บทสาม
อะไรคือต้นกำเนิดของชีวิต?
โลกของเราอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิต. ตั้งแต่แถบอาร์กติกที่ปกคลุมด้วยหิมะจนถึงป่าดิบแอมะซอน, ตั้งแต่ทะเลทรายสะฮาราจนถึงบึงเอเวอร์เกลด, ตั้งแต่พื้นมหาสมุทรที่มืดมิดจนถึงยอดเขาที่แสงแดดเจิดจ้า—คลาคล่ำไปด้วยสิ่งมีชีวิต. และทุกชีวิตแฝงไว้ด้วยความน่าทึ่ง.
ชีวิตมีหลากหลายชนิด, หลากหลายขนาด, และมีจำนวนมากมายจนไม่อาจนึกภาพได้. แมลงนับล้านชนิดขยับปีกบินเสียงดังหึ่ง ๆ บนลูกโลก. ในแหล่งน้ำรอบตัวเรามีปลาแหวกว่ายไปมามากกว่า 20,000 ชนิด บ้างก็เล็กเท่าเมล็ดข้าวเปลือก, บ้างก็ยาวพอ ๆ กับรถบรรทุก. มีพืชอย่างน้อย 350,000 ชนิดแต้มแต่งสีสันให้ผืนแผ่นดิน บางชนิดรูปร่างประหลาด แต่ส่วนใหญ่แล้วงามจับตา. และมีนกมากกว่า 9,000 ชนิดฉวัดเฉวียนอยู่เหนือศีรษะของเรา. สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ รวมทั้งมนุษย์ ก่อเกิดเป็นภาพที่งดงามและประสานกลมกลืนกันซึ่งเราเรียกว่า ชีวิต.
แต่ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าความหลากหลายที่ดูแล้วเบิกบานใจรอบ ๆ ตัวเราก็คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างล้ำลึกของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้. นักชีวเคมีที่ศึกษาสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บนแผ่นดินโลกอย่างพินิจพิเคราะห์อธิบายว่า สรรพชีวิตไม่ว่าจะเป็นอะมีบาหรือมนุษย์ ต่างก็พึ่งอาศัยอันตรกิริยาที่น่าครั่นคร้าม นั่นคือ การทำงานร่วมกันเป็นทีมระหว่างโมเลกุลของกรดนิวคลิอิก (ดีเอ็นเอ และ อาร์เอ็นเอ) กับโมเลกุลโปรตีน. กระบวนการอันซับซ้อนนี้เกิดขึ้นในแทบทุกเซลล์ทั่วร่างกายของเรา เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในเซลล์ของนกฮัมมิงเบิร์ด, สิงโต และปลาวาฬ. อันตรกิริยาที่ทำงานเหมือนกันเป็นหนึ่งเดียวนี้ ก่อให้เกิดรูปแบบชีวิตที่งดงามหลากหลาย. การประสานคล้องจองของชีวิตเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างไร? จริง ๆ แล้ว ชีวิตมีต้นกำเนิดจากอะไร?
คุณอาจจะยอมรับว่าครั้งหนึ่งโลกไม่มีสิ่งมีชีวิต. วิทยาศาสตร์ก็คิดเห็นอย่างเดียวกัน รวมทั้งหนังสือทางศาสนาอีกหลายเล่มด้วย. กระนั้น คุณอาจจะเห็นว่าทั้งสองแหล่ง—วิทยาศาสตร์และศาสนา—มีคำอธิบายแตกต่างกันเกี่ยวกับวิธีที่ชีวิตเริ่มต้นบนแผ่นดินโลก.
ผู้คนหลายล้านจากทุกระดับการศึกษาเชื่อว่า พระผู้สร้างองค์เปี่ยมด้วยเชาวน์ปัญญา ซึ่งเป็นผู้ออกแบบแต่ดั้งเดิม ได้สร้างชีวิตไว้บนแผ่นดินโลก. ในทางตรงข้าม นักวิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่า ชีวิตเกิดขึ้นโดยบังเอิญจากสสารที่ไม่มีชีวิต โดยผ่านขั้นตอนทางเคมีมากมาย. อย่างไหนถูก อย่างแรกหรืออย่างหลัง?
เราไม่ควรคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา หรือไม่เกี่ยวกับการค้นหาชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น. ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หนึ่งในคำถามพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์พยายามหาคำตอบก็คือ เราในฐานะมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่นี้มาจากไหน?
หลักสูตรทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เน้นไปที่การปรับตัวและการอยู่รอดของชีวิตรูปแบบต่าง ๆ แทนที่จะให้ความสนใจกับคำถามที่สำคัญกว่าที่ว่า ชีวิตมาจากไหน. คุณอาจเคยสังเกตว่า คำอธิบายเรื่องต้นกำเนิดของชีวิตมักจะเป็นแบบกว้าง ๆ อย่างเช่น ‘หลายล้านปีมาแล้ว โมเลกุลต่าง ๆ มาบรรจบพบกัน และโดยวิธีใดวิธีหนึ่งสิ่งมีชีวิตก็อุบัติขึ้น.’ แต่เป็นคำตอบที่น่าพอใจจริง ๆ ไหม? นั่นหมายความว่า ท่ามกลางพลังงานจากดวงอาทิตย์, ฟ้าแลบ, หรือไม่ก็ภูเขาไฟ สสารบางอย่างที่ปราศจากชีวิตเกิดการเคลื่อนไหว, ก่อตัวเป็นอินทรียภาพ, และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในที่สุด—ทั้งหมดเป็นไปโดยไม่มีการชี้นำช่วยเหลือ. เป็นก้าวกระโดดอันมหึมาอะไรเช่นนี้! จากสสารที่ไม่มีชีวิตเป็นสิ่งมีชีวิต! จะเกิดขึ้นโดยวิธีนี้ได้ไหม?
