บท 8
การกลายพันธุ์—เป็นรากฐานของวิวัฒนาการหรือ?
1, 2. กลไกอะไรที่กล่าวกันว่าเป็นรากฐานของวิวัฒนาการ?
ทฤษฎีวิวัฒนาการประสบเรื่องยุ่งยากอีกอย่างหนึ่ง. มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? อะไรคือกลไกพื้นฐานซึ่งเชื่อกันว่าทำให้สิ่งมีชีวิตแบบหนึ่งวิวัฒนาการเป็นอีกแบบหนึ่งได้? นักวิวัฒนาการบอกว่าการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในนิวเคลียสของเซลล์มีบทบาท. ที่เด่นที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงเหมือนเป็น “อุบัติเหตุ” ซึ่งเรียกกันว่า การกลายพันธุ์ (mutations). เชื่อกันว่าส่วนเฉพาะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงแบบนี้คือ ยีนและโครโมโซมส์ในเซลล์เพศเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถถ่ายทอดไปถึงลูกหลานได้.
2 เดอะ เวิลด์ บุค เอ็นไซโคลพีเดีย กล่าวว่า “การกลายพันธุ์ . . . เป็นรากฐานของวิวัฒนาการ.”1 ในทำนองเดียวกัน สตีเวน สแตนลีย์ นักบรรพชีวินวิทยาเรียกการกลายพันธุ์ว่าเป็น “วัตถุดิบ” สำหรับวิวัฒนาการ.2 และพีโอ โคลเลอร์ นักพันธุศาสตร์แถลงว่า การกลายพันธุ์ “จำเป็นต่อการก้าวหน้าทางวิวัฒนาการ.”3
3. การกลายพันธุ์ชนิดใดจำเป็นต่อวิวัฒนาการ?
3 อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่การกลายพันธุ์แบบใด ๆ ก็ได้ที่ทฤษฎีวิวัฒนาการต้องการ. โรเบิร์ต จัสโทร ชี้ถึงความจำเป็นต้องมี “การรวมตัวอย่างช้า ๆ ของการกลายพันธุ์แบบที่เป็นประโยชน์.”4 และคาร์ล เซกัน เพิ่มเติมว่า “การกลายพันธุ์—การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทางกรรมพันธุ์—ตกทอดถึงรุ่นหลัง. วิธีนี้ทำให้มีวัตถุดิบสำหรับวิวัฒนาการ. สภาพแวดล้อมจะคัดเลือกการกลายพันธุ์บางอย่างซึ่งจะช่วยเสริมความอยู่รอด ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบอย่างช้า ๆ จากชีวิตแบบหนึ่งเป็นอีกแบบหนึ่ง แล้วเกิดพันธุ์ใหม่ขึ้นมา.”5
4. มีความยุ่งยากอะไรเกิดขึ้นกับคำอ้างที่ว่า การกลายพันธุ์อาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านวิวัฒนาการ?
4 กล่าวกันด้วยว่าการกลายพันธุ์อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนที่รวดเร็วซึ่งจำเป็นต่อทฤษฎี “ความสมดุลแบบที่มีการขัดจังหวะ.” เจ. ไกลด์แมน เขียนในไซเยนซ์ ไดเจสท์ ว่า “นักวิวัฒนาการแก้ไขเชื่อว่า การกลายพันธุ์ในยีนควบคุมตัวหลักอาจเป็นกุญแจทางพันธุกรรมที่ทฤษฎีว่าด้วยการกระโดดใหญ่ของเขาต้องการ.” อย่างไรก็ดี โคลิน แพทเทอร์สัน นักสัตวศาสตร์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า “ใคร ๆ ก็เดาได้. เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับยีนควบคุมตัวหลักเหล่านี้.”6 แต่นอกจากการคาดเดาดังกล่าวแล้ว เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า การกลายพันธุ์ซึ่งเชื่อกันว่าเกี่ยวข้องในวิวัฒนาการนั้นเป็นการเปลี่ยนแบบอุบัติเหตุเล็กน้อยที่สะสมขึ้นมาในช่วงระยะเวลายาวนาน.
5. การกลายพันธุ์เกิดขึ้นอย่างไร?
5 การกลายพันธุ์เกิดขึ้นอย่างไร? เชื่อกันว่าส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นในขบวนการแบ่งเซลล์ตามปกติ. แต่การทดลองแสดงว่า การกลายพันธุ์อาจเกิดขึ้นได้เช่นกันจากสิ่งภายนอกเช่น จากการแผ่รังสี และสารเคมีต่าง ๆ. และมันจะเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน? การแบ่งตัวของสารทางพันธุกรรมในเซลล์เสมอต้นเสมอปลายอย่างน่าทึ่ง. เมื่อพิจารณาจำนวนเซลล์ที่แบ่งตัวในสิ่งมีชีวิตจะเห็นว่าการกลายพันธุ์ไม่ค่อยจะเกิดบ่อย. เป็นอย่างที่เอ็นไซโคลพีเดีย อเมริกานา กล่าวไว้ว่าการแบ่งตัว “ของลูกโซ่ดีเอ็นเอ ซึ่งรวมกันเป็นยีนตัวหนึ่งถูกต้องแม่นยำอย่างยิ่ง. การผิดต้นฉบับเป็นอุบัติเหตุที่พบน้อยมาก.”7
การกลายพันธุ์เป็นประโยชน์หรือก่อความเสียหาย
6, 7. การกลายพันธุ์ที่เป็นโทษแทนที่จะเป็นประโยชน์นั้นมีอัตราเป็นสัดส่วนกันเท่าไร?
