บท 5
คุณสามารถรับมือกับปัญหาชีวิตได้
“ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหา” หลายคนพูดอย่างนั้น. คุณคงจะเห็นด้วย.
2 ความยุ่งยากทางการเงินเป็นเหตุให้หลายคนเดือดร้อน—ใบแจ้งหนี้ เงินเฟ้อ งานไม่มั่นคง หรือการหาบ้านที่ดีพอสมควร. ชีวิตสมรสไม่ราบรื่นและปัญหาครอบครัวมีอยู่ทั่วไป. เรื่องเพศ แอลกอฮอล์หรือยาเสพย์ติดเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเยาวชนจำนวนมาก. สำหรับผู้สูงอายุ สุขภาพเสื่อมทำให้ยุ่งยาก. สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสาเหตุของความเครียดทางอารมณ์และความกดดัน.
3 คุณรับมือกับปัญหาในชีวิตได้ดีเพียงไร? รายงานต่าง ๆ ที่เป็นข่าวเกี่ยวกับความซึมเศร้าซึ่งมีอย่างแพร่หลายและอัตวินิบาตกรรมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หลายคนไม่สามารถรับมือกับสภาพเหล่านั้นได้. แต่ก็มีหลายล้านคนซึ่งยังคงยืนหยัดอยู่ได้เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก. เพราะเหตุใด?
4 คนจำพวกหลังนี้ได้เรียนรู้ที่จะพึ่งคำแนะนำของพระผู้สร้างมนุษยชาติดังปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล. ไม่มีใครเลย ไม่ว่านักจิตวิทยาผู้ให้คำปรึกษาด้านการสมรส หรือนักเขียนคอลัมน์ให้คำแนะนำประจำในหนังสือพิมพ์จะรู้เรื่องชีวิตดีไปกว่าพระเจ้า. พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์คู่แรก ดังนั้นพระองค์ย่อมทราบโดยละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกาย จิตใจและอารมณ์ของเรา. (บทเพลงสรรเสริญ 100:3; เยเนซิศ 1:27) ดีกว่ามนุษย์คนใดที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน พระยะโฮวาทรงทราบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา ทั้งทรงทราบด้วยว่า ทำไมเราจึงทำสิ่งที่เราทำนั้น.—1 ซามูเอล 16:7.
5 ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงทราบปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกซึ่งเราเผชิญอยู่นี้ดีกว่าคนหนึ่งคนใดในพวกเรา. ไม่ใช่ช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ตั้งแต่สมัยมนุษย์คู่แรกเป็นต้นมา พระยะโฮวาได้ทรงมองเห็นปัญหาทุกอย่างที่มนุษย์ได้ประสบ. คัมภีร์ไบเบิลแจ้งไว้ดังนี้ “พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรแต่สวรรค์ พระองค์ทรงดูมนุษย์ทั้งปวง. . . . ทรงแลเห็นชาวพิภพโลก. . . . และทรงพิจารณาดูกิจการทั้งปวงของเขา.” (บทเพลงสรรเสริญ 33:13-15) ทั้งนี้หมายความว่าพระองค์ทรงทราบวิธีที่บรรลุผลสำเร็จและวิธีที่ไม่ได้ผลในการรับมือกับปัญหาใด ๆ ที่เราประสบอยู่.
6 ด้วยพระทัยกว้างขวาง พระองค์ทรงจัดให้มีหนทางที่เราจะรับเอาประโยชน์จากความรู้และจากประสบการณ์ของพระองค์. คำแนะนำของพระองค์มีแจ้งอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลและจัดไว้ในแบบที่ตรงกับความจำเป็นของเรา ไม่ว่าสภาพแวดล้อมในชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร หรือไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน. ดังที่กล่าวในบทเพลงสรรเสริญ 19:7-11: “กฎหมายของพระยะโฮวาดีรอบคอบ เป็นที่ให้จิตวิญญาณฟื้นตื่นขึ้น. คำโอวาทของพระยะโฮวาก็แน่นอน เตือนสติคนรู้น้อยให้มีปัญญา.”
7 ให้เราพิจารณาคร่าว ๆ ว่า ข้อเตือนใจเหล่านั้นสามารถช่วยเราอย่างไรเพื่อรับมือกับปัญหาส่วนตัวสองประการซึ่งเป็นปัญหาหนัก ได้แก่ ความเครียดอย่างรุนแรงและความหงอยเหงา. หลังจากพิจารณาความช่วยเหลือที่ใช้การได้ที่พระคัมภีร์เสนอแนะในเรื่องเหล่านี้แล้ว เราจะพิจารณาปัญหาอื่น ๆ ที่แพร่หลาย—เรื่องเงิน การสมรสและยาเสพย์ติด.