หากย้อนกลับไปในยุคกลาง การยอมรับแนวคิดเช่นนี้อาจดูเหมือนไม่เป็นปัญหา เพราะหลักความเชื่อเรื่องการเกิดเอง—ความคิดที่ว่าชีวิตสามารถเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจากสสารที่ไม่มีชีวิต—เป็นที่นิยมแพร่หลาย. ในที่สุด ในศตวรรษที่ 17 ฟรานเชสโก เรดิ นายแพทย์ชาวอิตาลีก็พิสูจน์ให้เห็นว่าจะมีหนอนที่เนื้อเน่าก็ต่อเมื่อแมลงวันวางไข่ไว้เท่านั้น. เนื้อที่ไม่ถูกแมลงวันไต่ตอมจะไม่มีหนอนเกิดขึ้นเลย. ถ้าสัตว์ขนาดเท่าแมลงวันไม่ได้เกิดขึ้นเอง จะว่าอย่างไรกับจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กกว่ามากซึ่งมักจะเกิดในอาหารเสมอไม่ว่าจะปิดครอบไว้หรือไม่? แม้การทดลองในเวลาต่อ ๆ มาจะชี้ให้เห็นว่าจุลินทรีย์เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่. และแล้วก็มาถึงผลงานของหลุยส์ ปาสเตอร์.
หลายคนจำผลงานของปาสเตอร์ได้เรื่องการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการหมักและโรคติดเชื้อ. เขายังได้ทำการทดลองเพื่อจะดูว่ารูปแบบชีวิตขนาดจิ๋วเกิดเองได้หรือไม่. ดังที่คุณอาจเคยอ่าน ปาสเตอร์แสดงให้เห็นว่าแม้แต่แบคทีเรียที่เล็กมากก็ไม่ได้เกิดขึ้นเองในน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อและคอยระวังไม่ให้ปนเปื้อนอีก. ในปี 1864 เขาประกาศว่า “คำสอนเรื่องการเกิดเองจะไม่มีวันฟื้นคืนชีพอีกเลยเพราะถูกหมัดเด็ดถึงตายโดยการทดลองง่าย ๆ นี้.” คำกล่าวนี้ยังเป็นความจริงอยู่เสมอ. ไม่เคยมีการทดลองใดที่สามารถสร้างชีวิตจากสสารที่ไม่มีชีวิต.
ถ้าเช่นนั้น ชีวิตบนโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร? ความพยายามสมัยใหม่ในการตอบคำถามดังกล่าวอาจเริ่มที่ผลงานของนักชีวเคมีชาวรัสเซียชื่อ อะเล็กซานเดอร์ ไอ. โอพาริน ในทศวรรษ 1920. นับตั้งแต่นั้นมา เขาเองและนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ได้เสนอแนวคิดบางอย่างคล้ายละครที่มีสามฉากโดยพรรณนาสิ่งซึ่งอ้างกันว่าได้เกิดขึ้นบนเวทีแห่งดาวเคราะห์โลก. ฉากแรกเป็นเรื่องราวของธาตุหรือวัตถุดิบต่าง ๆ บนแผ่นดินโลกที่เปลี่ยนสภาพเป็นกลุ่มโมเลกุล. ฉากต่อมากระโดดไปเป็นโมเลกุลใหญ่. และฉากสุดท้ายของละครเรื่องนี้คือการกระโจนพรวดไปเป็นเซลล์ชีวิตเซลล์แรก. แต่ชีวิตเกิดขึ้นด้วยวิธีนี้จริง ๆ หรือ?
ละครเรื่องนี้อาศัยคำอธิบายที่ว่า บรรยากาศของโลกในตอนแรกเริ่มต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้มาก. ทฤษฎีหนึ่งตั้งสมมุติฐานว่า ออกซิเจนอิสระแทบไม่มีอยู่เลย และธาตุต่าง ๆ เช่น ไนโตรเจน, ไฮโดรเจน, และคาร์บอน จะทำให้ก๊าซแอมโมเนียและมีเทนก่อตัวขึ้น. แนวคิดก็คือ เมื่อฟ้าแลบและรังสีอัลตราไวโอเลตไปกระทบกับบรรยากาศที่มีไอน้ำและก๊าซดังกล่าว น้ำตาลและกรดอะมิโนได้เกิดขึ้น. แต่อย่าลืมว่านี่คือทฤษฎี.
ตามเรื่องราวของละครเชิงทฤษฎีนี้ โมเลกุลน้ำตาลและกรดอะมิโนถูกชะลงไปในมหาสมุทร หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ. เมื่อเวลาผ่านไป น้ำตาล, กรด, และสารประกอบอื่น ๆ จะสะสมหนาแน่นจนกลายเป็น “ซุปพรีไบโอติก” (สภาพน้ำในมหาสมุทรก่อนการกำเนิดชีวิต) ที่ซึ่งกรดต่าง ๆ เช่น กรดอะมิโน รวมตัวกันเป็นโปรตีน. ทฤษฎีนี้กล่าวต่อไปว่า แล้วสารประกอบอื่น ๆ ที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ ก็จะก่อตัวเป็นสายโซ่ และกลายเป็นกรดนิวคลิอิก เช่น ดีเอ็นเอ เป็นต้น. ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่ตั้งสมมุติฐานว่าได้เกิดขึ้นก่อนจะถึงฉากสุดท้ายของละครโมเลกุล.
เราอาจพรรณนาฉากสุดท้าย ซึ่งไม่มีหลักฐานยืนยัน นี้ว่าเป็นเหมือนนิยายรัก. โมเลกุลโปรตีนและโมเลกุลดีเอ็นเอบังเอิญมาพบกัน ถูกใจกัน และสวมกอดกัน. และแล้วก่อนที่ละครจะปิดฉากลง เซลล์ชีวิตเซลล์แรกก็อุบัติขึ้น. ถ้าคุณกำลังติดตามละครเรื่องนี้ คุณอาจสงสัยว่า ‘นี่เป็นเรื่องจริงหรือนิยายกันแน่? ชีวิตบนโลกเริ่มต้นด้วยวิธีนี้ได้จริง ๆ หรือ’?
