บท 16
การกลับเป็นขึ้นจากตายจะเป็นผลดีแก่ผู้ใดบ้าง?
มีปัญหามากมายเกิดขึ้นในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. ใครบ้างที่จะได้รับการปลุกให้กลับเป็นขึ้นจากตาย? ทารกไหม? เด็ก ๆ ไหม? ทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรมด้วยไหม? คนแหล่านั้นที่สมรสแล้วจะได้อยู่รวมกันกับคู่สมรสเดิมของตนไหม?
พระคัมภีร์หาได้แจ้งข้อปลีกย่อยไว้ทุกข้อในเรื่องการกลับเป็นขึ้นมานั้นไม่. อย่างไรก็ดี พระคัมภีร์บรรจุคำทรงสัญญาอันน่าพิศวงเอาไว้ว่า คนที่ตายไปแล้วจะถูกปลุกให้กลับเป็นขึ้นมาสู่ชีวิตอีก และได้ให้รายการต่าง ๆ ไว้อย่างพอเพียงเพื่อตั้งหลักฐานขึ้นไว้สำหรับความเชื่อในคำทรงสัญญานั้น ๆ. การที่พระคัมภีร์มิได้มีบอกเอาไว้เกี่ยวด้วยเรื่องราวบางอย่างนั้น จะหน่วงเราไว้จากการหยั่งรู้พอใจในความมั่นคงแห่งคำสัญญากระนั้นไหม?
ขณะที่เราทำการติดต่อตกลงกับเพื่อนมนุษย์นั้น เราย่อมไม่คิดที่จะชี้แจงรายละเอียดลงไปทุกข้อทุกประการ จริงไหม? อาทิเช่น หากท่านได้รับเชิญไปยังการเลี้ยง ท่านคงจะไม่ถามผู้ที่มาเชิญท่านว่า ‘ประชาชนจะนั่งที่ไหนกัน? ท่านเตรียมพร้อมเพื่อการปรุงอาหารสำหรับคนมากมายเช่นนั้นแล้วไหม? ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณมีเครื่องใช้และถ้วยชามเพียงพอ?’ การถามปัญหาต่าง ๆ เช่นนั้นย่อมแสดงการดูถูก มิใช่หรือ? คงไม่มีใครหรอกคิดนึกถึงการที่จะบอกกับผู้เป็นเจ้าภาพดังนี้: ‘ขอให้ผมแน่ใจเสียก่อนว่า ผมจะได้รับความสนุกเพลิดเพลินอย่างแท้จริง.’ การได้รับคำเชื้อเชิญและการรู้จักแหล่งที่มาก็น่าจะพอเพียงสำหรับคนเราที่จะมั่นใจได้ว่าทุกสิ่งจะต้องดำเนินไปอย่างเรียบร้อย.
แท้จริงแล้ว ไม่มีใครจะพอใจหรอกในการที่ถูกขอร้องให้อธิบายหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำกล่าวทุกสิ่งที่ตนตั้งขึ้นนั้น. สมมุติว่าคนที่รู้จักกันอธิบายถึงประสบการณ์ในการช่วยคนใดคนหนึ่งให้รอดจากการจมน้ำ. ถ้าเขาเป็นเพื่อนที่เราเคารพยำเกรง เราก็คงจะไม่ขอร้องให้เขาพิสูจน์ว่าเขาได้กระทำอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ตามที่เขาอธิบายมานั้นอย่างแท้จริง. การที่เรียกร้องเอาเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงการไม่มีความมั่นใจและความไว้วางใจ. นั่นย่อมจะไม่เป็นพื้นฐานสำหรับการเสริมสร้างและการธำรงไว้ซึ่งมิตรภาพ. ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า ผู้ที่ไม่ยอมรับเอาคำทรงสัญญาของพระเจ้าในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายโดยที่ไม่ได้รับการอธิบายรายละเอียดทุกข้อเสียก่อนเช่นนั้น ก็จะนับไม่ได้เลยเป็นอันขาดในฐานะเป็นสหายของพระองค์. เพียงแต่คนเหล่านั้นผู้ที่มีความเชื่อผู้ที่ไว้วางใจในพระวจนะของพระองค์เท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงรับรองเอาในฐานะเป็นสหายของพระองค์. (เฮ็บราย 11:6) พระองค์ทรงจัดหาพยานหลักฐานขึ้นไว้อย่างมากมายจริง ๆ เพื่อเป็นรากฐานสนับสนุนความเชื่อ แต่พระองค์มิได้บังคับประชาชนให้เชื่อโดยทรงจัดเตรียมและพิสูจน์รายละเอียดทุกข้อทุกประการ จนกระทั่งทำให้ความเชื่อเป็นสิ่งไม่จำเป็นไปเสีย.
