บท 14
เหตุใดหลายคนที่มีชีวิตอยู่เวลานี้จึงมีโอกาสที่จะไม่ตายเลย
เวลาสำหรับราชอาณาจักรของพระเจ้าที่จะเริ่มต้นบริหารการปกครองกิจธุระทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกใกล้จะถึงแล้ว. ท่านอาจจะอยู่ในจำพวกคนเหล่านั้นก็ได้ที่จะได้เห็นพระพรอันยอดเยี่ยมซึ่งราชอาณาจักรนั้นจะนำมาสู่มนุษยชาติ. นั่นมิใช่การอ้างสิทธิ์โดยไม่มีเหตุผล. มีพยานหลักฐานมากมายที่สนับสนุนเรื่องนี้ รวมทั้งพยานหลักฐานที่ท่านได้แลเห็นมาแล้วด้วยตนเองนั้นด้วย.
หลายร้อยปีมาแล้วพระยะโฮวาพระเจ้าเปิดเผยให้ทราบเวลาแน่นอนที่จะมอบตำแหน่งการปกครองไว้กับผู้ซึ่งพระองค์จะทรงตั้งให้เป็นกษัตริย์เหนือโลกแห่งมนุษยชาติ. ในการกระทำเช่นนั้น พระองค์ทรงใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ และถ่ายทอดข้อความบางส่วนโดยทางความฝัน.
การที่พระเจ้าทรงใช้วิธีการสื่อสารติดต่อเช่นนั้น เพื่อส่งข้อความสำคัญไปยังมนุษย์นั้นก็ไม่น่าจะทำให้เกิดความสงสัยขึ้น. โปรดคำนึงถึงวิธีที่มนุษย์ในสมัยปัจจุบันทำการถ่ายทอดข่าวเวลานี้ก็แล้วกัน. มีการส่งข่าวสารลึกลับผ่านเข้าไปในอวกาศด้วยระบบสัญญาณลับ ภายหลังจากนั้นข่าวสารด้วยระบบสัญญาณลับเหล่านี้ได้รับการแปลออกโดยมนุษย์หรือเครื่องจักรต่าง ๆ. การส่งข่าวคราวด้วยวิธีเช่นนี้ย่อมมีจุดมุ่งหมาย. วิธีนี้ย่อมจะปิดบังความหมายของข่าวคราวไว้จากคนเหล่านั้นที่ไม่มีสิทธิ์จะได้รับข่าวคราวนั้น ๆ.
ทำนองเดียวกัน การที่พระเจ้าทรงใช้ระบบสัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้นก็หาใช่ว่าปราศจากจุดมุ่งหมายไม่. การเข้าใจเกี่ยวกับระบบสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่นนั้นย่อมจำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างขยันหมั่นเพียร. แต่คนเป็นอันมากไม่ยินดีเต็มใจใช้เวลาเพื่อที่จะได้เข้าใจ เนื่องจากไม่มีความรักแท้ต่อพระเจ้าและต่อความจริง. ด้วยเหตุนี้ “ความลับอันศักดิ์สิทธิ์เรื่องราชอาณาจักร” จึงยังคงถูกปิดซ่อนไว้เสียจากเขา.—มัดธาย 13:11-15.
ความฝันอันเป็นเชิงพยากรณ์ในสมัยโบราณ
“ความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างหนึ่งแห่งบรรดาความลึกลับเหล่านั้น มีบรรจุไว้ในพระธรรมดานิเอล. หนังสือเล่มนั้นจัดเตรียมจุดสำคัญในเรื่องการกำหนดเวลาเอาไว้เพื่อมอบพระราชอำนาจให้แก่กษัตริย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดขึ้นไว้. ในบทที่สี่ของหนังสือเล่มนั้น ท่านจะเห็นซึ่งการบรรยายถึงความฝันของนะบูคัดเนซัรกษัตริย์แห่งบาบุโลนอันเป็นความฝันซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า. เจตนาหรือจุดมุ่งหมายของความฝันนี้และผลสำเร็จสมจริงนั้นคืออย่างไร? ประวัติบันทึกแจ้งไว้ดังนี้:
“เพื่อคนมีชีวิตอยู่จะได้ทราบว่า ท่านผู้สูงสุดทรงเป็นผู้ครอบครองในราชอาณาจักรของมนุษย์ และจะประทานราชอาณาจักรนั้นให้แก่ผู้ที่พระองค์พอพระทัยจะประทานให้ และจะทรงตั้งคนต่ำต้อยที่สุดในหมู่มนุษยชาติให้ครอบครองเหนืออาณาจักรนั้น.”—ดานิเอล 4:17.
ใจความของคำฝันนั้นมีหลักเกณฑ์ดังนี้: มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกโค่นลงตามคำสั่งของทูตสวรรค์ “องค์บริสุทธิ์” องค์หนึ่ง. ครั้นแล้วจึงเอาปลอกสวมตอไม้นั้นไว้เพื่อป้องกันมิให้ต้นอ่อนงอกขึ้นมา. ให้คงมีปลอกสวมไว้เช่นนี้ท่ามกลาง “ต้นหญ้าแห่งทุ่งนา” เป็นเวลา “เจ็ดวาระ.”—ดานิเอล 4:13-16.
คำฝันนี้หมายความว่าอย่างไร? คำอธิบายของผู้พยากรณ์ดานิเอลที่ให้แก่นะบูคัดเนซัรโดยได้รับการดลบันดาลนั้นมีดังต่อไปนี้:
“ต้นไม้ที่ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็น . . . ข้าแต่ราชา ต้นไม้ต้นนั้นได้แก่ฝ่าพระบาทเอง เพราะฝ่าพระบาทได้ทรงพระเจริญมีพลานุภาพและศักดานุภาพใหญ่ยิ่งจริง จนรัชของฝ่าพระบาทจดฟ้าสวรรค์และตำแหน่งการปกครองของพระองค์แผ่ไปจนกระทั่งสุดปลายพิภพ.
