บท 3
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่. นี่แหละเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์แสดงให้เห็นโดยมีการพรรณนาถึงการทรงเตรียมต่าง ๆ ที่พระเจ้าจัดขึ้นไว้สำหรับมนุษย์คู่แรกผู้เป็นบิดามารดาของเรา คืออาดามและฮาวา. พระคัมภีร์แจ้งให้เราทราบว่าพระยะโฮวาพระเจ้าทรงกำหนดให้เขาอยู่ในอุทยานซึ่งได้แก่ สวนอันเป็นบ้านที่สวยงามซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นที่เรียกว่า “เอเดน.” อุทยานนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับเขาเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้ต่อ ๆ ไป. พระธรรมเยเนซิศหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์บอกเกี่ยวด้วยเรื่องนี้ว่า: “พระยะโฮวาพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากินเป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน และต้นไม้ซึ่งให้มีชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น กับต้นไม้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย.”—เยเนซิศ 2:9.
โปรดสังเกตว่าในอุทยานอันงดงามน่ารักนี้ไม่มี ‘ต้นไม้ที่ให้เกิดความตาย’ แต่ว่ามี “ต้นไม้ที่ให้มีชีวิต.” “ต้นไม้ที่ให้มีชีวิต” นั้นอยู่ในฐานะที่เป็นการให้คำรับรองอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในเรื่องการมีชีวิตอยู่ต่อไปสำหรับคนเหล่านั้นที่มีสิทธิ์ในการรับประทาน. ไม่มีเหตุผลในการที่อาดามและฮาวาต้องรู้สึกกลัวในเรื่องที่เขาอาจจะต้องตายไปนั้น. ตราบใดที่เขาเชื่อฟังพระผู้สร้างของตนอยู่ต่อ ๆ ไปในการที่ไม่กินผลจาก “ต้นไม้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความดีและความชั่ว” อันเป็นต้นไม้ที่ไม่ทรงอนุญาตนั้นแล้ว ชีวิตของเขาก็จะไม่สิ้นสุดลง.—เยเนซิศ 2:16,17.
แต่ว่าสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับการทรงสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อจะให้ได้รับความเพลิดเพลินจากช่วงชีวิตอันไม่สิ้นสุดนั้นลงรอยกันกับสิ่งที่เราแลเห็นได้อยู่ในเรื่องชีวิตไหม? ความเป็นจริงต่าง ๆ แสดงให้เห็นอยู่แล้วมิใช่หรือว่า มวลมนุษย์ได้ตายกันมาแล้วเป็นเวลาตั้งหลายพันปี? ใช่แล้ว แต่ท่านทราบไหมว่าในตัวของท่านเองมีหลักฐานแนะให้เห็นว่า ท่านควรจะมีช่วงชีวิตอันยาวนานกว่าที่เป็นอยู่ในสมัยของเรานี้มากนัก?
ขอจงพิจารณาดูมันสมองของมนุษย์เป็นตัวอย่าง. มันสมองถูกออกแบบขึ้นเพื่อจะให้มีชีวิตอยู่เพียงเจ็ดสิบหรือแปดสิบปีเท่านั้นหรือ? ไอแซ็ค อาชิม็อฟ นักชีวเคมีในการให้ข้อสังเกตเรื่องความสามารถของมันสมอง ได้บอกไว้อย่างเป็นที่น่าสนใจถึงระบบแห่งมันสมองในการเก็บเรื่องราวไว้นั้นว่า “สามารถเป็นอย่างดีเยี่ยมได้ในการจัดการบรรจุความรู้และความทรงจำซึ่งมนุษย์ต้องการจะใส่เข้าไว้—และมากกว่าจำนวนนั้นตั้งพันล้านเท่าอีกด้วย.”
เป็นไปตามหลักแห่งการคิดหาเหตุผลไหม ในการที่มันสมองของมนุษย์สามารถเก็บรักษาความรู้ไว้ได้อย่างมากมายตั้งพันล้านเท่า เท่าที่เขาจะสามารถใช้ได้ในระหว่างช่วงชีวิตอันเป็นมาตรฐานทั่ว ๆ ไปทุกวันนี้? แน่ทีเดียว ทั้งนี้จะไม่แสดงหรอกหรือว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้มีชีวิตอย่างที่ต้องใช้สมองซึ่งมีความสามารถโดยไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับความทรงจำ?