6 ถ้าการกลายพันธุ์ที่เป็นประโยชน์เป็นพื้นฐานของวิวัฒนาการ สัดส่วนของการกลายพันธุ์ที่เป็นประโยชน์นั้นมีมากน้อยเพียงไร? คาร์ล เซกัน แถลงว่า “การกลายพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นโทษหรือทำให้ถึงตาย.”8 พีโด โคลเลอร์กล่าวว่า “การกลายพันธุ์ส่วนใหญ่ก่อความเสียหายต่อผู้ซึ่งมียีนกลายอยู่. จากการทดลองพบว่า ต่อการกลายพันธุ์ที่ดี หรือเป็นประโยชน์หนึ่งครั้งจะมีหลายพันครั้งที่เป็นโทษ.”9
7 ถ้าตัดการกลายพันธุ์ที่ “ไม่ดีไม่ร้าย” ออกไปหมด จะเห็นว่าการกลายพันธุ์ที่เป็นโทษมีมากกว่าการกลายพันธุ์ที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ในอัตราหลาย ๆ พันต่อหนึ่ง. เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า “น่าจะมีผลเช่นนั้นกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ โดยบังเอิญที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างใด ๆ ที่ซับซ้อน.”10 ดังนั้น จึงพูดกันว่าการกลายพันธุ์เป็นสาเหตุของโรคนับร้อยอย่างที่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์.”11
8. ผลที่เกิดขึ้นจริงเป็นการยืนยันข้อสังเกตตามที่กล่าวในเอ็นไซโคลพีเดียเล่มหนึ่งอย่างไร?
8 เนื่องจากการกลายพันธุ์มีลักษณะที่เป็นโทษ เอ็นไซโคลพีเดีย อเมริกานา ยอมรับว่า “ข้อเท็จจริงที่การกลายพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นโทษต่อสิ่งมีชีวิต จึงดูเหมือนว่ายากที่จะให้ลงรอยกับความเห็นที่ว่าการกลายพันธุ์เป็นแหล่งของวัตถุดิบสำหรับวิวัฒนาการ. ที่จริงแล้ว พันธุ์กลายต่าง ๆ ที่อธิบายกันในตำราชีววิทยาเป็นการรวบรวมพวกตัวประหลาดและพิกลพิการต่าง ๆ และดูเหมือนว่าการกลายพันธุ์เป็นกรรมวิธีที่ทำลายยิ่งเสียกว่าที่จะก่อ.”12 เมื่อเอาแมลงที่กลายพันธุ์มาเปรียบเทียบกับแมลงปกติแล้ว ผลเป็นดังที่ จี. เล็ดยาร์ด สเตบบินส์ สังเกตไว้ว่า “หลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุ พวกพันธุ์กลายจะสูญไป.”13 พวกพันธุ์กลายไม่อาจอยู่ได้ทนเหมือนพวกปกติเพราะมันไม่ได้เปลี่ยนให้แกร่งขึ้น แต่ทว่ามันอ่อนแอกว่าเดิมและอยู่ในสภาพเสียเปรียบ.
9, 10. เหตุใดข้อสรุปที่ว่าการกลายพันธุ์เป็นสาเหตุของวิวัฒนาการจึงเป็นข้อสันนิษฐานที่ไม่มีมูล?
9 ไอแซค อะซีมอฟ ในหนังสือบ่อเกิดแห่งชีวิต ยอมรับว่า “การกลายพันธุ์ส่วนมากทำให้เลวลง.” กระนั้น เขายืนยันว่า “แต่แน่นอนว่าในระยะยาวแล้ว การกลายพันธุ์ทำให้ขบวนวิวัฒนาการก้าวต่อไป.”14 แต่เป็นอย่างนั้นจริงหรือ? ขบวนการใด ๆ ก็ตามที่มีผลเสีย 999 ครั้งใน 1,000 ครั้งจะถือว่ามีคุณประโยชน์ได้หรือ? ถ้าคุณจะสร้างบ้านหลังหนึ่ง คุณจะว่าจ้างช่างก่อสร้างซึ่งผลงานของเขาปรากฏว่าไม่ดีถึงพันหลังต่อทุก ๆ หนึ่งหลังที่ดีไหม? ถ้าคนขับรถคนหนึ่งตัดสินใจผิดพลาดพันครั้งต่อทุกหนึ่งครั้งที่ถูกต้อง คุณอยากนั่งรถที่เขาขับไหม? ถ้าศัลยแพทย์คนหนึ่งทำอะไรผิดพลาดหนึ่งพันครั้งต่อทุกหนึ่งครั้งที่ทำถูกต้องในขณะผ่าตัด คุณจะยอมให้เขาทำผ่าตัดคุณไหม?
10 โดบซานสกี นักพันธุกรรมศาสตร์กล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “อุบัติเหตุ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโครงสร้างที่ซับซ้อนใด ๆ โดยบังเอิญคงไม่คาดคิดว่าจะทำให้โครงสร้างนั้นดีขึ้น. การเอาไม้แหย่เข้าไปในเครื่องกลไกของนาฬิกาหรือเครื่องวิทยุของคนเราคงไม่ได้ช่วยให้มันใช้การได้ดีขึ้น.”15 ดังนั้น ลองถามตัวเองดูว่า มีเหตุผลไหมที่เซลล์ต่าง ๆ อันซับซ้อน น่าทึ่ง ทั้งอวัยวะและแขนขา รวมไปถึงขบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตเป็นรูปร่างขึ้นมาโดยวิธีการซึ่งทำลาย?