“และตามที่พระราชาได้เห็นผู้พิทักษ์ คือองค์บริสุทธิ์ลงมาจากสวรรค์ผู้ซึ่งตรัสเช่นกันว่า ‘จงโค่นต้นไม้นั้นลงและทำลายเสีย. อย่างไรก็ดี จงให้เหลือแต่ตอติดดินไว้ แต่ให้เอาปลอกเหล็กและปลอกทองแดงสวมไว้เสีย ปล่อยให้อยู่ท่ามกลางหญ้าสดในทุ่งนา และปล่อยให้เปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ และให้อยู่ร่วมกับสัตว์ในทุ่งนาจนกระทั่งเจ็ดวาระผ่านไป’ ข้าแต่ราชา ต่อไปนี้เป็นคำแก้พระสุบิน คือคำพิพากษาชี้ขาดมาจากพระผู้สูงสุด ซึ่งจำต้องตกอยู่แก่พระราชานายของข้าพระบาท. และฝ่าพระบาทจะถูกไล่ไปเสียจากท่ามกลางมนุษย์ และฝ่าพระบาทจะอาศัยอยู่กับสัตว์ในทุ่งนา เขาจะให้หญ้าแก่ฝ่าพระบาท และฝ่าพระบาทจะเสวยหญ้าเหมือนอย่างโค และจะปล่อยให้ฝ่าพระบาทเปียกด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกระทั่งเจ็ดวาระจะผ่านพ้นฝ่าพระบาทไป จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าพระผู้สูงสุดนั้นคือผู้ครอบครองในราชอาณาจักรมนุษยชาติ และพระองค์จะประทานราชอาณาจักรนั้นให้แก่ผู้ที่พระองค์พอพระทัย.
“และเหตุที่มีรับสั่งให้เหลือตอติดดินไว้นั้น ก็เป็นที่แน่ใจว่าฝ่าพระบาทจะได้ราชอาณาจักรของฝ่าพระบาทกลับคืนหลังจากที่ฝ่าพระบาทเรียนรู้ว่าฟ้าสวรรค์ทำการครอบครองอยู่.”—ดานิเอล 4:20-26.
ดังนั้น คำฝันนี้ก็ได้มีผลสำเร็จสมจริงในตอนแรกกับกษัตริย์นะบูคัดเนซัร. เพราะว่านะบูคัดเนซัรกลายเป็นคนวิกลจริตไปเป็นเวลา “เจ็ดวาระ” หรือเจ็ดปีตามตัวอักษร. อย่างไรก็ดี อาณาจักรของท่านก็ได้รับการป้องกันรักษาไว้ให้ปลอดภัยสำหรับท่าน ครั้นจิตใจกลับคืนสู่สภาพเป็นปกติแล้ว ท่านก็ได้เข้าครองตำแหน่งเป็นกษัตริย์อีก.—ดานิเอล 4:29-37.
ตำแหน่งกษัตริย์ของ “ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่มนุษยชาติ”
แต่ว่าเรื่องราวละเอียดเกี่ยวกับต้นไม้ที่ถูกโค่นลงนี้หาใช่ว่าถูกจำกัดให้มาสำเร็จผลสมจริงกับกษัตริย์นะบูคัดเนซัรเท่านั้นไม่. เราทราบข้อนี้ได้อย่างไร? เพราะว่าตามที่มีแจ้งไว้ในภาพนิมิตนั้นเอง ภาพนิมิตนั้นบรรยายถึงอาณาจักรของพระเจ้าและตำแหน่งการปกครองโดยผู้ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดเอาไว้. และใครคือผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เพื่อตำแหน่งกษัตริย์นั้น? และคำตอบที่ทรงให้แก่กษัตริย์นะบูคัดเนซัรนั้นคือ: “ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่มนุษยชาติ.”—ดานิเอล 4:17.
ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าลักษณาการแห่งความต่ำต้อยนั้นไม่เคยมีปรากฏอยู่ในพวกผู้ครอบครองที่เป็นมนุษย์ทางฝ่ายการเมืองเลย. บรรดารัฐบาลของมนุษย์และผู้ครอบครองทั้งหลายต่างก็ยกตัวขึ้นให้สูงเด่นและสร้างประวัติการณ์อันไม่น่าปรารถนาขึ้นไว้เพื่อตัวเอง ทำการสู้รบกันและกันแบบกระหายเลือด. เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นสิ่งแปลกในการที่พระคัมภีร์เปรียบเทียบรัฐบาลอันไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์หรืออาณาจักรทั้งหลายนั้นเป็นเสมือนหนึ่งสัตว์ร้าย และเผยให้เห็นว่าในที่สุดตำแหน่งการปกครองของรัฐบาลเหล่านั้นทั้งหมดก็จะต้องถูกกีดกันให้ออกไปเสียทีเดียว. (ดานิเอล 7:2-8) ในเรื่องที่ว่าใครจะสวมตำแหน่งแทนพวกเหล่านั้น พระคัมภีร์บันทึกคำพูดของผู้พยากรณ์ดานิเอลดังต่อไปนี้:
“ข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตคืนนั้น และดูนั่นแน่ะ! มีผู้หนึ่งเหมือนอย่างบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยเมฆแห่งท้องฟ้า แล้วเข้ามาหาท่านผู้ทรงพระชนม์แต่เบื้องบรรพ์ แล้วเขาก็พาผู้นั้นให้เข้ามาใกล้แม้กระทั่งตรงพระพักตร์ท่านผู้นั้น. และท่านผู้นั้นก็ได้รับมอบตำแหน่งการเป็นผู้ครอบครองและเกียรติศักดิ์และอาณาจักร เพื่อปวงประชาชาติกลุ่มประเทศทั้งหลายและภาษาต่าง ๆ ล้วนแต่จะปรนนิบัติท่าน. ตำแหน่งการเป็นผู้ครอบครองของท่านนั้นจะเป็นตำแหน่งที่ถาวรอย่างไม่มีเวลากำหนดซึ่งจะไม่รู้จักล่วงลับไปได้ และอาณาจักรของท่านจะเป็นอาณาจักรที่จะไม่มีวันถูกนำไปสู่ความหายนะล่มจมได้.”—ดานิเอล 7:13, 14.
ท่านผู้นั้นที่มีพรรณนาไว้ที่นี่หาใช่ผู้ใดอื่นไม่ เว้นแต่พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระคัมภีร์ระบุไว้ในฐานะที่เป็นทั้ง “บุตรมนุษย์” และเป็น “กษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งหลาย.” (มัดธาย 25:31; วิวรณ์ 19:16) พระองค์เต็มพระทัยสละตำแหน่งอันสูงเยี่ยมของพระองค์ในสวรรค์และมาเป็นมนุษย์ “ต่ำกว่าทูตสวรรค์หน่อยหนึ่ง.” (เฮ็บราย 2:9; ฟิลิปปอย 2:6-8) พระเยซูคริสต์ในฐานะที่เป็นมนุษย์ถึงแม้ว่าถูกกระทำให้เกิดความโกรธเคืองอย่างสุดประมาณก็ตาม พระองค์ก็พิสูจน์แสดงตนเป็นผู้ที่ “อ่อนสุภาพและใจถ่อม.” (มัดธาย 11:29) “ขณะที่พระองค์ทรงทนรับทุกข์ทรมานนั้น พระองค์มิได้ขู่ตวาด แต่ทรงฝากตัวไว้กับพระองค์ผู้นั้นผู้ทรงพิพากษาโดยชอบธรรม.”—1 เปโตร 2:23.