หาได้หมดเรื่องเพียงเท่านี้ไม่.
มนุษย์เท่านั้นที่มีการคิดนึกถึงความไม่มีที่สิ้นสุด
ประเด็นอันเป็นที่น่าสังเกตที่จะพึงให้ความสนใจ ณ ที่นี้ก็คือ พระคัมภีร์กำหนดไว้เพียงแต่สำหรับมนุษย์เท่านั้นมิใช่สำหรับสรรพสัตว์อื่นใดที่แผ่นดินโลกนี้คือความหวังในเรื่องชีวิตอย่างที่ไม่จำกัด. อันที่จริง พระคัมภีร์บอกว่าแม้กระทั่งความคิดในเรื่องกาลอดีต หรืออนาคตซึ่งไม่มีการกำหนดออกไว้หรือความไม่สิ้นสุดนั้นก็นับว่าพิเศษสำหรับมนุษย์ทีเดียว. ท่านผู้จารึกพระคัมภีร์พระธรรมท่านผู้ประกาศได้ให้ข้อสังเกตดังนี้: “ข้าพเจ้าได้เห็นการงานที่พระเจ้าทรงประทานให้บุตรทั้งหลายของมนุษย์ชาติซึ่งเขาจะต้องได้กระทำ. พระองค์ทรงกระทำให้ทุกสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน. แม้แต่เวลาที่ไม่มีกำหนด พระองค์ก็ทรงบรรจุเข้าไว้ในหัวใจของมนุษย์.”—ท่านผู้ประกาศ 3:10, 11.
บัดนี้ถ้าแม้นสิ่งที่พระคัมภีร์บอกไว้เกี่ยวด้วยมนุษย์นั้นเป็นความจริง เราก็ควรสามารถแลเห็นพยานหลักฐานถึงผลเช่นนี้ได้. จริงไหม? มนุษย์อยู่ในฐานะที่ตรงกันข้ามกับสัตว์เดรัจฉานอย่างเฉียบขาดกระนั้นไหม? มนุษย์เท่านั้นหรือที่คิดนึกอย่างจริงจังในเรื่องอนาคต เอาเป็นภาระและพยายามประกอบการงานเพื่ออนาคต? เขาแสดงปฏิกิริยาต่อความตายด้วยอาการที่แตกต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานกระนั้นไหม คือเผยให้เห็นว่ามนุษย์เท่านั้นที่หยั่งรู้เข้าใจถึงความหมายแห่งชีวิตสำหรับเขาในอดีตและในอนาคตกระนั้นไหม?
จะปฏิเสธไม่ได้เลยที่ว่าสิ่งซึ่งมีชีวิตอยู่ทุกอย่าง ย่อมพยายามสงวนชีวิตไว้. โดยสัญชาตญาณแล้วสัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นกินเป็นอาหารย่อมพยายามหนีสัตว์ตัวที่จะสังหารชีวิตของมันโดยการบินหนีไปหรือแอบซ่อนตัวเสีย. สัตว์เป็นอันมากจะพยายามต่อสู้ทั้ง ๆ ที่ตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมากมาย เพื่อป้องกันลูก ๆ ของตนไว้จากความตาย. เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า กระต่ายสามารถถีบได้อย่างแข็งแรงโดยทำให้สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายหมีถึงกับนอนยาวเหยียดอ้าแขนอ้าขาทีเดียว. มีคนเคยสังเกตเห็นว่า ละมั่งตัวเมียในภาคตะวันตกของสหรัฐสามารถต่อสู้ป้องกันลูกของมันไว้จากสุนัขป่าได้อย่างเป็นผลสำเร็จ มันทำให้ส่วนก้นและหางของสุนัขป่าได้รับบาดเจ็บ ด้วยกีบอันคมของมัน และกระแทกจนกระทั่งฟันของมันหลุด. ขณะที่มันพยายามจะหนีไปนั้น ละมั่งก็จะกระโดดขึ้นคร่อมและเหยียบขยี้จนกระทั่งสุนัขป่าตาย.