กำเนิดชีวิตในห้องปฏิบัติการหรือ?
ในช่วงต้น ๆ ทศวรรษ 1950 พวกนักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มทำการทดลองตามทฤษฎีของอะเล็กซานเดอร์ โอพาริน. แม้เป็นความจริงที่ได้รับการยืนยันแน่นอนแล้วว่าชีวิตเกิดจากสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่า ภายใต้สภาพการณ์ในอดีตที่ต่างออกไป ชีวิตอาจค่อย ๆ เกิดขึ้นจากสิ่งไม่มีชีวิตก็ได้. ทฤษฎีนี้สามารถแสดงให้เห็นได้ไหม? สแตนลีย์ แอล. มิลเลอร์ นักวิทยาศาสตร์ซึ่งทำงานในห้องปฏิบัติการของฮาร์โรลด์ อูเรย์ ได้นำไฮโดรเจน, แอมโมเนีย, มีเทน และไอน้ำ (โดยสมมุติว่าเป็นสภาพบรรยากาศตอนเริ่มแรก) มาใส่รวมไว้ในขวดทดลองที่มีน้ำเดือดที่ก้นขวด (แทนมหาสมุทร) และปล่อยประกายไฟฟ้า (เสมือนฟ้าแลบ) เข้าไปในไอน้ำ. ภายในหนึ่งสัปดาห์ มีร่องรอยของสารเหนียวสีออกแดง ซึ่งมิลเลอร์ได้ทำการวิเคราะห์และพบว่ามีกรดอะมิโน—ส่วนสำคัญของโปรตีน—อยู่เป็นจำนวนมาก. คุณอาจเคยได้ยินเรื่องการทดลองนี้ เพราะมีการอ้างถึงในตำราวิทยาศาสตร์และหลักสูตรของโรงเรียนเป็นเวลาหลายปี เสมือนเป็นคำอธิบายวิธีที่สิ่งมีชีวิตบนโลกเริ่มต้น. แต่เป็นอย่างนั้นจริงไหม?
ที่จริง ผลการทดลองของมิลเลอร์เป็นที่สงสัยอย่างมากในปัจจุบันนี้. (ดู “ผลงานลือชื่อ แต่น่าสงสัย” หน้า 36-37.) กระนั้น สิ่งที่ดูเหมือนเป็นความสำเร็จนี้ได้นำไปสู่การทดลองอื่น ๆ จนสามารถสร้างส่วนประกอบต่าง ๆ ที่พบในกรดนิวคลิอิกด้วยซ้ำ (ดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ). ผู้ชำนัญพิเศษในด้านนี้ (บางครั้งเรียกกันว่า นักวิทยาศาสตร์สาขาการกำเนิดชีวิต) รู้สึกมั่นอกมั่นใจมาก เพราะดูเหมือนพวกเขาจำลองฉากแรกของละครโมเลกุลได้. และดูท่าว่าความสำเร็จในการจำลองฉากที่เหลืออีกสองฉากก็คงจะตามมา. ศาสตราจารย์ทางเคมีผู้หนึ่งอ้างว่า “อีกไม่นาน จะมีคำอธิบายเรื่องต้นกำเนิดของระบบชีวิตเมื่อแรกเริ่มที่เป็นไปโดยกลไกทางวิวัฒนาการ.” และนักเขียนเรื่องทางวิทยาศาสตร์คนหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า “พวกผู้เขียนบทวิจารณ์คาดการณ์ว่า ไม่นานนักเหล่านักวิทยาศาสตร์ จะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาในห้องปฏิบัติการของพวกเขา ดังที่ ดร. แฟรงเกนสไตน์ในนวนิยายของแมรี เชลลีย์ ได้ทำ ครั้นแล้วก็แสดงให้เห็นอย่างละเอียดว่าชีวิตอุบัติขึ้นมาอย่างไร.” หลายคนคิดว่าความลึกลับเรื่องการเกิดเองของชีวิตถูกเปิดเผยแล้ว.—ดู “มือขวา, มือซ้าย” หน้า 38.
ความคิดเปลี่ยน—ปริศนายังคงอยู่
แต่หลังจากนั้นความมั่นอกมั่นใจก็มลายสิ้น. หลายทศวรรษผ่านไป ความลับเรื่องต้นกำเนิดของชีวิตก็ยังเป็นความลับอยู่เหมือนเดิม. ราว ๆ 40 ปีหลังจากการทดลองของเขา ศาสตราจารย์มิลเลอร์ได้บอกกับวารสาร ไซเยนติฟิก อเมริกัน ว่า “ปัญหาเรื่องต้นกำเนิดของชีวิตกลับกลายเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่ผมและคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่นึกภาพเอาไว้มาก.” นักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนความคิดในเรื่องนี้เช่นกัน อย่างเช่น ดีน เอช. เคนยอน ศาสตราจารย์ทางชีววิทยาซึ่งร่วมแต่งหนังสือ พรหมลิขิตทางชีวเคมี (ภาษาอังกฤษ) เมื่อปี 1969. แต่ไม่นานมานี้เขาลงความเห็นว่า “โดยพื้นฐานแล้ว เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สสารและพลังงานจะก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิตได้เองโดยปราศจากความช่วยเหลือ.”