มนุษย์โลกมองดูพระเยซูในฐานะเป็นผู้ที่ไม่มีคนนับหน้าถือตา ไม่ยอมที่จะให้เกียรติพระองค์อย่างที่พระองค์สมควรได้รับ. สถานการณ์เป็นไปอย่างที่ได้มีบอกล่วงหน้าไว้โดยยะซายาผู้พยากรณ์ดังนี้: “ท่านถูกมนุษย์ดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง เป็นคนที่ต้องได้รับความเจ็บปวดคุ้นเคยกับความเจ็บไข้. ดูประหนึ่งว่าเป็นคนซึ่งใคร ๆ ก็เบือนหน้าหนี. ท่านถูกดูหมิ่นและเราทั้งหลายมองดูท่านราวกับเป็นคนที่ไม่มีใครนับถือ.”—ยะซายา 53:3.
ไม่มีข้อที่น่าสงสัยได้เลยว่าคำพรรณนาที่กล่าวถึง “คนต่ำต้อยที่สุดในหมู่มนุษยชาติ” นั้นนับว่าเหมาะพอดีกับพระเยซู. เนื่องจากเหตุนี้ความฝันอันเป็นเชิงพยากรณ์เกี่ยวด้วยต้นไม้ที่ถูกโค่นลงนั้นจึงจะต้องได้ชี้ไปยังสมัยเมื่อพระองค์จะได้รับตำแหน่งผู้ครอบครองเหนือโลกแห่งมนุษยชาติ. พฤติการณ์นี้จะเป็นไปในตอนสิ้นสุดลงแห่งระยะเวลา “เจ็ดวาระ.” “วาระ” เหล่านี้เป็นเวลานานเท่าไร? จะสิ้นสุดลงเมื่อไร?
ความยาวนานของ “เจ็ดวาระ”
เป็นระยะเวลาหกร้อยกว่าปีภายหลังความฝันของนะบูคัดเนซัร พระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏตัวป่าวประกาศว่า “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์” มาถึงแล้ว (มัดธาย 4:17) พระองค์สามารถกล่าวเช่นนี้ได้ก็เพราะพระองค์อยู่ ณ ที่นั่นในฐานะเป็นกษัตริย์ผู้ได้รับการกำหนดขึ้นไว้. แต่ว่าในตอนนั้นพระองค์ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งกษัตริย์ครอบครองเหนือโลกแห่งมนุษยชาติ. ด้วยเหตุนี้ในโอกาสหนึ่งคราวเมื่อคนอื่น ๆ ลงความเห็นผิดไปว่า “ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นโดยพลัน” นั้น พระเยซูคริสต์จึงได้ยกอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งขึ้นมากล่าวเพื่อแสดงให้ทราบว่าจะต้องได้เป็นระยะเวลานานก่อนที่พระองค์จะได้รับขัตติยอำนาจเช่นนั้น. (ลูกา 19:11-27) เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าในความสำเร็จสมจริงขนาดที่ใหญ่โตกว้างขวางมากกว่าเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของดานิเอลนั้น “เจ็ดวาระ” ย่อมจะหมายถึงสมัยหนึ่งซึ่งหาใช่เวลาเพียงเจ็ดปีเท่านั้นไม่ หากแต่เป็นเวลาหลายร้อยปีทีเดียว.
พยานหลักฐานปรากฏว่า “เจ็ดวาระ” เหล่านี้เท่ากับเวลา 2,520 วันกล่าวคือ เจ็ดปีอันเป็นไปในทำนองพยากรณ์นั้น หรือแต่ละปี ๆ มี 360 วัน. ข้อนี้ก็ได้มียืนยันว่าเป็นความจริงในตอนอื่น ๆ ของพระคัมภีร์ที่กล่าวพาดพิงถึง “วาระ” “เดือน” และ “วัน.” ยกตัวอย่างเช่น วิวรณ์ 11:2 พูดถึงระยะเวลา “สี่สิบสองเดือน” หรือสามปีครึ่ง. ในข้อต่อไปก็ได้มีกล่าวถึงระยะเวลาอันเดียวกันนี้ว่าเป็นเวลา “พันสองร้อยหกสิบวัน.” บัดนี้ถ้าหากท่านจะเอา 1,260 วันมาแบ่งส่วนด้วย 42 เดือน ท่านก็จะได้เดือนละ 30 วัน เพราะฉะนั้น ปีหนึ่งซึ่งมี 12 เดือนย่อมจะมีระยะเวลานาน 360 วัน. เมื่อยึดเอาข้อนี้เป็นหลักแล้ว “เจ็ดวาระ” หรือเจ็ดปีก็จะเป็นระยะเวลานาน 2,520 วัน (7x360).
ความถูกต้องในเรื่องการคำนวณเช่นนี้ได้รับการสนับสนุนโดยพระธรรมวิวรณ์ 12:6, 14 ในประการที่มีกล่าวถึงเวลา 1,260 วันซึ่งเท่ากับ “วาระหนึ่งและหลายวาระและกึ่งวาระ” หรือมิฉะนั้นก็สามวาระครึ่ง (“สามปีครึ่ง” เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล). เจ็ดคือสองเท่าตัวของสามกับอีกครึ่งหนึ่ง “เจ็ดวาระ” จึงเท่ากับ 2,520 วัน (2x1,260).
แน่ทีเดียว เพราะวาระเหล่านั้นเกี่ยวเนื่องกับการที่พระเยซูจะได้รับตำแหน่งกษัตริย์ปกครองเหนือโลกแห่งมนุษยชาติ “เจ็ดวาระ” ในคำพยากรณ์ของดานิเอลนั้นจึงกินเวลามากกว่าระยะเวลา 2,520 วันซึ่งวันหนึ่ง ๆ นั้นมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง. มีหนทางใดไหมที่จะค้นคว้าดูให้รู้แน่ว่า แต่ละวันของ “วัน” เหล่านี้มีระยะนานเท่าไร? มีหลักเกณฑ์ของพระคัมภีร์สำหรับวันซึ่งใช้เป็นเชิงพยากรณ์มีดังนี้คือ: “วันหนึ่งจะเป็นปีหนึ่ง.” (อาฤธโม 14:34; ยะเอศเคล 4:6) โดยเอาหลักเกณฑ์ข้อนี้มาใช้กับ “เจ็ดวาระ” เราจึงแลเห็นว่าวาระเหล่านี้เมื่อสรุปแล้วก็มีจำนวน 2,520 ปี.