ปฏิกิริยาโดยสัญชาตญาณต่ออันตรายอันจะทำให้ถึงตายนั้น ย่อมแสดงบทบาทสำคัญยิ่งในการคุ้มครองรักษาไว้ซึ่งชีวิต. แต่ก็ทั้งนี้จะหมายความว่าสัตว์มีความหยั่งรู้สำนึกถึงสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว และสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเหมือนอย่างมนุษย์กระนั้นไหม?
ตามที่เราทราบกันอยู่แล้ว มนุษย์สามารถรำพึงถึงสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วนั้นได้ และสามารถวางแผนสำหรับอนาคตได้. ภายในบ้านเฉพาะตัวของเขาเองนั้น เขาสามารถคิดย้อนหลังไปถึงสมัยที่เขายังอยู่ในวัยเด็กได้ อาทิเช่น การพูดตลกคะนองเฮฮาของตน ความไม่สมหวัง ความผิดพลาดล้มเหลว ความสำเร็จผล และความปีติร่าเริง. เขาสามารถวางแผนดำเนินการสำหรับอนาคตได้—เช่น การสร้างบ้านใหม่ การซื้อเครื่องประดับบ้าน การตัดสินใจในเรื่องประเภทของการศึกษาที่เขาต้องการจะให้ลูก ๆ ของเขาได้รับ และอื่น ๆ อีกเป็นต้น. แต่ว่ายกตัวอย่างเช่น สุนัขจะสามารถรำพึงได้ไหมถึงเวลาระหว่างที่มันยังเป็นลูกสุนัขอยู่ รำพึงถึงเด็ก ๆ ที่เล่นกับมันในตอนนั้น ถึงคราวที่มันเติบโตเต็มขนาดและมีการสัดกันในตอนนั้น? ในหนังสือแอนิมั่ลส์ อาร์ ไควท์ ดิฟเฟอร์เร่นท์ ของแฮนซ์ บาเว่อร์ เขาบอกถึงผลของการตรวจตราค้นคว้าดังนี้:
“สุนัขจำเป็นจะต้องได้มีการกระตุ้นประสาทอยู่เสมอไป เพื่อที่จะทำให้มันสามารถปลุกเหตุการณ์ในอดีตมาสู่สมองได้. พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ในโอกาสหนึ่งมันอาจถูกพาไปยังจังหวัดหนึ่งซึ่งไม่เคยชินมาก่อน ซึ่งมันได้ผ่านประสบการณ์บางอย่าง หรืออะไรอื่น ๆ. หลังจากที่กลับถึงบ้านแล้ว มันก็จะลืมความรู้สึกตื่นเต้นจับใจต่าง ๆ ที่ได้รับในตอนนั้นเสียทีเดียว. แต่ถ้ามันกลับไปยังจุดเดียวกันนั้นอีกมันก็จะรำลึกขึ้นได้. อันที่จริงลักษณะพิเศษและความได้เปรียบของมนุษย์เมื่อเทียบกับโครงร่างในทางความคิดของสัตว์คือว่าสิ่งซึ่งความจำของมนุษย์บรรจุไว้นั้นไม่ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละวันเท่านั้น แต่ฝังอยู่ในกระแสแห่งความรู้สำนึกโดยทั่วไป.”
ดังนั้น จึงไม่เหมือนกันกับมนุษย์ คือสัตว์ไม่สามารถที่จะระลึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในครั้งอดีตได้โดยตั้งใจ.
แต่สัตว์จะสามารถวางแผนล่วงหน้าไว้สำหรับอนาคตได้ไหม? เช่น สัตว์จำพวกหนูก็ดี มดบางจำพวกก็ดี กระรอกและสัตว์อื่น ๆ อีกย่อมสะสมหรือซ่อนเสบียงอาหารไว้สำหรับใช้ในคราวต่อไปมิใช่หรอกหรือ? ทั้งนี้ย่อมเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าสำหรับอนาคตเพื่อจะได้ไม่ต้องประสบความขาดแคลนในฤดูหนาวมิใช่หรอกหรือ? นักประพันธ์ผู้ซึ่งได้ออกนามมาแล้วนั้นบอกว่า “เปล่าเลย” และเขาได้ให้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนดังนี้:
“สัตว์เหล่านั้นหารู้ไม่ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ และทำไมจึงทำเช่นนั้น. มันกระทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น ข้อพิสูจน์ก็คือว่าแม้แต่สัตว์ที่ถูกเอาไปให้ห่างจากพ่อแม่ของมันตั้งแต่อายุน้อย ๆ และเอาเลี้ยงไว้ในกรงก็ยังเริ่มต้นมี ‘การเก็บสะสม’ ในฤดูใบไม้ร่วงเช่นกัน. สัตว์นั้นไม่เคยได้รู้จักกับสภาพแห่งฤดูหนาวมาก่อน และก็จะไม่ถูกกีดกันไว้จากอาหารในเดือนต่อ ๆ ไปด้วย. แต่กระนั้น การที่มัน ‘สะสม’ ก็เพื่อให้เป็น ‘การสะสม’ เอาไว้เท่านั้นเอง.”
