บท 4
ชีวิตเกิดขึ้นโดยบังเอิญได้ไหม?
1. (ก) ชาร์ลส์ ดาร์วินได้ยอมรับอย่างไรเกี่ยวกับกำเนิดของชีวิต? (ข) ทฤษฎีวิวัฒนาการในปัจจุบันได้รื้อฟื้นความคิดเห็นอะไรขึ้นมาอีก?
เมื่อชาร์ลส์ ดาร์วินได้ตั้งทฤษฎีวิวัฒนาการขึ้นมา เขายอมรับว่าอาจจะเป็นได้ “เมื่อแรกเดิมนั้นพระผู้สร้างได้ใส่ชีวิตเข้าในรูปแบบเพียงไม่กี่อย่างหรืออย่างเดียว.”1 แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการในปัจจุบันนี้โดยทั่วไปแล้วไม่กล่าวพาดพิงถึงเรื่องพระผู้สร้างเลย. แต่มีการรื้อฟื้นทฤษฎีว่าด้วยการเกิดชีวิตขึ้นเองซึ่งครั้งหนึ่งไม่เป็นที่ยอมรับกันเข้ามาแทน ในรูปแบบที่ต่างไปเล็กน้อย.
2. (ก) ความเชื่อเรื่องใดในอดีตเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นเองของชีวิตได้มีการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง? (ข) ถึงแม้จะยอมรับว่าในปัจจุบันไม่มีชีวิตที่เกิดขึ้นเอง กระนั้นนักวิวัฒนาการตั้งข้อสันนิษฐานไว้อย่างไร?
2 ความเชื่อเรื่องการเกิดชีวิตขึ้นเองนั้นมีมาหลายศตวรรษแล้ว. ในศตวรรษที่ 17 แม้แต่พวกที่มีชื่อเสียงทางวิทยาศาสตร์อย่างฟรานซิส เบคอน และวิลเลียม ฮาร์วีย์ก็ยอมรับทฤษฎีนี้. อย่างไรก็ดี ในศตวรรษที่ 19 หลุยส์ ปาสเตอร์ และนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ทำให้เห็นว่าทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้ทีเดียวเมื่อเขาพิสูจน์โดยการทดลองว่าชีวิตเกิดมาจากชีวิตที่มีอยู่แล้วเท่านั้น. ถึงกระนั้น ด้วยความจำเป็น ทฤษฎีวิวัฒนาการสันนิษฐานเอาว่านานมาแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เล็กมากมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้เกิดขึ้นเองจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต.
รูปแบบใหม่ของการเกิดชีวิตขึ้นเอง
3, 4. (ก) มีการพูดถึงขั้นตอนอะไรบ้างที่นำไปสู่การกำเนิดของชีวิต? (ข) ถึงแม้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ชีวิตจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่นักวิวัฒนาการยืนยันอย่างไร?
3 จุดยืนของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยปัจจุบันเกี่ยวกับการเริ่มต้นของชีวิตนั้นได้รวบรวมไว้ในหนังสือ เดอะ เซลฟิช ยีน ของริชาร์ด ดอว์กินส์. เขาตั้งทฤษฎีขึ้นว่า ในตอนเริ่มต้น บรรยากาศของโลกประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนียและน้ำ. โดยพลังงานจากแสงอาทิตย์และบางทีจากฟ้าผ่าและการระเบิดของภูเขาไฟ สารประกอบเบื้องต้นเหล่านี้แตกตัวแล้วก่อตัวขึ้นใหม่เป็นกรดอะมิโน. กรดเหล่านี้หลาย ๆ ชนิดสะสมอยู่ในทะเลและรวมตัวกันขึ้นเป็นสารประกอบคล้ายโปรตีน. เขาบอกว่า แล้วในที่สุดมหาสมุทรก็กลายเป็น “ซุปอินทรียสาร” แต่ยังไม่มีชีวิต.
4 ครั้นแล้ว ตามการพรรณนาของดอว์กินส์ “โมเลกุลตัวพิเศษเฉพาะได้ก่อตัวขึ้นโดยบังเอิญ”—เป็นโมเลกุลซึ่งสามารถแบ่งตัวได้. ถึงแม้เขายอมรับว่าเหตุบังเอิญเช่นนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง เขาก็ยืนยันว่ามันต้องได้เกิดขึ้นอย่างนั้นจริง. โมเลกุลคล้ายกันเกาะกลุ่มกันและต่อมา อีกครั้งหนึ่งโดยเหตุบังเอิญที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น มันได้หุ้มห่อตัวเองไว้ด้วยโมเลกุลของโปรตีนอื่น ๆ เป็นชั้นเพื่อปกป้องตัวเองเรียกว่าเยื่อหุ้มเซลล์. โดยวิธีนี้ เขาอ้างว่าเซลล์แรกที่มีชีวิตได้เกิดขึ้นเอง.2
5. ปกติแล้ว มีการกล่าวถึงเรื่องการกำเนิดของชีวิตในสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ อย่างไร? กระนั้นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งได้กล่าวไว้อย่างไร?
5 เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้อ่านอาจเริ่มเข้าใจอารัมภบทในหนังสือ แต่งโดยดอว์กินส์ที่ว่า “หนังสือเล่มนี้น่าจะอ่านประหนึ่งนิยายวิทยาศาสตร์.”3 แต่ผู้อ่านเรื่องนี้จะพบว่าการอธิบายแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก. หนังสืออื่นส่วนใหญ่ที่พูดถึงวิวัฒนาการก็กล่าวอย่างผิวเผินเกี่ยวกับปัญหาซึ่งยากแก่การอธิบายเรื่องชีวิตเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต. ดังนั้น ศาสตราจารย์ วิลเลียม ทอร์ป แห่งภาควิชาสัตวศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้กล่าวกับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ว่า “การอ้างและการอธิบายกันเพียงตื้น ๆ ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ระหว่างสิบหรือสิบห้าปีที่แล้วมา เพื่ออธิบายวิธีที่ชีวิตเกิดขึ้น ปรากฏว่าเป็นความคิดเซ่อ ๆ และแทบจะไม่มีน้ำหนัก. ที่จริง ปัญหานี้ดูเหมือนว่ายังไม่มีคำตอบเช่นเคย.”4
6. ความรู้ที่มีเพิ่มพูนมากขึ้นแสดงให้เห็นอะไร?