ท่านจะรับมือกับความเครียดได้อย่างไร?
8 คงมีเพียงไม่กี่คนที่บอกว่า เขาไม่เคยประสบความเครียดอย่างรุนแรง. ยิ่งความยุ่งยากส่วนตัวของเราเพิ่มขึ้น—เกี่ยวกับเงิน ครอบครัว เรื่องเพศ อาชญากรรม—ความเครียดก็ยิ่งรุนแรงขึ้น. รายงานในหนังสือพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงความเห็นว่า สิ่งที่บ่งบอกลักษณะพิเศษของยุคนี้ดีที่สุดนั้นไม่อยู่ที่วิธีดำเนินงานหรือชุดเสื้อผ้าตามสมัย. แต่เป็น “ความเครียด ความรู้สึกอันร้ายกาจ.”
9 คุณทราบไหมว่า ความเครียดยังสามารถบั่นทอนชีวิตมนุษย์ให้สั้นลงได้? โปรดสังเกตข้อความต่อไปนี้:
“ความเครียดซึ่งถูกขนานนามว่า ‘เพชฌฆาตแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ’ มักเกิดขึ้นจากข้อเรียกร้องของชีวิตสมัยปัจจุบันในเชิงจิตวิทยาเป็นส่วนใหญ่. เวลานี้ความเจ็บป่วยทางกายอันมีสาเหตุมาจากความเครียด ทำให้ผู้ป่วยหลายคนเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตทุกปี—อย่างน้อยก็หลายสิบล้านคน.”—ทู เดอะ พอยท์ วารสารข่าวในแอฟริกา.
“ความเครียดอันรุนแรงหรือเครียดเรื้อรังเป็นเหตุให้เกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย นับตั้งแต่อาการผื่นคันของผิวหนัง และการเป็นหวัดธรรมดากระทั่งเป็นโรคหัวใจและมะเร็ง.”—เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล, สหรัฐ.
แม้แต่ทารกในครรภ์ก็ได้รับผลกระทบกระเทือน. ความเครียดที่เกิดกับสตรีมีครรภ์ เช่นเนื่องจากความไม่ลงรอยกันระหว่างสามีภรรยาหรือกลัวตกงาน ก็อาจมีผลกระทบในทางเสียหายแก่ทารกในครรภ์ได้ทั้งด้านร่างกาย จิตใจและอารมณ์.
10 อนึ่ง ความเครียดก่อผลเสียในข้อที่ว่า มันสร้างปัญหาอื่น ๆ ตามมา. เพราะความเครียด หลายคนเสียเวลาไม่เป็นอันทำงาน ยิ่งเป็นการเพิ่มความยุ่งยากทางการเงินให้มากขึ้น. ความเครียดก่อให้เกิดความรุนแรง กระทั่งในชีวิตสมรส. สามีคนหนึ่งเขียนมาว่า:
“ผมเครียดและหงุดหงิดเป็นกังวลมากขึ้นทุกวัน. ผมมีความรู้สึกเหมือนอยากจะเล่นงานทุกคน และตามปกติแล้วเรื่องมันก็มาลงที่ภรรยาผม. ผมคิดอยากดื่มให้เมาไปเลย แต่มันก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น.”
11 ความเครียดที่มีในบางครั้งถือเป็นเรื่องปกติของชีวิตและก็ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก. การตื่นนอนยามเช้าและการชมการแข่งขันฟุตบอลที่ตื่นเต้นก็ก่อความเครียด. ความเครียดที่รุนแรงและยืดเยื้อนั่นแหละซึ่งยังผลเสียหาย. แน่นอน ความกดดันหลายประการที่พวกเราได้รับอยู่นั้นดูเหมือนว่าจะเลี่ยงไม่ได้ เพราะเกี่ยวข้องกับคนอื่นหรือสภาพแวดล้อมในชีวิตของเราเอง. กระนั้นก็ดี เราทำอะไรไม่ได้ทีเดียวหรือเกี่ยวกับความเครียดซึ่งยังความเสียหายแก่เราเช่นนี้? หากเราสามารถรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น ปัญหาอื่น ๆ ก็คงจะลดน้อยลง เช่น ปัญหาซึ่งส่งผลกระทบสุขภาพของเรา.