สรุปเรื่องความผิดแผกกัน ระหว่างมนุษย์กับสัตว์นั้น เขากล่าวดังนี้:
เพราะฉะนั้น โลกแห่งสัตว์เดรัจฉานจึงเป็นโลกแห่งเวลาปัจจุบันตามความหมายที่ตรงกับคำนั้นอย่างที่สุด. เพราะเราจะทำให้สัตว์เหล่านั้นหันเหไปจากสิ่งที่น่าสนใจที่สุดได้อย่างง่ายดายโดยสิ่งอื่น ๆ ซึ่งทำให้เป็นที่ต้องตาต้องใจมากขึ้นในเวลานั้นและก็จะไม่หันกลับไปเอาใจใส่ในสิ่งเดิมนั้นอีกเลย.”
ดังนั้นแล้ว จึงเป็นความจริงที่ว่ามนุษย์เท่านั้นที่มีความคิดเห็นในเรื่อง “เวลาซึ่งไม่มีกำหนดแน่นอน” มีความสามารถในการรำพึงถึงกาลอดีตและใคร่ครวญดู แล้วจึงวางแผนขึ้นไว้สำหรับอนาคต.
ด้วยเหตุที่สัตว์เดรัจฉานรู้สำนึกถึงแค่ปัจจุบันเท่านั้น เช่นนั้นแหละการตายของสัตว์จึงเป็นที่กระจ่างแจ้งอยู่ว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดเหมือนอย่างการตายของมนุษย์. ปรากฏว่าสัตว์แสดงผลกระทบต่อการตายเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เป็นไปตามธรรมดา.
ขอให้นึกถึงกรณีที่มีผู้รู้เห็นเป็นพยาน ณ สวนสาธารณะเซเรงเกติแห่งชาติเกี่ยวด้วยสิงโตตัวเมียตัวหนึ่งกับลูกอ่อนสามตัวของมัน. ขณะที่สิงโตตัวเมียนั้นไม่อยู่ มันเอาลูกเล็ก ๆ ไปซ่อนไว้ในพงที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น. ครั้นแล้วก็มีสิงโตตัวผู้สองตัวมาจากแคว้นอีกแคว้นหนึ่ง. ครั้นแลเห็นลูกสิงโตเล็ก ๆ ที่ถูกนำไปซ่อนไว้นั้น มันจึงฆ่าตายเสียหมดทั้งสามตัว. แล้วกินเข้าไปตัวหนึ่ง ส่วนอีกตัวหนึ่งก็ลากเอาไป และทิ้งตัวที่สามไว้. เมื่อสิงโตตัวเมียนั้นกลับมาและแลเห็นลูกซึ่งตายแล้วที่ยังเหลืออยู่เช่นนั้น มันทำอย่างไร? มันมิได้แสดงความรู้สึกเศร้าสลดแต่อย่างใด นอกจากสูดกลิ่นซากของลูกซึ่งตายไปแล้วที่เหลืออยู่เท่านั้น—และครั้นแล้วก็ขม้ำเข้าไปเลย.
เป็นที่น่าเอาใจใส่เช่นกันว่าสัตว์ที่สิงโตกินเป็นอาหารนั้นจะไม่แสดงผลกระทบด้วยความตกใจขณะที่มองเห็นสิงโตในระยะทางซึ่งอยู่ห่างไกลพอดู. ครั้นสิงโตได้เอาเหยื่อไปเป็นอาหารเสียครั้นหนึ่งแล้ว ไม่ช้าไม่นานฝูงสัตว์ทั้งปวงก็จะกลับเข้ามาประจำท้องที่ของมันตามปกติดังเดิม. แท้จริงแล้วสัตว์ที่เป็นเหยื่ออาจจะเข้ามาอยู่ภายในระยะทางร้อยยี่สิบฟุตจากสิงโตซึ่งสัตว์นั้นมองเห็นได้.
