บท 15
เหตุใดคนเป็นอันมากยอมรับวิวัฒนาการ?
1, 2. เหตุผลข้อหนึ่งได้แก่อะไรที่ทำให้หลายคนเชื่อเรื่องวิวัฒนาการ?
ดังที่เราได้เห็นแล้ว หลักฐานเรื่องการสร้างมีมากมหาศาล. กระนั้น เหตุใดคนจำนวนมากจึงปฏิเสธเรื่องการสร้างและยอมรับวิวัฒนาการแทน? เหตุหนึ่งคือความรู้จากโรงเรียน. ตำราวิทยาศาสตร์แทบทุกเล่มสนับสนุนทัศนะแบบวิวัฒนาการ. นักเรียนแทบไม่เคยทราบข้อคิดเห็นในทางคัดค้าน. ที่จริงแล้ว ความคิดเห็นซึ่งคัดค้านวิวัฒนาการมักจะถูกกันไม่ให้ปรากฏในตำราเรียน.
2 นักชีวเคมีผู้หนึ่งเขียนลงในวารสารห้องทดลองอเมริกัน เกี่ยวกับการเรียนของลูกที่โรงเรียนว่า “ไม่ได้มีการเสนอให้เด็กเรียนเรื่องวิวัฒนาการว่าเป็นทฤษฎี. คำชี้แจงอย่างแยบยลมีอยู่ในตำราเรียนตั้งแต่ชั้นประถมสองทีเดียว (จากการอ่านตำราของลูก ๆ). วิวัฒนาการถูกเสนอว่าเป็นความจริง ไม่ใช่เป็นทฤษฎีที่จะตั้งข้อสงสัยได้. แล้วอิทธิพลของระบบการศึกษาก็บังคับให้เชื่อ.” เกี่ยวกับการสอนวิวัฒนาการแก่นักเรียนในชั้นสูงขึ้นไป เขากล่าวว่า “นักศึกษาไม่มีสิทธิเสนอความคิดเห็นของตนเองหรือแสดงความเห็นออกมา: ถ้านักเรียนทำอย่างนั้น เขาจะถูกเยาะเย้ยและตำหนิจากครูผู้สอน. บ่อยครั้งนักศึกษาต้องเสี่ยงกับผลเสียเนื่องจากความเห็นของเขาถูกมองว่า ‘ไม่ถูกต้อง’ และจะถูกหักคะแนน.”1
3. บางคนถูกหล่อหลอมอย่างไรให้ยอมรับเรื่องวิวัฒนาการ?
3 ทัศนะแบบวิวัฒนาการมิได้แพร่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น แต่ทุกแวดวงของวิทยาศาสตร์และในสาขาอื่น ๆ ด้วยเช่น ประวัติศาสตร์และปรัชญา. พวกหนังสือ บทความในวารสาร ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ต่างก็ถือว่าเรื่องวิวัฒนาการเป็นความจริงที่ได้พิสูจน์แล้ว. เรามักจะได้ยินหรืออ่านพบประโยคที่มีข้อความเช่น ‘เมื่อมนุษย์วิวัฒนาการจากสัตว์ชั้นต่ำ’ หรือ ‘หลายล้านปีมาแล้วเมื่อชีวิตวิวัฒนาการในมหาสมุทร.’ ดังนั้น ผู้คนทั่วไปถูกหล่อหลอมให้ยอมรับเรื่องวิวัฒนาการว่าเป็นความจริง และมองข้ามหลักฐานใด ๆ ที่ขัดกัน.
อิทธิพลของนักวิชาการ
4. อิทธิพลของนักวิชาการมีผลอย่างไรต่อความเชื่อถือทางวิวัฒนาการ?
4 เมื่อนักศึกษาและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำยืนยันว่า วิวัฒนาการเป็นความจริงแถมชี้ว่าคนโง่เท่านั้นที่ไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้ มีคนสามัญสักกี่คนจะคัดค้าน? อิทธิพลของนักวิชาการที่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนจำนวนมากยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการ.