การกลายพันธุ์ทำให้เกิดอะไรใหม่ขึ้นมาไหม?
11-13. การกลายพันธุ์เคยทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาไหม?
11 ถ้าแม้การกลายพันธุ์ทุกอย่างจะเป็นประโยชน์ มันจะทำให้เกิดอะไรใหม่ขึ้นมาได้ไหม? ไม่ได้. การกลายพันธุ์เพียงแต่ทำให้ลักษณะที่มีอยู่แล้วเปลี่ยนไปเท่านั้น. มันทำให้เกิดรูปแบบหลายหลากต่างกัน แต่ไม่เคยทำให้เกิดอะไรใหม่ขึ้นมา.
12 เดอะ เวิลด์ บุค เอ็นไซโคลพีเดีย ให้ตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นโดยการกลายพันธุ์อย่างที่เป็นประโยชน์: “พืชชนิดหนึ่งในพื้นที่แห้งอาจมียีนกลายซึ่งทำให้มันงอกรากใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าเดิม. พืชชนิดนี้อาจมีโอกาสอยู่รอดได้มากกว่าพืชอื่นในสกุลเดียวกัน เพราะรากของมันดูดซึมน้ำได้มากกว่า.”16 แต่มีอะไรใหม่เกิดขึ้นมาไหม? ไม่เลย มันยังคงเป็นพืชชนิดเดิม. มันไม่ได้วิวัฒนาการไปเป็นชนิดอื่น.
13 การกลายพันธุ์อาจเปลี่ยนสีหรือลักษณะของเส้นผมได้. แต่เส้นผมก็ยังคงเป็นเส้นผมอยู่เสมอ. เส้นผมจะไม่มีวันเปลี่ยนเป็นขนนก. มือคนอาจเปลี่ยนไปโดยการกลายพันธุ์. มือนั้นอาจงอกนิ้วที่ผิดปกติ. บางครั้งอาจมีถึงหกนิ้ว หรือมีลักษณะผิดปกติอื่น ๆ แต่ก็ยังเป็นมืออยู่เสมอ. มันจะไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น. ไม่มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมาเลยและเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอะไรใหม่เกิดขึ้นโดยวิธีนี้.
การทดลองกับแมลงวันผลไม้
14, 15. การทดลองกับแมลงวันผลไม้ตลอดเวลาหลายทศวรรษได้แสดงให้เห็นอะไร?
14 มีการทดลองในเรื่องการกลายพันธุ์เพียงไม่กี่ครั้งที่พอจะเทียบได้กับการทดลองอย่างมากมายเกี่ยวกับแมลงวันผลไม้ Drosophila melanogaster. ตั้งแต่หลังปี 1900 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์ได้ฉายรังสีเอ็กซ์ให้แมลงวันนับล้านตัว. วิธีนี้เป็นการเพิ่มความถี่ให้แมลงนี้กลายพันธุ์มากกว่าหนึ่งร้อยเท่าของอัตราปกติ.
15 หลังจากได้ทดลองตลอดหลายทศวรรษ ผลเป็นอย่างไร? โดบซานสกีเปิดเผยถึงผลประการหนึ่งคือ “ตัวโดรโซฟิเลีย ที่กลายพันธุ์ ตัวที่มักใช้ในการค้นคว้าทางพันธุศาสตร์ เกือบทั้งหมดด้อยกว่าแมลงวันทั่ว ๆ ไปในด้านความอยู่รอด การแพร่พันธุ์และอายุ.”17 ผลอีกอย่างหนึ่งคือ การกลายพันธุ์ไม่ทำให้เกิดอะไรใหม่. แมลงวันผลไม้มีปีก ขา และลำตัว และอื่น ๆ ที่ผิดรูปผิดร่างไป แต่มันก็ยังคงเป็นแมลงวันผลไม้อยู่นั่นเอง. และเมื่อแมลงวันที่กลายพันธุ์เหล่านี้ผสมพันธุ์ หลายช่วงต่อมาพบว่าเริ่มจะมีแมลงวันปกติเกิดขึ้นมา. ในที่สุดแมลงวันปกติเหล่านี้จะเป็นตัวที่อยู่รอดแทนที่จะเป็นพวกพันธุ์กลายที่อ่อนแอกว่า เป็นการคงไว้ซึ่งแมลงวันผลไม้ตามชนิดเดิม.
16. รหัสทางกรรมพันธุ์ช่วยอย่างไรให้สิ่งมีชีวิตคงอยู่ได้?
16 ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นรหัสทางพันธุกรรม มีคุณสมบัติน่าทึ่งในการซ่อมแซมความเสียหายทางพันธุกรรมในตัวเอง. วิธีนี้เป็นการสงวนพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตตามรหัสควบคุม. หนังสือไซเยนติฟิค อเมริกัน อธิบายถึงวิธีการที่ “สิ่งมีชีวิตทุกชนิดและการสืบทอดจากรุ่นหนึ่งถึงอีกรุ่นหนึ่ง” ถูกสงวนไว้ “โดยเอ็นไซม์ที่ซ่อมแซมความเสียหายทางพันธุกรรมอยู่เรื่อย ๆ.” วารสารฉบับนี้กล่าวว่า “เฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายที่สำคัญต่อโมเลกุลของดีเอ็นเอจะกระตุ้นปฏิกิริยาฉุกเฉินซึ่งทำให้การสังเคราะห์เอ็นไซม์ซ่อมแซมมีปริมาณมากขึ้น.18
17. เหตุใดนายโกลด์ชมิดต์รู้สึกผิดหวังหลังจากทำการทดลองเกี่ยวกับการกลายพันธุ์?