มนุษย์มีปฏิกิริยาต่อความตายในฐานะเป็นอะไรบางอย่างที่ผิดธรรมชาติ
มนุษย์มีปฏิกิริยาซึ่งแตกต่างไปจริง ๆ ต่อความตาย! สำหรับคนส่วนใหญ่นั้น ความตายของภรรยาก็ดี สามีหรือลูกก็ดี ย่อมเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนมากที่สุดตลอดชีวิต. นิสัยและอารมณ์ที่แท้จริงของคนเราได้รับความสะดุ้งสะเทือนอยู่เป็นเวลานาน หลังจากผู้ซึ่งตนรักอย่างสุดสวาทตายไปนั้น.
แม้แต่บุคคลเหล่านั้นที่อ้างว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์ก็ดี ก็ยังรู้สึกยากที่จะยอมรับเอาความคิดที่ว่า ความตายของตนเองนั้นจะหมายความถึงจุดจบของทุกสิ่งทุกอย่าง. วารสาร ดะ เจอร์นั่ล อ็อฟ ลีกัล เมดิซิน กล่าวดังนี้: “บรรดาจิตแพทย์ทั้งหลายต่างก็เห็นพ้องลงรอยกันทั่วไปว่า การปฏิเสธอย่างไม่รู้สึกตัวในเรื่องความตายนั้นมีจริง แม้แต่ขณะที่ดูเหมือนว่าความตายเกือบจะมาถึงอยู่แล้วเสียด้วยซ้ำ.” ยกตัวอย่าง หนุ่มคนหนึ่งผู้ยอมรับอย่างเปิดเผยว่าตนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้านั้น แถลงเอาไว้ก่อนการประหารชีวิตของเขาว่า จากแง่คิดตามหลักแห่งเหตุผล การตายของเขา ‘ไม่ได้หมายความอะไรมากไปกว่าการสิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาดแห่งชีวิตอันสั้น หากแต่รุนแรงจริง ๆ.’ แต่ครั้นแล้วเขาให้ข้อสังเกตว่าเป็นการยากเสียจริง ๆ ในการที่เขาจะ ‘ยอมรับได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาพความดับศูนย์.’
มนุษย์มีความปรารถนาที่แรงกล้าจริง ๆ ที่จะมีส่วนในกิจกรรมแห่งวันข้างหน้าต่อไป จนกระทั่งบางคนถึงกับเตรียมการเอาไว้เพื่อทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาพแข็งตัวด้วยความเย็นขณะที่สิ้นลมหายใจนั้น. ในตอนแรกอาจจะต้องใช้เงินถึง 170,000 บาท และยังจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกปีละ 20,000 บาท เพื่อดูแลให้ร่างกายนั้นได้รับการแช่เย็นเอาไว้. การที่กระทำเช่นนี้ก็ด้วยมีความหวังว่าพวกนักวิทยาศาสตร์จะสามารถนำเขาให้กลับคืนสู่ชีวิตได้อีกในที่สุด. แน่ทีเดียว ไม่มีพวกนักวิทยาศาสตร์ที่ไหนเลยในปัจจุบันนี้ที่นับว่าจวนจะได้รับผลสำเร็จในเรื่องเช่นนั้น. กระนั้นก็ดี ความคิดนึกที่ว่าสิ่งนี้อาจมีทางเป็นไปได้นั่นเอง จึงพอที่จะกระตุ้นบุคคลบางคนให้จัดเตรียมการปกปักรักษาร่างกายของตนไว้ด้วยการยอมสละเงินทองอย่างมากมาย.