6 ความรู้ที่ได้ค้นคว้ากันมากมายในระยะหลัง ๆ ล้วนแต่เป็นการขยายให้เห็นช่องว่างระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิตชัดขึ้นเท่านั้น. แม้แต่สิ่งมีชีวิตเพียงเซลล์เดียวที่รู้กันว่าเก่าแก่ที่สุดก็พบว่ามันมีความซับซ้อนยากจะเข้าใจได้. นักดาราศาสตร์เฟรด ฮอยล์และจันทรา วิครามซิงห์กล่าวว่า “ปัญหาของชีววิทยาก็คือต้องพยายามค้นพบการเริ่มต้นอย่างที่ไม่สลับซับซ้อน.” “ฟอสซิลที่แสดงรูปแบบชีวิตสมัยดึกดำบรรพ์ซึ่งพบในหินก็ไม่บอกการเริ่มต้นอย่างที่ไม่สลับซับซ้อน. . . . ดังนั้นทฤษฎีวิวัฒนาการจึงขาดรากฐานที่มั่นคง.”5 และขณะที่พบข้อมูลมากขึ้นก็ยิ่งลำบากมากขึ้นที่จะอธิบายวิธีที่ชีวิตอันซับซ้อนเหลือเกินเช่นนั้นซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ.
7. มีการอ้างอิงถึงขั้นตอนอะไรบ้างที่นำไปสู่การกำเนิดของชีวิต?
7 ขั้นตอนสำคัญอันนำไปสู่การเกิดของสิ่งมีชีวิต ตามทฤษฎีวิวัฒนาการนั้น คือ (1) การมีบรรยากาศที่เหมาะสมตอนแรกเริ่มและ (2) การรวมตัวกันของซุปอินทรียสารในมหาสมุทรซึ่งประกอบด้วยโมเลกุล “ไม่ซับซ้อน” ที่จำเป็นต่อชีวิต. (3) จากสิ่งเหล่านี้จึงเกิดเป็นโปรตีนและนิวคลีโอไทด์ (สารประกอบทางเคมีที่ซับซ้อน) ซึ่ง (4) รวมตัวกันแล้วได้มาซึ่งเยื่อหุ้มเซลล์ และหลังจากนั้น (5) มันก็สร้างรหัสพันธุกรรมขึ้นและเริ่มสร้างแบบที่เหมือนตัวเองขึ้นมาเรื่อย ๆ. ขั้นตอนเหล่านี้สอดคล้องกันไหมกับข้อเท็จจริงที่เรามีอยู่?
บรรยากาศในตอนแรกเริ่ม
8. การทดลองอันมีชื่อของสแตนลีย์ มิลเลอร์ และการทดลองครั้งต่อ ๆ มามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง?
8 ในปี 1953 สแตนลีย์ มิลเลอร์ ได้ทดลองส่งประกายไฟฟ้าเข้าไปใน “บรรยากาศ” ที่มีไฮโดรเจน มีเทน แอมโมเนียและไอน้ำ. วิธีนี้ทำให้เกิดกรดอะมิโนบางชนิดในหลายชนิดที่มีอยู่ กรดอะมิโนเหล่านี้แหละเป็นตัวสร้างโปรตีน. อย่างไรก็ดี เขาได้กรดอะมิโนเพียง 4 ชนิดจาก 20 ชนิดซึ่งจำเป็นต่อการคงอยู่ของชีวิต. ต่อมา 30 กว่าปี นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถจะผลิตกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้ง 20 ชนิดขึ้นได้ในสภาพการณ์ซึ่งถือได้ว่าน่าจะมีทางเป็นไปได้.
9, 10. (ก) มีการเชื่อกันอย่างไรเกี่ยวกับส่วนประกอบในบรรยากาศของโลกสมัยแรก? (ข) ทฤษฎีวิวัฒนาการเผชิญสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไร และเขารู้อะไรบ้างในเรื่องบรรยากาศของโลกสมัยแรกเริ่ม?
9 มิลเลอร์สันนิษฐานเอาว่าบรรยากาศของโลกในตอนแรกเริ่มนั้นเหมือนบรรยากาศในขวดทดลองของเขา. เพราะเหตุใด? เพราะเขากับเพื่อนร่วมงานได้บอกตอนหลังว่า “การสังเคราะห์สารประกอบที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจะเกิดขึ้นเฉพาะในบรรยากาศที่ไม่มีออกซิเจนอิสระเท่านั้น.”6 อย่างไรก็ดี นักวิวัฒนาการบางคนตั้งทฤษฎีว่าออกซิเจนมีอยู่แล้ว. สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกซึ่งเรื่องนี้ก่อขึ้นต่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ฮิทชิงได้กล่าวไว้ดังนี้ “ถ้ามีออกซิเจนในอากาศ กรดอะมิโนตัวแรกจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และถ้าไม่มีออกซิเจน กรดอะมิโนจะถูกทำลายหมดโดยรังสีคอสมิค.”7
10 ความจริงก็คือ ความพยายามใด ๆ เพื่อบ่งชี้สภาพบรรยากาศของโลกตอนแรกเริ่มนั้นอาศัยการเดาและการสันนิษฐานเท่านั้น. ไม่มีใครรู้แน่นอนว่ามันเป็นแบบใด.
“ซุปอินทรียสาร” จะรวมตัวกันไหม?
11. (ก) เหตุใดจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ “ซุปอินทรียสาร” จะรวมตัวกันในมหาสมุทร? (ข) โดยวิธีใดมิลเลอร์จึงสามารถป้องกันกรดอะมิโนไม่กี่ชนิดที่เขาผลิตขึ้นมาได้?
11 มีความเป็นไปได้ขนาดไหนที่กรดอะมิโนซึ่งคาดว่าก่อตัวขึ้นในบรรยากาศจะลอยลงและก่อตัวเป็น “ซุปอินทรียสาร” ในมหาสมุทร? ไม่น่าเป็นไปได้เลย. พลังงานอย่างเดียวกันที่แยกสารประกอบที่ไม่ซับซ้อนในบรรยากาศจะทำให้กรดอะมิโนที่ซับซ้อนสลายได้เร็วกว่าที่มันก่อตัวขึ้นเสียอีก. น่าสังเกตว่าในการทดลองที่มิลเลอร์ส่งประกายไฟฟ้าเข้าไปใน “บรรยากาศ” นั้น เขาได้กรดอะมิโนไว้สี่อย่าง ก็เพราะเขาได้แยกกรดเหล่านั้นให้พ้นบริเวณที่มีประกายไฟฟ้า. ถ้าเขาปล่อยกรดเหล่านั้นไว้ที่นั่น ประกายไฟฟ้าจะทำให้มันสลายหมด.
12. อะไรจะเกิดขึ้นกับกรดอะมิโน ถึงแม้ว่าบางชนิดจะลงไปอยู่ในมหาสมุทรได้?