จริง ๆ แล้ว ผลการทดลองจากห้องปฏิบัติการยืนยันการประเมินของเคนยอน ที่ว่ามี “ข้อบกพร่องพื้นฐานในทฤษฎีปัจจุบันทั้งหมดที่ว่าด้วยการกำเนิดชีวิตในเชิงเคมี.” หลังจากมิลเลอร์ และคนอื่น ๆ ทำการสังเคราะห์กรดอะมิโน บรรดานักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มสร้างโปรตีนและดีเอ็นเอ ซึ่งต่างก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตบนโลก. หลังจากการทดลองนับพัน ๆ ครั้งกับสภาพที่เรียกกันว่าพรีไบโอติก ผลเป็นเช่นไร? หนังสือ ความลึกลับแห่งต้นกำเนิดของชีวิต: การประเมินทฤษฎีต่าง ๆ ในปัจจุบันอีกครั้ง (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า “มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างความสำเร็จอย่างสูงในการสังเคราะห์กรดอะมิโนกับความล้มเหลวเป็นประจำในการสังเคราะห์โปรตีนและดีเอ็นเอ.” ความพยายามในระยะหลัง ๆ นี้ “ล้มเหลวตลอด.”
ในความเป็นจริงแล้ว ความลึกลับนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับวิธีที่โปรตีนแรกและโมเลกุลแรกของกรดนิวคลิอิก (ดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ) เกิดขึ้น. ความลึกลับดังกล่าวยังหมายรวมถึงวิธีที่โมเลกุลเหล่านั้นทำงานร่วมกันด้วย. สารานุกรม เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า “เฉพาะแต่การทำงานประสานกันของสองโมเลกุลเท่านั้นที่ทำให้ทุกชีวิตบนโลกเกิดขึ้นได้.” กระนั้น สารานุกรมนี้ให้ข้อสังเกตว่า แต่การทำงานประสานกันเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นยังคงเป็น “ปริศนาลึกลับที่ไขไม่ออกในเรื่องต้นกำเนิดของชีวิต.” เป็นความจริงทีเดียว.
ภาคผนวก ก “การทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อชีวิต” (หน้า 45-47) ให้รายละเอียดพื้นฐานบางประการของการทำงานร่วมกันเป็นทีมอย่างน่าทึ่งระหว่างโปรตีนและกรดนิวคลิอิกในเซลล์ของเรา. แค่มองเข้าไปในอาณาจักรเซลล์ของร่างกายเราเพียงแวบเดียว ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมผลงานของนักวิทยาศาสตร์ในด้านนี้. พวกเขาช่วยไขความลึกลับของกระบวนการอันซับซ้อนผิดธรรมดาซึ่งน้อยคนนักจะนึกถึง กระนั้น กระบวนการดังกล่าวก็ดำเนินอยู่ในร่างกายของเราทุกชั่วขณะ. แต่ในอีกแง่หนึ่ง ความสลับซับซ้อนอันน่าทึ่งและความแม่นยำที่จำเป็นยิ่งนี้ นำเรากลับมายังคำถามที่ว่า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร?
คุณอาจจะทราบว่านักวิทยาศาสตร์สาขาการกำเนิดชีวิตไม่ได้ละความพยายามที่จะทดลองฉากเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้สำหรับละครเรื่องการกำเนิดชีวิตครั้งแรก. กระนั้น บทละครใหม่ ๆ ของพวกเขาก็ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ. (ดูภาคผนวก ข “จาก ‘โลกของอาร์เอ็นเอ’ หรือจากนอกโลก?” หน้า 48.) ยกตัวอย่าง คลาวส์ โดเซ ประจำสถาบันชีวเคมีวิทยาในเมนส์ ประเทศเยอรมนี ให้ข้อสังเกตว่า “ณ ปัจจุบัน การอภิปรายทั้งหมดเกี่ยวกับทฤษฎีและการทดลองหลัก ๆ ในเรื่องนี้ ลงเอยที่ทางตันหรือไม่ก็ยอมรับว่าจนปัญญา.”
แม้ในการประชุมนานาชาติปี 1996 ว่าด้วยต้นกำเนิดชีวิต ก็ไม่ปรากฏว่ามีคำอธิบายใด ๆ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น วารสารไซเยนซ์ รายงานว่านักวิทยาศาสตร์เกือบ 300 คนที่มาประชุมกัน “ปล้ำอยู่กับปริศนาที่ว่า ในตอนแรกโมเลกุล [ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ] ปรากฏขึ้นมาอย่างไร และพัฒนาไปเป็นเซลล์ที่สามารถสร้างเซลล์รุ่นต่อ ๆ ไปด้วยตัวเองอย่างไร.”
จะต้องใช้เชาวน์ปัญญาและความรู้ขั้นสูงเพื่อจะศึกษาหรือแค่อธิบายคร่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ระดับโมเลกุลในเซลล์ของเรา. มีเหตุมีผลไหมที่จะเชื่อว่าขั้นตอนอันสลับซับซ้อนนี้เริ่มเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญใน “ซุปพรีไบโอติก” โดยปราศจากการชี้นำ? หรือมีอะไรเกี่ยวข้องมากกว่านี้?
ทำไมจึงเป็นปริศนา?
ผู้คนในสมัยนี้อาจมองย้อนไปในช่วงเวลาเกือบห้าสิบปีแห่งการคาดเดาและความพยายามนับพัน ๆ ครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าชีวิตเกิดขึ้นเอง. หากใครทำเช่นนั้น ก็คงไม่ยากที่จะเห็นด้วยกับฟรานซิส คริก ผู้ชนะรางวัลโนเบล. เมื่อพูดถึงทฤษฎีต่าง ๆ ว่าด้วยการกำเนิดชีวิต คริกให้ข้อสังเกตว่า มี “การคาดเดามากเกินไป โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่มีน้อยเหลือเกิน.” จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์บางคนซึ่งเมื่อได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ แล้ว ลงความเห็นว่าชีวิตซับซ้อนเกินกว่าจะเกิดเองได้ แม้ในห้องปฏิบัติการที่มีการจัดระบบอย่างดี ไม่ต้องพูดถึงสภาพแวดล้อมที่ปราศจากการควบคุม.