ด้วยเหตุที่มนุษย์รู้สึกเป็นการยากที่จะยอมรับว่าการตายคือจุดจบของทุกสิ่งทุกอย่างนั่นเอง คนเราทั่ว ๆ ไปทุกหนทุกแห่งจึงมีความปรารถนาที่จะให้มีการรำลึกอยู่เสมอถึงผู้ที่ตายไปแล้ว และการจัดการเกี่ยวกับศพอย่างถูกต้องตามระเบียบแบบแผน. หนังสือ ฟิวเนอรัล คัสทั่ม ดะ เวิลด์ โอเว่อร์ ให้ข้อสังเกตดังนี้:
“ไม่มีกลุ่มชนใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนที่ป่าเถื่อน หรือที่มีอารยธรรมมากน้อยเพียงไรก็ตามที่ถูกปล่อยไว้โดยลำพัง ซึ่งจะไม่จัดการกับศพแห่งสมาชิกของตนด้วยพิธีรีตอง. การจัดการกับศพด้วยพิธีรีตองนั้นเป็นความจริงโดยทั่วไปถึงขนาดซึ่งดูเหมือนมีเหตุผลที่จะลงความเห็นว่าการปฏิบัติเช่นนี้ออกมาจากธรรมชาติของมนุษย์. การปฏิบัติเช่นนี้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นสิ่งปกติ มีเหตุผล. การปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ความต้องการที่ลึกซึ้งทั่ว ๆ ไปได้รับความพอใจ. การปฏิบัติตามเช่นนี้ดูเหมือนว่า ‘ถูกต้อง’ และการไม่ปฏิบัติเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนเหล่านั้นที่เกี่ยวพันอยู่ใกล้ชิด เนื่องด้วยครอบครัว ความรู้สึก การมีชีวิตอยู่ร่วมกัน มีประสบการณ์ด้วยกัน หรือเครื่องผูกมัดอื่น ๆ นั้นดูเหมือนว่า ‘ไม่ถูก’ การละเว้นเสียอย่างผิดธรรมชาติเป็นเรื่องที่จะต้องมีการขอตัวหรือรู้สึกมีความละอาย.”
หนังสือนี้ลงความเห็นอย่างไรเนื่องจากขนบธรรมเนียมที่มีการปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางทั่วไปในเรื่องการปลงศพนั้น? หนังสือนี้มีกล่าวต่อไปดังนี้:
“ฉะนั้น ข้อนี้จึงเป็นความจริงถึงขนาดที่ การจำกัดความหลายอย่างต่าง ๆ กันของมนุษย์นั้นอาจมีการเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง เข้าไปก็ได้. มนุษย์คือสัตว์โลกที่ฝังคนตายของตนด้วยพิธีรีตอง.”
กระนั้นก็ดี แม้จะมีอะไร ๆ ทั้งหมดเช่นนี้ก็ตาม ขณะที่ชั่วอายุคนเข้ามาแล้วก็ผ่านไป คนที่ตายไปแล้วนั้นในที่สุดใคร ๆ ก็ลืมเขาเสียทั้งหมด แม้แต่บุคคลเหล่านั้นผู้ซึ่งสร้างชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์หลาย ๆ ศตวรรษมาแล้วก็ดี ในฐานะเป็นบุคคลก็ยังค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำทุก ๆ วันของคนเป็น. อิทธิพลของเขาเหนือคนอื่น ๆ ก็เป็นอันหมดสิ้นไป. ยกตัวอย่างพวกผู้ปกครองที่เรืองอำนาจในสมัยโบราณดังเช่น นะบูคัดเนซัร อะเล็กซานเดอร์มหาราช และจูเลียซ ซีซาร์ เป็นต้นหาได้กระทบกระเทือนชีวิตประจำวันของเราในเวลานี้ไม่ ถึงแม้จะได้กระทบกระเทือนชีวิตของหลาย ๆ ล้านคนซึ่งอยู่ในสมัยเดียวกันกับเขามาแล้วนั้นก็ตาม. ความจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้คือ ข้อที่ว่าคนเราเมื่อตายไปแล้ว ครั้นได้เวลาเข้าก็ถูกใคร ๆ หลงลืมเสียเช่นนั้น ท่านผู้มีสายตาไกลด้วยความฉลาดสุขุม ผู้จารึกพระคัมภีร์ท่านผู้ประกาศ ก็ได้ยอมรับดังนี้: “ไม่มีการจดจำรำลึกถึงคนเหล่านั้น ที่จะมาในภายหลังเหมือนกัน. จะปรากฏว่า จะไม่มีการจดจำรำลึกถึงเขา แม้แต่ในจำพวกคนเหล่านั้นที่จะยังคงมาภายหลังต่อไป.” (ท่านผู้ประกาศ 1:11) ข้อเท็จจริงนั้นทีเดียวแหละที่มนุษย์พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างภายในขอบเขตแห่งอำนาจของตนเพื่อจะได้ให้มีการรำลึกถึงทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่า ในที่สุดใคร ๆ ก็จะลืมตนเสียเช่นนั้นย่อมเผยให้เห็นว่าความปรารถนาของเขาที่จะมีชีวิตอยู่แม้แต่โดยที่มีการระลึกถึงบ้างเช่นนั้นก็เป็นไปโดยสันดาน.