12 ทีนี้ ถ้าสมมุติว่า โดยวิธีใดก็ตามกรดอะมิโนลงไปอยู่ในมหาสมุทรและถูกกันไว้จากการทำลายโดยรังสีอัลตราไวโอเลตในบรรยากาศแล้วจะเป็นอย่างไร? ฮิทชิงอธิบายว่า “ใต้พื้นผิวน้ำนั้น ไม่มีพลังงานพอที่จะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีขั้นต่อไป ถึงอย่างไรก็ตาม น้ำเป็นตัวยับยั้งการเกิดโมเลกุลที่ซับซ้อนกว่า.”8
13. กรดอะมิโนในน้ำต้องทำอย่างไรหากมันจะก่อตัวเป็นโปรตีน แต่แล้วมันจะเผชิญอันตรายอะไร?
13 ดังนั้น ครั้นกรดอะมิโนอยู่ในน้ำ มันต้องออกจากน้ำหากมันจะก่อตัวขึ้นเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นแล้ววิวัฒนาการเป็นโปรตีนซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการก่อเกิดชีวิต. แต่เมื่อใดก็ตามที่กรดอะมิโนพ้นน้ำขึ้นมา มันจะถูกทำลายโดยแสงอัลตราไวโอเลตทันที! ฮิทชิงกล่าวว่า “ถ้าจะพูดกันแล้ว โอกาสที่จะผ่านขั้นตอนแรกและค่อนข้างง่าย [การได้มาซึ่งกรดอะมิโน] ในวิวัฒนาการของชีวิต ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้เสียแล้ว.”9
14. ดังนั้น นักวิวัฒนาการเผชิญปัญหาอะไรที่แก้ยากที่สุด?
14 ถึงแม้มีการยืนยันว่าสิ่งมีชีวิตก่อตัวขึ้นเองในมหาสมุทร แต่น้ำมหาศาลก็จะไม่เอื้ออำนวยต่อปฏิกิริยาทางเคมีที่จำเป็นในการนี้. ริชาร์ด ดิคเกอร์ซัน นักเคมีอธิบายว่า “ดังนั้นจึงเป็นการยากที่ขบวนการโพลีเมอไรเซชัน [การจับกันของโมเลกุลเล็กกลายเป็นโมเลกุลใหญ่] จะเกิดขึ้นได้ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นน้ำในมหาสมุทรตอนแรกเริ่ม เนื่องจากน้ำเอื้ออำนวยต่อขบวนการดีโพลีเมอไรเซชัน [การแตกโมเลกุลใหญ่เป็นโมเลกุลเล็ก] มากกว่าโพลีเมอไรเซชัน.”10 จอร์ช วอลด์ นักชีวเคมีเห็นด้วยกับทัศนะนี้โดยกล่าวว่า “การสลายตัวเองเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้มากกว่าและดำเนินไปได้รวดเร็วกว่าการสังเคราะห์ตัวเอง.” ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่าไม่มีการรวมตัวของซุปอินทรียสาร! วอลด์เชื่อว่าสิ่งนี้เป็น “ปัญหาที่แก้ได้ยากที่สุด ซึ่งพวกเรา [นักวิวัฒนาการ] เผชิญอยู่.”11
15, 16. มีปัญหาใหญ่อะไรเกี่ยวข้องกับการเกิดโปรตีนของสิ่งมีชีวิตจากกรดอะมิโนที่อยู่ในซุปอินทรียสารตามการสมมุติ?
15 อย่างไรก็ดี ยังมีปัญหายากอีกอย่างหนึ่งซึ่งขวางทฤษฎีวิวัฒนาการอยู่. จำไว้ว่า มีกรดอะมิโนมากกว่า 100 ชนิด แต่มีเพียง 20 ชนิดเท่านั้นที่จำเป็นต่อโปรตีนในสิ่งมีชีวิต. นอกจากนั้น กรดอะมิโนเหล่านี้มี 2 แบบ: บ้างก็เป็นโมเลกุล “แบบมือขวา” บ้างก็เป็น “แบบมือซ้าย.” ถ้ามันจะก่อตัวขึ้นโดยบังเอิญเช่นในซุปอินทรียสารตามทฤษฎีแล้ว ก็น่าจะเป็นแบบมือขวาเสียครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นแบบมือซ้าย. และไม่มีเหตุผลอะไรเท่าที่ทราบว่าสิ่งมีชีวิตน่าจะมีแบบใดแบบหนึ่งมากกว่าอีกแบบหนึ่ง. แต่กรดอะมิโน 20 ชนิดซึ่งก่อโปรตีนในสิ่งมีชีวิต ทั้งหมด เป็นแบบมือซ้าย!
16 จะเป็นไปได้อย่างไรที่โดยบังเอิญมีกรดอะมิโนเฉพาะชนิดที่จำเป็นเท่านั้นรวมตัวกันขึ้นในซุปอินทรียสารนั้น? เจ. ดี. เบอร์นัล นักฟิสิกส์ยอมรับว่า “ต้องยอมรับว่าเรื่อง . . . ยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่ยากแก่การอธิบายอย่างยิ่งในแง่โครงสร้างของสิ่งมีชีวิต.” เขาสรุปว่า “เราอาจจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้เลย.”12
ความเป็นไปได้ และโปรตีนที่เกิดขึ้นเอง
17. ตัวอย่างอะไรชี้ให้เห็นความยุ่งยากของปัญหานี้?
17 มีโอกาสสักเท่าไรกันที่กรดอะมิโนชนิดที่ถูกต้องจะรวมตัวกันเกิดเป็นโมเลกุลของโปรตีน? อาจเปรียบได้กับถั่วกองใหญ่ ซึ่งมีเม็ดถั่วสีแดงปนอยู่กับถั่วสีขาวจำนวนเท่า ๆ กัน. นอกจากนั้น ยังมีถั่วปะปนกันอยู่มากกว่า 100 ชนิด. ตอนนี้ถ้าคุณใช้ภาชนะจ้วงถั่วกองนี้ คุณคิดว่าคุณจะได้อะไร? เพื่อจะได้ถั่วซึ่งเปรียบเสมือนส่วนประกอบหลังของโปรตีน คุณจะต้องตักเอาแต่ถั่วสีแดงเท่านั้น—ไม่ให้เม็ดถั่วสีขาวติดขึ้นมาแม้แต่เม็ดเดียว! นอกจากนั้น คุณต้องตักให้ได้ถั่วสีแดงเพียงยี่สิบชนิดเท่านั้น และแต่ละเม็ดต้องอยู่ตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าด้วย. สำหรับเรื่องของโปรตีนนี้ ถ้าพลาดเพียงจุดเดียวในรายละเอียดเหล่านี้ จะทำให้โปรตีนที่เกิดขึ้นมาทำงานไม่ประสานกันอย่างถูกต้อง. ไม่ว่าเราจะคนหรือตักกองถั่วสมมุติของเรากี่ครั้งกี่หนก็ตาม เราจะได้เม็ดถั่วที่ถูกต้องไหม? ไม่มีทาง. ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรกับซุปอินทรียสารโดยสมมุตินั้น?