ในเมื่อวิทยาศาสตร์ชั้นสูงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าชีวิตเกิดเอง แล้วทำไมนักวิทยาศาสตร์บางคนยังยึดอยู่กับทฤษฎีเหล่านั้น? ไม่กี่สิบปีมานี้ ศาสตราจารย์ เจ. ดี. เบอร์นัล ได้ให้ความหยั่งเห็นเข้าใจไว้ในหนังสือต้นกำเนิดของชีวิต (ภาษาอังกฤษ) ว่า “โดยใช้หลักวิธีทางวิทยาศาสตร์กับเรื่องนี้ [การที่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเอง] อย่างเคร่งครัด ก็เป็นไปได้ที่จะแสดงให้เห็นเด่นชัดในหลาย ๆ จุดของทฤษฎีนั้นว่าชีวิตไม่อาจเกิดเองได้ ความไม่น่าเป็นไปได้มีมากเหลือเกิน โอกาสที่ชีวิตจะเกิดขึ้นเองมีน้อยเกินไป.” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อมองจากแง่นี้แล้วก็น่าเศร้า มีชีวิตอยู่บนโลกด้วยรูปแบบและกิจกรรมต่าง ๆ มากมายหลากหลาย แต่กลับต้องมาบิดเบือนเหตุผลเพื่ออธิบายการดำรงอยู่ของชีวิตเหล่านั้น.” และสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น.
ลองพิจารณาความหมายลึก ๆ ของการหาเหตุผลเช่นนั้น. จริง ๆ แล้วก็เท่ากับพูดว่า ‘ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าถูกต้องที่จะกล่าวว่า ชีวิตไม่อาจเริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง. แต่หลักความเชื่อเรื่องการเกิดเองของสิ่งมีชีวิตเป็นความเป็นไปได้อย่างเดียวที่เราจะพิจารณา. ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะบิดเบือนเหตุผลเพื่อสนับสนุนสมมุติฐานที่ว่า ชีวิตเกิดขึ้นเอง.’ คุณพอใจกับการหาเหตุผลแบบนี้ไหม? การหาเหตุผลเช่นว่าจะต้อง ‘บิดเบือน’ ข้อเท็จจริงอย่างมากมิใช่หรือ?
อย่างไรก็ดี มีนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงความรู้และน่านับถือหลายคนที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้ากับหลักปรัชญาที่นิยมแพร่หลายในเรื่องต้นกำเนิดของชีวิต. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเขายอมให้ข้อเท็จจริงนำไปสู่การลงความเห็นที่มีเหตุมีผล. ข้อเท็จจริงอะไร และการลงความเห็นเช่นไร?
ข้อมูลและเชาวน์ปัญญา
ณ การให้สัมภาษณ์ในภาพยนตร์สารคดีเรื่องหนึ่ง ศาสตราจารย์มาเช เกียร์ทีค ซึ่งเป็นนักพันธุศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจากสถาบันรุกขวิทยาแห่งศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ของโปแลนด์ พูดดังนี้:
“เราได้มาตระหนักถึงข้อมูลมากมายมหาศาลที่บรรจุอยู่ในยีน. วิทยาศาสตร์ไม่เข้าใจว่าข้อมูลดังกล่าวเกิดขึ้นเองได้อย่างไร. สิ่งนี้จะต้องอาศัยเชาวน์ปัญญา ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุบังเอิญ. แค่เอาตัวอักษรมารวมกัน ก็ใช่ว่าจะเกิดเป็นคำขึ้นมาได้.” เขาเสริมว่า “ยกตัวอย่าง กลไกการจำลองแบบดีเอ็นเอ, อาร์เอ็นเอ, และโปรตีนที่สลับซับซ้อนซึ่งอยู่ในเซลล์ จะต้องสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรกเริ่มทีเดียว. มิฉะนั้น ระบบต่าง ๆ ของชีวิตก็จะไม่เกิดขึ้น. มีคำอธิบายที่เป็นไปตามหลักเหตุผลอย่างเดียวเท่านั้นคือ ข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลนี้มาจากผู้ทรงไว้ซึ่งเชาวน์ปัญญา.”
ยิ่งคุณเรียนรู้เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของชีวิตมากเท่าใด ก็ยิ่งมีเหตุผลมากเท่านั้นที่คุณจะเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้: ต้นกำเนิดของชีวิตต้องมาจากแหล่งที่มีเชาวน์ปัญญา. แหล่งไหนล่ะ?
ดังได้กล่าวก่อนหน้านี้ ผู้ที่มีการศึกษาหลายล้านคนลงความเห็นว่า ชีวิตบนโลกจะต้องมาจากผู้ออกแบบที่มีเชาวน์ปัญญาสูงส่ง. ใช่แล้ว หลังจากตรวจสอบเรื่องราวด้วยความเป็นธรรม แม้จะอยู่ในยุควิทยาศาสตร์แต่พวกเขาก็ยอมรับว่า มีเหตุผลที่จะเห็นด้วยกับกวีผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งกล่าวถึงพระเจ้านานมาแล้วดังนี้: “ด้วยว่าบ่อเกิดแห่งชีวิตอยู่กับพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 36:9, ล.ม.
ไม่ว่าคุณได้ข้อสรุปที่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ขอให้เราหันความสนใจไปยังความมหัศจรรย์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง. การทำเช่นนี้ยังความอิ่มใจพอใจอย่างยิ่ง และอาจให้ความกระจ่างมากมายเกี่ยวด้วยเรื่องซึ่งกระทบชีวิตของเรานี้.
[กรอบหน้า 30]
มีโอกาสแค่ไหนสำหรับความบังเอิญ?