การตายของมนุษย์ดูเหมือนว่าไม่มีเหตุผล
เมื่อพิจารณาถึงปฏิกิริยาทั่วไปของมนุษย์ต่อความตายนั้นแล้ว ขีดแห่งความสามารถอันน่าพิศวงของเขาในเรื่องความทรงจำ และความสามารถในการเรียนรู้ และความรู้สำนึกภายในของเขาเกี่ยวด้วยอนาคต อันไม่มีที่สิ้นสุดนั้นยังไม่เป็นที่กระจ่างแจ้งหรอกหรือว่าตนถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่? เพียงแต่เมื่อเรายอมรับเอาคำชี้แจงของพระคัมภีร์ที่ว่า สภาพการตายปัจจุบันนี้ของมนุษย์นั้นไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระดำริดั้งเดิมของพระเจ้าเลยเช่นนั้นแล้ว เราก็จะสามารถเข้าใจเหตุผลได้จากสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมิฉะนั้นแล้วก็จะคงเป็นที่น่าสนเท่ห์จริง ๆ. ขอให้เอาช่วงชีวิตของต้นไม้และสัตว์บางอย่างซึ่งขึ้นหน้าช่วงชีวิตของมนุษย์มากนักนั้นมาเป็นตัวอย่างกัน.
ต้นไม้อาจมีชีวิตอยู่ได้ตั้งหลายร้อยปี ต้นไม้บางอย่าง อาทิเช่นต้นไม้ตระกูลต้นสนที่ใหญ่โตและสูงมากกับต้นสนชนิดที่มีขนแข็งเป็นต้น นั้นมีอายุตั้งหลายพันปี. การที่เต่ายักษ์สามารถมีอายุอยู่ได้มากกว่า 150 ปี นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งผิดธรรมดา. ไฉนจึงเป็นเช่นนี้เล่า? เหตุไฉนต้นไม้ที่ปราศจากจิตใจ และเต่าซึ่งไม่รู้จักคิดนึกถึงเหตุผลจึงมีอายุยืนกว่ามนุษย์ผู้ซึ่งมีเชาวน์ฉลาดไหวพริบเช่นนั้นเล่า?
นอกจากนั้นความตายของมนุษย์ก็คือการสิ้นเปลืองไป อย่างที่น่าหวาดเสียวเหลือเกินมิใช่หรือ? ขณะที่เศษเล็กน้อยแห่งความรู้ และประสบการณ์ของมนุษย์นั้นอาจจะได้มีการถ่ายทอดต่อไปยังคนอื่น สิ่งเหล่านี้ส่วนมากที่สุดต้องสูญเสียไปเพื่อคนชั้นหลัง ๆ. ยกอุทาหรณ์เช่น คนเราอาจจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เด่น เป็นสถาปนิกที่เก่ง หรือนักดนตรี ช่างเขียน หรือช่างแกะสลักที่เชี่ยวชาญ. เขาอาจจะได้ฝึกสอนคนอื่น ๆ มาแล้ว. แต่เมื่อเขาตายไปนั้นไม่มีใครที่ได้รับคุณสมบัติและประสบการณ์ของเขาทั้งหมด. เขาอาจจะถึงกับกำลังอยู่ในขั้นปฏิบัติงานเพื่อการพัฒนาสิ่งใหม่บางอย่างขึ้น ภายหลังที่ได้มีการแก้ปัญหาต่าง ๆ หลายอย่างมาแล้ว. คนเหล่านั้นผู้ที่อาจได้รับประโยชน์จากความรู้และประสบการณ์นั้น เวลานี้ก็อาจจะต้องหาความรู้ด้วยวิธีทดลองทำ และเมื่อผิดก็ทดลองใหม่—และครั้นแล้วการงานของเขาเองก็ถูกตัดให้สั้นเข้าด้วยความตาย. โดยเหตุที่ขอบเขตแห่งความรู้นั้น ใหญ่โตจริง ๆ ไฉนเล่ามนุษย์จึงจะต้องตรากตรำทำงานภายใต้อุปสรรค ซึ่งมีการคร่าเอาคนที่มีความรู้ความชำนาญไปเสีย ด้วยเหตุที่ต้องกลายไปเป็นเหยื่อแห่งความตาย.