12 เราได้เคล็ดที่จะรับมือกับความเครียดจากบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกฐานะเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่เคยมีชีวิตอยู่ คือพระเยซูคริสต์. เมื่อมีคนทูลถามพระองค์ว่า บัญญัติของพระเจ้าข้อไหนสำคัญที่สุด พระเยซูทรงตอบว่า ‘จงรักพระองค์ด้วยสุดใจ สุดจิตและด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า. และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง.’ (มัดธาย 22:37-39) จงปฏิบัติตามข้อคัมภีร์นี้ แล้วคุณย่อมได้รับการช่วยเหลือเพื่อจะรับมือกับความเครียด.
13 ตัวอย่างเช่น เมื่อใดคุณปฏิบัติต่อคู่สมรสหรือญาติของคุณด้วยท่าทีที่เปี่ยมด้วยความรัก ความสงบสุขคงจะทวีขึ้น. บรรยากาศแห่งความอบอุ่นและความสุขจะปรากฏให้เห็น. ความตึงเครียดจะลดน้อยลง. ใช่แล้ว การปฏิบัติตามคำแนะนำข้อนี้ในคัมภีร์ไบเบิล เกิดผลในทางบวก ช่วยลดความเครียดได้.
14 คำแนะนำนี้ไม่จำกัดอยู่แค่ครอบครัว. ขณะที่คุณปฏิบัติตามคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยการแสดงความรัก—รวมทั้ง “กฎทอง” ที่พึงกระทำต่อคนอื่นเหมือนที่คุณอยากให้เขาทำต่อคุณ—ผู้คนจะชอบคุณมากขึ้น. (ลูกา 6:31) ข้อนี้เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงาน ที่โรงเรียน ในชุมชน. แม้จะขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็น้อยกว่าแต่ก่อน. คุณจะเห็นผลได้โดยง่ายว่า คุณจะเผชิญความเครียดน้อยลง.
15 แม้แต่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ ผู้คนหยั่งรู้เข้าใจว่า คำแนะนำจากพระคัมภีร์จะช่วยคนเราลดความเครียดและรับมือกับมัน. ศาสตราจารย์ แฮนส์ เซลเย (มหาวิทยาลัยมอนตรีออล) หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ขึ้นชื่อด้านผลกระทบจากความเครียดได้แนะนำอย่างนี้:
“แทนที่จะอาศัยยาหรือวิธีการอื่น ๆ ผมคิดว่ามีวิธีหนึ่งที่ดีกว่าในการรับมือกับความเครียด เป็นวิธีซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีทัศนะที่ต่างออกไปต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเรา.”
เขาเน้นความจำเป็นที่ต้องมี “ปรัชญาด้านพฤติกรรมซึ่งคนเราอาจใช้ปรัชญานั้นนำชีวิต” ซึ่งจะ “ช่วยมนุษยชาติทั่วไปได้มากกว่าความรู้ด้านอื่น.” อะไรล่ะ? หลังจากใช้เวลา 40 ปีศึกษาเรื่องความเครียด เขากล่าวว่า สรุปแล้ววิธีแก้คือ—ความรัก.
16 เหตุใดแม้ในชีวิตวันต่อวัน การแสดงความรักดังที่แนะนำในพระคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งที่ใช้การได้จริง ๆ? ทำไมจึงใช้ได้ผล? ดร. เซลเยกล่าวว่า:
“อารมณ์สองอย่างที่สำคัญอันเป็นสาเหตุทำให้หายเครียดหรือเกิดความเครียดคือ ความรักและความเกลียด. พระคัมภีร์ชี้แจงข้อสำคัญนี้หลายครั้งหลายหน. ใจความคือ ถ้าเราไม่ดัดแปลงแก้ไขความเห็นแก่ตัวที่เราได้รับเป็นมรดกตกทอดมา เราจะปลุกเร้าให้คนอื่นเกิดความกลัวและความเกลียดชัง . . . ยิ่งเราสามารถทำให้คนอื่นรักเราแทนที่จะเกลียดเรา เราก็ยิ่งจะปลอดภัยมากขึ้นและการที่ต้องทนกับความเครียดก็จะน้อยลง.”