ด้วยเหตุนี้ การที่ไม่มีข้อปลีกย่อยบางอย่างจึงเป็นประโยชน์ในการทดลองดูคนเราว่าในหัวใจจริงนั้นเขาเป็นคนเช่นไร. มีคนจำพวกซึ่งถือว่าตนเป็นคนฉลาดและมีความคิดมุ่งหมายของตนเอง และเป็นผู้ที่ดำเนินตามแนวทางแห่งความเป็นเอกราช. เขาไม่ปรารถนาที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ใด. ความเชื่อศรัทธาในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย ย่อมเรียกร้องให้เขาจำต้องยอมรับเอาความจำเป็นในการดำเนินชีวิตอย่างที่ลงรอยกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. แต่เขาไม่ปรารถนาที่จะปฏิบัติเช่นนี้. ดังนี้เนื่องจากการไม่มีรายการละเอียดบางอย่างในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย เขาจึงอาจแลเห็นสิ่งซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นเหตุผลสมควรสำหรับความไม่เชื่อของเขานั้น. พวกเหล่านี้ก็คล้ายกันมากกับพวกซาดูกายในสมัยแห่งการเป็นมนตรีเทศนาของพระเยซูทางแผ่นดินโลกนี้. พวกซาดูกายไม่ยอมเชื่อในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายและชี้ให้ดูสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นปัญหาซึ่งจะเอาชนะไม่ได้. พวกเขาทูลถามพระเยซูดังนี้:
“อาจารย์เจ้าข้า โมเซได้เขียนสั่งพวกข้าพเจ้าไว้ว่า ถ้าชายผู้ใดตาย และภรรยายังอยู่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตน เพื่อสืบเผ่าพันธุ์ของพี่ชายไว้. ฉะนั้นมีชายพี่น้องเจ็ดคนและพี่หัวปีมีภรรยาแล้วตายไปไม่มีบุตร. ดังนั้นน้องที่สอง แล้วก็คนที่สามรับหญิงนั้นเป็นภรรยา. แม้คนที่เจ็ดก็เช่นเดียวกัน แล้วตายไปไม่มีบุตร ที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย. เหตุฉะนั้นในคราวการกลับเป็นขึ้นจากตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร? เพราะนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดคนนั้นแล้ว.”—ลูกา 20:28-33.
เพื่อตอบคำถามของพวกเขา พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยถึงข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการชักเหตุผลของพวกซาดูกาย และทรงเน้นหนักเรื่องความแน่นอนแห่งคำทรงสัญญาเรื่องการกลับเป็นขึ้นมา. พระองค์ตรัสตอบดังนี้:
“ลูกทั้งหลายแห่งระเบียบของสิ่งต่าง ๆ สมรสกัน และมอบให้เป็นสามีภรรยากัน แต่คนเหล่านั้นผู้ซึ่งนับว่าคู่ควรกับการบรรลุซึ่งระเบียบแห่งสิ่งต่าง ๆ นั้นและการกลับเป็นขึ้นจากตาย ไม่ได้สมรสกันและไม่มอบให้เป็นสามีภรรยากัน. . . . แต่ที่คนตายจะได้กลับเป็นขึ้นมานั้นแม้แต่โมเซก็ยังได้เปิดเผยด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับพุ่มหนามนั้น ขณะที่ท่านเรียกพระยะโฮวาว่า ‘พระเจ้าแห่งอับราฮามและพระเจ้าแห่งยิศฮาคและพระเจ้าแห่งยาโคบ.’ พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น ด้วยว่าคนเหล่านั้นทุกคนยังมีชีวิตอยู่จำเพาะพระองค์.”—ลูกา 20:34-38.
เหตุผลที่การกลับเป็นขึ้นมามิได้เสนอคำสัญญาเรื่องการสมรส
ตามหลักสำคัญเกี่ยวกับคำตอบของพระเยซูที่ตอบพวกซาดูกายนั้น บางคนอาจจะรู้สึกไม่สบายใจก็ได้ในเรื่องคำพูดของพระองค์ที่ว่า จะไม่มีการสมรสในจำพวกคนเหล่านั้นที่ถูกปลุกให้เป็นขึ้นมากตาย. เขาอาจจะถึงกับคิดนึกก็ได้ว่าหากไม่มีการสมรสแล้วการกลับเป็นขึ้นมาก็ไม่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา การกลับเป็นขึ้นจากตายคงจะไม่เป็นประโยชน์แก่ตน.