18. โอกาสจริง ๆ มีมากแค่ไหน ที่โมเลกุลของโปรตีนจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญแม้จะเป็นเพียงโมเลกุลที่ไม่สลับซับซ้อน?
18 โปรตีนที่จำเป็นต่อชีวิตมีโมเลกุลที่ซับซ้อนมาก. มีโอกาสสักเท่าไรกันที่เพียงโมเลกุลธรรมดา ๆ ของโปรตีนจะก่อตัวขึ้นเองในซุปอินทรียสาร? นักวิวัฒนาการยอมรับว่าจะมีโอกาสเพียงหนึ่งใน 10113 (เลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 113 ตัว). แต่อะไรก็ตาม ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้แค่หนึ่งใน 1050 นั้น นักคณิตศาสตร์จะตัดเรื่องนี้ทิ้งไปเลยโดยถือว่าจะไม่เกิดขึ้น. จะเข้าใจเรื่องโอกาสและความเป็นไปได้เช่นนี้ได้ชัดเจนขึ้นเมื่อรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าเลขจำนวน 10113 นั้นมากกว่าจำนวนอะตอมทั้งหมดโดยประมาณในเอกภพเสียอีก!
19. โอกาสมีมากแค่ไหนที่จะได้เอ็นไซม์ที่จำเป็นสำหรับเซลล์มีชีวิต?
19 โปรตีนบางตัวทำหน้าที่เป็นส่วนโครงสร้าง บางตัวเป็นเอ็นไซม์. ตัวหลังนี้ช่วยเร่งปฏิกิริยาที่จำเป็นภายในเซลล์. ถ้าไม่มีเอ็นไซม์เซลล์จะตาย. มิใช่เพียงโปรตีนไม่กี่ชนิด แต่มีโปรตีนมากถึง 2,000 ชนิดทำหน้าที่เป็นเอ็นไซม์ซึ่งจำเป็นต่อปฏิกิริยาของเซลล์. มีความเป็นไปได้สักแค่ไหนที่จะได้โปรตีนเหล่านี้โดยบังเอิญ? เพียงหนึ่งใน 1040,000! “มีโอกาสน้อยมากเสียจริง ๆ” ฮอยล์ยืนยันว่า “มันไม่มีโอกาสจะเป็นได้เลย ถึงแม้ว่าเอกภพทั้งสิ้นจะเป็นซุปอินทรียสาร. ถ้าเราไม่ลำเอียง ไม่ว่าจะโดยความเชื่อของสังคมหรือจากการอบรมทางวิทยาศาสตร์ที่ให้เชื่อว่าชีวิตเกิดขึ้นเองในโลก การคำนวณอย่างง่าย ๆ นี้จะลบล้างความเห็นที่ฟังไม่ขึ้นนี้ได้ทั้งหมด.”13
20. เหตุใดการที่เซลล์ต้องมีเยื่อหุ้มจึงเป็นปัญหาหนักเข้าไปอีก?
20 อย่างไรก็ตาม โอกาสเป็นไปได้มีน้อยกว่าที่ตัวเลข “น้อยมากเสียจริง ๆ” บ่งชี้ด้วยซ้ำ. จะต้องมีเยื่อที่หุ้มเซลล์ด้วย. แต่เยื่อหุ้มนี้มีความซับซ้อนมาก มันประกอบด้วยโมเลกุลของโปรตีน น้ำตาลและไขมัน. ดังที่นักวิวัฒนาการเลสลี ออร์เกลเขียนไว้ว่า “เยื่อหุ้มเซลล์ในปัจจุบันประกอบด้วยช่องทางและเครื่องสูบซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของสารอาหาร ของเสีย ไอออนของโลหะและอื่น ๆ. ช่องทางพิเศษเหล่านี้ประกอบด้วยโปรตีนพิเศษเฉพาะ เป็นโมเลกุลที่ไม่อาจจะมีอยู่ได้ในตอนต้น ๆ แห่งวิวัฒนาการของชีวิต.”14
รหัสพันธุกรรมที่โดดเด่น
21. การที่จะได้ฮิสโทนซึ่งดีเอ็นเอต้องการนั้นคงจะยุ่งยากเพียงใด?
21 สิ่งที่ได้มายากกว่าที่กล่าวมาแล้วคือ นิวคลีโอไทด์ หน่วยโครงสร้างต่าง ๆ ของดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งเป็นตัวกำหนดรหัสพันธุกรรม. มีฮิสโทนห้าชนิดอยู่ในดีเอ็นเอ. (เชื่อว่าฮิสโทนเกี่ยวข้องกับการควบคุมหน่วยถ่ายพันธุ์). โอกาสที่ฮิสโทนอย่างพื้น ๆ จะเกิดขึ้นเองได้มีเพียงหนึ่งใน 20100—จำนวนมหาศาลอีกจำนวนหนึ่ง “มากกว่าจำนวนอะตอมของดาวและกาแล็กซีทั้งมวลที่ปรากฏในกล้องดูดาวที่ใหญ่ที่สุด.”15
22. (ก) ปริศนาโบราณเรื่อง “ไก่หรือไข่” นั้นมีความคล้ายคลึงอย่างไรกับเรื่องโปรตีนและดีเอ็นเอ? (ข) นักวิวัฒนาการคนหนึ่งได้เสนอทางออกอย่างไร และข้อเสนอนี้มีเหตุผลไหม?
