บท 2
ความไม่ลงรอยกัน เรื่องวิวัฒนาการ—เพราะเหตุใด?
เนื่องในโอกาสการพิมพ์หนังสือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ โดยดาร์วินฉบับพิเศษครบรอบศตวรรษ ได้มีการเชิญ ดับบลิว. อาร์. ทอมป์สัน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการสถาบันควบคุมทางชีววิทยาแห่งเครือจักรภพในกรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา ให้เป็นผู้เขียนคำนำ. เขาเขียนว่า “เป็นที่ทราบกันว่ามีความเห็นที่แตกต่างกันมากมายในหมู่นักชีววิทยา ไม่เพียงแต่ในเรื่องสาเหตุของวิวัฒนาการเท่านั้น แต่รวมไปถึงขั้นตอนของวิวัฒนาการทีเดียว. ความเห็นที่แตกต่างกันนี้เกิดขึ้นเพราะหลักฐานไม่เป็นที่พอใจ และไม่อาจสรุปผลได้แน่นอน. ดังนั้นจึงเป็นความถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้ผู้คนที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทราบถึงความไม่ลงรอยกันเกี่ยวด้วยวิวัฒนาการ”a
1, 2. (ก) จะนิยามคำ “ข้อเท็จจริง” อย่างไร? (ข) ตัวอย่างอะไรบ้างที่ถือเป็นข้อเท็จจริง?
ผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการคิดว่าทฤษฎีนี้เป็นข้อเท็จจริงที่มีการพิสูจน์แล้ว. เขาเชื่อว่าวิวัฒนาการเป็น “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง” เป็น “เรื่องจริง” เป็น “ความจริง” อย่างพจนานุกรมเล่มหนึ่งให้คำจำกัดความของคำว่า “ข้อเท็จจริง.” แต่เป็นเช่นนั้นไหม?
2 ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเคยเชื่อกันว่าโลกแบน. บัดนี้ได้มีการพิสูจน์อย่างแน่นอนแล้วว่าโลกเป็นทรงกลม. นั่นคือข้อเท็จจริง. ครั้งหนึ่งเคยเชื่อกันว่าโลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพและท้องฟ้าทั้งหมดหมุนรอบโลก. ปัจจุบันนี้เรารู้แน่นอนว่าโลกหมุนรอบตัวเอง และโคจรรอบดวงอาทิตย์. นี่ก็เช่นกันคือข้อเท็จจริง. หลายสิ่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทฤษฎีที่ถกเถียงกัน ครั้นมีหลักฐานยืนยัน จึงกลายเป็นข้อเท็จจริงที่แน่นอน เป็นเรื่องจริง เป็นความจริง.
3. (ก) มีอะไรบ่งชี้ว่า การถือเอาวิวัฒนาการเป็น “ข้อเท็จจริง” ที่รับการยืนยันแล้วนั้นยังเป็นปัญหาอยู่? (ข) อะไรจะช่วยให้เราตรวจสอบสถานะของวิวัฒนาการในปัจจุบัน?
3 การตรวจสอบหลักฐานเรื่องวิวัฒนาการ จะทำให้เราได้ข้อเท็จจริงแน่นหนาเช่นเดียวกันไหม? เป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่หนังสือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ โดยชาร์ลส์ ดาร์วิน พิมพ์ในปี 1859 เป็นต้นมา หลายจุดในทฤษฎีนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ลงรอยกันอย่างมาก แม้ในหมู่นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญทางวิวัฒนาการ. ทุกวันนี้การขัดแย้งดังกล่าวยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ. เราจะเข้าใจกระจ่างขึ้นโดยการพิจารณาสิ่งที่พวกสนับสนุนวิวัฒนาการเองกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้.
วิวัฒนาการกำลังถูกโจมตี
4-6. เกิดอะไรขึ้นในท่ามกลางพวกที่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการ?