นอกจากนี้ การที่กล่าวว่ามนุษย์จะมีชีวิตอยู่บนพิภพนี้เพียงไม่กี่ปีและครั้นแล้วก็ต้องตายไปเช่นนั้น จะลงรอยกันกับความเชื่อในพระผู้สร้างองค์เปี่ยมด้วยความรักใคร่นั้นย่อมไม่ได้. ทำไมล่ะ? เพราะข้อนี้ย่อมจะหมายความว่า พระผู้สร้างทรงใฝ่พระทัยในเรื่องพันธุ์ไม้ซึ่งไม่มีเชาวน์ฉลาด ไหวพริบบางอย่าง และสัตว์ที่พูดไม่ได้บางอย่างยิ่งเสียกว่ามนุษย์ ที่สามารถแสดงออกซึ่งความรักและการรู้สำนึกถึงบุญคุณ. ยังหมายความอีกเช่นกันว่าในบรรดาสรรพสิ่งที่มีชีวิตนั้น พระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร เพียงเล็กน้อยต่อมนุษย์ซึ่งต้องได้รับความเสียหายอย่างสุดซึ้งที่สุดโดยความตาย.
จริงทีเดียว หากชีวิตมีอยู่แค่นี้ และถ้าแม้นพระเจ้าทรงดำริเอาไว้เช่นนี้จริง ๆ แล้ว เราจะรักพระองค์จริง ๆ ได้อย่างไรกัน? เป็นความจริงเราจะถูกดึงให้เข้ามาใกล้ชิดผู้ซึ่งทำให้ไม่มีทางเป็นไปได้ในการที่ เราจะใช้ขีดแห่งความสามารถของเราอย่างเต็มที่นั้นได้อย่างไร? การที่จัดให้มีขีดแห่งความสามารถอย่างใหญ่โตเพื่อการเพิ่มขยายความรู้และครั้นแล้วก็ถูกยับยั้งไว้เสียจากการใช้ขีดแห่งความสามารถนั้น นี้จะมิเป็นความโหดร้ายหรือ?
อย่างไรก็ดี หากมนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่เรื่อยไปแล้วเขาจึงจำเป็นต้องได้รับคำตอบในเรื่องปัญหาที่ว่า เหตุใดมนุษย์จึงตายไป? และคำตอบอันเป็นที่จุใจนับว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เราเข้าใจเหตุผลของการที่พระเจ้าทรงยอมให้ความตายมาเรียกร้องเอามนุษย์ไปเป็นเหยื่อ นับเป็นเวลาตั้งหลายพันปี. เช่นนี้ก็อาจจะขจัดเสียซึ่งอุปสรรคสำคัญที่กีดขวางหนทางของการที่คนเราจะเข้ามาสู่สายสัมพันธ์อย่างดีกับพระผู้สร้างและได้รับความหมายที่แท้จริงและความพอใจเพลิดเพลินจากชีวิตเวลานี้.
แต่ว่าเราจะแน่ใจได้อย่างไรในเรื่องเหตุผลของความตาย?
[รูปภาพหน้า 32]
ช่วงชีวิตอันสั้นของมนุษย์มีเหตุผลไหม?
แม้จะมีขีดแห่งความสามารถอันน่าพิศวงเช่นนั้นก็ตาม มนุษย์ก็ยังมีชีวิตอยู่เพียง 70 หรือ 80 ปี เท่านั้น
แม้แต่หงส์ก็เป็นที่ทราบกันว่า มีชีวิตอยู่ได้ตั้งกว่า 80 ปี
ถึงแม้นจะเป็นสัตว์ที่ไม่มีเชาวน์ฉลาดไหวพริบก็ตาม เต่าก็ยังมีชีวิตอยู่ได้มากกว่า 150 ปี
ต้นไม้บางชนิดมีอายุยืนอยู่ได้ตั้งหลายพันปี