17 ดังนั้นในหนังสือดาร์วินถูกนำมาพิจารณาใหม่ ผู้เขียนกล่าวถึงริชาร์ด โกลด์ชมิดต์ นักพันธุศาสตร์มีชื่อผู้ล่วงลับไปแล้วว่า “หลังจากหลายปีที่เฝ้าดูการกลายพันธุ์ของแมลงวันผลไม้ โกลด์ชมิดต์รู้สึกท้อใจ. เขาโอดครวญว่าการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มีน้อยมากเหลือเกิน ถ้าเอาการกลายพันธุ์หนึ่งพันครั้งมาเกิดในตัวเดียวก็ยังไม่มีพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น.”19
ผีเสื้อกลางคืน
18, 19. มีการอ้างอิงอย่างไรเกี่ยวกับผีเสื้อกลางคืน และเพราะเหตุใด?
18 บ่อยครั้งบทความทางวิวัฒนาการจะมีการอ้างถึงผีเสื้อกลางคืนของอังกฤษว่าเป็นตัวอย่างสมัยใหม่ของวิวัฒนาการที่กำลังดำเนินอยู่. เอ็นไซโคลพีเดียว่าด้วยชีวิตป่าในประเทศต่าง ๆ กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการอย่างน่าทึ่งที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยเห็น.”20 หลังจากสังเกตว่าดาร์วินมีปัญหาที่เขาไม่อาจแสดงถึงวิวัฒนาการ แม้แต่เพียงชนิดเดียวให้เห็นได้ จัสโทรกล่าวเพิ่มเติมในหนังสือยักษ์แดง และแคระขาว ว่า “มีตัวอย่างที่นำมาใช้ได้ซึ่งคงจะให้ข้อพิสูจน์ตามที่เขาต้องการ. กรณีเช่นนี้หาพบยากเหลือเกิน.”21 กรณีดังกล่าวก็คือผีเสื้อกลางคืนนั่นเอง.
19 มีอะไรเกิดขึ้นกับผีเสื้อกลางคืน? แรกทีเดียวผีเสื้อชนิดสีอ่อนมีมากกว่าพวกสีแก่. ผีเสื้อสีอ่อนกลมกลืนไปกันได้กับลำต้นสีอ่อน และพ้นสายตานกได้ดีกว่า. แต่แล้วเนื่องจากแหล่งอุตสาหกรรมก่อภาวะมลพิษติดต่อนานหลายปี ลำต้นของต้นไม้จึงเป็นสีเข้มคล้ำกว่าเดิม. ทีนี้สีอ่อนของผีเสื้อเป็นภัยแก่ตัวมันเองเสียแล้ว เพราะมันจะกลายเป็นเหยื่อที่นกจะจิกกินได้ง่ายขึ้น. ดังนั้น พวกผีเสื้อกลางคืนชนิดสีแก่ซึ่งเชื่อว่าเป็นพันธุ์กลายนั้นจะอยู่รอดได้ดีกว่า เพราะสีของมันกลมกลืนกับต้นไม้ที่ดำด้วยเขม่า. ดังนั้น ผีเสื้อสีแก่จึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว.
20. วารสารการแพทย์อังกฤษอธิบายอย่างไรว่า ผีเสื้อกลางคืนไม่ได้วิวัฒนาการ?
20 แต่ผีเสื้อเปลือกไม้ได้วิวัฒนาการเปลี่ยนเป็นแมลงชนิดอื่นไหม? ไม่เลย มันยังคงเป็นผีเสื้อกลางคืนอย่างเดิมนั่นเอง เพียงแต่สีของมันเท่านั้นที่ต่างไป. ดังนั้นวารสารการแพทย์อังกฤษชื่ออยู่เวร พูดถึงการใช้ตัวอย่างนี้เพื่อพยายามพิสูจน์วิวัฒนาการว่าเป็น “ความเลวร้าย.” วารสารนี้ประกาศว่า “นี่เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของการพรางตัว แต่เนื่องจากมันเริ่มต้นและจบลงด้วยผีเสื้อและไม่มีชนิดใหม่เกิดขึ้น เมื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์วิวัฒนาการจึงเป็นเรื่องที่ไม่สัมพันธ์กันเลย.”22
21. จะอธิบายได้อย่างไรเรื่องคำอ้างที่ว่า เชื้อโรคสร้างความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะได้?
21 คำกล่าวอ้างอย่างไม่ถูกต้องว่าผีเสื้ออยู่ในระยะที่วิวัฒนาการก็คล้ายคลึงกับตัวอย่างอื่น ๆ อีกหลายตัวอย่าง. เช่น เชื้อบางอย่างดื้อต่อยาปฏิชีวนะจึงมีการอ้างว่าเกิดการวิวัฒนาการขึ้นมาแล้ว. แต่เชื้อดื้อยาก็ยังคงเป็นเชื้อชนิดเดิม ไม่ได้วิวัฒนาการกลายเป็นอะไรอื่น. และนอกจากนั้นยังยอมรับกันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดจากการกลายพันธุ์ แต่เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า เชื้อบางตัวมีความต้านทานยาตั้งแต่แรกทีเดียว. เมื่อตัวอื่น ๆ ตายเพราะถูกยาฆ่า ตัวที่มีความต้านทานก็จะแบ่งตัว และกลายเป็นตัวเด่น. เป็นอย่างที่วิวัฒนาการจากอวกาศ กล่าวว่า “เราสงสัยว่ามีอะไรมากกว่านี้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีเหล่านี้ นอกจากเรื่องการคัดเลือกยีนที่มีอยู่แล้ว.”23
22. ข้อเท็จจริงที่ว่าแมลงบางตัวทนทานพิษยาได้ แสดงว่ามันอยู่ในระหว่างวิวัฒนาการไหม?
