บท 6
ช่องว่างมหึมา—วิวัฒนาการจะข้ามช่องว่างเหล่านั้นได้ไหม?
1. มีข้อสังเกตอะไรเกี่ยวกับช่องว่างต่าง ๆ ในหลักฐานฟอสซิล?
ฟอสซิลให้หลักฐานอย่างชัดเจนเกี่ยวกับชีวิตหลายหลากชนิดที่มีอยู่นานก่อนมนุษย์กำเนิด. แต่สิ่งเหล่านี้มิได้ให้ข้อสนับสนุนทัศนะตามความคาดหมายของนักวิวัฒนาการว่า ชีวิตเริ่มต้นอย่างไร หรือจากนั้นชีวิตชนิดใหม่เริ่มขึ้นอย่างไร. เมื่อพูดถึงการที่ไม่มีฟอสซิลเชื่อมช่องว่างระหว่างชีวิตชนิดต่าง ๆ ฟรานซิส ฮิทชิง ตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่มีความเสมอต้นเสมอปลายเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างฟอสซิลต่าง ๆ: พวกฟอสซิลขาดในตอนที่สำคัญทุกตอน.”1
2. ฟอสซิลของปลา แสดงอะไรเกี่ยวกับช่องว่างเหล่านี้?
2 ตอนสำคัญที่เขากล่าวถึงนี้ คือช่องว่างระหว่างจำพวกใหญ่ ๆ ของสัตว์. ตัวอย่างหนึ่งคือ เรื่องปลาซึ่งเชื่อกันว่าวิวัฒนาการมาจากสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง. ฮิทชิงกล่าวว่า “ในหลักฐานฟอสซิลนั้นดูเหมือนว่าจู่ ๆ ปลาก็โผล่ขึ้นมาเฉย ๆ: ดูลึกลับ เป็นไปอย่างกะทันหันเจริญเต็มที่แล้ว.”2 เอ็น. เจ. แบริลล์นักสัตวศาสตร์วิจารณ์คำอธิบายของตนเองในเรื่องวิวัฒนาการของพวกปลาว่า “คิดดูแล้วการอธิบายแบบนี้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์.”3
3. ทฤษฎีวิวัฒนาการลำดับความเป็นมาของสัตว์จำพวกใหญ่ ๆ ไว้อย่างไร?
3 ทฤษฎีวิวัฒนาการสันนิษฐานไว้ว่า ปลาได้กลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบางตัวกลายเป็นสัตว์เลื้อยคลาน จากสัตว์เลื้อยคลานกลายเป็นทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนก แล้วในที่สุดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางตัวกลายเป็นคน. บทที่แล้วแสดงให้เห็นว่าหลักฐานฟอสซิลไม่ได้สนับสนุนข้ออ้างเหล่านี้. ในบทนี้จะเพ่งเล็งถึงความมหึมาของขั้นตอนต่าง ๆ แห่งการเปลี่ยนแปลงที่สันนิษฐานว่าได้เกิดขึ้น. ขณะที่คุณอ่านต่อไป ลองพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวโดยไม่มีการควบคุม.
ช่องว่างระหว่างปลากับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
4, 5. อะไรบ้างคือความแตกต่างใหญ่ ๆ ระหว่างปลากับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ?
4 กระดูกสันหลังเป็นสิ่งที่แยกพวกปลาออกจากสัตว์จำพวกไม่มีกระดูกสันหลัง. ที่ปลาจะกลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำได้นั้นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงกระดูกสันหลังอย่างขนานใหญ่. จำต้องเพิ่มกระดูกเชิงกรานเข้าไป แต่ไม่เคยพบฟอสซิลของปลาที่แสดงให้เห็นกระดูกเชิงกรานที่กำลังพัฒนาไปเป็นของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ. ในสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบางพวก เช่น กบและคางคก กระดูกสันหลังทั้งสิ้นคงต้องได้เปลี่ยนแปลงไปมากกระทั่งไม่เหมือนเดิมเลย. อนึ่งกะโหลกก็ต่างกันด้วย. นอกจากนั้นในการกลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ วิวัฒนาการกำหนดว่าครีบปลาต้องกลายมาเป็นแขนขาที่มีข้อต่อคือมีข้อมือมีนิ้วร่วมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท. เหงือกต้องเปลี่ยนเป็นปอด. ปลามีหัวใจสองห้องสูบฉีดเลือดไปทั่วตัว ส่วนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนั้นมีหัวใจสามห้อง.