22 กระนั้น ข้อยุ่งยากยิ่งกว่านั้นอีกสำหรับทฤษฎีวิวัฒนาการเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของรหัสพันธุกรรมที่ครบถ้วน—สิ่งที่จำเป็นสำหรับการสืบพันธุ์ของเซลล์. ปริศนาเก่าแก่เรื่อง ‘ไก่หรือไข่’ นั้นก็คล้ายคลึงกับเรื่องโปรตีนและดีเอ็นเอ. ฮิทชิงกล่าวว่า “โปรตีนต้องอาศัยดีเอ็นเอในการก่อตัวของมัน. แต่ดีเอ็นเอไม่สามารถจะก่อตัวขึ้นได้ถ้าไม่มีโปรตีนอยู่ก่อน.”16 ดังนั้นจึงเกิดเป็นปริศนา ซึ่งดิคเกอร์ซันยกขึ้นมาว่า “อะไรเกิดก่อนกัน” โปรตีนหรือดีเอ็นเอ? เขายืนยันว่า “คำตอบต้องเป็นอย่างนี้: ‘มันเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน’”17 โดยแท้แล้วเขาบอกว่า “ไก่” และ “ไข่” วิวัฒนาการขึ้นมาพร้อมกัน จะว่าสิ่งนี้เกิดจากสิ่งนั้นไม่ได้. คุณคิดว่านั่นมีเหตุผลไหม? นักเขียนวิทยาศาสตร์คนหนึ่งได้สรุปไว้ว่า “ต้นตอของรหัสพันธุกรรมเป็นปัญหาใหญ่ทำนองเดียวกับเรื่องไก่และไข่ซึ่งยังคงเถียงกันนัวเนียแม้ในปัจจุบัน.”18
23. นักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับกลไกทางพันธุกรรม?
23 ดิคเกอร์ซัน นักเคมีกล่าวอย่างน่าสนใจว่า “วิวัฒนาการของกลไกทางพันธุกรรมเป็นขั้นตอนซึ่งไม่มีข้อมูลจากห้องทดลอง ดังนั้นจึงมีการเดากันไม่รู้จบสิ้น ไม่ถูกผูกมัดโดยข้อเท็จจริงที่ขัดกับการเดานั้น.”19 แต่เป็นวิธีปฏิบัติที่ดีทางวิทยาศาสตร์ไหมที่จะบอกปัด “ข้อเท็จจริงที่ขัดกับการเดา” ซึ่งมีอยู่มากมายเสียง่าย ๆ. เลสลี ออร์เกล กล่าวถึงรหัสพันธุกรรมว่าเป็น “จุดที่น่าฉงนที่สุดในปัญหาเกี่ยวกับกำเนิดของชีวิต.”20 และฟรานซิส คริกสรุปว่า “ถึงแม้ว่ารหัสพันธุกรรมจะมีอยู่ทั่วไป แต่กลไกที่จำเป็น เป็นสิ่งซับซ้อนเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน.”21
24. อาจกล่าวได้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการคัดเลือกตามธรรมชาติ และเซลล์สืบพันธุ์เซลล์แรก?
24 ทฤษฎีวิวัฒนาการพยายามจะขจัดความจำเป็นสำหรับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ซึ่งเกิดขึ้นอย่าง “กะทันหัน” โดยการสนับสนุนขบวนการค่อยเป็นค่อยไปซึ่งการคัดเลือกตามธรรมชาติจะดำเนินการทีละเล็กทีละน้อย. อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีรหัสทางพันธุกรรมเพื่อเริ่มการสืบพันธุ์ ก็จะไม่มีอะไรเป็นตัวที่ใช้เพื่อการคัดเลือกตามธรรมชาติ.
การสังเคราะห์แสงที่น่าพิศวง
25. วิวัฒนาการถือว่าเซลล์ที่ไม่ซับซ้อนมีความสามารถอย่างน่าทึ่งจะริเริ่มขบวนการอะไร?
25 มีเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาสำหรับทฤษฎีวิวัฒนาการ. มีอยู่ช่วงหนึ่งในเวลาต่อมาที่เซลล์แรก ๆ ต้องจัดอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตบนโลกอย่างขนานใหญ่ นั่นคือการสังเคราะห์แสง. นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจขบวนการนี้ได้ทั้งหมดที่พืชดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปแล้วปล่อยออกซิเจนออกมา. เอ็ฟ. ดับบลิว. เวนท์ นักชีววิทยากล่าวไว้ว่า มันเป็น “ขบวนการซึ่งยังไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในหลอดทดลอง.”22 กระนั้น มีคนคิดว่าเซลล์ธรรมดาเล็ก ๆ ทำให้เกิดขบวนการนี้ขึ้นได้โดยบังเอิญ.
26. ขบวนการนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างมากมาย?
26 ขบวนการสังเคราะห์แสงนี้ได้เปลี่ยนบรรยากาศที่ไม่มีออกซิเจนอิสระให้กลายเป็นบรรยากาศที่โมเลกุลหนึ่งในห้าเป็นออกซิเจน. ผลก็คือ สัตว์สามารถหายใจเอาออกซิเจนและมีชีวิตอยู่ได้ และทำให้เกิดชั้นโอโซนเพื่อที่จะป้องกันชีวิตทั้งมวลไม่ให้รับความเสียหายเพราะรังสีอัลตราไวโอเล็ต. เหตุการณ์ต่าง ๆ อันน่าทึ่งเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญหรือ?
เชาวน์ปัญญาเกี่ยวข้องไหม?
27. หลักฐานที่มีอยู่ทำให้นักวิวัฒนาการบางคนมาถึงจุดไหน?
27 เมื่อเจอตัวเลขบอกจำนวนมหาศาลของความไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เซลล์มีชีวิตจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ นักวิวัฒนาการบางคนต้องยอมแพ้. เช่น ผู้เขียนหนังสือ วิวัฒนาการจากอวกาศ (ฮอยล์และวิครามซิงห์) กล่าวว่า “เรื่องนี้ยุ่งยากเกินไปจนไม่สามารถกำหนดตัวเลขลงไป.” เขาเพิ่มเติมว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้ . . . ที่เราจะผ่านเรื่องนี้ไปโดยมีซุปอินทรียสารที่มากกว่าและดีกว่าเดิม ดังที่เราเคยหวังว่าจะเป็นไปได้เมื่อสองสามปีที่แล้ว. ตัวเลขที่เราคำนวณแล้วนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นซุปอินทรียสารทั้งโลกหรือทั้งเอกภพ.”23
28. (ก) อะไรอาจอยู่เบื้องหลังการปฏิเสธที่จะยอมรับว่าต้องมีเชาวน์ปัญญาเกี่ยวข้องด้วย? (ข) นักวิวัฒนาการซึ่งเชื่อว่าต้องมีเชาวน์ปัญญาสูงส่งกว่าเกี่ยวข้องอยู่ด้วยนั้นบอกว่าเชาวน์ปัญญานั้นมิได้มาจากแหล่งใด?