“ความบังเอิญ ความบังเอิญเท่านั้น ก่อกำเนิดทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ซุปอินทรีย์สารยุคดึกดำบรรพ์จนถึงมนุษย์” คริสเตียน เดอ ดูฟ ผู้ชนะรางวัลโนเบล พูดเรื่องต้นกำเนิดของชีวิตไว้อย่างนั้น. แต่ความบังเอิญเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลไหมสำหรับที่มาของชีวิต?
ความบังเอิญคืออะไร? บางคนคิดถึงคำนี้ในแง่ของความเป็นไปได้ทางคณิตศาสตร์ เช่น โอกาสที่จะโยนเหรียญออกมาเป็นหัวหรือก้อย. แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่ได้ใช้คำ “ความบังเอิญ” แบบนี้เมื่อพูดถึงการกำเนิดชีวิต. คำ “ความบังเอิญ” ที่คลุมเครือถูกใช้แทนคำที่ชัดเจนกว่า อย่างเช่นคำว่า “ต้นเหตุ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นเหตุนั้นยังไม่เป็นที่รู้จัก.
นักชีวฟิสิกส์ โดนัลด์ เอ็ม. แมกเคย์ ให้ข้อสังเกตว่า “การถือเอา ‘ความบังเอิญ’ เป็นเสมือนผู้ให้กำเนิด ก็เท่ากับเป็นการเปลี่ยนอย่างผิดหลักเหตุผล จากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ไปเป็นเรื่องปรัมปรา กึ่งศาสนา.” ในทำนองเดียวกัน โรเบิร์ต ซี. สปราวล์ ชี้ว่า “โดยการเรียกต้นเหตุที่ไม่รู้จักว่า ‘ความบังเอิญ’ มาเป็นเวลานาน ผู้คนก็เริ่มจะลืมเบื้องหลังของคำนี้. . . . สำหรับหลายคนแล้ว สมมุติฐานที่ว่า ‘ความบังเอิญคือต้นเหตุที่ไม่รู้จัก’ ก็ไม่ต่างอะไรกับการพูดว่า ‘ความบังเอิญคือต้นเหตุ.’”
เพื่อเป็นตัวอย่าง ชัค แอล. โมโน ผู้ชนะรางวัลโนเบล ได้หาเหตุผลโดยอาศัยแนวคิดเรื่องความบังเอิญคือต้นเหตุ. เขาเขียนว่า “ความบังเอิญล้วน ๆ โดยเป็นไปเองและปราศจากการชี้นำอย่างสิ้นเชิง [คือ] พื้นฐานแท้จริงแห่งโครงสร้างอันน่าพิศวงของวิวัฒนาการ. ในที่สุด มนุษย์ก็รู้ว่าตนอยู่โดยลำพังในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลปราศจากความรู้สึกนึกคิด ซึ่งจากสิ่งนี้แหละที่มนุษย์อุบัติขึ้นโดยความบังเอิญเท่านั้น.” โปรดสังเกตที่เขาพูดว่า ‘โดยความบังเอิญ.’ โมโนทำสิ่งที่หลายคนได้ทำ นั่นคือ ยกระดับความบังเอิญเป็นต้นกำเนิดของชีวิต. ความบังเอิญจึงถูกอุปโลกน์ให้เป็นวิธีที่ชีวิตถือกำเนิดมาในโลก.
ที่จริง พจนานุกรมให้ความหมายว่า “ความบังเอิญ” คือ “สิ่งสมมุติที่ไม่ใช่บุคคล ไม่มีจุดมุ่งหมายใด ๆ ซึ่งเป็นตัวกำหนดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้.” ดังนั้น หากมีใครพูดว่าชีวิตเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ เขาก็กำลังพูดว่าชีวิตเกิดจากต้นเหตุซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จัก. อาจเป็นได้ไหมว่าการที่บางคนถือว่า “ความบังเอิญ” เป็นต้นเหตุนั้น—จริง ๆ แล้ว กำลังพูดถึงพระผู้สร้าง?
[กรอบหน้า 35]
“[แบคทีเรียขนาดจิ๋วที่สุด] ดูคล้ายมนุษย์มากกว่าเคมีผสมของสแตนลีย์ มิลเลอร์ เสียอีก เพราะแบคทีเรียดังกล่าวมีระบบชีวเคมีในตัวเองอยู่แล้ว. ดังนั้น การที่แบคทีเรียจะพัฒนาไปเป็นมนุษย์ยังจะดูง่ายกว่าการที่ของผสมอันประกอบด้วยกรดอะมิโนจะพัฒนาไปเป็นแบคทีเรีย.”—ลินน์ มาร์กูลิส ศาสตราจารย์ทางชีววิทยา
[กรอบ/รูปภาพหน้า 36, 37]
ผลงานลือชื่อ แต่น่าสงสัย
การทดลองของสแตนลีย์ มิลเลอร์ ในปี 1953 มักถูกยกขึ้นมาอ้างเป็นหลักฐานว่าในอดีตอาจมีการเกิดเอง. แต่เหตุผลของคำอธิบายของเขานั้นอาศัยการสันนิษฐานว่าบรรยากาศตอนเริ่มแรกของโลกอยู่ในสภาวะ “รีดักชัน” ซึ่งหมายความว่าบรรยากาศตอนนั้นจะต้องเป็นแบบที่มีออกซิเจนอิสระ (ไม่มีการรวมตัวทางเคมี) น้อยที่สุด. เพราะเหตุใด?
หนังสือความลึกลับแห่งต้นกำเนิดของชีวิต: การประเมินทฤษฎีต่าง ๆ ในปัจจุบันอีกครั้ง ชี้ว่า หากมีออกซิเจนอิสระจำนวนมาก ‘กรดอะมิโนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย และถ้าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ มันจะสลายตัวอย่างรวดเร็ว.’a การสันนิษฐานของมิลเลอร์เกี่ยวกับสภาพบรรยากาศตอนเริ่มแรกตามที่พูดกันนั้นหนักแน่นเพียงไร?