5 เพื่อข้ามช่องว่างระหว่างปลากับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ประสาทสัมผัสของการได้ยินคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่. ตามปกติปลาจะรับรู้เสียงได้ที่ลำตัวของมัน แต่กบและคางคกส่วนใหญ่มีเยื่อแก้วหู. เช่นเดียวกัน ลิ้นก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วย. ไม่มีปลาชนิดใด ๆ มีลิ้นแลบตวัดได้ แต่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมี. ตาของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสามารถกะพริบได้ด้วย เนื่องจากมันมีเยื่อที่กลอกไปมาบนลูกตาเพื่อรักษาลูกตาให้สะอาด.
6. เคยมีการนำสัตว์อะไรมาเป็นตัวเชื่อมระหว่างปลากับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แต่เหตุใดใช้ไม่ได้?
6 เคยมีการดำเนินความพยายามอย่างมากที่จะเชื่อมสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเข้ากับต้นตระกูลปลาบางพวก แต่ไม่สำเร็จ. เขามักจะใช้ปลามีปอดเป็นตัวอย่าง เพราะนอกจากมันจะมีเหงือกแล้ว ยังมีถุงลมซึ่งมันสามารถจะใช้หายใจได้เมื่อไม่อยู่ในน้ำชั่วคราว. หนังสือพวกปลา บอกว่า “เป็นสิ่งชวนให้คิดว่าปลามีปอดอาจเกี่ยวพันโดยตรงกับพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งนำไปถึงสัตว์บกมีกระดูกสันหลัง. แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ปลามีปอดเป็นกลุ่มหนึ่งที่ต่างจากประเภทอื่นอย่างสิ้นเชิง.”4 เดวิด แอทเทนโบโรไม่ยอมรับทั้งสองประเภทคือ ปลามีปอด และเซลาคานต์ (ปลาประเภทกระดูกสันหลังกลวง) “เพราะกะโหลกของปลาสองชนิดนี้ต่างกันมากกับฟอสซิลสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำยุคต้น ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ประเภทหลังจะมาจากพวกแรก.”5
ช่องว่างระหว่างสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำกับสัตว์เลื้อยคลาน
7. การเปลี่ยนจากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นสัตว์เลื้อยคลานนั้นมีอะไรเป็นปัญหาข้อหนึ่งที่อธิบายยากที่สุด?
7 ความพยายามข้ามช่องว่างระหว่างสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำกับสัตว์เลื้อยคลานทำให้เกิดปัญหายุ่งยากอื่น ๆ อีก. อย่างหนึ่งซึ่งยากที่สุดคือการกำเนิดของไข่ที่มีเปลือก. สัตว์พวกก่อนสัตว์เลื้อยคลานวางไข่ที่นุ่มเหมือนวุ้นลงในน้ำ ที่ซึ่งไข่จะถูกผสมภายนอกตัว. สัตว์เลื้อยคลานอยู่ และออกไข่บนบก แต่ตัวอ่อนที่เติบโตขึ้นภายในไข่ยังคงต้องอยู่ในน้ำ. ไข่ที่มีเปลือกแก้ปัญหานี้. แต่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในขบวนการปฏิสนธิ: จะต้องมีการปฏิสนธิภายในตัว ก่อนที่ไข่จะถูกหุ้มด้วยเปลือก. ในการนี้จะต้องมีอวัยวะเพศใหม่ การผสมพันธุ์แบบใหม่ และสัญชาตญาณใหม่—สิ่งทั้งหมดนี้ประกอบขึ้นเป็นช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำกับสัตว์เลื้อยคลาน.
8, 9. ลักษณะอื่น ๆ อะไรอีกที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับไข่มีเปลือก?