อย่างไรก็ดี ในเมื่อพิจารณาเหตุผลตามคำตอบของพระเยซูแล้ว เราย่อมจำได้ดีว่าเราเป็นคนไม่สมบูรณ์. ความชอบใจและความไม่ชอบใจของเรานั้นส่วนใหญ่ถูกจำกัดไว้ด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยชินมาแล้ว. ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดมีหลักสำคัญใด ๆ อย่างแท้จริงในการที่จะแน่ใจว่าตนคงจะไม่ชอบการจัดเตรียมเพื่ออนาคตซึ่งพระเจ้าจะทรงจัดขึ้นไว้สำหรับพวกที่กลับเป็นขึ้นมา. นอกจากนั้น ไม่ได้มีการแจ้งรายละเอียดทั้งหมดไว้. ทั้งนี้ก็นับว่าเป็นพระกรุณาคุณอย่างแท้จริงในกรณีของพระเจ้า. อ้าว ในฐานะที่เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ ตอนแรกเราอาจแสดงปฏิกิริยาอย่างที่ไม่เห็นพ้องด้วยกับสิ่งซึ่งจะทำให้ชีวิตของเราในสภาพสมบูรณ์นั้นเต็มไปด้วยความร่าเริงยินดีอย่างแท้จริง. เพราะฉะนั้น ข้อปลีกย่อยต่าง ๆ เช่นนั้นอาจจะอยู่นอกเหนือไปกว่าความสามารถของเราในปัจจุบันนี้ที่จะรับเอาก็ได้. พระเยซูคริสต์ทรงทราบและคำนึงถึงขีดจำกัดของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ ดังที่เห็นได้จากข้อความซึ่งพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ ณ โอกาสหนึ่งดังนี้: “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่เราจะบอกท่านทั้งหลาย แต่เวลานี้ท่านไม่สามารถรับเอาไว้ได้.”—โยฮัน 16:12.
คนเหล่านั้นผู้ที่จะบรรลุซึ่งการกลับเป็นขึ้นมาสู่ชีวิตอมตะฝ่ายกายวิญญาณในสวรรค์นั้นไม่ทราบว่าชีวิตแบบนั้นจะเป็นอย่างไร. พวกเขาไม่สามารถจะเอาสิ่งใด ๆ ที่เขาเคยรู้จักทางพื้นแผ่นดินโลกมาเปรียบเทียบกับชีวิตเช่นนี้ได้. ร่างกายของพวกเขาก็จะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง. ความแตกต่างทั้งหมดเกี่ยวกับเพศอันเป็นส่วนของมนุษย์นั้นก็จะเป็นเรื่องของอดีตสำหรับพวกเขา. ดังนั้นจึงไม่มีการสมรสในจำพวกชนเหล่านั้นที่เป็นขึ้นมาสู่ชีวิตฝ่ายกายวิญญาณในสวรรค์ เพราะว่าพวกเขาทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันในฐานะเป็นหมู่คณะจะเป็น “เจ้าสาว” ของพระคริสต์.
แต่ก็จะว่าอย่างไรเกี่ยวด้วยคนเหล่านั้นผู้ที่ถูกนำออกมาจากความตายเพื่อที่จะอยู่ทางแผ่นดินโลกนี้? พวกเขาจะได้อยู่รวมกันอีกกับคู้สมรสแต่ก่อนนั้นไหม? ไม่มีถ้อยแถลงในพระคัมภีร์เลยที่แสดงว่ารูปการณ์จะเป็นไปเช่นนี้. พระคัมภีร์เผยให้เห็นอย่างแน่นอนว่าความตายทำให้สายสมรสเป็นอันเลิกล้มกันไป. โรม 7:2, 3 อ่านว่า “ผู้หญิงที่สามียังมีชีวิตอยู่ต้องอยู่ในกฎประเพณีสามีภรรยา แต่ถ้าสามีตายแล้ว เธอจึงพ้นจากกฎนั้น . . . แม้นเธอไปเป็นภรรยาของชายอื่น ก็หาผิดประเวณีไม่.”
ด้วยประการฉะนี้ ถ้าบุคคลใดสมัครใจที่จะสมรสใหม่เวลานี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าการสมรสใหม่นั้นจะกระทบกระเทือนคู่สมรสเดิมที่จะเป็นขึ้นมาในอนาคต. ถ้าหากการอยู่โดดเดี่ยวไม่เหมาะสำหรับเขาแล้ว เขาก็ไม่ต้องตะเกียกตะกายที่จะรักษาการอยู่โดดเดี่ยวเอาไว้ ด้วยมีความหวังในการที่จะได้รวมกันใหม่ในสายสมรสกับคู่สมรสเดิมของตนด้วยการกลับเป็นขึ้นมา. ถ้าเช่นนั้นแล้วก็เป็นที่แน่นอนว่า เป็นพระกรุณาคุณในกรณีของพระเจ้าที่ไม่ได้บังคับให้ต้องมีการเกี่ยวดองกันด้วยสายสมรสแต่ก่อนอีกในคราวที่มีการกลับเป็นขึ้นมาของคนใดคนหนึ่ง ดังที่พวกซาดูกายมีความคิดเห็นกันอย่างผิดพลาดนั้น.