ตอนเริ่มต้นแห่งเวลา “เจ็ดวาระ”
ครั้นมาทราบระยะเวลานานของ “เจ็ดวาระ” เข้าแล้ว บัดนี้เราจึงอยู่ในฐานะที่จะสืบค้นดูว่าระยะเวลานั้นเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร. เราก็จะหันมาเอาใจใส่อีกทีกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนะบูคัดเนซัร อันเป็นความสำเร็จผลตามความฝันซึ่งเป็นการพยากรณ์เรื่องต้นไม้ที่ถูกโค่นลงนั้น. ขอให้พิจารณาดูสถานการณ์ของเขาดังต่อไปนี้:
คราวที่นะบูคัดเนซัรเสียสติไปนั้น เขามีอำนาจปกครองไปทั่วโลก เพราะในสมัยนั้นบาบุโลนเป็นประเทศที่มีอานุภาพหมายเลขหนึ่งบนแผ่นดินโลกนี้. ในกรณีของนะบูคัดเนซัรนั้น การตัดต้นไม้อันมีความหมายเป็นนัยลงนั้นหมายถึงการเข้าขัดจังหวะชั่วคราวเกี่ยวกับการปกครองของเขาในฐานะเป็นผู้ครอบครองโลก.
ความมุ่งหมายทั้งหมดของการที่พระเจ้าทรงกระทำในกรณีของนะบูคัดเนซัรนั้นพาดพิงถึงการครอบครองโดยกษัตริย์องค์ซึ่งพระเจ้าเองทรงเลือกสรรไว้นั้น. เพราะฉะนั้นการที่นะบูคัดเนซัรสูญเสียบัลลังก์ของตนไปเป็นเวลา “เจ็ดวาระ” นั้นคงต้องมีความหมายเป็นนัยทีเดียว. มีความหมายเป็นนัยถึงสิ่งใด? หมายถึงการเข้าขัดจังหวะตำแหน่งผู้ครอบครองหรืออำนาจอธิปไตยตามวิธีเตรียมการของพระเจ้า โดยเหตุที่ในกรณีของนะบูคัดเนซัรดังที่กษัตริย์เองก็ได้ยอมรับอยู่แล้ว พระยะโฮวาพระเจ้าทรงเป็นผู้อนุญาตให้เขามีตำแหน่งเป็นผู้ครอบครองโลก และภายหลังจากนั้นจึงได้เอาฐานะตำแหน่งนั้น ๆ ไปเสียจากเขาเป็นการชั่วคราว. (ดานิเอล 4:34-37) ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับนะบูคัดเนซัรจึงคงต้องได้เป็นสัญลักษณ์แห่งการถอดอำนาจอธิปไตยไปเสียจากอาณาจักรของพระเจ้า. ด้วยประการฉะนี้ ต้นไม้นั้นเองจึงเป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจครอบครองแผ่นดินโลก.
สมัยหนึ่งรัฐบาลซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงยะรูซาเล็มนั้นเคยเป็นอาณาจักรของพระเจ้า. ได้มีกล่าวถึงบรรดาผู้ครอบครองซึ่งเป็นราชวงศ์ของดาวิดว่าประทับอยู่บน “พระที่นั่งของพระยะโฮวา” และได้รับคำสั่งให้ดำเนินการปกครองตามกฎหมายของพระองค์. (1 โครนิกา 29:23) เพราะฉะนั้นยะรูซาเล็มจึงเป็นแหล่งที่ตั้งแห่งรัฐบาลของพระเจ้าตามความหมายแห่งการแสดงเป็นตัวอย่าง.
ดังนั้นเมื่อชนชาติบาบุโลนภายใต้ความบังคับบัญชาของนะบูคัดเนซัรได้มาทำลายกรุงยะรูซาเล็มและดินแดนซึ่งอยู่ในความครอบครองนั้นถูกทำให้เริศร้างเปล่าเปลี่ยวไปโดยสิ้นเชิง ตำแหน่งการครอบครองโลกจึงตกไปอยู่ในมือของชนต่างชาติ โดยไม่มีการเข้าแทรกแซงใด ๆ จากอาณาจักรอันเป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจอธิปไตยของพระยะโฮวานั้นเลย. องค์บรมมหิศรผู้ยิ่งใหญ่ได้เหนี่ยวรั้งพระองค์เองไว้เสียจากการใช้ตำแหน่งการครอบครองของพระองค์ด้วยวิธีเช่นนี้. การเหนี่ยวรั้งพระองค์เองไว้จากการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือแผ่นดินโลกโดยอาณาจักรของพระองค์เช่นนี้จึงเปรียบประหนึ่งการเอาปลอกมาสวมตอไม้ที่เหลือนั้นไว้. เมื่อถึงคราวที่มีการเผาผลาญทำลายและทำให้มีการเริศร้างเปล่าเปลี่ยวโดยเด็ดขาดนั้น ยะรูซาเล็มในฐานะที่เป็นนครหลวงซึ่งเป็นตัวอย่างแสดงถึงการครอบครองด้วยอำนาจอธิปไตยของพระยะโฮวานั้นก็เริ่มถูก “เหยียบย่ำทำลาย.” เพราะฉะนั้น นั่นจึงหมายความว่าระยะเวลา “เจ็ดวาระ” ได้เริ่มต้นคราวเมื่อนะบูคัดเนซัรทำลายกรุงยะรูซาเล็ม และแผ่นดินยูดาก็ถูกทำให้เริศร้างว่างเปล่าไปโดยสิ้นเชิง. เหตุการณ์นั้น ๆ เกิดขึ้นเมื่อไร?
เราอาจจะเอาพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์ของโลกมาใช้เป็นหลักฐานก็ได้ว่าปี 607 ก่อน ส.ศ. คือปีที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น. พยานหลักฐานมีดังนี้:
บรรดานักประวัติศาสตร์ฝ่ายโลกมีการเห็นพ้องต้องกันว่าบาบุโลนได้ตกไปเป็นของไซรัส (โฆเรศ) ชาวเปอร์เซีย (ฟารัศ) ในปี 539 ก่อน ส.ศ. วันเวลานี้ได้มีการพิสูจน์แสดงหลักฐานโดยบทบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แห่งสมัยก่อนโน้นทั้งหมดเท่าที่หาได้. พระคัมภีร์เปิดเผยว่าในปีแรกแห่งการปกครองของเขานั้น ไซรัสได้ประกาศกฤษฎีกาอนุญาตให้ชนชาติยิศราเอลที่ถูกเนรเทศกลับไปยังกรุงยะรูซาเล็มและสร้างพระวิหารขึ้นใหม่. ทีแรกเป็นการครองราชย์ด้วยช่วงเวลาอันสั้นของกษัตริย์ดาระยาศ ชาติมาดาย (มีเดียน) ที่ปกครองเหนือบาบุโลน การครองราชย์ปีแรกของกษัตริย์ไซรัส (โฆเรศ) เหนือบาบุโลนนั้นจึงปรากฏว่าเป็นเวลานับตั้งแต่ปี 538 ถึง 537 ก่อน ส.ศ. (ดานิเอล 5:30, 31) ด้วยเหตุที่ต้องมีการเดินทางไปเป็นระยะทางไกลมาก คงต้องตกอยู่ภายใน “เดือนที่เจ็ด” ของปี 537 ก่อน ส.ศ. นั่นเอง (แทนที่จะเป็นปี 538 ก่อน ส.ศ.) ที่ชนยิศราเอลได้กลับเข้าอยู่ในเมืองต่าง ๆ ของตน คือทำให้สภาพความเริศร้างเปล่าเปลี่ยวของกรุงยะรูซาเล็มและแผ่นดินยูดาสิ้นสุดลง. (เอษรา 3:1, 6) แม้กระนั้นก็ดี พวกเขาก็ยังคงอยู่ใต้อำนาจการปกครองของชนต่างชาติอยู่ และเพราะฉะนั้นจึงพูดถึงพวกตนในฐานะที่เป็น ‘ทาสอยู่ในแผ่นดินของตนเอง.’—นะเฮมยา 9:36, 37.
พระธรรมสองโครนิกา (36:19-21) เผยให้เห็นว่าระยะเวลาเจ็ดสิบปีผ่านไปตั้งแต่คราวที่กรุงยะรูซาเล็มถูกทำลายล้างและอาณาเขตปกครองถูกทำให้เริศร้างว่างเปล่าไปจนกระทั่งมีการบูรณะให้คืนสู่สภาพเดิม. พระธรรมนั้นมีบอกดังนี้:
“ท่าน [นะบูคัดเนซัร] ก็ได้เผาโบสถ์วิหารของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และรื้อกำแพงกรุงยะรูซาเล็มลงเสีย และวังทั้งปวงในกรุงนั้นเขาก็จุดไฟเผาเสียตลอดทั้งบรรดาเครื่องใช้สอยวิเศษทั้งหมดของกรุงนั้นด้วย เพื่อเป็นเหตุให้เกิดความพินาศล่มจม. ยิ่งไปกว่านั้นท่านได้พาเอาชนเหล่านั้นที่เหลือพ้นจากคมดาบไปเป็นเชลยของกรุงบาบุโลน และพวกเขาต้องเป็นทาสรับใช้ท่าน และของราชวงศ์ของท่านจนตราบเท่ากษัตริย์แผ่นดินฟารัส (เปอร์เซีย) ได้ขึ้นครอบครอง เพื่อจะได้สำเร็จสมตามคำตรัสของพระยะโฮวาด้วยปากของยิระมะยานั้นจนกว่าแผ่นดินจะได้รับผลคุ้มค่าเต็มตามจำนวนวันซะบาโต. และให้มีซะบาโตอยู่ตลอดสมัยที่มีความเริศร้างว่างเปล่าจนครบเจ็ดสิบปี.”
นับย้อนหลังไปเจ็ดสิบปีตั้งแต่ชนยิศราเอลกลับคืนไปอยู่ที่เมืองของพวกเขาคือในปี 537 ก่อน ส.ศ. นั้นก็จะนำเราไปสู่ปี 607 ก่อน ส.ศ. เพราะฉะนั้น กรุงยะรูซาเล็มอันเป็นแหล่งที่ตั้งแห่งรัฐบาลของพระเจ้าตามความหมายแห่งการแสดงเป็นตัวอย่างนั้นจึงได้เริ่มถูกเหยียบย่ำลงโดยชนต่างชาติในปีนั้นเอง.
ตอนจบของระยะเวลา “เจ็ดวาระ”
พระเยซูคริสต์กล่าวพาดพิงถึงการเหยียบย่ำกรุงยะรูซาเล็มนี้ขณะที่พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “นานาชาติจะเหยียบย่ำกรุงยะรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของนานาชาตินั้นจะครบถ้วน.” (ลูกา 21:24) “เวลากำหนด” เหล่านั้นจะต้องได้สิ้นสุดลงด้วยเวลา 2,520 ปีภายหลังปี 607 ก่อน ส.ศ. ทั้งนี้ก็มาตกอยู่ในปี 1914 ส.ศ. ทีเดียว. การเหยียบย่ำกรุงยะรูซาเล็มสิ้นสุดลงในตอนนั้นไหม?
จริงอยู่ กรุงยะรูซาเล็มทางพื้นแผ่นดินโลกนี้หาได้มองเห็นการที่กษัตริย์ในราชวงศ์ของดาวิดกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมในปี 1914 นั้นไม่. แต่ว่าไม่จำเป็นจะต้องคาดหมายสิ่งเช่นนั้นหรอก. ทำไมเล่า? โดยอาศัยแง่คิดของพระเจ้าแล้ว กรุงยะรูซาเล็มทางแผ่นดินโลกนี้หาได้มีความสำคัญอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ อีกต่อไปไม่เลย. ขณะเมื่ออยู่ที่แผ่นดินโลกนี้ พระเยซูคริสต์ทรงแถลงว่า “โอ ยะรูซาเล็ม ยะรูซาเล็มที่ได้ฆ่าเหล่าผู้พยากรณ์ และเอาหินขว้างคนเหล่านั้นที่ถูกใช้ให้มาหาเจ้า—เราปรารถนาเนือง ๆ ที่จะรวบรวมลูก ๆ ของเจ้าเข้าไว้ด้วยกันเหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ปรารถนาเช่นนั้น! นี่แน่ะ! เรือนของเจ้าจะถูกละทิ้งไว้กับเจ้าตามลำพัง.” (ลูกา 13:34, 35) ยิ่งไปกว่านั้น ราชอาณาจักรในพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์นั้นหาใช่รัฐบาลทางภาคโลกนี้ซึ่งมียะรูซาเล็มหรือเมืองใดอื่นเป็นนครหลวงไม่. นั่นคือราชอาณาจักรหนึ่งทางภาคสวรรค์ต่างหาก.