28 ดังนั้น หลังจากการยอมรับว่าการก่อเกิดชีวิตต้องมีเชาวน์ปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า “อันที่จริง ทฤษฎีอย่างนี้เป็นสิ่งที่เห็นชัดแจ้งจนกระทั่งเกิดความสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นหลักฐานในตัวเองอยู่แล้ว. สาเหตุนั้นเป็นในแง่ของจิตวิทยามากกว่าในแง่วิทยาศาสตร์.”24 ดังที่ดอว์กินส์บอกว่า คนที่เป็นกลางอาจสรุปว่าสิ่งขัดขวางทางด้าน “จิตวิทยา” น่าจะเป็นสาเหตุเดียวเท่านั้นที่นักวิวัฒนาการส่วนใหญ่ยังยึดถือเรื่องการก่อเกิดชีวิตโดยบังเอิญ และปฏิเสธ “การออกแบบหรือการมีจุดประสงค์ หรือการมีผู้ควบคุม” ใด ๆ ทั้งสิ้น.25 ที่จริงแล้ว แม้แต่ฮอยล์และวิครามซิงห์ หลังจากยอมรับว่าต้องมีเชาวน์ปัญญามาเกี่ยวข้องได้กล่าวว่าเขาไม่เชื่อว่าพระผู้สร้างที่มีตัวตนเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต.”26 ตามแง่คิดของเขา เชาวน์ปัญญาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน แต่เรื่องพระผู้สร้างนั้นเขายอมรับไม่ได้. คุณเห็นว่ามันขัดกันเองไหม?
เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ไหม?
29. อะไรคือวิธีการตามหลักวิทยาศาสตร์?
29 หากจะเป็นที่ยอมรับว่าชีวิตมีการเริ่มต้นขึ้นเองเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ข้อนั้นจะต้องพิสูจน์ได้โดยวิธีทางวิทยาศาสตร์. ขั้นตอนการพิสูจน์มีดังนี้: สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น โดยอาศัยสิ่งที่ได้สังเกตเห็น ตั้งทฤษฎีขึ้นว่าความจริงอาจจะเป็นเช่นไร พิสูจน์ทฤษฎีนั้นโดยการสังเกตต่อไปและโดยการทดลอง แล้วดูว่าการคาดหมายตามทฤษฎีนั้นปรากฏเป็นความจริงหรือไม่.
30. ทฤษฎีที่ว่า ชีวิตเกิดขึ้นเองไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์นั้นในทางใดบ้าง?
30 ในความพยายามที่จะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ เป็นไปไม่ได้ที่จะสังเกตดูการเกิดชีวิตขึ้นเอง ไม่มีหลักฐานแสดงว่ามันกำลังเกิดขึ้นขณะนี้ และแน่นอนไม่มีนักสังเกตการณ์ที่เป็นมนุษย์อยู่ที่นั่นเมื่อนักวิวัฒนาการบอกว่าชีวิตได้เกิดขึ้นเอง. ไม่มีทฤษฎีใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์ยืนยันโดยการสังเกต. การทดลองในห้องทดลองไม่เคยทำให้ชีวิตเกิดขึ้น. การคาดหมายตามทฤษฎีนี้ก็ไม่ปรากฏว่ามีผลสำเร็จ. เมื่อไม่อาจพิสูจน์ได้โดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ที่จะยกเอาทฤษฎีนี้ขึ้นมาให้อยู่ในระดับข้อเท็จจริง จะถือว่าถูกต้องไหม?
31. นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างไรเกี่ยวกับการกำเนิดขึ้นเองของสิ่งมีชีวิต?
31 ในทางตรงกันข้าม มีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนข้อสรุปที่ว่า การเกิดชีวิตขึ้นเองจากสารที่ไม่มีชีวิตนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้. ศาสตราจารย์ วอลด์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดรับรู้ว่า “คุณเพียงแต่คิดถึงความสลับซับซ้อนมหาศาลของเรื่องนี้ คุณจะยอมรับว่าการเกิดขึ้นเองของสิ่งมีชีวิตเป็นไปไม่ได้.” แต่จริง ๆ แล้ว ผู้สนับสนุนวิวัฒนาการคนนี้เชื่ออะไร? เขาตอบว่า “แต่เราเกิดมาได้—ผมเชื่อว่าเป็นผลจากการกำเนิดขึ้นเอง.”27 ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีความลำเอียงไหม?
32. แม้แต่นักวิวัฒนาการเองได้ยอมรับอย่างไรว่า การหาเหตุผลแบบนี้ ไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์?
32 โจเซฟ วูดเจอร์ นักชีววิทยาชาวอังกฤษอธิบายลักษณะการหาเหตุผลแบบนี้ว่าเป็น “การดันทุรัง—การยืนยันว่าเรื่องที่คุณอยากเชื่อนั้นได้เกิดขึ้นจริง ๆ.”28 เป็นไปได้อย่างไรที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับเอาการละเมิดวิธีทางวิทยาศาสตร์อย่างโจ่งแจ้ง? ลอเรน ไอเซลีย์ นักวิวัฒนาการยอมรับว่า “หลังจากที่ได้ตำหนินักศาสนศาสตร์เพราะเขาอาศัยนิยายโบราณและการอัศจรรย์แล้ว วิทยาศาสตร์ก็พบว่าตัวเองนั่นแหละตกอยู่ในฐานะที่ต้องสร้างนิยายโบราณเสียเอง กล่าวคือข้อสันนิษฐานว่าสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเกิดขึ้นจริงในปัจจุบันหลังจากพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ได้เกิดขึ้นจริงในกาลก่อน.”29
33. จากหลักฐานที่ได้พิจารณามาแล้ว เราต้องสรุปอย่างไรเกี่ยวกับการกำเนิดของสิ่งมีชีวิต และการใช้วิธีตามหลักวิทยาศาสตร์?
33 ถ้าดูจากหลักฐานแล้ว ทฤษฎีที่ว่าชีวิตเกิดขึ้นเองนั้นเหมาะที่จะเป็นนิยายวิทยาศาสตร์มากกว่าจะเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์. ผู้สนับสนุนหลายคนได้ละเลยวิธีทางวิทยาศาสตร์เพื่อจะเชื่อในสิ่งที่เขาต้องการจะเชื่อ. ถึงแม้การเกิดชีวิตขึ้นเองประสบการคัดค้านอย่างท่วมท้นก็ตาม การดันทุรังไม่ยอมแพ้มีอยู่ดาษดื่น แทนที่จะเป็นความระมัดระวังซึ่งปกติเป็นลักษณะเด่นของวิธีวิทยาศาสตร์.
ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนยอมรับเรื่องนี้
34. (ก) นักฟิสิกส์คนหนึ่งได้แสดงอย่างไรว่า มีใจเปิดแบบวิทยาศาสตร์? (ข) เขาพูดอย่างไรเรื่องวิวัฒนาการ และเขาวิจารณ์นักวิทยาศาสตร์หลายคนอย่างไร?
34 อย่างไรก็ดี มิใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนปฏิเสธเรื่องการสร้าง. ตัวอย่างเช่น เอช. เอส. ลิพสัน นักฟิสิกส์ทราบดีถึงความเป็นไปไม่ได้ของการเกิดชีวิตขึ้นเอง เขาจึงกล่าวว่า “คำอธิบายอย่างเดียวที่ยอมรับได้คือ การสร้างขึ้น. ผมทราบว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่นักฟิสิกส์นึกขยะแขยงเช่นเดียวกับผม แต่เราต้องไม่ปฏิเสธทฤษฎีที่เราไม่ชอบ ถ้ามีหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีนั้น.” เขาสังเกตด้วยว่าหลังจากออกหนังสือ ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ โดยดาร์วิน “วิวัฒนาการกลายเป็นเหมือนศาสนาทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์เกือบทุกคนยอมรับทฤษฎีนี้และหลายคนพร้อมที่จะ ‘ดัดแปลง’ การทดสอบของเขาเพื่อให้เข้ากับทฤษฎีนี้.”30 เป็นคำวิจารณ์ที่น่าสลดใจแต่ก็เป็นความจริง.
35. (ก) ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง รู้สึกว่ายากที่จะขจัดทัศนะเช่นไร? (ข) เขาเปรียบเทียบไว้อย่างไรถึงเรื่องโอกาสที่ชีวิตวิวัฒนาการขึ้นมาโดยบังเอิญ?
35 จันทรา วิครามซิงห์ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์กล่าวว่า “ตั้งแต่ผมเริ่มรับการฝึกฝนให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมถูกล้างสมองอย่างหนักให้เชื่อว่าวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะเข้าได้กับเรื่องพระเจ้าสร้างอย่างมีจุดมุ่งหมาย. ทัศนะแบบนี้ต้องถูกลบล้างไป. ผมเองรู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่มีทางออกที่มีเหตุผล. . . . การที่จะเกิดชีวิตขึ้นจากปฏิกิริยาทางเคมีโดยบังเอิญเปรียบเหมือนการเฟ้นหาทรายเม็ดหนึ่งเฉพาะ เจาะจงเอาเพียงเม็ดเดียวจากหาดทรายทุกแห่งในนพเคราะห์ทุกดวงแห่งเอกภพและหาได้จริง ๆ.” พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ชีวิตจะเกิดขึ้นได้จากปฏิกิริยาทางเคมีโดยบังเอิญ. ดังนั้น วิครามซิงห์สรุปว่า “ไม่มีทางใดจะอธิบายให้เรารู้ถึงเหตุผลของการเรียงตัวอย่างถูกต้องแม่นยำของสารเคมีต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต นอกจากเราจะกลับมาเชื่อเรื่องการสร้างในขอบเขตใหญ่โตมหาศาล.”31
36. โรเบิร์ต จัสโทรให้ความเห็นอย่างไร?
36 เป็นอย่างที่โรเบิร์ต จัสโทรนักดาราศาสตร์กล่าวไว้ “นักวิทยาศาสตร์ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าชีวิตมิได้เกิดขึ้นจากการสร้าง.”32
37. มีการยกคำถามอะไรขึ้นมาเกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการ และจะหาคำตอบได้จากที่ใด?
37 อย่างไรก็ตาม ถ้าสันนิษฐานว่าเซลล์แรกที่มีชีวิตเกิดขึ้นโดยบังเอิญ มีหลักฐานแสดงไหมว่าเซลล์แรกนั้นวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นสัตว์ทุกชนิดซึ่งเคยมีชีวิตอยู่บนโลก? ฟอสซิลจะให้คำตอบและบทต่อไปจะพิจารณาว่าหลักฐานฟอสซิลบอกอะไรจริง ๆ.
[คำโปรยหน้า 44]
“โปรตีนต้องอาศัยดีเอ็นเอในการก่อตัวของมัน. แต่ดีเอ็นเอไม่สามารถจะก่อตัวขึ้นได้ ถ้าไม่มีโปรตีนอยู่ก่อน”
[คำโปรยหน้า 45]
“ต้นตอของรหัสพันธุกรรมเป็นปัญหาใหญ่ทำนองเดียวกับเรื่องไก่และไข่ซึ่งยังคงเถียงกันนัวเนียแม้ในปัจจุบัน”
[คำโปรยหน้า 46]
รหัสพันธุกรรมเป็น “สิ่งที่น่าฉงนที่สุดในปัญหาเกี่ยวกับกำเนิดของชีวิต”
[คำโปรยหน้า 47]
ในการสังเคราะห์แสง พืชอาศัยแสงแดด คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำและแร่ธาตุเพื่อผลิตออกซิเจนและอาหาร. เซลล์เล็ก ๆ จะประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้ได้หรือ?