8 การที่มีเปลือกไข่ห่อหุ้มอยู่เช่นนั้น ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งต่อไปเพื่อเป็นไปได้ที่สัตว์เลื้อยคลานจะเติบโตและในที่สุดออกมาจากไข่. ตัวอย่างเช่น ภายในเปลือกจำต้องมีเยื่อหุ้มและถุงต่าง ๆ เช่น ถุงแอมเนียน. ถุงนี้จะอุ้มน้ำซึ่งตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอยู่ภายในน้ำนั้น. หนังสือสัตว์เลื้อยคลาน อธิบายเรื่องเยื่อหุ้มอีกชนิดหนึ่งเรียกว่าอะแลนโทอิสดังนี้ “อะแลนโทอิสทำหน้าที่รับและเก็บของเสียของตัวอ่อน คล้ายกับกระเพาะปัสสาวะ รวมทั้งมีเส้นเลือดที่ดูดออกซิเจนผ่านเปลือก และนำไปสู่ตัวอ่อน.”6
9 วิวัฒนาการยังไม่สามารถอธิบายได้ถึงความแตกต่างอื่น ๆ อันซับซ้อนที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย. ตัวอ่อนของปลาและไข่ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำปล่อยของเสียสู่น้ำที่ล้อมรอบในรูปยูเรียที่ละลายน้ำ. แต่ยูเรียภายในไข่ที่มีเปลือกของสัตว์เลื้อยคลานจะทำให้ตัวอ่อนตาย. ดังนั้น ในไข่ที่มีเปลือกหุ้ม ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทางเคมี: ของเสียในรูปของกรดยูริคที่ไม่ละลายน้ำ จึงถูกเก็บไว้ในเยื่อหุ้มอะแลนโทอิส. โปรดพิจารณาเรื่องนี้ด้วย: ไข่แดงเป็นอาหารสำหรับตัวอ่อนของสัตว์เลื้อยคลานที่กำลังเจริญเติบโต ทำให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตเต็มที่ก่อนจะออกจากไข่—ต่างกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งไม่ฟักเป็นตัวเต็มวัยโดยตรง. และที่จะออกจากไข่ได้ ตัวอ่อนของสัตว์เลื้อยคลานต่างกันตรงที่มีฟันเจาะไข่ ซึ่งช่วยให้มันทลายออกมาจากที่กักขังได้.
10. นักวิวัฒนาการคนหนึ่งโอดครวญว่าอย่างไร?
10 จำต้องมีอีกมากมายเพื่อที่จะข้ามช่องว่างระหว่างสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลื้อยคลาน แต่ตัวอย่างเหล่านี้แสดงว่าการเกิดโดยบังเอิญไม่มีการควบคุมไม่อาจก่อการเปลี่ยนแปลงอันซับซ้อนทุกอย่างที่จำเป็น เพื่อข้ามช่องว่างที่กว้างใหญ่นี้. ไม่น่าแปลกใจที่นักวิวัฒนาการ อาร์ซี คาร์ โอดครวญว่า “ลักษณะหนึ่งของหลักฐานฟอสซิลเกี่ยวกับประวัติสัตว์มีกระดูกสันหลังซึ่งทำให้ข้องขัดใจก็คือมันแทบไม่ให้รายละเอียดอะไรเลยเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานในยุคต้น ๆ เมื่อไข่มีเปลือกกำลังพัฒนาขึ้น.”7
ช่องว่างระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก
11, 12. อะไรคือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก และบางคนพยายามแก้ปริศนานี้อย่างไร?
11 สัตว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์เลือดเย็น หมายความว่าอุณหภูมิภายในของมันจะขึ้นหรือลงตามอุณหภูมิภายนอก. ส่วนนกเป็นสัตว์เลือดอุ่น อุณหภูมิภายในตัวค่อนข้างคงที่ไม่ว่าอุณหภูมิภายนอกจะเป็นอย่างไร. เพื่อจะไขปัญหาที่ว่าสัตว์เลือดอุ่นพวกนกมาจากสัตว์เลือดเย็นพวกเลื้อยคลานอย่างไร นักวิวัฒนาการบางคนในปัจจุบันกล่าวว่าไดโนเสาร์บางพวก (ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลาน) เป็นสัตว์เลือดอุ่น. แต่ทัศนะโดยทั่วไปก็ยังคงเป็นอย่างที่จัสโทรตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ไดโนเสาร์ก็เหมือนสัตว์เลื้อยคลานทั่ว ๆ ไป คือมันเป็นสัตว์เลือดเย็น.”8
12 นักวิวัฒนาการฝรั่งเศส แอล. ดู นุย กล่าวเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าสัตว์เลือดอุ่นพวกนกมาจากสัตว์เลือดเย็นพวกเลื้อยคลานดังนี้ “ในปัจจุบันเรื่องนี้เป็นปริศนายิ่งใหญ่ที่สุดของทฤษฎีวิวัฒนาการ.” เขายังยอมรับว่านกมี “ลักษณะต่าง ๆ อันไม่เป็นที่น่าพอใจของการถูกสร้างขึ้น”9—ไม่น่าพอใจในแง่ของทฤษฎีวิวัฒนาการ.
13. นกทำอะไรบ้างเพื่อจะกกไข่ของมัน?