ดังนั้นในสวรรค์อันไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ตานั่นเองที่ปี 1914 ส.ศ. ได้แลเห็นความสำเร็จผลสมจริงเกี่ยวกับวิวรณ์ 11:15 ที่ว่า “อาณาจักรของโลกได้กลายเป็นอาณาจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา และแห่งพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองเป็นพระบรมมหากษัตริย์สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์และเป็นนิตย์.” สิ่งที่ยะรูซาเล็มแสดงเป็นตัวอย่างนั้น กล่าวคือ รัฐบาลมาซีฮาซึ่งทำการครอบครองด้วยความพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าในสมัยนั้นไม่มีการถูกเหยียบย่ำอีกต่อไป. อีกครั้งหนึ่งมีกษัตริย์จากราชวงศ์ดาวิดผู้ซึ่งดำเนินการปกครองเหนือกิจธุระของมนุษย์ โดยการแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า. เหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเห็นประจักษ์ได้ด้วยตาที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกนี้เป็นไปสมจริงตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ตั้งแต่ปี 1914 ส.ศ. นั้น พิสูจน์ว่ารูปการณ์เป็นไปดังนี้แหละ.
คำพยากรณ์เรื่องหนึ่งในคำพยากรณ์เหล่านี้จะหาพบได้ในพระธรรมวิวรณ์บทที่หก. ตอนนั้นการมอบพระราชอำนาจให้แก่พระเยซูคริสต์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้มีพรรณนาด้วยถ้อยคำแสดงความหมายเป็นนัย.
เกี่ยวกับการที่พระเยซูได้รับตำแหน่งกษัตริย์นั้น เรื่องราวมีบอกดังนี้: “ดูแน่ะ! มีม้าขาวตัวหนึ่ง และผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นถือธนู และท่านได้รับพระราชทานมงกุฎ และท่านก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อจะเอาชัยชนะโดยครบถ้วน.” (วิวรณ์ 6:2) ต่อมาพระธรรมวิวรณ์ก็ได้พิสูจน์แสดงตัวผู้ที่ขี่ม้าตัวนั้นอย่างชัดแจ้งโดยบอกว่า “ดูแน่ะ! มีม้าขาวตัวหนึ่ง. และท่านผู้ทรงนั่งบนหลังม้านั้นมีนามว่าสุจริตและสัตย์จริง และท่านพิพากษาและทรงกระทำสงครามด้วยความยุติธรรม. . . . ท่านทรงมีพระนามจารึกไว้ที่เสื้อชั้นนอกและที่ต้นพระอูรุของท่านว่าพระมหากษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งปวงและเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งปวง.”—วิวรณ์ 19:11-16.
ในเรื่องสิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นที่แผ่นดินโลกหลังจากพระเยซูได้รับ “มงกุฎ” เพื่อดำรงตำแหน่งกษัตริย์ทำการครอบครองเหนือมวลมนุษย์โลกนั้น พระธรรมวิวรณ์บท 6 บอกต่อไปว่า
“มีม้าอีกตัวหนึ่งเข้ามาเป็นม้าสีแดงสด และทรงโปรดให้ท่านที่ประทับบนหลังม้านั้นพรากเอาสันติสุขไปเสียจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนทั้งปวงรบราฆ่าฟันกัน และทรงประทานพระแสงใหญ่เล่มหนึ่งแก่ท่านนั้น. และครั้นแกะตราดวงที่สามออกแล้ว ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสัตว์ซึ่งมีชีวิตอยู่ตัวที่สามร้องว่า ‘มาเถอะ!’ แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูแน่ะ! มีม้าดำตัวหนึ่ง และผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมือถือตราชู. . . . และครั้นทรงแกะตราดวงที่สี่นั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสัตว์ตัวที่สี่ร้องว่า ‘มาเถอะ!’ และข้าพเจ้าแลเห็น และดูแน่ะ! มีม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง และผู้นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตาย. และฮาเดสก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด. และทรงโปรดให้มีอำนาจเหนือส่วนที่สี่แห่งแผ่นดินโลก ให้สังหารเสียด้วยดาบยาวและด้วยการขาดแคลนอาหารและด้วยภัยพิบัติอันร้ายกาจและโดยสัตว์ร้ายต่าง ๆ ที่แผ่นดินโลก.”—ข้อ 4-8.
ถ้อยคำเหล่านี้ได้มาสำเร็จสมจริงแล้วมิใช่หรือ? ดาบแห่งการสงครามแสดงทีท่าอาการดุเดือดรุนแรงไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมามิใช่หรือ? จริง ๆ ทีเดียว! สงครามโลกที่ 1 ได้แลเห็นการฆ่าฟันทำลายมวลมนุษย์ในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย. บรรดาผู้ต่อสู้มีมากกว่าเก้าล้านคนตายไปเนื่องจากบาดเจ็บ โรคภัยและสาเหตุอื่น ๆ. พวกพลเรือนที่ตายไปไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตามอันเป็นผลเนื่องมาจากสงครามนั้นมีจำนวนตั้งล้าน ๆ คน. สงครามโลกที่สองได้ทำลายชีวิตเป็นจำนวนมากมายยิ่งกว่านั้นเสียอีก. ได้มีการอ้างว่าพวกพลเรือนและบรรดาทหารประมาณห้าสิบห้าล้านคนที่ต้องสูญเสียชีวิต.
การขาดแคลนอาหารก็ติดตามไปตลอดทั่วแผ่นดินโลกเสมือนหนึ่งม้าสีดำมิใช่หรอกหรือ? ใช่แล้ว มีการกันดารอาหารตามส่วนต่าง ๆ หลายส่วนในทวีปยุโรปทั้งในระหว่างและภายหลังสมัยสงครามโลกที่ 1. ในประเทศรัสเซียหลายล้านคนต้องตายไป. ภายหลังสงครามโลกที่สองก็ได้มีสิ่งซึ่งสารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก (1973) พรรณนาไว้ในฐานะเป็น “การขาดแคลนอาหารทั่วโลกที่ใหญ่ยิ่งที่สุดในประวัติศาสตร์.” ทุกวันนี้ความเป็นจริงอันน่าสยดสยองนั้นมีอยู่ว่าประชาชนหนึ่งคนในทุก ๆ สามคนบนแผ่นดินโลกนี้กำลังค่อย ๆ ได้รับความอดอยากหรือได้รับความทรมานอันเนื่องมาจากการบริโภคอาหารอย่างที่ไม่สมดุล.