4 วารสารวิทยาศาสตร์ ดิสคัฟเวอร์ ชี้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างนี้: “วิวัฒนาการ . . . ไม่เพียงแต่ถูกโจมตีจากคริสเตียนที่เคร่งเท่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก็ตั้งข้อสงสัยด้วย. ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาฟอสซิล [ซากสัตว์, ต้นไม้ซึ่งเป็นรอยอยู่ในหิน] มีการไม่เห็นพ้องกับความเข้าใจที่แพร่หลายเกี่ยวกับทฤษฎีของดาร์วินมากขึ้นทุกที.”1 ฟรานซิส ฮิทชิง นักวิวัฒนาการและผู้เขียนหนังสือ คอยีราฟ กล่าวว่า “ถึงแม้ความเชื่อแบบดาร์วินเป็นที่ยอมรับกันในโลกวิทยาศาสตร์ว่าเป็นศูนย์รวมแห่งหลักการใหญ่ทางชีววิทยา ครั้นเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปีแล้วกลับกลายเป็นปัญหายุ่งยากมาก.”2
5 ภายหลังการประชุมครั้งสำคัญระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางวิวัฒนาการ 150 คนในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ มีรายงานว่า “[ทฤษฎีวิวัฒนาการ] กำลังมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี. . . . วิวัฒนาการเกิดขึ้นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันมากในกลุ่มนักชีววิทยาสมัยปัจจุบัน. . . . ไม่พบข้อสรุปที่ชัดเจนในข้อโต้แย้งเหล่านั้น.”3
6 ไนลส์ เอลดริจ นักศึกษาสิ่งมีชีวิตสมัยโบราณ ซึ่งเป็นนักวิวัฒนาการที่เด่นดังกล่าวว่า “ความสงสัยที่แทรกซึมเข้ามาสู่ชีววิทยาทางวิวัฒนาการที่เชื่อฝังหัวกันมาตลอดยี่สิบปีที่แล้วก่อให้เกิดอารมณ์รุนแรง.” เขาพูดถึง “ความไม่ลงรอยกันกระทั่งในค่ายต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกัน” และเพิ่มเติมว่า “เรื่องราวต่าง ๆ สับสนมากจริง ๆ ในทุกวันนี้ . . . บางครั้งดูเหมือนว่าแต่ละหัวข้อ [วิวัฒนาการ] มีข้อแตกต่างหลายอย่าง มากพอ ๆ กันกับจำนวนนักชีววิทยาทีเดียว.”4
7, 8. นักเขียนมีชื่อคนหนึ่งได้วิจารณ์หนังสือที่ดาร์วินเขียน ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ นั้นอย่างไร?
7 คริสโตเฟอร์ บุคเกอร์ นักเขียนนิตยสารไทมส์ แห่งลอนดอน (ซึ่งเป็นผู้ยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการ) กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เคยเป็นทฤษฎีที่เรียบง่ายน่าพึงใจ. ข้อเสียอย่างเดียวที่ดาร์วินเองก็รู้อยู่บ้างว่า มันมีช่องโหว่มหึมาอยู่มากมาย.” เกี่ยวกับหนังสือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ ที่ดาร์วินเขียน เขาตั้งข้อสังเกตว่า “เราเห็นสิ่งน่าขบขันอย่างสิ้นเชิงที่ว่า หนังสือที่เด่นเพราะอธิบายต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ แต่แท้จริงมิได้อธิบายถึงเรื่องนั้นเลย.”
8 บุคเกอร์เขียนด้วยว่า “หลังการตายของดาร์วินถึงหนึ่งร้อยปีแล้ว เรายังไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นสักนิดเดียว หรือแม้แต่ความเห็นที่น่าเป็นไปได้ว่าวิวัฒนาการเกิดขึ้นอย่างไร—และไม่กี่ปีมานี้เรื่องนี้ทำให้มีการโต้เถียงครั้งใหญ่ ๆ หลายครั้งเกี่ยวด้วยคำถามทั้งหมด. . . . สภาพที่เหมือนกับสงครามเปิดเผยมีอยู่ระหว่างนักวิวัฒนาการด้วยกัน โดยที่ [นักวิวัฒนาการ] แต่ละกลุ่มต่างก็เร่งเร้าให้มีการแก้ไขใหม่.” เขาสรุปว่า “วิวัฒนาการเกิดขึ้นจริง ๆ อย่างไร และเกิดขึ้นทำไม เรายังไม่รู้เลย และอาจไม่มีวันรู้ได้.”5
9. มีการพรรณนาสภาพการณ์ในหมู่นักวิวัฒนาการเมื่อเร็ว ๆ นี้อย่างไร?