ระหว่างที่เราไม่ทราบว่าบรรดาผู้ที่เป็นขึ้นมานั้นจะอยู่ที่ไหนบนพื้นโลกนี้หรือจะอยู่กับใคร เราก็ย่อมสามารถแน่ใจได้ว่าการจัดเตรียมใด ๆ ก็ตามที่จะมีขึ้นนั้น ย่อมมีส่วนช่วยเหลือสนับสนุนเพื่อความสุขเบิกบานของบรรดาผู้ที่เป็นขึ้นมาจากตาย. ของประทานของพระเจ้ารวมทั้งการกลับเป็นขึ้นมานั้นด้วยจะเป็นไปตามความปรารถนา และความต้องการทั้งสิ้นของมวลมนุษยชาติที่เชื่อฟังพระองค์. ของประทานต่าง ๆ ของพระองค์นั้นดีเลิศทุกประการ ไม่มีที่ตำหนิเลย. (ยาโกโบ 1:17) ของประทานอันอุดมสมบูรณ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาได้รับอยู่แล้วในฐานะเป็นเครื่องแสดงออกซึ่งความรักของพระองค์ย่อมทำให้เรามั่นใจในข้อนั้นทีเดียว.
เด็ก ๆ และคนอื่น ๆ อีกที่จะกลับเป็นขึ้นมา
เด็ก ๆ ที่ตายไปนั้นล่ะจะเป็นประการใด? พวกเขาจะได้กลับคืนสู่ชีวิตอีกเช่นกันไหมในคราวเมื่อความชอบธรรมจะมีอยู่อย่างแพร่หลายไปทั่วพื้นแผ่นดินโลกนี้? แน่ทีเดียวนั่นเป็นสิ่งที่บิดามารดาผู้ประกอบด้วยความรักใคร่ต่างก็ปรารถนาสำหรับเด็ก ๆ ซึ่งต้องสูญเสียไปด้วยความตาย. และหลักฐานที่หนักแน่นสำหรับความหวังเช่นนั้นก็มีอยู่แล้วทีเดียว.
ในจำพวกคนเหล่านั้นที่มีรายงานไว้ในพระคัมภีร์ว่าได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นมามีผู้ที่ยังเป็นเด็ก. ลูกสาวของญายโรผู้ที่อยู่ที่มณฑลฆาลิลายนั้นมีอายุประมาณสิบสองปี พระเยซูทรงปลุกเธอให้เป็นขึ้นมา. (ลูกา 8:42, 54, 55) เด็กชายผู้ซึ่งได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายโดยผู้พยากรณ์เอลียาและอะลีซานั้นอาจจะแก่กว่าหรืออ่อนกว่าก็ได้. (1 กษัตริย์ 17:20-23; 2 กษัตริย์ 4:32-37) เมื่อพิจารณาถึงการกลับเป็นขึ้นมาเหล่านี้ของเด็ก ๆ ในอดีตแล้ว ไม่เป็นการถูกต้องสมควรหรอกหรือที่จะพึงคาดหมายว่าการกลับเป็นขึ้นมาอย่างเป็นการใหญ่เกี่ยวกับพวกเด็ก ๆ นั้น จะมีขึ้นในระหว่างการครอบครองของพระเยซูในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์? แน่นอนที่สุด! เราสามารถแน่ใจได้ว่าอะไร ๆ ก็ดีที่พระยะโฮวาพระเจ้าได้ทรงมุ่งหมายเอาไว้ในเรื่องนี้นั้นย่อมจะเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่ฉลาดรอบรู้และเต็มไปด้วยความรักใคร่สำหรับทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้อง.
พระคัมภีร์เผยให้ทราบว่ามนุษยชาติส่วนใหญ่อย่างมากมาย—ผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก ๆ—จะได้รับการปลุกให้กลับเป็นขึ้นจากตาย. ดังที่อัครสาวกเปาโลกล่าวยืนยันในการแก้คดีเพื่อป้องกันตัวต่อหน้าผู้ว่าราชการเฟลิกซ์ดังนี้: “ข้าพเจ้ามีความหวังใจในพระเจ้า . . . ว่าคนทั้งปวงทั้งคนชอบธรรมและคนที่ไม่ชอบธรรมด้วยจะได้กลับเป็นขึ้นมาจากตาย.” (กิจการ 24:15) คน“ชอบธรรม” คือคนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตด้วยความพอพระทัยของพระเจ้า. คนที่ “ไม่ชอบธรรม” คือมวลมนุษยชาตินอกนั้น. แต่ก็นั่นจะหมายความว่าเอกชนทุกคนที่ตายไปแล้วจะมีการกลับเป็นขึ้นมากระนั้นไหม? เปล่า หาเป็นเช่นนั้นไม่.