โรคระบาดก็มาปลิดเอาชีวิตไปเสียด้วยเช่นกัน. ภายในเวลาไม่กี่เดือนในระหว่างปี 1918-1919 โรคระบาดไข้หวัดใหญ่สเปนอย่างเดียวเท่านั้นได้ทำให้คนเสียชีวิตไปประมาณ 20,000,000 คน. ไม่เคยมีความหายนะเช่นนั้นมาแต่ก่อนเลยที่ก่อกรรมทำลายชีวิตอย่างมากมายขึ้นในหมู่มนุษยชาติ.
เป็นความจริง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ใหญ่โตเกินกว่าที่จะลอดการเอาใจใส่สังเกตเห็นได้ โจเซฟ คาร์เตอร์บอกไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า 1918 ปีแห่งภาวะฉุกเฉิน ปีที่มีการเปลี่ยนแปลง นั้นดังต่อไปนี้: “ในฤดูใบไม่ร่วง [แห่งปี 1918] นั้น สภาพความร้ายกาจน่ากลัวทับถมกันขึ้นอย่างมากมาย เพราะคนขี่ม้าสามคนในสี่คนในพระธรรมวิวรณ์ซึ่งหมายถึงสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด ได้แผ่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางจริง ๆ.” จนบัดนี้คนขี่ม้าเหล่านี้อันมีความหมายเป็นนัยก็ยังหาได้เลิกเสียจากการขี่ของเขานั้นไม่.
ดังนี้จึงมีพยานหลักฐานที่เห็นได้ด้วยตาว่าในปี 1914 ได้มีการถอดเอาปลอกที่สวมตอไม้ตามความหมายเป็นนัยเกี่ยวกับความฝันของนะบูคัดเนซัรนั้นออกเสีย. พระยะโฮวาพระเจ้าเริ่มต้นใช้อำนาจโดยราชอาณาจักรแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าพระบุตรของพระองค์. แต่ว่าทำไมทั้งนี้จึงมิได้ทำให้สภาพต่าง ๆ ที่แผ่นดินโลกนี้ดีขึ้น? ทำไมความยุ่งยากลำบากจึงได้มีส่วนสมทบกับสมัยแห่งการที่พระคริสต์ได้รับพระราชทานอำนาจครอบครองเหนือมนุษยชาติเช่นนี้?
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าซาตานพญามารนั้นเองไม่เห็นด้วยกับราชอาณาจักรของพระเจ้าโดยพระคริสต์. มันทำการต่อสู้ในคราวที่ราชอาณาจักรนั้นได้รับมอบอำนาจเหนือมนุษยชาติ. แต่มันต้องพ่ายแพ้ในการต่อสู้นั้น และจึงถูกขับไล่พร้อมด้วยภูตผีปิศาจบริวารของมันให้ออกไปเสียจากสรวงสวรรค์อันบริสุทธิ์นั้น. ด้วยมีวามโกรธแค้น มันกับทั้งบรรดาภูตผีปิศาจพรรคพวกของมันจึงก่อให้เกิดความยุ่งยากลำบากทั้งหมดขึ้นในหมู่มนุษยชาติ เพื่อที่จะนำทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่างไปสู่ความหายนะ. เหตุฉะนั้นภายหลังที่พรรณนาเรื่องการสงครามในสวรรค์และผลของการสงครามนั้นแล้ว เรื่องราวในพระคัมภีร์มีบอกต่อไปดังนี้: “สวรรค์ทั้งหลายกับทั้งผู้ที่อยู่ในสวรรค์จงชื่นชมยินดีเถิด! วิบัติจะมีที่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะว่าพญามารได้ลงมาถึงเจ้ามีความโกรธยิ่งนัก ด้วยมันรู้ว่ามันมีเวลาเพียงเล็กน้อย.”—วิวรณ์ 12:7-12.
ระยะเวลาเหลืออยู่เล็กน้อยเพียงไรสำหรับคู่ปรปักษ์แห่งราชอาณาจักรนั้น? พระเยซูคริสต์เปิดเผยว่าเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศีแห่งราชอาณาจักรและจะถอดออกเสียซึ่งระเบียบอันอธรรมเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ นั้นจะคงตกอยู่ในระหว่างที่คนในชั่วอายุนี้ยังมีชีวิตอยู่. พระองค์ตรัสว่า “แท้จริงเราบอกท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงเหล่านี้บังเกิดขึ้น.”—มัดธาย 24:3-42.
เนื่องจากเหตุนี้ บางคนในชั่วอายุที่มีชีวิตอยู่ในปี 1914 ส.ศ. ก็ต้องได้อยู่ในจำพวกประชาชนที่ได้เห็นชัยชนะอันครบถ้วนของพระเยซู และการที่พระองค์เข้ารับอำนาจควบคุมกิจธุระต่าง ๆ ของแผ่นดินโลก. นั่นจึงหมายความอีกเช่นกันว่าหลายคนที่มีชีวิตอยู่เวลานี้ย่อมมีโอกาสที่จะไม่ตายไปเลย. อย่างไรกัน?
เหตุผลที่หลายคนซึ่งมีชีวิตอยู่เวลานี้จะไม่ประสบความตาย
ในการมีชัยชนะอย่างครบถ้วน พระเยซูคริสต์ในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ก็จะลงมือจัดการต่อสู้คนเหล่านั้นผู้ที่ไม่ยอมจำนนต่อการปกครองของพระองค์เท่านั้น. ขณะที่ปลอบประโลมใจเพื่อนผู้เชื่อถือทั้งหลายที่ได้รับการเคี่ยวเข็ญประทุษร้ายนั้น อัครสาวกเปาโลผู้ได้รับการดลบันดาลเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เพราะว่าเป็นการยุติธรรมแล้วซึ่งพระเจ้าจะทรงเอาความยากลำบากไปตอบแทนให้กับคนเหล่านั้นที่ก่อความยากลำบากให้กับท่านทั้งหลาย และจะทรงบันดาลให้ท่านทั้งหลายที่ถูกความยากลำบากนั้นได้รับความบรรเทาด้วยกันกับเรา เมื่อพระเยซูจะเสด็จมาจากสวรรค์ปรากฏพร้อมกับหมู่ทูตสวรรค์ของพระองค์ผู้มีฤทธิ์ดังเปลวเพลิง และจะสนองโทษแก่คนเหล่านั้นผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้า และคนเหล่านั้นผู้ที่ไม่เชื่อฟังข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา. คนเหล่านี้จะรับโทษคือความพินาศตลอดไปเป็นนิตย์พ้นออกไปจากพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า และจากรัศมีเดชแห่งพลังวังชาของพระองค์.”—2 เธซะโลนิเก 1:6-9.