22 ขบวนการอย่างเดียวกันอาจเกิดขึ้นกับแมลงบางชนิดซึ่งมีความต้านทานต่อยาฆ่าแมลง. พิษยาที่ใช้กับแมลงเหล่านั้นอาจจะทำลายมันหรือไม่ก็ใช้ไม่ได้ผล. พวกแมลงที่ถูกฆ่าไม่อาจสร้างความต้านทานขึ้นได้เพราะมันตายไปแล้ว. ส่วนพวกที่รอดตายก็คงจะหมายความว่ามันต้านทานได้ตั้งแต่แรก. ความต้านทานอย่างนี้เป็นปัจจัยทางพันธุกรรมซึ่งแมลงบางตัวมี แต่ตัวอื่นไม่มี. อย่างไรก็ดี แมลงเหล่านั้นก็ยังคงเป็นชนิดเดิม. มันไม่ได้วิวัฒนาการเป็นชนิดอื่นเลย.
“ตามชนิดของมัน”
23. การกลายพันธุ์สนับสนุนหลักการอะไรในพระธรรมเยเนซิศ?
23 อีกครั้งหนึ่งที่การกลายพันธุ์ยืนยันหลักในพระธรรมเยเนซิศบท 1 ที่ว่า สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ สืบพันธุ์ “ตามชนิดของมัน” เท่านั้น. เหตุผลคือ รหัสพันธุกรรมจะยับยั้งพืชหรือสัตว์ไม่ให้เปลี่ยนแปลงจากมาตรฐานมากเกินไป. อาจมีความผิดแผกหลากหลาย (เช่นที่เห็นได้ท่ามกลางมนุษย์ แมว หรือสุนัข) แต่ไม่มากกระทั่งทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเปลี่ยนเป็นอีกชนิดหนึ่ง. การทดลองทุกอย่างที่เคยทำเกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้. นอกจากนั้นยังมีการพิสูจน์กฎของไบโอเยเนซิศที่ว่า ชีวิตจะเกิดขึ้นได้จากชีวิตที่เป็นอยู่แล้วเท่านั้น และที่ว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวแม่และตัวลูกจะเป็น “ชนิด” เดียวกัน.
24. การทดลองขยายพันธุ์แสดงให้เห็นอย่างไรว่าสิ่งมีชีวิตสืบพันธุ์ “ตามชนิดของมัน” เท่านั้น?
24 การทดลองขยายพันธุ์ก็ยืนยันเรื่องนี้ด้วย. นักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสัตว์และพืชหลายชนิดอย่างต่อเนื่องโดยการผสมข้ามพันธุ์. พวกเขาอยากจะดูว่าเมื่อถึงเวลา เขาอาจทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตแบบใหม่ขึ้นมา. ผลเป็นอย่างไร? วารสารอยู่เวร รายงานว่า “พวกขยายพันธุ์พบว่าหลังจากเพียงไม่กี่ครอก จะถึงจุดอิ่มตัวซึ่งจะปรับปรุงอะไรเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ และไม่มีชนิดใหม่เกิดขึ้นมา . . . ดังนั้นวิธีการขยายพันธุ์ดูเหมือนเป็นการขัดแย้ง แทนที่จะสนับสนุนวิวัฒนาการ.”24
25, 26. สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับขอบเขตจำกัดของการสืบพันธุ์ในสิ่งมีชีวิต?
25 วารสารไซเยนซ์ ได้ตั้งข้อสังเกตคล้ายกันว่า “ชนิดต่าง ๆ ดูเหมือนจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยทางรูปร่างและลักษณะอื่น ๆ แต่มีขอบเขตจำกัดและเมื่อมองในระยะยาวแล้วจะสะท้อนถึงการเบี่ยงเบนจากถัวเฉลี่ย.”25 ดังนั้น สิ่งมีชีวิตได้รับสืบทอดมา ไม่ใช่โอกาสที่จะเปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ แต่กลับเป็น (1) ความคงตัวและ (2) ขอบเขตจำกัดของความหลากหลาย.
26 ดังนั้น หนังสือจากโมเลกุลถึงเซลล์มีชีวิต กล่าวว่า “เซลล์จากต้นหัวผักกาดแดงหรือจากตับของหมูจะคงรักษาลักษณะของเนื้อเยื่อและรูปแบบชีวิตเฉพาะของมันอยู่หลังจากที่มันแบ่งตัวไปแล้วไม่รู้กี่รอบจนนับไม่ถ้วน.”26 และวิวัฒนาการของเซลล์ร่วมกัน กล่าวว่า “สิ่งมีชีวิตทั้งหมด . . . สืบพันธุ์ด้วยความคงที่อย่างเหลือเชื่อ.”27 ไซเยนติฟิค อเมริกัน สังเกตด้วยว่า “สิ่งมีชีวิตมีรูปแบบแตกต่างกันอย่างมากมายเหลือ แต่รูปแบบในสายพันธุ์หนึ่งจะมีความคงที่อย่างน่าทึ่ง: หมูยังคงเป็นหมู และต้นโอ๊คก็ยังคงเป็นต้นโอ๊คในชั่วอายุต่อ ๆ ไป.”28 และนักเขียนทางวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวว่า “พุ่มกุหลาบก็จะออกดอกกุหลาบเสมอ ไม่เคยเป็นดอกเฟื่องฟ้า และแพะก็จะออกลูกแพะ ไม่เคยเป็นแกะ.” เขาสรุปว่า การกลายพันธุ์ “ไม่อาจเป็นเหตุของวิวัฒนาการทั้งหมด—ไม่เป็นเหตุที่มีปลา สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม.”29
27. ดาร์วินเข้าใจผิดพลาดอย่างไรเรื่องนกฟินช์บนเกาะกาลาปากอส?