[คำโปรยหน้า 50]
นักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่า ความจริงแล้ว ‘จะต้องมีเชาวน์ปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน แต่เรื่องพระผู้สร้างนั้นยอมรับไม่ได้’
[คำโปรยหน้า 53]
นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งยอมรับว่า “คำอธิบายอย่างเดียวที่ยอมรับได้คือ การสร้างขึ้น”
[คำโปรยหน้า 53]
จัสโทรกล่าวว่า “นักวิทยาศาสตร์ไม่มีข้อพิสูจน์ว่า ชีวิตมิได้เกิดขึ้นจากการสร้าง”
[กรอบ/ภาพหน้า 48, 49]
เซลล์ที่น่าทึ่ง
เซลล์มีชีวิตเป็นสิ่งซับซ้อนอย่างยิ่ง. ฟรานซิส คริก นักชีววิทยาได้พยายามอธิบายการทำงานของเซลล์อย่างง่าย ๆ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่าเขาทำไม่ได้ “เพราะมันเป็นสิ่งซับซ้อนซึ่งผู้อ่านไม่ควรจะพยายามเข้าใจรายละเอียดทั้งหมด.”a
วารสาร แนชันแนล จีออกราฟิค อธิบายว่า คำสั่งต่าง ๆ ในดีเอ็นเอของเซลล์ “ถ้าเอามาเขียนแล้วจะได้หนังสือหนา 600 หน้าหนึ่งพันเล่ม.” “แต่ละเซลล์เป็นโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยกลุ่มอะตอมเล็ก ๆ เรียกว่าโมเลกุลอยู่ถึงประมาณสองร้อยล้านล้านกลุ่ม. . . . ‘เส้นใย’ ของโครโมโซม 46 ตัวของเรา ถ้าเอามาต่อกันจะมีความยาวกว่าหกฟุต. แต่กระนั้น เส้นผ่าศูนย์กลางของนิวเคลียสที่บรรจุสิ่งเหล่านี้มีขนาดไม่ถึงสี่ในหนึ่งหมื่นส่วนของหนึ่งนิ้ว.”b
นิตยสาร นิวสวีค ยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เห็นภาพการทำงานของเซลล์ดังนี้ “แต่ละเซลล์ในจำนวนหนึ่งร้อยล้านล้านเซลล์ทำงานเหมือนเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ. โรงไฟฟ้าผลิตพลังงานที่ใช้ในเซลล์. โรงงานผลิตโปรตีนหน่วยสำคัญของการค้าสารเคมี. ระบบการขนส่งที่ซับซ้อนจะลำเลียงสารเคมีเฉพาะอย่างจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ทั้งภายในเซลล์และนอกเซลล์. ทหารยามที่จุดตรวจทำหน้าที่ควบคุมตลาดส่งออกและสั่งเข้า และเฝ้าดูโลกภายนอกเพื่อจะเห็นสัญญาณอันตราย. กองทัพทางชีววิทยาที่มีวินัย เตรียมพร้อมต่อสู้ผู้รุกราน. รัฐบาลกลางของหน่วยพันธุกรรมรักษาความเป็นระเบียบ.”c
เมื่อมีการเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่เป็นครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์ไม่คาดคิดว่าเซลล์มีชีวิตจะมีความซับซ้อนอย่างน่าทึ่งเช่นนั้น. ภาพในหน้าถัดไปแสดงถึงบางส่วนของเซลล์ทั่ว ๆ ไป—บรรจุอยู่ในภาชนะกว้างเพียง 1/1000 นิ้ว.
เยื่อหุ้มเซลล์
เปลือกที่ควบคุมสิ่งที่เข้าออกจากเซลล์
ริบิโซม
โครงสร้างซึ่งเป็นที่สร้างกรดอะมิโนขึ้นเป็นโปรตีน
นิวเคลียส
หุ้มด้วยเยื่อสองชั้น เป็นศูนย์บัญชาการควบคุมกิจกรรมของเซลล์
โครโมโซม
ประกอบด้วยดีเอ็นเอของเซลล์ซึ่งเป็นแบบแผนหลักทางพันธุกรรมของเซลล์
นิวคลีโอลุส
เป็นที่สร้างริโบโซม
เอ็นโดพลาสมิค เรติคิวลัม
แผ่นเยื่อซึ่งเก็บและส่งโปรตีนที่ผลิตโดยริโบโซมที่ติดอยู่กับแผ่นเหล่านี้ (ริโบโซมบางตัวลอยเป็นอิสระในเซลล์)
ไมโตคอนเดรีย
ศูนย์การผลิตเอทีพี โมเลกุลที่ให้พลังงานแก่เซลล์
กอลกี บอดี
กลุ่มของเยื่อที่เป็นถุงแบนซึ่งหุ้มห่อโปรตีนและกระจายโปรตีนที่เซลล์ผลิตขึ้น
เซ็นทริโอลส์
อยู่ใกล้กับนิวเคลียส และเป็นส่วนสำคัญในการสืบพันธุ์ของเซลล์
[รูปภาพ]
เซลล์จำนวน 100,000,000,000,000 เซลล์ของคุณเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือ?
[ภาพหน้า 52]
นักวิวัฒนาการทั้งในอดีตและปัจจุบันพูดถึงการกำเนิดของชีวิต
“สมมุติฐานที่ว่าชีวิตเกิดขึ้นมาจากสิ่งไม่มีชีวิต ยังคงเป็นเรื่องของความเชื่อถือในปัจจุบัน.”—เจ. ดับบลิว. เอ็น. ซัลลิแวน นักคณิตศาสตร์d
“โอกาสที่ชีวิตจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญอาจเปรียบได้กับโอกาสที่พจนานุกรมฉบับสมบูรณ์แบบจะเกิดขึ้นได้จากการระเบิดในโรงพิมพ์.”—เอ็ดวิน คอนคลิน นักชีววิทยาe
“คุณเพียงแต่คิดถึงความสลับซับซ้อนมหาศาลของเรื่องนี้ คุณจะยอมรับว่าการเกิดขึ้นเองของสิ่งมีชีวิตเป็นไปไม่ได้.”—จอร์ช วอลด์ นักชีวเคมีf
“คนสัตย์ซื่อ เพียบพร้อมด้วยความรู้ทั้งหมดที่มีในปัจจุบันคงจะพูดได้ว่า ขณะนี้ดูเหมือนว่าการกำเนิดของชีวิตเกือบจะเป็นการอัศจรรย์.”—ฟรานซิส คริก นักชีววิทยาg
“ถ้าเราไม่ลำเอียง ไม่ว่าจะโดยความเชื่อของสังคม หรือจากการอบรมทางวิทยาศาสตร์ ให้เชื่อว่าชีวิตเกิดขึ้นเอง [โดยบังเอิญ] ในโลก การคำนวณอย่างง่าย ๆ นี้ [ความไม่น่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์] จะลบล้างความเห็นที่ฟังไม่ขึ้นนี้ได้ทั้งหมด.”—เฟรด ฮอยล์ และเอ็น. ซี. วิครามซิงห์ นักดาราศาสตร์h
[ภาพหน้า 47]
มนุษย์และสัตว์หายใจเอาออกซิเจนเข้าไป และหายใจให้คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา. พืชรับเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป แล้วคายออกซิเจนออกมา
[แผนภาพ]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
แสงสว่าง
ออกซิเจน
ไอน้ำ
คาร์บอนไดออกไซด์
[ภาพหน้า 40]
ตึกใหญ่ไม่อาจตั้งอยู่ได้โดยไม่มีฐานราก. นักวิทยาศาสตร์สองคนกล่าวว่า “ทฤษฎีวิวัฒนาการขาดรากฐานที่มั่นคง”
[ภาพหน้า 42]
ได้สีแดงทุกเม็ด ได้ชนิดที่ถูกต้องทุกเม็ด แต่ละเม็ดอยู่ในที่ที่กำหนดไว้—เป็นโดยบังเอิญไหม?
[ภาพหน้า 43]
ชีวิตใช้แต่กรดอะมิโน “แบบมือซ้าย” เท่านั้น: “เราอาจจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้เลย”
[ภาพหน้า 45]
อะไรเกิดก่อนกัน?