มิลเลอร์เขียนไว้ในรายงานอันลือชื่อซึ่งตีพิมพ์หลังจากการทดลองของเขาผ่านไปได้สองปี ดังนี้: “แน่นอน ความคิดดังกล่าวเป็นการคาดเดา เพราะเราไม่รู้ว่าโลกมีสภาพบรรยากาศแบบรีดักชันหรือไม่ตอนที่มันก่อตัวขึ้น. . . . ยังไม่พบหลักฐานบ่งชี้แน่ชัด.”—เจอร์นัล ออฟ ดิ อเมริกัน เคมีคอล โซไซตี ฉบับ 12 พฤษภาคม 1955.
เคยพบหลักฐานบ้างไหม? ราว ๆ 25 ปีต่อมา โรเบิร์ต ซี. โคเวน นักเขียนเรื่องทางวิทยาศาสตร์รายงานว่า “นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดทบทวนใหม่เกี่ยวกับการตั้งสมมุติฐานของตน. . . . แทบไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่สนับสนุนความคิดเรื่องสภาพบรรยากาศแบบรีดักชันซึ่งเต็มไปด้วยไฮโดร-เจน แต่หลักฐานบางอย่างกลับบ่งชี้ในทางตรงข้าม.”—เทคโนโลยี รีวิว ฉบับ เมษายน 1981.
หลังจากนั้นล่ะ? จอห์น ฮอร์แกน เขียนไว้ในไซเยนติฟิก อเมริกัน เมื่อปี 1991 ว่า “ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาหรือราว ๆ นั้น มีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับสมมุติฐานของมิลเลอร์และอูเรย์เรื่องสภาพบรรยากาศ. การทดลองในห้องปฏิบัติการและการสร้างสภาพบรรยากาศขึ้นใหม่ในคอมพิวเตอร์ . . . ชี้ว่าการแผ่รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ซึ่งในปัจจุบันถูกกั้นด้วยชั้นโอโซน จะทำลายโมเลกุลที่มีไฮโดรเจนเป็นส่วนประกอบหลักในบรรยากาศ. . . . บรรยากาศเช่นนี้ [คาร์บอนไดออกไซด์และไนโตรเจน] จะไม่มีทางก่อให้เกิดการสังเคราะห์กรดอะมิโนหรือสิ่งใด ๆ ที่จะพัฒนาไปเป็นชีวิต.”
แล้วทำไมหลายคนยังถือว่าบรรยากาศในตอนเริ่มแรกของโลกเป็นแบบรีดักชัน คือมีออกซิเจนเพียงน้อยนิด? ซิดนีย์ ดับเบิลยู. ฟอกซ์ และ คลาวส์ โดเซ ตอบไว้ในหนังสือวิวัฒนาการโมเลกุลและต้นกำเนิดของชีวิต (ภาษาอังกฤษ) ดังนี้: บรรยากาศตอนนั้นต้องไม่มีออกซิเจน เนื่องจากเหตุผลหนึ่งคือ “การทดลองในห้องปฏิบัติการแสดงว่า . . . ออกซิเจนขัดขวางวิวัฒนาการทางเคมี” และเนื่องจากสารประกอบอย่างเช่น กรดอะมิโน “ไม่เสถียรตลอดยุคต่าง ๆ ทางธรณีวิทยาที่มีออกซิเจน.”
นี่ไม่ใช่การหาเหตุผลแบบวกวนหรอกหรือ? มีการกล่าวว่า บรรยากาศตอนแรก ๆ เป็นแบบรีดักชัน เพราะถ้าไม่เช่นนั้นชีวิตจะไม่อาจเกิดเองได้. แต่ก็ไม่มีคำรับรองใด ๆ อย่างแท้จริงว่าเป็นแบบรีดักชัน.
มีรายละเอียดที่น่าคิดอีกอย่างหนึ่ง: ถ้าก๊าซที่เอามารวมกันใช้แทนสภาพบรรยากาศในตอนนั้น ประกายไฟฟ้าเปรียบเหมือนสายฟ้าแลบ และน้ำเดือดใช้แทนมหาสมุทร แล้วนักวิทยาศาสตร์ที่จัดเตรียมและดำเนินการทดลองจะเปรียบได้กับใครหรืออะไร?
[เชิงอรรถ]
a ออกซิเจนเกิดปฏิกิริยาได้ง่าย. ยกตัวอย่าง ถ้ามันรวมตัวกับเหล็กจะเกิดสนิม หรือถ้ารวมตัวกับไฮโดรเจนก็จะเกิดน้ำ. ถ้ามีออกซิเจนอิสระจำนวนมากในบรรยากาศตอนที่เกิดกรดอะมิโน มันจะเข้าไปรวมตัวกับกรดนั้นอย่างรวดเร็ว และทำลายโมเลกุลอินทรียสารต่าง ๆ ขณะที่มันก่อตัวขึ้น.
[กรอบหน้า 38]
มือขวา, มือซ้าย
เราทราบดีว่าถุงมือมีข้างขวาและข้างซ้าย. โมเลกุลของกรดอะมิโนก็เช่นเดียวกัน. ในบรรดากรดอะมิโนราว ๆ 100 ชนิดที่รู้จักกัน มีเพียง 20 ชนิดเท่านั้นที่โปรตีนใช้ และทั้งหมดเป็นชนิดมือซ้าย. ตอนที่นักวิทยาศาสตร์สร้างกรดอะมิโนในห้องปฏิบัติการเพื่อเลียนแบบสิ่งที่พวกเขาคิดว่าอาจจะเกิดขึ้นในซุปพรีไบโอติก เขาพบว่าโมเลกุลชนิดมือขวาและมือซ้ายมีจำนวนเท่ากัน. หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า “การเฉลี่ยเท่า ๆ กันแบบ 50-50 นี้ ไม่ใช่ลักษณะของชีวิตซึ่งอาศัยกรดอะมิโนชนิดมือซ้ายอย่างเดียว.” เหตุผลที่ว่าทำไมสิ่งมีชีวิตจึงประกอบขึ้นด้วยกรดอะมิโนชนิดมือซ้ายเท่านั้น ยังเป็น “ความลึกลับอันยิ่งใหญ่.” แม้แต่กรดอะมิโนที่พบในอุกกาบาตก็ “ปรากฏว่ามีชนิดมือซ้ายมากเหลือเกิน.” ดร. เจฟฟรีย์ แอล. เบดา ผู้ศึกษาปัญหาเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิตกล่าวว่า “อิทธิพลบางอย่างจากนอกโลกอาจมีส่วนในการกำหนดชนิดมือซ้ายมือขวาของกรดอะมิโนเชิงชีววิทยา.”