13 ถึงแม้ว่าทั้งสัตว์เลื้อยคลานและนกจะออกไข่ก็จริง แต่มีสัตว์ประเภทนกเท่านั้นที่กกไข่. มันถูกออกแบบให้ทำอย่างนั้น. นกหลายชนิดมีส่วนหนึ่งที่อกสำหรับกกไข่ของมัน ส่วนตรงนั้นปราศจากขนและประกอบด้วยขุมข่ายของเส้นเลือดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ไข่. นกบางชนิดไม่มีส่วนไหนเหมาะจะกกไข่ แต่มันจะจิกขนแถบอกของมันออก. นอกจากนั้น เพื่อที่นกจะกกไข่ได้นั้น จำต้องให้วิวัฒนาการทำให้มันมีสัญชาตญาณใหม่—ที่จะสร้างรัง กกไข่และเลี้ยงตัวอ่อน—พฤติกรรมอันไม่เห็นแก่ตัว ละเอียดรอบคอบที่ต้องใช้ความชำนาญ ความขยัน และเสี่ยงอันตราย. ทั้งหมดนี้เป็นช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก. แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก.
14. ความละเอียดประณีตของขนนกเป็นอย่างไร จนเราไม่สามารถจะเชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มาจากเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลาน?
14 ขนนกเป็นลักษณะโดดเด่นเฉพาะของนก. สมมุติกันว่าเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลานได้กลายเป็นโครงสร้างที่น่าทึ่งนี้โดยบังเอิญ. จากก้านขนนกจะมีขนเส้นเล็ก ๆ งอกเป็นตับเรียงแถวกัน. ขนเส้นเล็กแต่ละเส้นมีแขนงย่อย และแขนงย่อยแต่ละเส้นมีเงี่ยงจิ๋ว ๆ และหงิกงอหลายร้อยอัน. เมื่อตรวจดูขนนกพิราบก้านหนึ่งด้วยกล้องจุลทรรศน์เห็นว่าประกอบด้วย “แขนงย่อยหลายแสนเส้น และเงี่ยงจิ๋ว ๆ ที่หงิกงอนับล้าน ๆ เส้น.”10 เงี่ยงเหล่านี้ยึดทุกส่วนของขนให้เป็นผิวเรียบหรือเป็นใบ. ไม่มีสิ่งใดต้านลมได้ดีกว่าขนนก และไม่มีสารใดใช้เป็นฉนวนได้ดีเท่า. นกใหญ่ขนาดหงส์มีขนประมาณ 25,000 ก้าน.
15. นกดูแลรักษาขนของมันอย่างไร?
15 ถ้าขนนกเส้นเล็กเหล่านี้แตกแยกกัน นกจะใช้จะงอยปากไซ้ขนต่างหวี. นกใช้จะงอยปากกดลงที่ขนเส้นเล็กโดยตลอดและเงี่ยงบนแขนงย่อยจะเกี่ยวกันเหมือนฟันของซิปรูด. นกส่วนใหญ่มีต่อมน้ำมันที่โคนหางซึ่งมันจะจิกเอาน้ำมันนี้แต่งขนแต่ละเส้น. นกบางชนิดไม่มีต่อมน้ำมัน แต่มันมีขนพิเศษซึ่งสีกันที่ปลายขนจนกลายเป็นเหมือนฝุ่นอาบไล้ขนของมัน. และตามปกติ นกจะเปลี่ยนขนปีละครั้ง.
16. นักวิวัฒนาการคนหนึ่งพูดไว้อย่างไรเกี่ยวกับความเป็นมาของขนนก?
16 เมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดนี้เกี่ยวกับขนนกแล้ว จงพิจารณาความพยายามอันน่าประหลาดใจที่จะอธิบายพัฒนาการของมันดังนี้ “โครงสร้างที่วิเศษนี้วิวัฒนาการอย่างไร? ไม่จำต้องใช้จินตนาการมากมายอะไรเลยที่จะมองว่าขนนกแปลงมาจากเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลาน—เป็นเกล็ดยาวซึ่งติดหลวม ๆ ริมของเกล็ดแตกยุ่ยและแผ่ออกจนกระทั่งวิวัฒนาการมาเป็นโครงสร้างลักษณะซับซ้อนยิ่ง ดังที่เป็นทุกวันนี้.”11 แต่คุณคิดว่าการอธิบายแบบนี้เป็นแบบวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงไหม? หรือว่าฟังดูเป็นนิยายวิทยาศาสตร์มากกว่า?
17. กระดูกนกต่างจากกระดูกสัตว์เลื้อยคลานอย่างไร?
17 ลองพิจารณาต่อไปถึงโครงสร้างของนกเพื่อการบิน. กระดูกนกบางและกลวง ต่างกันกับสัตว์เลื้อยคลานที่มีกระดูกตัน. กระนั้น กระดูกต้องมีความแข็งแรงเพื่อจะบินได้ ดังนั้น ในโพรงกระดูกนกจึงมีเสาค้ำเหมือนกับโครงภายในปีกเครื่องบิน. โครงสร้างของกระดูกแบบนี้มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง: ช่วยในการอธิบายความอัศจรรย์เฉพาะของนกอีกอย่างหนึ่ง—นั่นคือระบบหายใจ.