9 นักวิวัฒนาการ ฮิทชิง เห็นด้วยกับข้อนี้. เขากล่าวว่า “การวิวาทเกี่ยวข้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการได้ระเบิดขึ้น . . . ต่างฝ่ายต่างขุดสนามเพลาะตั้งมั่นในที่สูง ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันเหมือนถล่มกันด้วยปืนครก.” เขากล่าวว่ามันเป็นความขัดแย้งทางวิชาการในขอบข่ายที่กว้างขวางมาก “อาจเป็นไปได้ว่านี้เป็นสมัยของวิทยาศาสตร์ เมื่อความคิดซึ่งเคยเชื่อกันมานานจะถูกลบล้างอย่างกะทันหันด้วยหลักฐานที่ตรงกันข้ามและนำความคิดใหม่เข้ามาแทนที่.”6 นิวไซเยนติสต์ ของอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า “มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่นักวิวัฒนาการ . . . โต้แย้งว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินไม่ใช่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง. . . . ผู้โต้แย้งเหล่านั้นหลายคนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงสุด.”7
สภาพจนตรอกในเรื่องต้นกำเนิด
10. การเริ่มต้นของชีวิตบนแผ่นดินโลกตามแนวคิดแบบวิวัฒนาการได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงไหม?
10 เกี่ยวเนื่องกับคำถามที่ว่าชีวิตเริ่มต้นอย่างไร นักดาราศาสตร์ โรเบิร์ต จัสโทรกล่าวว่า “ด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง [นักวิทยาศาสตร์] ไม่มีคำตอบที่ชัดแจ้ง เพราะนักเคมีไม่เคยประสบผลสำเร็จในการทดลองเลียนแบบธรรมชาติด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตจากสิ่งไม่มีชีวิต. นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างไร.” เขาเพิ่มเติมว่า “นักวิทยาศาสตร์ไม่มีข้อพิสูจน์ว่า ชีวิตไม่ใช่ผลของการทรงสร้างโดยพระเจ้า.”8
11. อวัยวะต่าง ๆ อันซับซ้อนของร่างกายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างไร?
11 แต่ความยุ่งยากหาได้หยุดแค่เรื่องต้นกำเนิดของชีวิตนั้นไม่. ลองพิจารณาอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตา หู และสมอง. อวัยวะเหล่านั้นมีส่วนประกอบที่ละเอียดมากอย่างไม่น่าเชื่อ ละเอียดยิ่งเสียกว่าเครื่องมืออันประณีตซับซ้อนที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น. ปัญหาสำหรับวิวัฒนาการอยู่ตรงที่ว่า ส่วนต่าง ๆ ทั้งหมดของอวัยวะต้องทำงานร่วมกันเพื่อจะเกิดการเห็นภาพ การได้ยินหรือการคิด. อวัยวะเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์จนกว่าส่วนต่าง ๆ แต่ละส่วนมีอยู่ครบ. เป็นไปได้ไหม ความบังเอิญซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพลังกระตุ้นในวิวัฒนาการ ได้นำเอาส่วนประกอบต่าง ๆ ของอวัยวะเหล่านี้มารวมกันภายในเวลาอันเหมาะแล้วก่อให้มีกลไกที่สลับซับซ้อนเช่นนั้น?
12. (ก) ดาร์วินได้พูดไว้อย่างไรเกี่ยวด้วยต้นกำเนิดของตา? (ข) เวลานี้ปัญหาดังกล่าวจวนจะได้รับคำตอบไหม?
12 ดาร์วินยอมรับว่านี่คือปัญหา. ยกตัวอย่าง เขาเขียนดังนี้ “ผมเต็มใจยอมรับว่า การสันนิษฐานว่าดวงตา . . . เป็นขึ้นมาโดยวิวัฒนาการนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุด.”9 ตั้งแต่นั้น เวลาได้ผ่านไปกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว. ปัญหานี้กระจ่างหรือยัง? เปล่าเลย. ในทางตรงกันข้าม ตั้งแต่สมัยดาร์วินเป็นต้นมา สิ่งที่เราได้เรียนเกี่ยวกับดวงตานั้นแสดงให้เห็นความซับซ้อนยิ่งกว่าที่เขาเคยเข้าใจเสียอีก. ดังนั้น จัสโทรกล่าวดังนี้ “ปรากฏว่าดวงตาได้รับการออกแบบขึ้นไม่มีนักออกแบบกล้องโทรทรรศน์คนใดจะทำได้ดีกว่านี้.”10
13. นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งให้ข้อสรุปอย่างไรเกี่ยวด้วยเรื่องสมอง?