17 ความโกรธเป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนเราเครียด. เราทุกคนโกรธเป็นครั้งคราว ดังที่พระคัมภีร์ยอมรับ. กระนั้น พระคัมภีร์ให้คำแนะนำว่า “คนที่อดโทโสได้ก็ดีกว่าคนที่มีกำลังแข็งแรง และคนที่ชนะใจของตนก็ดีกว่าคนที่ชนะตีเมืองได้.” (สุภาษิต 16:32; เอเฟโซ 4:26) ดังนั้น ถ้าเรารู้สึกโกรธ คำเตือนของพระเจ้าคือ ให้หลีกเลี่ยงการบันดาลโทสะหรือ ‘เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ.’ คนเหล่านั้นซึ่งไม่ใส่ใจต่อคำแนะนำมักจะโพล่งคำมุ่งร้ายออกมา หรือถึงขั้นใช้กำลังต่อสู้กัน. บางครั้งยังผลให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือเกิดเจตนาร้ายขึ้นมา พร้อมกับความเครียดยืดเยื้อ. ฉะนั้น ตราบใดคุณสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำอันสุขุมของคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยการโกรธ คุณก็ย่อมได้ซึ่งการช่วยเหลือเพื่อจะรับมือกับความเครียด.
18 เพื่อเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราลดความเครียดโดยการแนะนำวิธีใช้ชีวิตอย่างไม่จำเจ และให้สมดุล. บางคนทำงานหามรุ่งหามค่ำ บางคนไม่ค่อยทำงาน. บ้างก็เป็นคนเอาจริงเอาจังเสมอ บ้างก็ปล่อยไปตามเรื่องตามราว. การทำเลยเถิดในทางใดทางหนึ่งเช่นนั้นแทบทุกรายจะเกิดปัญหาเสมอ และทำให้เกิดความเครียด. อย่างไรก็ดี จงอ่านข้อความในพระธรรมท่านผู้ประกาศ 3:1-8 ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสว่า มีวาระไว้สำหรับกิจการทุกอย่าง. คุณจะเห็นได้ว่า พระคัมภีร์เสนอแง่คิดเกี่ยวด้วยเรื่องชีวิตอย่างที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงและอย่างสมดุล. การงานเป็นสิ่งที่ดี ตรงกันข้ามกับความเกียจคร้าน. อนึ่ง พระคัมภีร์ยังเตือนคนเราให้พักผ่อนบ้าง และให้ชื่นชมกับผลของการงานที่เขาลงแรงกระทำ. (ท่านผู้ประกาศ 3:12, 13; 10:18; สุภาษิต 6:9-11) เราย่อมได้ประโยชน์เมื่อใช้เวลาบางโอกาสคิดรำพึงอย่างจริงจังถึงความหมายของชีวิต และวิธีที่เราควรดำเนินชีวิต. นอกจากนั้น การพักผ่อนกับครอบครัวและมิตรสหายของเราเป็นประโยชน์ด้วย. เราปฏิบัติตามคำแนะนำในพระคัมภีร์เกี่ยวกับความสมดุลตราบใด เราก็จะมีปัญหาเรื่องความเครียดน้อยลงตราบนั้น.
การรับมือกับความปวดร้าวเนื่องจากความว้าเหว่
19 เฮนรี เรเกอร์ เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมแห่งเมืองโตรอนโตกล่าวว่า “ความว้าเหว่มีอยู่ทั่วไป. ลองขอใครสักคนที่เดินบนถนนและบอกว่า ‘เล่าความว้าเหว่ของคุณให้ผมฟังหน่อย’ แล้วคุณก็จะได้ฟังมากมายหลายเรื่องทีเดียว.” จากการสำรวจประชามติในจำนวน 52,000 คน มากกว่าร้อยละ 40 บอกว่า เขา “รู้สึกว้าเหว่บ่อย ๆ.” ความว้าเหว่เป็นความรู้สึกที่ก่อความอึดอัดใจ เป็นตัวทำลายความสุขเสมอ. ความว้าเหว่เกิดขึ้นกับใคร ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือหนุ่มสาว ชายหรือหญิง. ถึงแม้เราอาจนึกถึงคนที่อยู่เดียวดายว่าเป็นคนว้าเหว่ เช่นแม่ม่าย แต่บางทีคนว้าเหว่ที่สุดอาจเป็นบุคคลที่มีคู่สมรสแล้ว ผู้ซึ่งไม่อาจสื่อความหมายต่อกัน.