แน่นอน มิใช่ว่าทุกคนไม่ยอมที่จะ “รู้จัก” หรือรับรองเอาอำนาจของพระเจ้าในชีวิตของตน. มิใช่ว่าทุกคนจะไม่เชื่อฟังข่าวดีเกี่ยวด้วยพระเยซูคริสต์. ถึงแม้ว่าจะมีน้อยคนก็ตามในเมื่อเทียบกับพลเมืองของโลก คือมีจำนวนคริสเตียนผู้ซึ่งพยายามเต็มกำลังที่จะพิสูจน์ตนเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแล้วของพระเจ้าและเป็นบรรดาสาวกผู้จงรักภักดีของพระเยซูคริสต์. ชนเหล่านั้นที่ปรากฏว่าอยู่ในสมัยแห่งการพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการเป็นผู้ซึ่งอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้าแต่องค์เดียวโดยเฉพาะนั้น ย่อมสามารถแน่ใจได้ว่าเขาจะไม่ถูกขจัดออกไปโดยการพิพากษานั้น ๆ. พระคัมภีร์บอกดังนี้:
“คนเหล่านี้คือคนที่ออกมาจากความทุกข์ลำบากอันใหญ่ยิ่งนั้น และที่ได้ล้างชำระเสื้อผ้าของตนให้ขาวในพระโลหิตของพระเมษโปดกนั้น. เพราะเหตุนั้นเขาทั้งหลายจึงอยู่ตรงหน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และกระทำการปรนนิบัติรับใช้พระองค์อันเป็นงานศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพ ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะกางพลับพลาคลุมเขาไว้. เขาจะไม่หิวหรือกระหายอีกต่อไป แสงแดดและความร้อนอันแรงกล้าจะไม่ส่องต้องเขาต่อไป เพราะว่าพระเมษโปดกที่ซึ่งทรงอยู่ท่ามกลางพระที่นั่งนั้นจะอนุบาลเขาไว้ และจะทรงนำเขาไปถึงบ่อน้ำพุอันประกอบด้วยน้ำแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย.”—วิวรณ์ 7:14-17.
ความหวังซึ่งมีอยู่เฉพาะหน้าบรรดามหาชนที่มีชีวิตรอดจาก “ความทุกข์ลำบากอันใหญ่ยิ่ง” นั้น มิใช่ความตายหรอก แต่เป็นชีวิต. พระเมษโปดกซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะทรงนำเขาไปถึง “บ่อน้ำพุแห่งชีวิต.” ทั้งนี้หาใช่ชีวิตเป็นเวลาเพียงเจ็ดสิบปีหรือแปดสิบปีเท่านั้นไม่ หากแต่ตลอดไปเป็นนิตย์. พระองค์จะทรงใช้เครื่องบูชาลบล้างความบาปให้เกิดประโยชน์แก่เขา ปลดเปลื้องเขาให้พ้นจากความผิดบาปและผลของมันอันนำมาซึ่งความตาย. ขณะที่พวกเขาเชื่อฟัง และยอมรับเอาความช่วยเหลือของพระองค์ เขาก็จะบรรลุซึ่งการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการโดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตายไป.
จะไม่มีการแทรกแซงใด ๆ เลยจากซาตานและภูตผีปิศาจบริวารของมันเพื่อขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของพวกเขา. ภายหลังที่ “ความทุกข์ลำบากอันใหญ่ยิ่ง” นำมาซึ่งจุดจบแก่ระเบียบอันชั่วช้าแห่งสิ่งต่าง ๆ ทางแผ่นดินโลกนี้แล้ว ซาตานก็จะถูกเหวี่ยงลงไปในเหวลึกเป็นเวลาพันปี. คำพรรณนาในพระคัมภีร์ตามความหมายเป็นนัยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ดังที่เราจะได้อ่านต่อไปนี้: “ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ พร้อมด้วยมีลูกกุญแจสำหรับเหวลึกนั้น และมีโซ่ใหญ่อยู่ในมือของท่าน. และท่านได้จับเอาพญานาคคืองูตัวแรกเดิมซึ่งได้แก่พญามารและซาตานนั้น และได้ผูกมัดมันไว้เป็นเวลาพันปี. แล้วท่านก็เหวี่ยงมันลงไปในเหวลึก เพื่อจะไม่ให้มันไปล่อลวงชนประเทศทั้งหลาย.” (วิวรณ์ 20:1-3) ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเสมือนหนึ่งว่าตายไป ซาตานและภูตผีปิศาจบริวารของมันไม่อยู่ในฐานะที่จะก่อให้เกิดความยุ่งยากลำบากแก่มวลมนุษยชาติได้เลย.
พระคัมภีร์บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าชั่วอายุคนที่มีชีวิตอยู่ในปี 1914 ส.ศ. นั้นเป็นชั่วอายุที่ยังจะได้เห็นการนำเข้ามาซึ่งการครอบครองของราชอาณาจักรที่ปราศจากการแทรกแซงของซาตาน. ดังนี้หลายคนที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้จึงจะมีโอกาสที่จะไม่ตายเลย. เขาจะมีชีวิตรอดจากพินาศกรรมแห่งระเบียบปัจจุบันอันอธรรมนี้ แล้วภายหลังจากนั้นก็จะได้รับการปลดเปลื้องปราศจากความผิดบาปทีละน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ ถูกนำเข้าสู่สภาพการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์. ในฐานะที่เป็นมนุษย์ซึ่งปราศจากความผิดบาปในตอนนั้น เขาจึงจะไม่ต้องอยู่ภายใต้ผลสนองแห่งความผิดบาปอีกต่อไป—คือความตาย.—โรม 6:23.
ทั้งนี้ย่อมกระตุ้นเตือนให้ท่านรีบเร่งเอาตัวเข้ามาอยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์พระมหากษัตริย์เสียมาตรว่าท่านยังมิได้กระทำเช่นนั้น แล้วดำเนินชีวิตในฐานะเป็นไพร่ฟ้าประชากรที่จงรักภักดีของพระองค์. นั่นแหละคือสิ่งซึ่งคริสเตียนพยานทั้งหลายของพระยะโฮวา กำลังพยายามบากบั่นกระทำกันอยู่ และพวกเขาต่างก็กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือคนอื่น ๆ ให้ปฏิบัติอย่างเดียวกัน.