักวิทยาศาสตร์คาดว่าในวันข้างหน้าจะสามารถรักษาโรคทางพันธุกรรมที่มีมาแต่กำเนิดได้โดยฉีดยีนซึ่งถูกแก้ไขแล้วให้คนไข้. แม้แต่เซลล์ที่เป็นอันตราย เช่น เซลล์มะเร็ง อาจจะทำให้ทำลายตัวเองได้. การตรวจพันธุกรรมเพื่อระบุคนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคบางชนิดก็มีทางเป็นไปได้แล้ว. บางคนกล่าวว่า เภสัชพันธุศาสตร์—การปรับยารักษาให้เหมาะกับลักษณะทางพันธุกรรมของคนไข้—จะเป็นพัฒนาการขั้นต่อไป. นักวิจัยที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งกล่าวว่าในอนาคตแพทย์จะสามารถ “วินิจฉัยอาการของคนไข้และสั่งจ่ายสายโมเลกุลส่วนเล็ก ๆ เพื่อรักษาโรคนั้น.”
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนเชื่อว่าการบำบัดด้วยยีนเป็น “ยาวิเศษ” แห่งอนาคต. ที่จริง ตามการสำรวจหลายครั้ง ผู้คนอาจไม่ต้องการให้วิเคราะห์ลักษณะทางพันธุกรรมของตนด้วยซ้ำ. นอกจากนี้ หลายคนกลัวว่าการบำบัดด้วยยีนอาจเป็นการแทรกแซงธรรมชาติอย่างที่เป็นอันตราย.
เวลาจะพิสูจน์ว่าพันธุวิศวกรรมหรือการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงแบบอื่น ๆ ในทางการแพทย์จะบรรลุผลตามคำสัญญาอันเลิศลอยได้หรือไม่. อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลที่จะไม่มองในแง่ดีเกินไป. หนังสือรากฐานที่เป็นดินเหนียว พรรณนาวัฏจักรที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ว่า “มีวิธีรักษาแบบใหม่ออกมา ได้รับการยกย่องในที่ประชุมทางการแพทย์และจากวารสารภายในวงการ. ผู้คิดค้นกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงภายในวงการ และสื่อก็เยินยอความก้าวหน้านั้น. หลังจากช่วงแห่งความปลาบปลื้มและมีการกล่าวสนับสนุนวิธีรักษาซึ่งดีเกินคาดนั้นโดยได้รับการบันทึกเป็นอย่างดี ความผิดหวังก็ค่อย ๆ เริ่มขึ้น ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ไม่กี่เดือนจนถึงนับสิบปี. จากนั้น ก็มีการค้นพบวิธีรักษาแบบใหม่ และแทบจะเพียงชั่วข้ามคืนก็เข้ามาแทนที่วิธีเก่า ซึ่งถูกยกเลิกไปในทันทีทันใดโดยถือว่าไร้ประโยชน์แล้ว.” ที่จริง วิธีรักษาหลายวิธีซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่เลิกใช้เพราะถือว่าไม่มีประสิทธิภาพนั้น ต่างก็เคยเป็นวิธีรักษามาตรฐานเมื่อไม่นานมานี้เอง.
แม้ว่าแพทย์สมัยนี้ไม่ได้มีฐานะทางศาสนาเหมือนอย่างผู้รักษาโรคในสมัยโบราณอีกต่อไป แต่บางคนมีแนวโน้มจะถือว่าบุคลากรทางการแพทย์มีอำนาจแทบจะเหมือนกับเทพเจ้า และคิดว่าวิทยาศาสตร์จะสามารถรักษาความเจ็บป่วยทั้งสิ้นของมนุษยชาติได้แน่นอน. อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย. ในหนังสือชื่อเราแก่ลงอย่างไรและเพราะเหตุใด (ภาษาอังกฤษ) ดร. เลนนาร์ด เฮย์ฟลิกให้ข้อสังเกตว่า “ในปี 1900 ประชากรของสหรัฐ 75 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิตก่อน อายุครบหกสิบห้าปี. ในปัจจุบัน สถิตินี้เกือบจะกลับกัน คือประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเสียชีวิตหลัง อายุครบหกสิบห้าปี.” อะไรทำให้ช่วงชีวิตยืนยาวขึ้นอย่างน่าสังเกต? เฮย์ฟลิกอธิบายว่าเรื่องนี้ “ส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับการลดอัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิด.” เอาละ สมมุติว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถขจัดสาเหตุหลัก ๆ ของการเสียชีวิตในหมู่ผู้สูงอายุออกไปได้—โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, และโรคเส้นเลือดสมอง. นั่นจะหมายถึงการทำให้ชีวิตเป็นอมตะไหม? ไม่เลย. ดร. เฮย์ฟลิกให้ข้อสังเกตว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น “คนส่วนใหญ่ก็จะมีชีวิตอยู่ได้ราว ๆ หนึ่งร้อยปี.” เขาเสริมว่า “ผู้มีอายุถึงร้อยปีเหล่านี้ก็จะยังไม่เป็นอมตะ. แต่พวกเขาจะเสียชีวิตเนื่องจากอะไร? พวกเขาจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต.”
ทั้ง ๆ ที่วงการวิทยาศาสตร์การแพทย์พยายามกันอย่างเต็มที่ การขจัดความตายก็ยังอยู่สูงเกินเอื้อมสำหรับการแพทย์. ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? และเป้าหมายที่จะให้ทุกคนมีสุขภาพดีเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
[เชิงอรรถ]
a ตามที่กล่าวในสารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก กาเลนคิดว่าตับเปลี่ยนอาหารที่ย่อยแล้วให้เป็นเลือด ซึ่งจากนั้นจะไหลไปทั่วร่างกายและถูกดูดซึม.
b ดูบทความ “จากความเจ็บปวดสาหัสมาสู่อาการชา” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8 ธันวาคม 2000.
[คำโปรยหน้า 4]
“ความเชื่อหลายอย่างในสมัยโบราณทิ้งร่องรอยไว้ในการรักษาซึ่งมีมาจนถึงสมัยนี้.”—รากฐานที่เป็นดินเหนียว
[ภาพหน้า 4, 5]
ฮิปโปกราติส, กาเลน, และเวซาลิอุสวางพื้นฐานสำหรับการแพทย์สมัยใหม่
[ที่มาของภาพ]
Kos Island, Greece
Courtesy National Library of Medicine
Woodcut by Jan Steven von Kalkar of A. Vesalius, taken from Meyer’s Encyclopedic Lexicon
[ภาพหน้า 6]
อองบรัว ปาเร เป็นศัลยแพทย์รุ่นบุกเบิกซึ่งรับใช้กษัตริย์สี่องค์ของฝรั่งเศส
อาร์-ราซี แพทย์ชาวเปอร์เซีย (ซ้าย) และเอดเวิร์ด เจนเนอร์ แพทย์ชาวอังกฤษ (ขวา)
[ที่มาของภาพ
Paré and Ar-Rāzī: Courtesy National Library of Medicine
From the book Great Men and Famous Women
[ภาพหน้า 7]
ชาวฝรั่งเศสชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์พิสูจน์ว่าเชื้อโรคเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรค
[ที่มาของภาพ]
© Institut Pasteur
[ภาพหน้า 8]
แม้ว่าสามารถขจัดสาเหตุหลัก ๆ ของการเสียชีวิตออกไปได้ ความแก่ชราก็จะยังคงนำไปสู่ความตาย