27 เรื่องความแตกต่างภายในชนิดเดียวกัน ช่วยให้เข้าใจบางอย่างที่โน้มน้าวความคิดดั้งเดิมของดาร์วินเกี่ยวกับวิวัฒนาการ. ตอนที่เขาอยู่บนเกาะกาลาปากอส เขาได้สังเกตนกชนิดหนึ่งที่เรียกว่านกฟินช์. นกเหล่านี้เป็นจำพวกเดียวกับนกที่เป็นต้นตอของมันในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมันคงได้ย้ายถิ่นมาจากที่นั่น. แต่มีข้อแตกต่างที่น่าสังเกต เช่น ลักษณะของจะงอยปากนกเหล่านี้. ดาร์วินตีความว่านี่เป็นวิวัฒนาการที่กำลังดำเนินอยู่. แต่ที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นตัวอย่างความแตกต่างภายในชนิดเดียวกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ในขอบเขตทางพันธุกรรมของสัตว์ชนิดหนึ่ง ๆ. นกฟินช์ก็ยังคงเป็นนกฟินช์ มันไม่เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น และมันไม่มีทางจะเปลี่ยนไปได้.
28. จะอธิบายได้อย่างไรว่าข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ลงรอยเต็มที่กับกฎของเยเนซิศที่ว่า “ตามชนิดของมัน”?
28 ดังนั้นสิ่งที่กล่าวในพระธรรมเยเนซิศจึงลงรอยกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์. เมื่อคุณเพาะเมล็ดพืช มันจะงอกขึ้น “ตามชนิดของมัน” เท่านั้น ดังนั้น คุณจึงสามารถลงมือทำสวนปลูกพืชด้วยความมั่นใจในความแน่นอนของกฎที่ควบคุมอยู่นั้น. เมื่อแมวออกลูก ลูกของมันจะเป็นแมวเสมอ. เมื่อมนุษย์เรามีลูก ลูกที่เขาให้กำเนิดย่อมเป็นมนุษย์เสมอ. สี ขนาด และรูปร่างผิดแผกแตกต่างกัน แต่ก็อยู่ภายในขอบเขตของชนิดนั้นเสมอไป. คุณเองเคยเห็นเป็นอย่างอื่นไหม?
ไม่ใช่รากฐานของวิวัฒนาการ
29. นักชีววิทยาชาวฝรั่งเศสกล่าวอย่างไรเรื่องการกลายพันธุ์?
29 ข้อสรุปเห็นได้ชัดเจน. การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมโดยบังเอิญใด ๆ ไม่อาจทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกลายเป็นอีกชนิดหนึ่งไปได้. เป็นอย่างที่ ฌอง โรสแตงกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ผมเชื่อไม่ได้ว่า ‘อุบัติเหตุ’ ทางกรรมพันธุ์เหล่านี้ แม้จะได้รับการเสริมด้วยการคัดเลือกตามธรรมชาติ แม้จะใช้เวลานานแสนนาน จะสร้างชีวิตทั้งโลกขึ้นได้ อย่างที่มีโครงสร้างไว้มากมายและละเอียดซับซ้อนยิ่งพร้อมกับ ‘การปรับตัว’ ที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง.”30
30. นักพันธุศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการกลายพันธุ์?
30 ในทำนองเดียวกัน ซี. เอช. แวดดิงตัน นักพันธุศาสตร์กล่าวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการกลายพันธุ์ว่า “ที่จริงนี่เป็นทฤษฎีที่บอกว่า ถ้าคุณเริ่มต้นเขียนเรื่องใด ๆ ยาวแค่สิบสี่บรรทัดที่เข้าใจได้ และเปลี่ยนอักษรทีละตัวเก็บไว้เฉพาะคำที่ยังคงมีความหมาย ในที่สุดคุณจะได้โคลงซอนเนตของเชคสเปียร์ขึ้นมา . . . มันทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นเหมือนความคิดของคนบ้า และผมคิดว่าเราน่าจะทำดีกว่านี้ได้.”31
31. นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเรียกความเชื่อที่ว่า การกลายพันธุ์เป็นวัตถุดิบสำหรับวิวัฒนาการว่าอย่างไร?