18. โครงสร้างของนกเป็นอย่างไรซึ่งช่วยในการระบายความร้อนขณะที่นกบินระยะไกล?
18 ปีกที่มีกล้ามเนื้อซึ่งขยับขึ้นลงเป็นเวลาหลายชั่วโมงหรือกระทั่งหลายวันในขณะบินทำให้เกิดความร้อนมาก กระนั้น นกสามารถเอาชนะปัญหานี้ได้ทั้ง ๆ ที่นกไม่มีต่อมเหงื่อสำหรับระบายความร้อน—มันมีระบบถุงลมอยู่แทบทุกส่วนที่สำคัญของตัวนก รวมทั้งในกระดูกกลวงด้วย และความร้อนของร่างกายถูกระบายออกไปโดยอาศัยระบบการไหลเวียนของอากาศภายในนี้เอง. นอกจากนั้น นกสามารถรับออกซิเจนจากอากาศอย่างมีประสิทธิภาพโดยทางถุงลมเหล่านี้ได้ดีกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น ๆ. ทำได้อย่างไร?
19. เพราะอะไรนกจึงสามารถหายใจได้แม้แต่ในอากาศเบาบาง?
19 ในสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปอดจะดูดอากาศเข้าและขับอากาศออกเหมือนกับหีบลมที่ถูกชักเข้าออกสลับกัน. แต่สำหรับนกจะมีอากาศบริสุทธิ์ไหลผ่านปอดตลอดเวลาทั้งในช่วงหายใจเข้าและหายใจออก. เมื่อนกหายใจเข้า อากาศจะผ่านเข้าไปในถุงลมบางอันซึ่งจะทำหน้าที่เหมือนหีบลม ดันอากาศเข้าสู่ปอด. อากาศจากปอดจะออกไปเข้าถุงลมอื่น และแล้วในที่สุดก็จะถูกขับออกไป. ทั้งนี้หมายความว่าจะมีกระแสอากาศบริสุทธิ์ไหลผ่านปอดในทิศทางเดียวตลอดเวลา ลักษณะเดียวกับน้ำที่ไหลผ่านฟองน้ำ. เลือดภายในเส้นเลือดฝอยของปอดไหลไปในทิศตรงข้าม. การไหลสวนทางกันของอากาศและเลือดนี่เองที่ทำให้ระบบหายใจของนกไม่เหมือนใคร. ด้วยระบบนี้ นกสามารถหายใจได้ในอากาศเบาบางระดับสูง เมื่อมันบินสูง 6,000 กว่าเมตรเป็นเวลาหลาย ๆ วันขณะที่อพยพย้ายถิ่นไปไกลหลายพันกิโลเมตร.
20. อะไรอีกทำให้ช่องว่างระหว่างนกกับสัตว์เลื้อยคลานกว้างมากขึ้น?
20 ยังมีอีกบางอย่างที่ทำให้ช่องว่างระหว่างนกกับสัตว์เลื้อยคลานกว้างยิ่งขึ้น. อย่างหนึ่งคือสายตา. จากนกอินทรีกระทั่งถึงนกกระจ้อย ตาของนกเหล่านี้เปรียบได้กับกล้องส่องทางไกลและแว่นขยาย. นกมีเซลล์ประสาทในตามากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใดทั้งสิ้น. นอกจากนั้น นกมีเท้าซึ่งต่างไปจากสัตว์อื่น. เมื่อนกร่อนลงเกาะกิ่งไม้ เส้นเอ็นจะทำให้นิ้วรัดแน่นกับกิ่งไม้โดยอัตโนมัติ. และนกมีสี่นิ้วแทนที่จะมีห้านิ้วอย่างสัตว์เลื้อยคลาน. อีกอย่างหนึ่งนกไม่มีเส้นเสียง แต่มีหลอดเสียงซึ่งให้เสียงเพลงไพเราะ. คิดดูซิ หัวใจสัตว์เลื้อยคลานมีสามห้อง นกมีสี่ห้อง. อนึ่ง จะงอยปากทำให้นกต่างไปจากสัตว์เลื้อยคลาน มันใช้จะงอยปากกะเทาะเปลือก จิกไซ้หาอาหารจากน้ำโคลนขุ่น ๆ เจาะต้นไม้ ขบลูกสน—และอื่น ๆ. กระนั้นก็มีการกล่าวอ้างว่า จะงอยปากนกซึ่งมีรูปแบบโดยเฉพาะนั้นได้วิวัฒนาการขึ้นมาโดยบังเอิญจากจมูกสัตว์เลื้อยคลาน! คุณคิดว่าการอธิบายอย่างนั้นน่าเชื่อไหม?