20 หลายคนพยายามขจัดความรู้สึกว้าเหว่ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ถูกหลักศีลธรรม หรือถือเอาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ดับความว้าเหว่หรือไม่ก็กินไม่หยุดเพื่อจะระงับความว้าเหว่. แต่ต้นเหตุยังมีอยู่. ปัจจัยหนึ่งคือการเจริญเติบโตของเมืองใหญ่ ที่ซึ่งผู้คนมากมายอาจแวดล้อมคุณ แต่คุณก็ยังรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างยิ่งได้. การที่ครอบครัวแตกแยกได้เพิ่มปัญหาขึ้น. แม้แต่โทรทัศน์ก็ดูเหมือนว่าเพิ่มความว้าเหว่เนื่องจากทำให้การสนทนาลดน้อยลงไป.
21 จะทำประการใดได้บ้างเพื่อช่วยรับมือกับความว้าเหว่? แม้ไม่อยากจะถือว่าปัญหานี้เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ก็บอกได้ว่า คัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยใคร ๆ ก็ตามให้รับมือกับความว้าเหว่ได้ดีขึ้น. เพราะเหตุใด? ประการหนึ่ง ความว้าเหว่มักจะนำไปสู่ความหดหู่ใจและการสูญเสียความนับถือตัวเอง. การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับพระผู้สร้างของตนสามารถช่วยฟื้นฟูคนเช่นนั้นให้คืนสู่สภาพเดิมได้. เขาย่อมพัฒนาความรู้สึกว่าตนเป็นคนมีค่า หยั่งรู้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงใฝ่พระทัยในตัวเขา ซึ่งทำให้ผู้นั้นมองชีวิตด้วยทัศนะที่ดีขึ้น. (มัดธาย 18:10) ยิ่งกว่านั้น คัมภีร์ไบเบิลวางเค้าโครงการดำเนินชีวิตสำหรับคริสเตียนซึ่งอาจช่วยบรรเทาความว้าเหว่ได้.
22 คนที่รู้สึกว้าเหว่มักได้ฟังผู้อื่นบอกว่า “อย่าอยู่ว่าง หาอะไรทำ.” ข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน. แต่พระคัมภีร์เสนอคำแนะนำที่ตรงกับสภาพจริง ๆ และใช้การได้มากขึ้น. พระคัมภีร์สนับสนุนคริสเตียนให้กระทำการดี ต่อคนอื่น ซึ่งก่อให้เกิดความสุขด้วย. (กิจการ 20:35) เราเห็นได้จากตัวอย่างของนางโดระกา ผู้ซึ่งใช้เวลากระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อเพื่อนคริสเตียน ซึ่งหลายคนเป็นแม่ม่าย. ความพยายามของเธอได้ช่วยเหลือเกื้อกูลเขาด้วยวัตถุปัจจัย และก็คงช่วยให้เขาบรรเทาความว้าเหว่ด้วย. ในขณะเดียวกัน นางโดระกาเองก็ไม่ว้าเหว่ แต่เธอได้รับความรัก. คุณคงจะชอบอ่านเรื่องราวของเธอในพระธรรมกิจการ 9:36-42.
23 งานที่ให้บำเหน็จอย่างแท้จริงแก่คริสเตียนจำนวนไม่น้อยก็คือการช่วยเหลือคนอื่นให้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและคัมภีร์ไบเบิล. ที่จริง อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า การเป็นอิสระที่จะทำเช่นนั้นได้มากกว่าคนแต่งงานแล้วนั้น เป็นข้อได้เปรียบที่คนโสดมี ซึ่งแน่นอนว่า การทำเช่นนั้นจะช่วยเขาให้รับมือกับความว้าเหว่ด้วย. (1 โกรินโธ 7:32-35) เปาโลเองเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้. โปรดอ่านกิจการ 17:1-14 ที่ว่าเปาโลไม่ว่างเว้นในการช่วยเหลือหลายคนในเมืองเธซะโลนิเก ทั้ง ๆ ที่มีการต่อต้านขัดขวางอย่างผิดปกติ. แล้วจงสังเกตความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันระหว่างพวกเขาอันเป็นผล ซึ่งกล่าวไว้ใน 1 เธซะโลนิเก 2:8. เวลานี้พยานพระยะโฮวาหลายแสนคนสามารถยืนยันได้ถึงบำเหน็จมากมายอันเนื่องมาจากความขยันขันแข็งในการสั่งสอนพระคัมภีร์แก่คนอื่น.