13 ถ้าเป็นอย่างนี้กับดวงตา แล้วสมองของมนุษย์ล่ะ? เนื่องจากแม้แต่เครื่องจักรแบบง่าย ๆ ก็ไม่ได้วิวัฒนาการขึ้นเองโดยบังเอิญ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรกับสมองซึ่งมีความซับซ้อนสุดคณนายิ่งกว่าเครื่องจักรเล่า? จัสโทรสรุปว่า “เป็นการยากที่จะยอมรับเรื่องวิวัฒนาการของดวงตามนุษย์ว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ยิ่งยากมากขึ้นที่จะยอมรับวิวัฒนาการเกี่ยวด้วยเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ว่าเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโดยบังเอิญในเซลล์สมองของบรรพบุรุษของเรา.”11
สภาพจนตรอกในเรื่องฟอสซิล
14. หลักฐานฟอสซิลสนับสนุนวิวัฒนาการจริงไหม?
14 นักวิทยาศาสตร์ได้ขุดพบกระดูกและหลักฐานอื่น ๆ หลายล้านชิ้นของสิ่งมีชีวิตในอดีต สิ่งเหล่านี้เรียกว่าฟอสซิล. ถ้าวิวัฒนาการเป็นเรื่องจริงก็น่าจะมีหลักฐานจากสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ขุดขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเปลี่ยนเป็นอีกชนิดหนึ่ง. แต่เดอะบุลเลติน แห่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในชิคาโกแถลงว่า “ทฤษฎีของดาร์วิน [เรื่องวิวัฒนาการ] ขึ้นอยู่อย่างแนบแน่นกับหลักฐานที่พบในฟอสซิล และเป็นไปได้ที่ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าฟอสซิลเป็นหลักฐานสำคัญสนับสนุนคำอธิบายประวัติอันเกี่ยวเนื่องกับชีวิตตามหลักของดาร์วิน. น่าเสียดายยิ่งที่ข้อนี้ไม่เป็นความจริงเสียเลย.”
15. (ก) ดาร์วินมีความเห็นอย่างไรต่อหลักฐานฟอสซิล ในสมัยของเขา? (ข) ภายหลังกว่าหนึ่งศตวรรษแห่งการเก็บรวบรวมฟอสซิล หลักฐานต่าง ๆ เผยให้เห็นอะไร?
15 เหตุใดไม่เป็นความจริง? เดอะบุลเลติน กล่าวต่อไปว่าดาร์วิน “มีความรู้สึกลำบากใจเกี่ยวกับหลักฐานของฟอสซิล เพราะมันไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดหมายไว้ . . . หลักฐานด้านธรณีวิทยามิได้แสดงให้เห็นในเวลานั้น และในปัจจุบันนี้ก็ยังมิได้แสดงให้เห็นวิวัฒนาการอย่างช้า ๆ และต่อเนื่องตามลำดับทีละเล็กทีละน้อย.” ที่จริงแล้ว หลังจากมีการเก็บรวบรวมฟอสซิลต่างชนิดมานานกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว เดอะบุลเลติน อธิบายว่า “เรามีตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการน้อยกว่าที่มีในสมัยดาร์วินเสียอีก.”12
16. นักวิทยาศาสตร์ด้านวิวัฒนาการหลายคนยอมรับเรื่องอะไรในปัจจุบัน?
16 การที่หลักฐานของฟอสซิลไม่ได้สนับสนุนวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นทำให้นักวิวัฒนาการหลายคนกังวลใจ. สตีเวน สแตนลีย์พูดในหนังสือ ตารางเวลาใหม่สำหรับวิวัฒนาการ นั้นว่า “โดยทั่วไปหลักฐานของฟอสซิลไม่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปจากกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งไปเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง.” เขากล่าวว่า “หลักฐานของฟอสซิลเท่าที่มีอยู่ไม่ลงรอยกับ [วิวัฒนาการอย่างช้า ๆ] และไม่เคยเป็นเช่นนั้นเลย.”13 ไนลส์ เอลดริจยอมรับด้วยว่า “รูปแบบที่เราสืบค้นหาตลอดเวลา 120 ปีที่ผ่านมานั้นไม่มีเลย.”14
ทฤษฎีที่ตั้งขึ้นใหม่ ๆ
17. ไซเยนซ์ ไดเจสต์ กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ ๆ?