21. เหตุใดจึงใช้อาร์แคออปเตริคซ์ เป็นตัวเชื่อมระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนกไม่ได้?
21 ครั้งหนึ่งนักวิวัฒนาการเชื่อว่า อาร์แคออปเตริคซ์ ซึ่งแปลว่า “ปีกโบราณ” หรือ “นกโบราณ” เป็นตัวเชื่อมระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก. แต่ปัจจุบันหลายคนไม่เห็นด้วย. ซากฟอสซิลของมันแสดงถึงขนที่สมบูรณ์บนปีกที่ใช้บินได้ซึ่งถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์. กระดูกปีกกระดูกขาบางและกลวง. ลักษณะของมันที่สันนิษฐานว่าเป็นแบบของสัตว์เลื้อยคลานนั้นก็พบได้ในนกปัจจุบัน. และมันก็ไม่ได้มาก่อนนกต่าง ๆ เพราะมีการพบฟอสซิลของนกชนิดอื่นในหินยุคเดียวกับที่พบอาร์แคออปเตริคซ์ ด้วย.12
ช่องว่างระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
22. คำว่า “เลี้ยงลูกด้วยนม” ส่อให้เห็นความแตกต่างอย่างไร ระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม?
22 มีช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม. การให้ชื่อ “เลี้ยงลูกด้วยนม” แค่นี้ก็ชี้ถึงความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่ง: การมีต่อมน้ำนมเพื่อผลิตน้ำนมให้ลูกอ่อนที่เกิดเป็นตัว. ทีโอโดซิอุส โดบซานสกี สันนิษฐานว่า ต่อมน้ำนมเหล่านี้ “อาจแปลงมาจากต่อมเหงื่อ.”13 แต่สัตว์เลื้อยคลานไม่มีแม้แต่ต่อมเหงื่อ. นอกจากนั้น ต่อมเหงื่อมีหน้าที่ขับของเสีย มิใช่ผลิตอาหาร. และไม่เหมือนลูกอ่อนของสัตว์เลื้อยคลาน ลูกอ่อนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีทั้งสัญชาตญาณและกล้ามเนื้อที่จะดูดนมแม่ของมัน.
23, 24. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีลักษณะอะไรอีกซึ่งสัตว์เลื้อยคลานไม่มี?
23 สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยังมีลักษณะอื่น ๆ อีกที่ไม่พบในพวกสัตว์เลื้อยคลาน. แม่สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมมีรกที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่งเพื่อให้อาหารและเพื่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่ยังไม่เกิด. สัตว์เลื้อยคลานไม่มี. สัตว์เลื้อยคลานไม่มีกะบังลม แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีกะบังลมซึ่งกั้นช่องอกกับช่องท้อง. อวัยวะของคอร์ติที่มีในหูของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็ไม่พบในหูของสัตว์เลื้อยคลาน. อวัยวะที่ซับซ้อนขนาดจิ๋วนี้ประกอบด้วยแท่ง 20,000 แท่ง และมีปลายประสาท 30,000 จุด. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมปรับอุณหภูมิร่างกายคงที่อยู่เสมอในขณะที่สัตว์เลื้อยคลานมีอุณหภูมิไม่คงที่.
24 สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีกระดูกสามชิ้นในหู ขณะที่สัตว์เลื้อยคลานมีชิ้นเดียว. อีกสองชิ้นมาจากไหน? ทฤษฎีวิวัฒนาการพยายามอธิบายดังนี้: สัตว์เลื้อยคลานมีกระดูกอย่างน้อยสี่ชิ้นที่กรามล่าง ในขณะที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีเพียงชิ้นเดียว ดังนั้นเมื่อสัตว์เลื้อยคลานกลายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็เลยตั้งข้อสันนิษฐานว่ามีการสับเปลี่ยนกระดูก กระดูกบางชิ้นจากกรามล่างของสัตว์เลื้อยคลานเลื่อนไปอยู่ในหูของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทำให้มีกระดูกสามชิ้น และด้วยเหตุนี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจึงเหลือกระดูกกรามล่างเพียงชิ้นเดียว. อย่างไรก็ดี ปัญหาของการหาเหตุผลแบบนี้ก็คือไม่เคยมีฟอสซิลใด ๆ เลยที่สนับสนุนเรื่องนี้. มันเป็นเพียงการเดาสุ่มเท่านั้นเอง.