5. (ก) ตัวอย่างอะไรแสดงถึงวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ใช้อิทธิพลของตน? (ข) เหตุใดคำยืนยันดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง?
5 ตัวอย่างเกี่ยวกับความคิดเห็นด้านนี้ซึ่งมักจะข่มขู่คนทั่วไปก็ได้แก่คำยืนยันของ ริชาร์ด ดอว์กินส์ที่ว่า “ปัจจุบันทฤษฎีของดาร์วินได้รับการสนับสนุนด้วยหลักฐานที่เกี่ยวข้องทุกอย่าง และไม่มีนักชีววิทยาสมัยใหม่คนใดที่จริงจังสงสัยความถูกต้องของทฤษฎีนี้.”2 แต่เป็นอย่างนั้นจริงไหม? ไม่เลย. เมื่อวิจัยต่อไปอีกหน่อยหนึ่งเราจะพบว่า นักวิทยาศาสตร์หลายคนซึ่งรวมทั้ง ‘นักชีววิทยาที่จริงจัง’ ไม่เพียงแต่สงสัยเท่านั้น แต่ไม่ยอมเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเสียด้วยซ้ำ.3 คนเหล่านี้เชื่อว่าหลักฐานเรื่องการสร้างมีน้ำหนักมากกว่า. ดังนั้น คำกล่าวที่คลุมไปหมดของดอว์กินส์จึงผิดพลาด. แต่คำกล่าวแบบนี้เป็นลักษณะความพยายามที่จะกดคู่ต่อสู้ซึ่งพบบ่อย ๆ. ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งเห็นถึงเรื่องนี้ จึงเขียนใน นิว ไซเยนติสท์ ว่า “ริชาร์ด ดอว์กินส์มีความมั่นใจน้อยไปหรือต่อหลักฐานของวิวัฒนาการ จนเขาต้องกล่าวข้อความที่ตีคลุมไปหมดเพื่อขจัดพวกที่คัดค้านความเชื่อของเขา?”4
6. ความเชื่อแบบดันทุรังในเรื่องวิวัฒนาการขัดแย้งอย่างไรกับวิธีทางวิทยาศาสตร์อันเป็นที่ยอมรับกัน?
6 ในลักษณะเดียวกัน นักวิวัฒนาการ ลูเรีย กูลด์ และซิงเกอร์เขียนในหนังสือมองดูชีวิต ว่า “วิวัฒนาการเป็นข้อเท็จจริง” และยืนยันอีกว่า “เช่นเดียวกับเรื่องโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ หรือไฮโดรเจนกับออกซิเจนทำให้เกิดน้ำ.”5 หนังสือนี้ยังแถลงด้วยว่า วิวัฒนาการเป็นความจริงเหมือนความเป็นจริงของแรงโน้มถ่วง. แต่เราสามารถพิสูจน์ได้ โดยการทดลองว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ และไฮโดรเจนกับออกซิเจนทำให้เกิดน้ำจริง และแรงโน้มถ่วงนั้นมีจริง. แต่เราไม่สามารถจะพิสูจน์โดยการทดลองว่าวิวัฒนาการเป็นจริง. ที่จริงแล้วนักวิวัฒนาการกลุ่มนี้ยอมรับว่า “มีข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ.”6 แต่เรื่องโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ไฮโดรเจนและออกซิเจนกลายเป็นน้ำ และความจริงเรื่องแรงโน้มถ่วงเหล่านี้ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ไหม? ไม่มีเลย. ดังนั้นจะมีเหตุผลได้อย่างไรที่จะกล่าวว่าวิวัฒนาการเป็นความจริงเหมือนกับเรื่องเหล่านี้?
7. เหตุใดนักวิทยาศาสตร์จึงไม่ได้สรุปโดยอาศัยข้อเท็จจริงเสมอไป?