คนเหล่านั้นผู้ที่จะไม่ได้กลับเป็นขึ้นมา
บางคนถูกพระเจ้าพิพากษาแล้วในฐานะที่ไม่สมควรกับการกลับเป็นขึ้นจากตาย. เกี่ยวกับคนเหล่านั้นผู้ซึ่งในเวลานี้ไม่ยอมที่จะจำนนต่อการครอบครองของพระคริสต์ และไม่ได้กระทำดีต่อ “พวกพี่น้อง” ของพระองค์บนพื้นแผ่นดินโลกนี้ พระคัมภีร์บอกดังนี้: “พวกเหล่านี้จะแยกเข้าไปสู่การถูกตัดขาดตลอดไปเป็นนิตย์.” (มัดธาย 25:46) พวกเขาจะต้องได้ประสบกับการถูกตัดขาดตลอดไปเป็นนิตย์ ขณะที่พระเยซูคริสต์พร้อมด้วยกำลังเทวทูตของพระองค์สังหารทำลายบรรดาพวกที่ต่อต้านขัดขวางการครอบครองอันชอบธรรมของพระองค์นั้นเสียในคราวแห่ง “ความทุกข์ลำบากอันใหญ่ยิ่ง” ซึ่งบัดนี้ใกล้เข้ามาแล้วนั้น.
ส่วนคนใด ๆ ที่เข้าอยู่ในเส้นทางแห่งราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์ ผู้ที่พิสูจน์ตัวไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระเจ้านั้น เราได้ทราบว่า “เครื่องบูชาแก้บาปนั้นไม่มีเหลืออีกต่อไปเลย แต่จะมีการรอคอยด้วยความหวาดกลัวซึ่งการพิพากษาโทษ และความหวงแหนอันรุนแรงประดุจไฟก็จะเผาผลาญบรรดาคนเหล่านั้นที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์นั้นเสีย.”—เฮ็บราย 10:26, 27.
นอกจากนี้ ก็ยังมีประชาชนอีกหลายจำพวกซึ่งมีการพูดถึงในฐานะที่จะต้องประสบกับพินาศกรรมตลอดไปเป็นนิตย์. พระเยซูคริสต์ทรงบ่งชี้ว่าพวกฟาริซายที่ไม่กลับใจและพวกหัวหน้าอื่น ๆ ทางฝ่ายศาสนาในสมัยของพระองค์นั้นเป็นจำพวกที่ได้กระทำผิดต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์. พระองค์ตรัสถึงความผิดเช่นนั้นว่า “ความผิดและการหมิ่นประมาททุกชนิดจะทรงโปรดให้อภัยมนุษย์ได้. เว้นแต่คำหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงโปรดให้อภัยได้. อาทิเช่น ผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำคัดค้านบุตรมนุษย์ก็จะโปรดให้อภัยเขาได้ แต่ถ้าผู้ใดจะกล่าวคัดค้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกโทษให้ผู้นั้นไม่ได้ทั้งในระเบียบแห่งสิ่งต่าง ๆ นี้ และในระเบียบที่กำลังจะมาถึงนั้นด้วย.” (มัดธาย 12:31, 32) ในเมื่อไม่มีการให้อภัยสำหรับความผิดเช่นนั้น ทุกคนที่กระทำผิดในเรื่องการไม่ยอมรับเอาซึ่งการสำแดงแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างที่เห็นได้ชัดนั้นย่อมได้รับโทษสำหรับความผิดชนิดที่ให้อภัยไม่ได้โดยที่จะต้องตายตลอดไปเป็นนิตย์.
นอกจากสิ่งที่พระคัมภีร์บอกเจาะจงเอาไว้เกี่ยวด้วยคนเหล่านั้นผู้ที่ต้องได้รับความพินาศสูญสิ้นไปตลอดกาลนั้น เราไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดว่า บุคคลคนนั้นหรือคนนี้โดยเฉพาะจะไม่ได้กลับเป็นขึ้นจากตาย. อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงที่ว่าบางคนจะไม่ได้เป็นขึ้นมานั้น ก็ควรจะเป็นเครื่องเตือนสติให้เราหลีกเลี่ยงแนวทางอันจะนำเราไปสู่ความไม่พอพระทัยพระผู้เป็นเจ้า.