31 ข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่ศาสตราจารย์ จอห์น มัวร์ แถลงว่า “จากการตรวจสอบและวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วพบว่า คำยืนกราน . . . ที่ว่าการกลายพันธุ์ของยีนเป็นวัตถุดิบสำหรับขบวนวิวัฒนาการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกตามธรรมชาตินั้นเป็นการเล่านิทาน.”32
[คำโปรยหน้า 99]
“การกลายพันธุ์ . . . เป็นรากฐานของวิวัฒนาการ”
[คำโปรยหน้า 100]
การกลายพันธุ์ ว่ากันว่าเป็น “อุบัติเหตุ” ในกลไกทางพันธุกรรม. แต่อุบัติเหตุทำให้เกิดผลร้าย ไม่ใช่ผลดี
[คำโปรยหน้า 101]
“ดูเหมือนว่าการกลายพันธุ์เป็นกรรมวิธีที่ทำลายยิ่งเสียกว่าที่จะก่อ”
[คำโปรยหน้า 105]
“ถ้าเอาการกลายพันธุ์หนึ่งพันครั้งมาเกิดในตัวเดียวก็ยังไม่มีพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น”
[คำโปรยหน้า 107]
“เมื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์วิวัฒนาการจึงเป็นเรื่องที่ไม่สัมพันธ์กันเลย”
[คำโปรยหน้า 107]
การกลายพันธุ์ยืนยันว่า สิ่งมีชีวิตสืบพันธุ์ “ตามชนิดของมัน” เท่านั้น
[ภาพหน้า 108]
“วิธีการขยายพันธุ์ . . . ดูเหมือนเป็นการขัดแย้งแทนที่จะสนับสนุนวิวัฒนาการ”
[คำโปรยหน้า 109]
“หมูยังคงเป็นหมู และต้นโอ๊คก็ยังคงเป็นต้นโอ๊คในชั่วอายุต่อ ๆ ไป”
[คำโปรยหน้า 110]
การกลายพันธุ์ “ไม่อาจเป็นเหตุของวิวัฒนาการทั้งหมด”
[คำโปรยหน้า 110]
“มันทำให้ผมรู้สึกว่า เป็นเหมือนความคิดของคนบ้า และผมคิดว่า เราน่าจะทำดีกว่านี้ได้”
[กรอบ/ภาพหน้า 112, 113]
เรื่องไหนตรงกับข้อเท็จจริง?
หลังจากได้อ่านหลายบทมาแล้ว คงเหมาะที่จะถามว่า เรื่องไหนตรงกับข้อเท็จจริง วิวัฒนาการ หรือการสร้าง? ตารางที่มีอยู่ข้างล่างนี้แสดงให้เห็นแบบวิวัฒนาการ แบบการสร้าง และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่พบในโลกจริง.
การคาดหมายตาม การคาดหมายตาม ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่
แบบวิวัฒนาการ แบบการสร้าง พบในโลกจริง
ชีวิตวิวัฒนาการจากสิ่งไม่มี ชีวิตเกิดจากชีวิตที่มีอยู่ (1) ชีวิตเกิดจากชีวิตที่มีอยู่ก่อน
ชีวิตโดยวิวัฒนาการทาง ก่อนแล้วเท่านั้น ซึ่งถูกสร้าง แล้วเท่านั้น (2) ไม่มีทางที่รหัส
เคมีอย่างบังเอิญ ขึ้นแต่แรกโดยผู้สร้างองค์ พันธุกรรมอันซับซ้อนจะเกิดขึ้น
(การเกิดขึ้นเอง) เปี่ยมด้วยปัญญา ได้โดยบังเอิญ
ฟอสซิลน่าจะแสดงให้เห็น: ฟอสซิลน่าจะแสดงให้เห็น: ฟอสซิลแสดงให้เห็น: (1) สิ่งมี
(1) รูปแบบชีวิตที่เรียบ (1) รูปแบบชีวิตซับซ้อนเกิดขึ้น ชีวิตที่ซับซ้อนเกิดขึ้นกะทันหัน
ง่ายเกิดขึ้นช้า ๆ (2) ตัว กะทันหันมากมายหลายชนิด มากมายหลายชนิด (2) ชนิดใหม่
ที่กำลังเปลี่ยนแปลง (2) มีช่องว่างแยกชนิดใหญ่ ๆ แต่ละชนิดแยกจากชนิดอื่น
เชื่อมกับตัวก่อนหน้านั้น ต่างจากกัน ไม่มีตัวเชื่อม ไม่มีตัวเชื่อม
ชนิดใหม่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่มีชนิดใหม่เกิดขึ้นอย่าง ไม่มีชนิดใหม่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็น
เริ่มที่กระดูกหรืออวัยวะที่ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีกระดูก ค่อยไป แม้จะแตกต่างหลากหลาย
ยังไม่สมบูรณ์ในขั้นตอน หรืออวัยวะที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ ไม่มีกระดูกหรืออวัยวะที่
แห่งการเปลี่ยนไป ทุกส่วนสมบูรณ์พร้อม ไม่สมบูรณ์
การกลายพันธุ์: ผลรวม การกลายพันธุ์ก่อความเสียหาย การกลายพันธุ์เล็กน้อยก่อความ
เป็นประโยชน์ ให้กำเนิดรูป ต่อชีวิตที่ซับซ้อน ไม่ทำให้มี เสียหาย ถ้ามากทำให้ถึงตาย
ลักษณะใหม่ขึ้นมา ชนิดใหม่ขึ้นมา ไม่เคยทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา
อารยธรรมเริ่มขึ้นช้า ๆ พัฒนา อารยธรรม อารยธรรมปรากฏขึ้นพร้อมกับ
มาจากการเริ่มต้นที่ป่าเถื่อน เกิดขึ้นพร้อมกับมนุษย์ มนุษย์ มนุษย์ที่อาศัยในถ้ำอยู่ร่วม
หยาบกระด้าง ซับซ้อนตั้งแต่แรก สมัยกับอารยธรรม
ภาษาวิวัฒนาการจากเสียง ภาษาเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษย์ ภาษาเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษย์
ง่าย ๆ ของสัตว์มาสู่ภาษา ภาษาโบราณซับซ้อน สมบูรณ์ ภาษาโบราณมักจะซับซ้อนกว่า
ปัจจุบันที่สลับซับซ้อน ด้วยประการทั้งปวง ภาษาปัจจุบัน
มนุษย์ปรากฏขึ้นมาเมื่อหลาย มนุษย์ปรากฏขึ้นมา การจารึกลายลักษณ์อักษรนับย้อน
ล้านปีมาแล้ว ประมาณ 6,000 ปีมาแล้ว หลังประมาณ 5,000 ปีเท่านั้น
. . . ข้อสรุปที่สมเหตุผล
เมื่อเราเปรียบเทียบสิ่งที่ได้พบในโลกของเรากับสิ่งที่วิวัฒนาการคาดหมาย และกับสิ่งที่การสร้างคาดหมาย เห็นชัดมิใช่หรือว่าเรื่องไหนลงรอยและเรื่องไหนค้านกับข้อเท็จจริง? หลักฐานจากโลกแห่งสิ่งมีชีวิตรอบตัวเราและจากหลักฐานฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตสมัยดึกดำบรรพ์ ยืนยันข้อสรุปเดียวกันว่า ชีวิตถูกสร้างขึ้นมาไม่ใช่เกิดขึ้นโดยวิวัฒนาการ.