[กรอบหน้า 40]
“การทดลองเหล่านี้ . . . อ้างว่าการสังเคราะห์ที่ไร้ชีวิตเป็นที่มาของสิ่งซึ่งจริง ๆ แล้วถูกสร้างและออกแบบโดยมนุษย์ผู้มีเชาวน์ปัญญาระดับสูงและมีชีวิตอย่างแท้จริง ซึ่งพยายามยืนยันความคิดที่ตนปักใจเชื่ออยู่แล้ว.”—ต้นกำเนิดและพัฒนาการของระบบชีวิต (ภาษาอังกฤษ).
[กรอบ/รูปภาพหน้า 41]
“การจงใจกระทำด้วยเชาวน์ปัญญา”
เซอร์เฟรด ฮอยล์ นักดาราศาสตร์ชาวบริเตน ซึ่งใช้เวลาหลายทศวรรษในการศึกษาเอกภพและสิ่งมีชีวิต ก็ยังสนับสนุนความคิดที่ว่า ชีวิตในโลกมาจากนอกโลก. ระหว่างการบรรยาย ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย เขาได้พูดถึงการเรียงลำดับของกรดอะมิโนในโปรตีน.
ฮอยล์กล่าวว่า “ปัญหาใหญ่ทางชีววิทยา ไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงอันประจักษ์ชัดที่ว่า โปรตีนตัวหนึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนที่เชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ในแบบที่แน่นอน แต่อยู่ที่การเรียงลำดับอย่างชัดเจนของกรดอะมิโนนั้น ๆ ซึ่งทำให้สายโซ่ดังกล่าวมีคุณสมบัติน่าทึ่ง . . . ถ้ากรดอะมิโนเชื่อมต่อกันแบบสุ่มแล้วละก็ จะมีการเรียงตัวจำนวนมหาศาลที่ไร้ประโยชน์ใช้สอยสำหรับเซลล์ชีวิต. เมื่อคำนึงถึงว่าเอนไซม์โดยทั่วไปอาจมีกรดอะมิโน 200 ตัวเชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ และความเป็นไปได้ในการเชื่อมต่อกันของแต่ละตัวนั้นมี 20 รูปแบบ ก็เห็นได้ไม่ยากว่าจำนวนการเรียงตัวที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้นั้นมีมากมายมหาศาลแค่ไหน มากกว่าจำนวนอะตอมในกาแล็กซีทั้งหมดที่สามารถเห็นได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่สุด. นี่แค่เอนไซม์ชนิดเดียวในจำนวนมากกว่า 2,000 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่ทำหน้าที่ต่างกันอย่างมาก. ดังนั้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
ฮอยล์เพิ่มเติมว่า “แทนที่จะยอมรับความเป็นไปได้ซึ่งมีน้อยนิดเหลือเกินที่ว่า ชีวิตเกิดจากพลังธรรมชาติที่ไร้การชี้นำ ดูเหมือนจะดีกว่าหากสันนิษฐานว่า ชีวิตเกิดจากการจงใจกระทำด้วยเชาวน์ปัญญา.”
[กรอบหน้า 44]
ศาสตราจารย์ไมเคิล เจ. บีฮี กล่าวว่า “สำหรับผู้ที่ไม่จำกัดการค้นหาของตนอยู่ที่ต้นเหตุอันปราศจากเชาวน์ปัญญา จะลงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า ระบบทางชีวเคมีหลายชนิดได้รับการออกแบบ. ระบบดังกล่าวไม่ได้ถูกออกแบบโดยกฎธรรมชาติ, โดยความบังเอิญ, หรือเนื่องจากสถานการณ์บังคับ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ระบบต่าง ๆ ถูกกำหนด ไว้. . . . ชีวิตบนโลก ณ ระดับมูลฐานที่สุด ในส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด เป็นผลิตผลจากการกระทำที่เปี่ยมด้วยเชาวน์ปัญญา.”
[แผนพัง/รูปภาพหน้า 42]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
แค่มองดูอาณาจักรอันซับซ้อนและการทำงานที่ละเอียดประณีตของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเพียงแวบเดียว ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นมาอย่างไร?
• เยื่อหุ้มเซลล์
ดูแลควบคุมสิ่งที่เข้าออกเซลล์
• นิวเคลียส
ศูนย์บัญชาการของเซลล์
• โครโมโซม
บรรจุด้วยดีเอ็นเอซึ่งเป็นแบบแปลนหลักทางพันธุกรรม
• ไรโบโซม
ที่ซึ่งโปรตีนถูกสร้างขึ้น
• นิวคลีโอลัส
บริเวณที่ไรโบโซมถูกประกอบขึ้น
• ไมโตคอนดรีออน
ศูนย์การผลิตโมเลกุลที่ให้พลังงานแก่เซลล์
[รูปภาพหน้า 33]
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์หลายคนยอมรับว่าโมเลกุลอันสลับซับซ้อนซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของชีวิต ไม่อาจเกิดเองได้ในซุปพรีไบโอติก