การเป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา
ข้อเท็จจริงในการที่มวลมนุษยชาติส่วนใหญ่จะถูกปลุกให้กลับเป็นขึ้นมาจากตายนั้น นับว่าเป็นพระกรุณาคุณอันไม่พึงได้รับอย่างแท้จริงในกรณีของพระเจ้า. พฤติการณ์เช่นนั้นเป็นสิ่งซึ่งพระเจ้าไม่จำเป็นจะต้องได้กระทำเสียเลย หากแต่ความรักและความสมเพชของพระองค์ในเรื่องมนุษยชาตินั่นเองที่กระตุ้นพระองค์ให้วางรากฐานขึ้นไว้ โดยทรงจัดเตรียมเอาพระบุตรของพระองค์ให้เป็นค่าไถ่. (โยฮัน 3:16) เพราะฉะนั้นการที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งไม่หยั่งรู้ค่าแห่งการที่ตนจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายพร้อมด้วยความหวังที่จะมีชีวิตถาวรนั้น จึงเป็นการยากที่จะคิดนึกได้. แต่กระนั้น ก็ยังจะมีบางคนผู้ซึ่งจะไม่พัฒนาความรักใคร่ผูกพันกันกับพระยะโฮวาพระเจ้าด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีอย่างที่จะไม่แตกสลายไปได้นั้นอยู่. ฉะนั้นเขาจึงจะสูญเสียซึ่งพระพรอันถาวรต่าง ๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้รับเนื่องด้วยการที่เขาได้กลับเป็นขึ้นมาจากตายนั้น.
พระเยซูคริสต์ทรงแนะให้พิจารณาข้อนี้ขณะที่พูดถึงเรื่อง “การเป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา” และทรงเทียบเคียงให้เห็นความแตกต่างกันกับ “การกลับเป็นขึ้นมาสู่ชีวิต.” (โยฮัน 5:29) เนื่องจากว่าชีวิตถูกนำมาเทียบให้เห็นด้วยการพิพากษา ณ ที่นี้จึงทำให้ปรากฏชัดว่าการพิพากษาปรับโทษมีส่วนพัวพันอยู่ด้วย. การพิพากษาลงโทษ ณ ที่นี้คืออะไร?
เพื่อที่จะเข้าใจข้อนี้ได้ จงให้เราเทียบเคียงฐานะของคนเหล่านั้นที่จะได้กลับเป็นขึ้นมาสู่ชีวิตทางภาคโลกนี้กับฐานะของคนเหล่านั้นที่กลับเป็นขึ้นสู่ชีวิตทางภาคสวรรค์นั้นเสียก่อน. พระคัมภีร์กล่าวถึงคนเหล่านั้นที่มีส่วนใน “การเป็นขึ้นมาจากตายอันดับแรก” ดังนี้: “คนใด ๆ ที่มีส่วนในการเป็นขึ้นมาจากตายอันดับแรกนั้นก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายอันดับที่สองจะมีอำนาจเหนือคนเหล่านี้ก็หามิได้.” (วิวรณ์ 20:6) ครั้นถูกเรียกให้เป็นขึ้นมาสู่ชีวิตอมตะในสวรรค์แล้ว ชน 144,000 คนซึ่งเป็นรัชทายาทร่วมกันกับพระคริสต์นั้นจะตายไม่ได้. ความซื่อสัตย์จงรักภักดีของพวกเขาต่อพระเจ้านั้นเป็นสิ่งแน่วแน่จริง ๆ จนกระทั่งพระองค์สามารถประทานชีวิตอันไม่อาจจะถูกทำลายได้นั้นไว้กับพวกเขาได้. แต่ว่าข้อนี้ไม่ใช่กรณีเกี่ยวกับคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ถูกปลุกให้เป็นขึ้นมาสู่ชีวิตบนพื้นโลกนี้. ในพวกหลังเหล่านี้ก็จะมีบางคนผู้ที่จะไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่. การพิพากษาลงโทษที่จะตกอยู่กับเขานั้นก็ได้แก่ “ความตายที่สอง” คือความตายซึ่งไม่มีทางที่จะได้กลับเป็นขึ้นมาอีก.
กระนั้นแล้วก็ไฉนเล่าที่ใคร ๆ ก็ดีจะปฏิบัติตามวิถีทางอันนำไปสู่การลงโทษในเมื่อตนได้รับความกรุณาอันไม่พึงจะได้รับในเรื่องการปลุกให้เป็นขึ้นมาจากตายเช่นนั้น?