17 ทั้งหมดนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนหันไปสนับสนุนทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ. ไซเยนซ์ ไดเจสท์ เขียนดังนี้ว่า “นักวิทยาศาสตร์บางคนเสนอวิวัฒนาการแบบเปลี่ยนเร็วและขณะนี้เสนอความคิดอย่างจริงจัง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยนิยมอ่านในนวนิยายเท่านั้น.”15
18. มีความยุ่งยากอย่างไรเกี่ยวด้วยทฤษฎีใหม่ไม่นานมานี้ที่ว่า ชีวิตเริ่มต้นในอวกาศชั้นนอก?
18 เช่น นักวิทยาศาสตร์บางคนได้สรุปว่าชีวิตคงไม่อาจเกิดขึ้นมาเองได้บนแผ่นดินโลก. เขาคาดเอาว่า ชีวิตคงกำเนิดในอวกาศชั้นนอก แล้วลอยลงมาถึงแผ่นดินโลก. แต่นั่นเป็นการก่อปัญหาเรื่องต้นกำเนิดของชีวิตให้ยุ่งยากมากขึ้น. เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าสภาพแวดล้อมในอวกาศชั้นนอกเป็นอันตรายมากต่อชีวิต. ดังนั้น ชีวิตน่าจะเกิดขึ้นเอง ได้ไหม ณ ที่อื่นในเอกภพ และรอดอยู่ได้ในสภาพทารุณอย่างนั้นแล้วมาถึงโลก และต่อมาก็พัฒนาเป็นชีวิตแบบที่เรารู้จัก?
19, 20. ทฤษฎีใหม่อะไรซึ่งนักวิวัฒนาการบางคนกำลังส่งเสริม?
19 เนื่องจากหลักฐานของฟอสซิลไม่ได้แสดงการพัฒนาของชีวิตอย่างที่ค่อยเป็นค่อยไปจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง นักวิวัฒนาการบางคนสันนิษฐานว่าขบวนการนั้นคงจะต้องเกิดขึ้นในลักษณะเหมือนการกระตุกอย่างแรงไม่ใช่แบบที่ดำเนินอย่างสม่ำเสมอ. อย่างที่ เดอะ เวิลด์ บุค เอนไซโคลพีเดีย อธิบายว่า “นักชีววิทยาหลายคนคิดว่าพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โต เปลี่ยนกะทันหันในสารพันธุกรรม.”16
20 บางคนที่เชื่อในทฤษฎีนี้เรียกขบวนการนี้ว่า “ความสมดุลแบบมีการขัดจังหวะ.” กล่าวคือพันธุ์ต่าง ๆ จะคงความ “สมดุล” (เป็นแบบเหมือน ๆ กัน) แต่นาน ๆ ครั้งจะมีการ “ขัดจังหวะ” (การพรวดข้ามครั้งใหญ่ แล้ววิวัฒนาการเป็นแบบอื่น). ความคิดนี้ตรงข้ามกับทฤษฎีที่นักวิวัฒนาการเกือบทั้งหมดยอมรับกันมาตลอดหลายทศวรรษ. เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ พาดหัวข่าวแสดงความแตกต่างระหว่างทฤษฎีทั้งสองว่า “ทฤษฎีของวิวัฒนาการแบบเปลี่ยนเร็วถูกโจมตี.” บทความชี้ให้เห็นว่าความคิดใหม่ในเรื่อง “ความสมดุลแบบมีการขัดจังหวะ” ได้ “ก่อให้เกิดการต่อต้านใหม่” ในพวกที่ยังยึดถือทัศนะเดิม.17
21. (ก) ไม่ว่าจะยอมรับทฤษฎีว่าด้วยวิวัฒนาการแบบใดก็ตาม น่าจะมีหลักฐานอะไร? (ข) กระนั้นข้อเท็จจริงต่าง ๆ ชี้ถึงอะไร?