24 นอกจากนี้ พยานพระยะโฮวายังพบปะกันเป็นกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์กันเป็นประจำ. ระหว่างที่ศึกษา พวกเขาก็เพลิดเพลินกับมิตรภาพอันอบอุ่นแบบคริสเตียน. จริงอยู่ เพียงการอยู่พร้อมหน้ากันหลายคนก็ใช่ว่าจะเป็นทางแก้ความว้าเหว่ อย่างที่ผู้คนในเมืองใหญ่หลายคนก็รู้ดี. แต่คนที่เข้าร่วมการประชุมเช่นนั้นอยู่ท่ามกลางชนคริสเตียนผู้ซึ่งพยายามอย่างจริงใจที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำในพระคัมภีร์ที่ให้สนใจในคนอื่นด้วยน้ำใสใจจริง. (ฟิลิปปอย 2:4) การประชุมเหล่านี้กระตุ้น ทำให้มีความสุข. คนที่เข้าร่วมประชุมก็ได้ร่วมในการทูลอธิษฐานสั้น ๆ ต่อพระเจ้า ซึ่งหลายคนได้ประสบแล้วว่า ช่วยเขาให้สำนึกว่า เขาหาได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่. (โยฮัน 16:32) เราขอสนับสนุนคุณให้เข้าร่วมประชุมกับคณะพยานพระยะโฮวา. ณ ที่นั่นคุณจะสังเกตได้ว่า การปฏิบัติตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลช่วยหลายคนรับมือกับความว้าเหว่และปัญหาอื่น ๆ เช่นปัญหาการเงินหรือปัญหาครอบครัว.
[คำถามศึกษา]]
เรามีเหตุผลอะไรที่จะมองปัญหาชีวิตในแง่ดี? พระเจ้าทรงเกี่ยวข้องด้วยอย่างไร? (1-7)
ปัญหาความเครียดนั้นรุนแรงขนาดไหน? (8-11)
คำแนะนำในพระคัมภีร์สามารถช่วยเรารับมือกับความเครียดได้อย่างไร? (12-14)
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบอะไรเกี่ยวกับคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความรัก? (15, 16)
คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยเราได้อย่างไรอีกในการรับมือกับความเครียด? (17, 18)
ความว้าเหว่เป็นปัญหาร้ายแรงเพียงไร? (19, 20)
คำแนะนำอะไรในพระคัมภีร์ช่วยให้รับมือกับความว้าเหว่ได้? โดยวิธีใด? (21-23)
การคบหาสมาคมของคริสเตียนให้ประโยชน์อะไรบ้าง? (ท่านผู้ประกาศ 4:9, 10) (24)
[กรอบหน้า 47]
สภาพการณ์ที่ก่อ ‘ความเครียด’ มากที่สุดในชีวิต
อันดับ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
1 คู่สมรสเสียชีวิต
2 การหย่า
3 สามีภรรยาแยกทางกัน
4 การติดคุก
5 สมาชิกใกล้ชิดในครอบครัวเสียชีวิต
6 การได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย
7 การสมรส
8 การถูกไล่ออกจากงาน
9 การกลับคืนดีกันของคู่สมรส
10 การปลดเกษียณ
11 ความผันแปรด้านสุขภาพของคนในครอบครัว
12 การตั้งครรภ์
13 ปัญหาด้านกามารมณ์
14 การมีสมาชิกคนใหม่เพิ่มเข้ามาในครอบครัว
15 การปรับงานด้านธุรกิจ
อาศัยการวิจัยของดร. ที. โฮล์มส และอาร์. เอช. ราห์น ใน “ความอาวุโสสมัยปัจจุบัน.”
[กรอบหน้า 54]
“ชีวิตของพยานพระยะโฮวาในรูปแบบประชาคม เขาได้ก่อตั้งชุมชนซึ่งไว้เนื้อเชื่อใจกันได้จริง ๆ และคนเราเป็นที่ยอมรับ. . . . พยานพระยะโฮวาเสนอ [คนเรา] วิธีการดำเนินชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ยึดมั่นกับชีวิตแบบนี้มีทางจะรู้จักตัวเองและนับถือตัวเอง เป็นชุมชนที่แต่ละคนได้รับการยอมรับ และมีความหวังในวันข้างหน้า.”—“ศาสนาต่าง ๆ ในอเมริกาสมัยปัจจุบัน.”
[รูปภาพหน้า 44]
เงินเฟ้อ
ความเจ็บป่วย
งานไม่มั่นคง
ปัญหาครอบครัว
ที่อยู่อาศัย
[รูปภาพหน้า 53]
การทำดีเพื่อคนอื่น อย่างที่โดระกาได้กระทำช่วยไม่ให้เกิดความว้าเหว่.