คำตอบสำหรับปัญหาข้อนี้จะเป็นที่เข้าใจได้ดีขึ้น ก็ต้องอาศัยแสงสว่างเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูตรัสถึงเรื่องคนที่จะได้รับการกลับเป็นขึ้นมานั้น. พระเยซูกับบรรดาเพื่อนร่วมชาติของพระองค์ผู้ที่ไม่เชื่อนั้นดังนี้:
“ชนชาวนีนะเวจะลุกขึ้นมาในวันพิพากษาพร้อมกันกับคนสมัยนี้ แล้วจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าเขาทั้งหลายได้กลับใจเสียใหม่ตามคำประกาศของโยนา แต่นี่แน่ะ! มีผู้ซึ่งใหญ่กว่าโยนาอยู่ที่นี่. นางกษัตริย์ฝ่ายทิศใต้จะถูกปลุกขึ้นมาในวันพิพากษาด้วยกันกับคนในชั่วอายุนี้ แล้วจะกล่าวโทษเขา เพราะว่าพระนางนั้นได้มาแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซะโลโม แต่นี่แน่ะ! มีผู้ซึ่งใหญ่กว่าซะโลโมอยู่ที่นี่.”—มัดธาย 12:41, 42; ลูกา 11:31, 32.
เกี่ยวกับชนชาวเมืองหนึ่งซึ่งดื้อดึงไม่ยอมฟังข่าวสารอันเป็นความจริงนั้น พระเยซูให้ข้อความที่ควรเอาใจใส่ดังนี้:
“ชาวเมืองซะโดมและกะโมราจะสามารถทนทานในวันพิพากษานั้นได้ง่ายกว่าชาวเมืองนี้.”—มัดธาย 10:15; ดูมัดธาย 11:21-24 ด้วย.
ชนชาวเมืองซะโดมและกะโมราจะสามารถทนทานในวันพิพากษานั้นได้ง่ายกว่าโดยวิธีใด? “นางกษัตริย์ฝ่ายทิศใต้” และชนชาวนีนะเวซึ่งตอบรับเอาคำเทศนาประกาศของโยนานั้นจะกล่าวโทษเพื่อนร่วมชาติของพระเยซูในสมัยของพระองค์นั้นโดยวิธีใด?
ทั้งนี้จะเป็นไปตามแนวทางที่บรรดาผู้ซึ่งกลับเป็นขึ้นมานั้น ขานรับเอาความช่วยเหลือที่มีกำหนดให้ในระหว่างรัชสมัยของพระเยซูคริสต์และบรรดากษัตริย์ปุโรหิตร่วม 144,000 คน. สมัยแห่งการครอบครองนั้นจะเป็น “วันแห่งการพิพากษา” ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนทั้งหมดมีโอกาสแสดงว่าตนปรารถนาที่จะอ่อนน้อมยอมรับเอาวิธีการจัดเตรียมต่าง ๆ ของพระเจ้าหรือไม่. ในกรณีแห่งชนทั้งหลายที่เป็นเช่นเดียวกันกับบรรดาประชาชนของเมืองเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังผู้ซึ่งได้แลเห็นการงานอันทรงไว้ซึ่งฤทธานุภาพของพระเยซูคริสต์นั้น การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมจะไม่เป็นสิ่งง่ายเลย.
ย่อมเป็นการยากที่พวกเขาจะสำนึกด้วยใจถ่อมว่าตนผิดในการที่ไม่ยอมรับเอาพระเยซูในฐานะเป็นพระมาซีฮา และที่จะถวายตัวแด่พระองค์ในฐานะเป็นกษัตริย์ของตน. ความหยิ่งจองหองและความแข็งกระด้างจะทำให้การยินยอมอ่อนน้อมยากขึ้นสำหรับเขายิ่งกว่าประชาชนชาวเมืองซะโดมและกะโมราเสียอีก ส่วนผู้ซึ่งทั้ง ๆ ที่กระทำความผิดบาปอยู่นั้น ไม่เคยปฏิเสธโอกาสอันดีเยี่ยมดังที่มีจัดออกไว้เฉพาะหน้าประชาชนผู้ที่แลเห็นกิจการต่าง ๆ ของพระเยซูคริสต์นั้น. การแสดงอาการตอบรับอย่างที่ดีกว่าของชนชาวนีนะเวผู้ซึ่งกลับเป็นขึ้นมา และของพระนางแห่งกรุงชีบานั้น จะเป็นเครื่องตำหนิบรรดาชนที่กลับเป็นขึ้นมาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติของพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่มีชีวิตอยู่ในคราวแห่งการเป็นมนตรีเทศนาของพระองค์ทางภาคพื้นโลกนี้. การที่ชนชาวนีนะเวเหล่านี้และบรรดาชนซึ่งคล้ายคลึงกันนี้จะยอมรับรองเอาการครอบครองของผู้ซึ่งตนไม่เคยรู้สึกมีอคติมาก่อนเลยนั้นย่อมจะเป็นการง่ายกว่ามาก.