21 ไม่ว่าจะเชื่อทฤษฎีไหนก็ตาม อย่างน้อยควรจะมีหลักฐานแสดงว่าชีวิตแบบหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง. แต่ช่องว่างระหว่างชีวิตชนิดต่าง ๆ กันที่เห็นได้จากหลักฐานของฟอสซิลยังคงมีอยู่เหมือนกับช่องว่างที่มีอยู่ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นในโลกทุกวันนี้.
22, 23. ความคิดของดาร์วินในเรื่อง “การจะมีชีวิตสืบพันธุ์ต่อไปต้องเหมาะสมที่สุด” นั้นเกิดมีการโต้แย้งอย่างไรในปัจจุบัน?
22 ในขณะเดียวกัน เป็นสิ่งน่าสนใจที่จะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับความคิดของดาร์วินที่ยอมรับกันมานานเกี่ยวกับ “จะมีชีวิตสืบพันธุ์ต่อไปต้องเหมาะสมที่สุด.” เขาตั้งชื่อว่า “การคัดเลือกตามธรรมชาติ.” เขาเชื่อว่าธรรมชาติ “คัดเลือก” สิ่งมีชีวิตซึ่งเหมาะสมที่สุดให้อยู่รอดต่อไป. ในขณะที่ตัวที่ “เหมาะสม” เหล่านี้คงได้รับลักษณะใหม่ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง มันจึงวิวัฒนาการไปอย่างช้า ๆ. แต่หลักฐานตลอดเวลา 125 ปีที่ผ่านไปแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ตัวที่เหมาะสมที่สุดอาจอยู่รอด ได้จริง แต่นั่นก็ไม่ได้อธิบายว่ามันเป็นมา อย่างไร. สิงโตตัวหนึ่งอาจจะแข็งแรงกว่าอีกตัวหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้อธิบายว่ามันมาเป็นสิงโตได้อย่างไร. และลูกทุกตัวก็ยังเป็นสิงโต ไม่ใช่สัตว์อื่น.
23 ดังนั้น ทอม เบเธลล์นักเขียนในนิตยสารฮาร์เปอร์ วิจารณ์ว่า “ดาร์วินทำให้เกิดข้อผิดพลาดมาก จนกระทั่งทฤษฎีของตนเองต้องสั่นคลอน. และข้อผิดพลาดนั้นก็เพิ่งโผล่ให้เห็นเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง. . . . สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งอาจ “เหมาะสมกว่า” อีกตัวหนึ่งก็จริง . . . แต่ข้อนี้ไม่ใช่สิ่งที่ช่วยสร้าง ชีวิตนั้นขึ้นมา . . . ผมคิดว่ามันชัดแจ้งอยู่แล้วที่ความคิดดังกล่าวผิดพลาดทั้งเพ.” เบเธลล์เพิ่มเติมว่า “ผมคิดว่าบทสรุปเป็นเรื่องน่าตกใจ: ผมเชื่อว่าทฤษฎีของดาร์วินจวนจะล้มอยู่แล้ว.”18
ข้อเท็จจริงหรือทฤษฎี?
24, 25. (ก) มีขอบเขตใดบ้างที่ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่บรรลุถึงมาตรฐานที่จะถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ได้พิสูจน์แล้ว? (ข) สอดคล้องกับคำกล่าวของนักวิวัฒนาการคนหนึ่งเกี่ยวกับทฤษฎีสมัยใหม่ อาจมองทฤษฎีนั้นเช่นไร?
24 เมื่อสรุปปัญหาต่าง ๆ ที่แก้ไม่ได้ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายวิวัฒนาการอยู่ ฟรานซิส ฮิทชิงตั้งข้อสังเกตดังนี้: “ในขอบเขตสำคัญสามประการที่ [ทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่] จะถูกทดสอบได้นั้น ทฤษฎีนี้ไม่ผ่านการทดสอบ: หลักฐานของฟอสซิล แสดงถึงแบบแผนของการกระโดดทางวิวัฒนาการ แทนที่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป. ยีน (ตัวถ่ายทอดพันธุกรรม) เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมความสมดุลซึ่งหน้าที่หลักก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดวิวัฒนาการเป็นรูปแบบใหม่. มิวเตชัน (การกลายพันธุ์กะทันหัน) ทีละขั้นตอนอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ในระดับโมเลกุล ไม่อาจอธิบายได้ถึงความเป็นระเบียบและความเจริญเติบโตของชีวิตที่สลับซับซ้อน.”