7 เดวิด พิลบีมเขียนคำนำในหนังสือตัวเชื่อมที่ขาดไป ของจอห์น รีดเดอร์ แสดงให้เห็นว่าข้อสรุปของพวกนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้อาศัยข้อเท็จจริงเป็นหลักเสมอไป. พิลบีมบอกว่าสาเหตุหนึ่งก็คือ นักวิทยาศาสตร์ “ก็เป็นปุถุชนเช่นกัน และเพราะเดิมพันนั้นก็สูงเนื่องจากมีรางวัลงามที่มาในรูปของชื่อเสียง.” หนังสือนี้ยอมรับว่า วิวัฒนาการ “เป็นวิทยาศาสตร์ที่ถูกกระตุ้นจากความทะเยอทะยานส่วนตัว ดังนั้น จึงมักง่ายที่จะคล้อยตามความเชื่อที่มีก่อนแล้ว.” ผู้เขียนเพิ่มเติมว่า “พวก [นักวิวัฒนาการ] สมัยใหม่มักจะยึดเอาข้อมูลที่บิดเบือนซึ่งสนับสนุนความเชื่อที่มีอยู่แล้วเหมือนนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อน ๆ . . . ซึ่งจะบอกปัดความเห็นที่ตรงไปตรงมา แล้วหันไปรับเอาความเห็นที่เขาอยากจะเชื่อ.”7 ดังนั้น เมื่อเขายอมอยู่ฝ่ายวิวัฒนาการ และมีความปรารถนาจะก้าวหน้าในอาชีพ นักวิทยาศาสตร์บางคนจะไม่ยอมรับว่า เขามีโอกาสจะผิดพลาดได้. ยิ่งกว่านั้น เขากลับมุ่งที่จะหาข้อสนับสนุนความคิดที่มีอยู่แล้ว แทนที่จะยอมรับข้อเท็จจริงที่อาจชี้ถึงข้อผิดพลาด.
8. เหตุใด ดับบลิว. อาร์. ทอมป์สันจึงตำหนิการยอมเชื่อกันทั่วไปในเรื่องวิวัฒนาการ?
8 ดับบลิว. อาร์. ทอมป์สัน สังเกตเห็นและตำหนิทัศนะที่ไม่เป็นแบบวิทยาศาสตร์ในคำนำสำหรับหนังสือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ ของดาร์วินฉันครบรอบหนึ่งร้อยปี. ทอมป์สันกล่าวว่า “ถ้าทฤษฎีทนต่อการวิเคราะห์ไม่ได้ ก็ไม่ควรจะให้การรับรอง และการยอมเชื่อโดยทั่วไปโดยอาศัยข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผลก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจ.” เขากล่าวว่า “ข้อเท็จจริงและการตีความซึ่งดาร์วินได้ใช้นั้น ปัจจุบันใช้ไม่ได้แล้ว. การค้นคว้าอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับกรรมพันธุ์และความหลากหลายต่าง ๆ จึงทำให้ทฤษฎีของดาร์วินถึงกับพังภินท์.”8
9. ทอมป์สันพูดอย่างไรที่นักวิทยาศาสตร์ปิดบังข้อคัดค้านเรื่องวิวัฒนาการ?
9 ทอมป์สันสังเกตด้วยว่า “ผลอันยาวนานและน่าสังเวชของหนังสือต้นกำเนิด ก็คือความเคยตัวของนักชีววิทยาที่จะเชื่อการเดาสุ่มโดยไม่ได้พิสูจน์. . . . ความสำเร็จของคำสอนของดาร์วินทำให้ความบริสุทธิ์ทางวิทยาศาสตร์เสื่อมถอยลง.” เขาสรุปว่า “สภาพการณ์ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พยายามปกป้องความเชื่อซึ่งเขาไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ด้วยความพยายามจะทำให้ทุกคนเชื่อโดยอาศัยวิธีปกปิดข้อคัดค้าน รวมทั้งขจัดเรื่องขัดแย้งออกไป จึงเป็นเรื่องผิดปกติและน่ารังเกียจในวงการวิทยาศาสตร์.”9
10. ทำไมนักวิทยาศาสตร์หลายคนยอมรับว่าวิวัฒนาการเป็น “ความจริง”?