25. มีอะไรต่างกันอีกระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม?
25 มีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง: สัตว์เลื้อยคลานมีขาติดอยู่ข้างลำตัวทำให้ท้องอยู่ติดพื้นดินหรือเรี่ยพื้น. แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขาจะอยู่ใต้ลำตัว และลำตัวสูงพ้นพื้นดิน. โดบซานสกีกล่าวเกี่ยวกับความแตกต่างนี้ว่า “การเปลี่ยนนี้ถึงแม้ดูเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงกระดูกและกล้ามเนื้อขนานใหญ่.” แล้วเขาก็ยอมรับความแตกต่างขนานใหญ่อีกอย่างหนึ่งระหว่างสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมดังนี้ “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้พัฒนาฟันขึ้นอย่างประณีต. แทนที่จะมีฟันลักษณะเป็นปุ่มแบบสัตว์เลื้อยคลาน ฟันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีหลายแบบซึ่งเหมาะกับการแทะ เล็ม งับ กัด ฉีก บด หรือขบเคี้ยวอาหาร.”14
26. ถ้าวิวัฒนาการเป็นจริง จะต้องเปลี่ยนอะไรกลับกันอีกในเรื่องการขับถ่ายของเสีย?
26 เรื่องสุดท้ายคือ เมื่อสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำตามการสมมุติได้วิวัฒนาการเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ของเสียที่ถูกขับออกมานั้น ได้เปลี่ยนจากยูเรียเป็นกรดยูริค. แต่เมื่อสัตว์เลื้อยคลานกลายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีการเปลี่ยนกลับตรงกันข้าม. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลับไปเหมือนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำโดยขับถ่ายของเสียเป็นยูเรีย. เท่ากับว่าเป็นวิวัฒนาการถอยหลัง—ตามทฤษฎีแล้วจะต้องไม่เกิดขึ้น.
ช่องว่างที่กว้างใหญ่ที่สุด
27. นักวิวัฒนาการคนหนึ่งบอกว่าอะไรจะเป็น “ความผิดพลาดอย่างมหันต์”?
27 โดยรูปกายแล้ว มนุษย์อยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตามคำจำกัดความทั่ว ๆ ไป. กระนั้น นักวิวัฒนาการผู้หนึ่งกล่าวว่า “ความคิดที่ว่ามนุษย์เป็น ‘เพียงสัตว์ชนิดหนึ่ง’ นั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ทีเดียว. มนุษย์มีคุณลักษณะที่โดดเด่นหลายอย่างแตกต่างจากสัตว์ทุกชนิด เช่น การพูด ประเพณี วัฒนธรรม และระยะยาวนานของการเติบโตและการเลี้ยงดูลูก.”15
28. สมองของมนุษย์ทำให้เขาต่างไปจากสัตว์อย่างไร?
28 สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทุกชนิดบนแผ่นดินโลกคือสมอง. ข้อมูลที่เก็บไว้ในเซลล์ประสาทจำนวนหนึ่งแสนล้านของสมองมนุษย์ถ้าจะบรรจุในหนังสือจะได้ถึง 20 ล้านเล่ม! ความสามารถที่จะคิดแบบนามธรรมและการพูด ทำให้มนุษย์แตกต่างกันลิบกับสัตว์ทุกประเภทและความสามารถในการเก็บบันทึกความรู้ที่สะสมมาเป็นลักษณะหนึ่งที่น่าทึ่งที่สุดของมนุษย์. การใช้ความรู้นี้ทำให้มนุษย์เก่งกาจกว่าสัตว์ทุกชนิดในโลก—กระทั่งไปและกลับจากดวงจันทร์. เป็นจริงอย่างที่นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวไว้ สมองของมนุษย์ “แตกต่างและซับซ้อนมโหฬารยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในเอกภพ.”16
29. ข้อเท็จจริงอะไรทำให้ช่องว่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์กว้างใหญ่ที่สุด?
29 อีกสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์เป็นเหวที่กว้างใหญ่ที่สุดคือ ค่านิยมทางศีลธรรมและทางด้านวิญญาณ เนื่องจากมนุษย์มีความรัก ความยุติธรรม ปัญญา อำนาจ ความเมตตา. เรื่องนี้มีการพาดพิงถึงในพระธรรมเยเนซิศเมื่อกล่าวถึงมนุษย์ว่าถูกสร้าง “ตามแบบฉายาของพระเจ้า.”—เยเนซิศ 1:26.
30. ที่จริงแล้วหลักฐานฟอสซิลบอกอะไร?