25 แล้วฮิทชิงสรุปโดยการตั้งข้อสังเกตดังนี้ “ถ้าทฤษฎีของดาร์วินเป็นหลักการใหญ่ทางชีววิทยาที่ก่อให้เกิดเอกภาพ ทฤษฎีนี้รวมเอาหลายเรื่องที่ยังอธิบายไม่ได้. ทฤษฎีนี้ไม่สามารถตอบคำถามขั้นพื้นฐานที่สุดของเรื่องนี้ เช่น สารเคมีที่ปราศจากชีวิตกลายเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร มีกฎกติกาอะไรอยู่เบื้องหลังรหัสทางพันธุกรรม ยีนได้กำหนดรูปร่างของสิ่งมีชีวิตอย่างไร.” ที่จริงแล้ว ฮิทชิงกล่าวย้ำว่า เขามีความเห็นว่าทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่เป็นทฤษฎีที่ “มีข้อบกพร่องถึงขนาด สมควรจัดให้เป็นเรื่องของความเชื่อถือ.”19
26. เหตุใดการยืนกรานว่าวิวัฒนาการเป็นความจริงนั้นนับว่าไม่สมเหตุผล?
26 อย่างไรก็ดี หลายคนที่สนับสนุนวิวัฒนาการคิดว่าตนมีเหตุผลเพียงพอจะยืนยันได้ว่าวิวัฒนาการเป็นข้อเท็จจริง. เขาอธิบายว่าเป็นแต่เพียงการถกเถียงเกี่ยวด้วยรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น. แต่ถ้าทฤษฎีอื่นใดมีปัญหายุ่งยากใหญ่โต และมีข้อโต้แย้งอย่างมากมายในหมู่ผู้สนับสนุนทฤษฎีนั้น แล้วจะมีการยอมรับทฤษฎีนั้นเป็นข้อเท็จจริงไหม? การกล่าวยืนยันซ้ำ ๆ ว่าสิ่งนั้น ๆ เป็นความจริง ก็ใช่ว่าสิ่งนั้นจะกลายเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาไม่. ดังที่นักชีววิทยา จอห์น อาร์. ดูแรนท์ เขียนไว้ใน เดอะ การ์เดียน แห่งลอนดอนว่า “นักวิทยาศาสตร์หลายคนยอมทำตัวเป็นคนดันทุรัง . . . เรื่องต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์เคยถูกนำขึ้นมาเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่าเป็นเรื่องที่มาถึงข้อสรุปแน่นอนแล้ว. นั้นไม่เป็นความจริงเลย. . . . แต่ก็ยังมีแนวโน้มจะดันทุรังอยู่ และสิ่งนี้ไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ กับวิทยาศาสตร์เลย.”20
27. มีเค้าโครงอะไรอื่นอีกสำหรับหลักฐานซึ่งเป็นพื้นฐานให้เข้าใจว่าชีวิตเกิดขึ้นมาอย่างไร?
27 มองอีกแง่หนึ่ง จะว่าอย่างไรหากจะพูดเรื่องพระเจ้าทรงสร้างเป็นอรรถธิบายว่าชีวิตเริ่มต้นอย่างไร? เรื่องพระเจ้าสร้างให้เค้าโครงที่เป็นหลักฐานซึ่งมีเหตุมีผลมากกว่าข้ออ้างต่าง ๆ ที่นำมาใช้สนับสนุนวิวัฒนาการไหม? และบันทึกประวัติการสร้างที่รู้จักกันแพร่หลายมากที่สุดคือ พระธรรมเยเนซิศ ให้ข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อไหมว่าโลกและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาอย่างไร?