10 ในทำนองเดียวกัน แอนโทนี ออสตริค ศาสตราจารย์ทางมานุษยวิทยาได้โจมตีเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ที่ประกาศว่าเรื่องมนุษย์สืบเชื้อสายมาจากสัตว์คล้ายลิงเป็น “ความจริง.” เขาพูดว่า “อย่างดีที่สุดมันก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานและก็ไม่มีข้อสนับสนุนที่ดีด้วย.” เขาสังเกตว่า “ไม่มีหลักฐานชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่ในรูปเดิมตั้งแต่แรกที่มนุษย์ได้ปรากฏขึ้น.” เขากล่าวว่าผู้รู้หลายคนได้ติดตามแนวคิดของพวกที่ส่งเสริมทฤษฎีวิวัฒนาการ “เนื่องจากเขากลัวว่าจะไม่ถูกนับเป็นนักวิชาการแท้หรือกลัวถูกกีดกันให้ออกจากวงการนักวิชาการ.”10 เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮอยล์และวิครามซิงห์วิจารณ์ด้วยว่า “คุณต้องยอมรับทฤษฎี หรือไม่ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกคอกอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้.”11 ผลอย่างหนึ่งก็คือ นักวิทยาศาสตร์หลาย ๆ คนไม่เต็มใจจะตรวจสอบทัศนะเกี่ยวกับการสร้างอย่างปราศจากอคติ. อย่างจดหมายถึงฝ่ายบรรณาธิการวารสารการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “วิทยาศาสตร์ภูมิใจในความไม่มีฉันทาคติเสมอมา แต่ผมวิตกว่าพวกเรานักวิทยาศาสตร์กำลังตกเป็นเหยื่อของการคิดแบบลำเอียง และปิดหูปิดตาซึ่งเราเคยรังเกียจมานานแล้ว.”12
ความล้มเหลวของศาสนา
11. ความล้มเหลวของศาสนากลายเป็นปัจจัยของการยอมรับเรื่องวิวัฒนาการได้อย่างไร?
11 เหตุผลอีกประการหนึ่งซึ่งทำให้มีการยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการก็คือ ความล้มเหลวของศาสนาใหญ่ ๆ ไม่ว่าด้านคำสอนหรือการปฏิบัติ รวมทั้งการที่ศาสนาไม่ได้ชี้แจงอย่างถูกต้องเรื่องการสร้างตามที่บ่งไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. บุคคลที่รอบรู้ต่างก็ทราบถึงประวัติของศาสนาที่มีความหน้าซื่อใจคด การกดขี่และศาลทางศาสนาเพื่อขจัดผู้คัดค้าน นักบวชสนับสนุนผู้เผด็จการที่เป็นฆาตกร และผู้คนนับล้านที่นับถือศาสนาเดียวกันได้ฆ่าฟันกันในยามสงครามโดยมีนักบวชจากแต่ละฝ่ายให้พร. ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นเหตุผลที่จะคำนึงถึงพระเจ้าซึ่งศาสนาเหล่านั้นอ้างเป็นตัวแทน. นอกจากนั้น หลักข้อเชื่อที่ไร้เหตุผลและไม่เป็นไปตามหลักคัมภีร์ไบเบิลยิ่งทำให้ผู้คนตีตัวออกห่างพระเจ้า. หลักคำสอนอาทิ การทรมานชั่วนิรันดร์เป็นที่รังเกียจของคนมีเหตุผล.
12. ความล้มเหลวของศาสนาต่าง ๆ ของโลกแสดงถึงอะไรอย่างชัดเจน?