30 ดังนั้น ความแตกต่างอย่างมากมายจึงมีอยู่ระหว่างสิ่งมีชีวิตจำพวกใหญ่ ๆ. โครงสร้างใหม่ ๆ หลายอย่าง สัญชาตญาณและคุณลักษณะอื่น ๆ หลายอย่างแยกประเภทต่าง ๆ ออกจากกัน. เป็นเรื่องที่มีเหตุผลไหม ที่จะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้โดยบังเอิญจากเหตุการณ์ที่ไม่มีการควบคุม? ดังที่เราเห็นแล้วว่า หลักฐานฟอสซิลไม่สนับสนุนความเห็นเช่นนั้น. ไม่พบฟอสซิลใด ๆ ที่จะใช้เชื่อมโยงช่องว่างเหล่านั้น. เป็นอย่างที่ฮอยล์และวิครามซิงห์กล่าวว่า “ตัวเชื่อมต่าง ๆ ขาดไปจากหลักฐานฟอสซิล. บัดนี้เรารู้แล้วว่าเพราะอะไร ที่จริงแล้วเป็นเพราะไม่เคยมีตัวเชื่อมเหล่านั้น.”17 สำหรับคนเหล่านั้นซึ่งพร้อมจะรับฟัง หลักฐานฟอสซิลบอกถึง “การสร้างขึ้นโดยเฉพาะ.”
[คำโปรยหน้า 72]
ไม่เคยพบฟอสซิลของปลาที่แสดงให้เห็นกระดูกเชิงกรานที่กำลังพัฒนาไปเป็นของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
[คำโปรยหน้า 81]
“ความคิดที่ว่ามนุษย์เป็น ‘เพียงสัตว์ชนิดหนึ่ง’ เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ทีเดียว”
[กรอบ/ภาพหน้า 73]
ไม่มีตัวเชื่อมระหว่างชีวิตประเภทหลัก ๆ. นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวว่า “พวกฟอสซิลขาดไปในตอนที่สำคัญทุกตอน”
[ภาพ]
แต่ละอย่างสืบพันธุ์ “ตามชนิดของมัน”
ปลา
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
สัตว์เลื้อยคลาน
นก
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
มนุษย์
[แผนภาพ/ภาพหน้า 76]
นักวิวัฒนาการกล่าวว่า “ไม่จำต้องใช้จินตนาการมากมายอะไรเลยที่จะมองว่า ขนนกแปลงมาจากเกล็ด [ของสัตว์เลื้อยคลาน].” แต่ข้อเท็จจริงต่าง ๆ แสดงว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น
[ภาพ]
นกแก้ว
นกเบิร์ด อ็อฟ พาราไดซ์
นกยูง
[แผนภาพ]
ก้านขนนก
ขนเส้นเล็ก
เงี่ยงจิ๋ว
แขนงย่อย
[ภาพหน้า 71]
“ในหลักฐานฟอสซิลนั้น ดูเหมือนว่า จู่ ๆ ปลาก็โผล่ขึ้นมาเฉย ๆ”
[ภาพหน้า 72]
กระดูกสันหลังของปลาและกบต่างกันมาก
[ภาพหน้า 75]
นกมี “ลักษณะต่าง ๆ อันไม่เป็นที่น่าพอใจของการถูกสร้างขึ้น”
[ภาพหน้า 78]
ตาของนกอินทรีทำหน้าที่เป็นกล้องส่องทางไกล และตาของนกกระจ้อยทำหน้าที่เหมือนแว่นขยาย
[ภาพหน้า 79]
อาร์แคออปเตริคซ์ไม่ใช่ตัวเชื่อมระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก
[ภาพหน้า 80]
ลูกอ่อนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเกิดเป็นตัวแล้วดูดนมแม่
[ภาพหน้า 82]
“ตัวเชื่อมต่าง ๆ ขาดไปจากหลักฐานฟอสซิล . . . เพราะไม่เคยมีตัวเชื่อมเหล่านั้น”
ปลา
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
สัตว์เลื้อยคลาน
นก
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
มนุษย์
[แผนภาพ/ภาพหน้า 74]
ไข่ที่มีลักษณะเป็นวุ้นใสของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำไม่มีเปลือก
ไข่ของสัตว์เลื้อยคลานมีเปลือกหุ้ม
[แผนภาพ]
รูปตัดตามขวางของไข่ที่มีเปลือก
อัลแลนโทอิส
ตัวอ่อน
เปลือก
ไข่ขาว
เยื่อแอมเนียน
เยื่อคอเรียน
ไข่แดง
ช่องอากาศ
เยื่อหุ้มไข่