เปล่าเลย ชีวิตหาได้เริ่มขึ้นใน “น้ำซุป” ตอนเริ่มแรกที่ไม่มีใครรู้จัก. มนุษย์ไม่ได้เกิดมาจากบรรพบุรุษคล้ายลิง. แต่ได้มีการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมามากมายแยกเป็นตระกูลต่าง ๆ หลากหลายชนิด. แต่ละตระกูลจะแพร่พันธุ์ออกเป็นรูปลักษณะมากมายภายในขอบเขตตาม “ชนิด” ของมันเอง แต่ไม่อาจข้ามขอบเขตที่แบ่งชนิดต่าง ๆ. ขอบเขตนั้นเป็นอย่างที่เราสังเกตได้ในสิ่งต่าง ๆ ที่มีชีวิตถูกควบคุมไว้ด้วยภาวะการเป็นหมัน. และคุณลักษณะเฉพาะต่างชนิดกันก็ถูกป้องกันไว้โดยกลไกทางพันธุกรรมเฉพาะของแต่ละชนิด.
อย่างไรก็ดี นอกจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ลงรอยกับการคาดหมายตามรูปแบบการสร้างแล้ว ยังมีอีกมากที่ยืนยันถึงเรื่องพระผู้สร้าง. ลองพิจารณาดูการออกแบบที่น่าพิศวงและความซับซ้อนต่าง ๆ ที่พบเห็นบนโลกนี้ อันที่จริงทั้งเอกภพทีเดียว. สิ่งเหล่านี้ก็เช่นกันยืนยันถึงสภาวะการดำรงอยู่จริงของผู้ทรงปัญญาสูงสุด. ในบทต่อ ๆ ไปจะมีการพิจารณาถึงสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ นับตั้งแต่เอกภพที่น่าเกรงขามลงมาจนถึงรูปแบบต่าง ๆ ที่ละเอียดซับซ้อนซึ่งต้องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์.
[ภาพหน้า 102]
ถ้าช่างคนหนึ่งสร้างงานที่ไม่ดีหลายพันครั้งต่องานที่ดีหนึ่งครั้ง คุณจะจ้างเขาไหม?
ถ้าคนขับรถคนหนึ่งตัดสินใจผิดหลายพันครั้งต่อการตัดสินใจที่ถูกหนึ่งครั้ง คุณจะนั่งรถที่เขาขับไหม?
ถ้าศัลยแพทย์คนหนึ่งผ่าตัดผิดพลาดหลายพันครั้งต่อการทำถูกหนึ่งครั้ง คุณจะยอมให้เขาผ่าตัดคุณไหม?
[ภาพหน้า 103]
โดบซานสกี กล่าวว่า “การเอาไม้แหย่เข้าไปใน . . . เครื่องวิทยุของคนเรา คงไม่ได้ช่วยให้มันใช้การได้ดีขึ้น”
[ภาพหน้า 104]
การทดลองกับแมลงวันผลไม้ทำให้เกิดพันธุ์กลายที่ผิดรูปไปมากมาย แต่พวกเหล่านั้นก็ยังคงเป็นแมลงวันผลไม้อยู่นั่นเอง
แมลงวันผลไม้ปกติ
แมลงวันกลาย
[ภาพหน้า 106]
การเปลี่ยนสีของผีเสื้อกลางคืนไม่ใช่เป็นวิวัฒนาการ แต่เป็นแบบที่ต่างออกไปในชนิดเดียวกัน
[ภาพหน้า 108]
ตระกูลสุนัขมีแบบต่าง ๆ มากมาย แต่สุนัขยังคงเป็นสุนัขอยู่เสมอ
[ภาพหน้า 109]
มีแบบต่าง ๆ มากมายในตระกูลมนุษย์ แต่มนุษย์สืบพันธุ์ ‘ตามชนิดของตัวเอง’ เท่านั้น
[ภาพหน้า 111]
นกฟินช์ที่ดาร์วินเฝ้าสังเกตในกาลาปากอสยังคงเป็นนกฟินช์อยู่เสมอ ดังนั้น สิ่งที่เขาได้สังเกตเห็นคือความแตกต่างภายในชนิดเดียวกัน ไม่ใช่เป็นวิวัฒนาการ