คนเหล่านั้นผู้ซึ่งยืนกรานไม่ยอมทำความก้าวหน้าไปในหนทางแห่งความชอบธรรมภายใต้ราชอาณาจักรของพระคริสต์นั้น ย่อมจะต้องได้ประสบการพิพากษาลงโทษด้วย “ความตายที่สอง” ในบางกรณีพฤติการณ์เช่นนี้นั้นจะเกิดขึ้นก่อนที่เขาบรรลุสภาพความสมบูรณ์ทีเดียว.
ยิ่งกว่านั้น คนอื่น ๆ อีกซึ่งภายหลังที่ถูกนำมาสู่สภาพการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว ก็จะไม่แสดงความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระยะโฮวาพระเจ้าอย่างที่ไม่สำนึกบุญคุณหรือคุณความดีขณะที่ได้รับการทดลอง. ต่อจากรัชสมัยพันปีของพระคริสต์นั้นซาตานพญามารก็จะถูกปล่อยออกมาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จากที่คุมขังของมันในเหวลึกนั้น. ดังที่มันได้ทำการก้าวร้าวโจมตีพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าที่จะล่อลวงฮาวา ผู้ซึ่งครั้นแล้วเกลี้ยกล่อมชักชวนอาดามนั้น มันก็จะพยายามอีกที่จะทำให้มนุษย์ผู้สมบูรณ์ทรยศต่อการครอบครองของพระเจ้า. ในเรื่องความพยายามของซาตานและผลของมันนั้น วิวรณ์ 20:7-10, 14, 15 บอกดังนี้:
“ครั้นพันปีสิ้นสุดลงแล้ว ซาตานก็จะถูกปล่อยออกมาจากคุกที่ขังมันไว้ และมันก็จะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศแห่งแผ่นดินโลก คือโฆฆและมาโฆฆ ให้รวบรวมกันมาทำศึกสงคราม. จำนวนคนเหล่านี้มากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล. และคนทั้งปวงนั้นได้ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และได้ล้อมค่ายแห่งพวกสิทธชน และเมืองอันเป็นที่รักนั้นไว้. แต่ไฟได้ลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเขาเสีย. และพญามารที่ได้ล่อลวงคนเหล่านั้นให้หลงก็ถูกเหวี่ยงลงไปในบึงไฟและกำมะถัน . . . นี่หมายถึงความตายที่สอง คือบึงไฟ. ยิ่งกว่านั้นผู้ใด ๆ ที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ผู้นั้นก็ถูกเหวี่ยงลงไปในบึงไฟ.” ข้อนี้หมายถึงการถูกทำลายล้างหรือพินาศกรรมตลอดกาล. ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้ไม่ซื่อสัตย์เหล่านี้จึงจะได้รับผลตามที่พระเยซูให้ชื่อว่า “การกลับเป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา” คือการพิพากษาลงโทษ.
อีกฝ่ายหนึ่ง คือชนเหล่านั้นผู้ที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับซาตานในการกบฏก็จะถูกพิพากษาในฐานะเป็นผู้ซึ่งสมควรได้รับชีวิตนิรันดร์. พวกเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีตลอดไปด้วยการมีชีวิตในฐานะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แสดงออกซึ่งความรักและได้รับความรักตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด. การกลับเป็นขึ้นมาของพวกเขานั้นจะปรากฏความจริงว่าเป็น “การกลับเป็นขึ้นมาสู่ชีวิต.”
แม้แต่ในขณะนี้เราย่อมสามารถเริ่มพัฒนาคุณลักษณะต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงคาดว่าจะพบในตัวคนเหล่านั้นผู้ซึ่งพระองค์ทรงรับรองในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่พระองค์พึงพอพระทัยนั้นได้. ถ้าเราสำแดงตัวเป็นผู้ซึ่งหยั่งรู้ถึงบุญคุณในสิ่งสารพัดที่พระองค์ได้กระทำมาแล้วนั้น และเริ่มก้าวหน้าไปในหนทางแห่งความชอบธรรม เราก็ย่อมสามารถมีความหวังอันน่าพิศวงในการมีชีวิตซึ่งยิ่งเสียกว่าชีวิตปัจจุบันนี้อย่างไกลลิบได้. แน่ทีเดียว เราสามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้พร้อมด้วยสภาพความสมบูรณ์ปราศจากความเศร้าโศกและความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น.