[คำโปรยหน้า 14]
“ทฤษฎีของดาร์วินมีปัญหายุ่งยากมากหลังจากเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบห้าปีแล้ว”
[คำโปรยหน้า 15]
“วิวัฒนาการเกิดขึ้นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันมากมายในกลุ่มนักชีววิทยาสมัยปัจจุบัน”
[คำโปรยหน้า 18]
“ดูเหมือนดวงตาได้รับการออกแบบขึ้นมา ไม่มีนักออกแบบกล้องโทรทรรศน์คนใด ๆ ที่จะทำได้ดีกว่านี้”
[คำโปรยหน้า 21]
“รูปแบบที่เราสืบค้นหาตลอดเวลา 120 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่มีเลย”
[คำโปรยหน้า 21]
“นักวิทยาศาสตร์บางคนพยายามเสนอ . . . ความคิด [ทางวิวัฒนาการ] ซึ่งครั้งหนึ่งเคยนิยมอ่านในนวนิยายเท่านั้น”
[คำโปรยหน้า 22]
ทฤษฎีใหม่ ๆ ขัดแย้งกับสิ่งอันเป็นที่ยอมรับกันมาหลายทศวรรษ
[คำโปรยหน้า 23]
“ผมเชื่อว่า ทฤษฎีของดาร์วินจวนจะล้มอยู่แล้ว”
[คำโปรยหน้า 24]
“เรื่องต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์เคยถูกนำขึ้นมาเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่าเป็นเรื่องที่มาถึงข้อสรุปแน่นอนแล้ว. นั่นไม่เป็นความจริงเลย”
[กรอบหน้า 18]
“นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ พบอุปสรรคเมื่อเขาคิดค้นเพื่อเลียนแบบดวงตามนุษย์”
ภายใต้หัวเรื่องดังกล่าว เดอะ นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า “ผู้เชี่ยวชาญที่พยายามให้บรรลุถึงความใฝ่ฝันที่บ้าบิ่นที่สุดของมนุษย์—การสร้างกลไกที่คิดได้—พบอุปสรรคในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นขั้นเริ่มต้นพื้นฐาน. เขาไม่สามารถจะเลียนแบบการมองเห็น.
“ภายหลังการค้นคว้าวิจัยนานถึงสองทศวรรษ เขายังไม่สามารถจะสอนเครื่องจักรทำสิ่งง่าย ๆ คือการจดจำสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ประจำวัน และแยกสิ่งหนึ่งจากอีกสิ่งหนึ่งได้.
“เขากลับเกิดความยอมรับนับถือใหม่ในความสลับซับซ้อนแห่งการมองเห็นของมนุษย์. . . . จอตาของมนุษย์เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อิจฉา. สิ่งรูปแท่งและรูปกรวยจำนวน 100 ล้านที่จอตาและชั้นต่าง ๆ ของประสาทดวงตาทำการคำนวณอย่างน้อย 10,000 ล้านครั้งต่อวินาที.”b
[ภาพหน้า 16]
เกี่ยวกับหนังสือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ โดยดาร์วิน นักเขียนคนหนึ่งในนิตยสารไทมส์ แห่งลอนดอนซึ่งยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการเขียนลงว่า “เราเห็นสิ่งที่น่าขบขันอย่างสิ้นเชิงที่ว่า หนังสือเล่มที่เด่น เพราะอธิบายต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ แต่แท้จริงแล้วมิได้อธิบายอะไรถึงเรื่องนั้นเลย”
[ภาพหน้า 17]
นักวิวัฒนาการคนหนึ่งกล่าวว่า “ต่างฝ่ายต่างขุดสนามเพลาะตั้งมั่น . . . ทั้งฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายคัดค้าน ต่างฝ่ายกล่าวหากันเหมือนถล่มกันด้วยปืนครก”
[ภาพหน้า 19]
โรเบิร์ต จัสโทร นักดาราศาสตร์กล่าวว่า “เป็นการยากที่จะยอมรับเรื่องวิวัฒนาการของดวงตามนุษย์ว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ยิ่งยากมากขึ้นที่จะยอมรับวิวัฒนาการเกี่ยวด้วยเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ว่า เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโดยบังเอิญในเซลล์สมองของบรรพบุรุษของเรา”
[ภาพหน้า 20]
“ตัวอย่างดั้งเดิมบางอย่างของการเปลี่ยนแปลงตามหลักของดาร์วินในหลักฐานฟอสซิล . . . ต้องเลิกใช้ไปหรือดัดแปลงใหม่ เนื่องมาจากข้อมูลที่มีละเอียดมากขึ้น.”c—เดวิด รอป พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในชิคาโก
อีโอฮิปปุส
อาร์แคออปเตริคซ์
ปลามีปอด
[ภาพหน้า 22]
ถึงแม้ตัวที่เหมาะสมที่สุดอาจอยู่รอด แต่นั่นก็ไม่ได้อธิบายว่า มันเป็นมา ได้อย่างไร