12 กระนั้น ไม่เฉพาะแต่คนมีเหตุผลเท่านั้นที่รังเกียจคำสอน และการกระทำของศาสนาเช่นนั้น แต่คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าพระเจ้าทรงรังเกียจการเช่นนั้นเหมือนกัน. คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยความหน้าไหว้หลังหลอกของผู้นำทางศาสนาบางจำพวกดังนี้ “เจ้าทั้งหลาย . . . ภายนอกปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและความชั่ว” (มัดธาย 23:28) และเป็น “คนตาบอด” ซึ่ง “เอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ.” (มัดธาย 15:9, 14) เช่นกัน พระคัมภีร์ตำหนินักศาสนาผู้ซึ่ง “ออกปากกล่าวว่าเขารู้จักพระเจ้าแต่ว่าในกิริยาการประพฤติของเขา ๆ ปฏิเสธพระองค์.” (ทิทุส 1:16) ดังนั้นไม่ว่าจะอ้างเช่นไร ศาสนาที่ส่งเสริมหรือยอมต่อความหน้าไหว้หลังหลอก และทำให้โลหิตตกไม่ได้เป็นมาแต่พระเจ้า และไม่เป็นตัวแทนของพระองค์. แต่เขาถูกเรียกว่าเป็น “ผู้พยากรณ์เท็จ” และถูกเปรียบเป็นเหมือนต้นไม้ซึ่ง “ไม่เกิดผลดี.”—มัดธาย 7:15-20; โยฮัน 8:44; 13:35; 1 โยฮัน 3:10-12.
13. มีหลักฐานอะไรที่แสดงว่าศาสนาไม่ได้นำทางประชาชน?
13 นอกจากนั้น หลายศาสนายอมจำนนต่อเรื่องวิวัฒนาการ ดังนั้นเขาได้ทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก. ตัวอย่างเช่น นิว คาทอลิก เอ็นไซโคลพีเดีย กล่าวว่า “วิวัฒนาการโดยทั่ว ๆ ไป แม้แต่ของร่างกายมนุษย์ ดูเหมือนเป็นการอธิบายถึงต้นกำเนิดทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อที่สุด.”13 ในการประชุมที่วาติกันครั้งหนึ่ง ผู้คงแก่เรียน 12 คนซึ่งเป็นตัวแทนองค์กรสูงสุดทางวิทยาศาสตร์ของศาสนาจักรคาทอลิก เห็นชอบด้วยกับข้อสรุปดังนี้ ” เราเชื่อว่าหลักฐานต่าง ๆ ทำให้การใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์และของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ เป็นเรื่องที่ปราศจากข้อสงสัยใด ๆ.”14 จะมีสมาชิกของคริสต์จักรที่ยังไม่ทราบเรื่องดีทำการโต้แย้งหรือ ทั้ง ๆ ที่โดยแท้แล้ว “หลักฐานต่าง ๆ” ไม่ได้สนับสนุนวิวัฒนาการเลย แต่กลับสนับสนุนการสร้าง?
14. อะไรมักจะเข้ามาแทนที่สภาพว่างเปล่าซึ่งศาสนาเท็จก่อขึ้น?
14 สภาพว่างเปล่าที่เกิดจากเรื่องนี้มักจะมีลัทธิอไนยนิยมและอเทวนิยมเข้ามาแทนที่. เมื่อเขาเลิกเชื่อพระเจ้า เขาก็หันไปหาทฤษฎีวิวัฒนาการ. ปัจจุบันนี้ในหลายประเทศ ลัทธิอเทวนิยมโดยอาศัยพื้นฐานทางวิวัฒนาการเลยกลายเป็นนโยบายของรัฐ. ศาสนาต่าง ๆ ของโลกตกอยู่ในฐานะต้องรับผิดชอบที่หลายคนไม่เชื่อในพระเจ้า.
15. ข้อเชื่อทางศาสนาที่ไม่ถูกต้องอะไรอีกที่ทำให้คนไม่เชื่อถือพระเจ้าและคัมภีร์ไบเบิล?
15 นอกจากนั้น หลักคำสอนบางข้อของศาสนาทำให้ประชาชนเชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนสิ่งที่ขัดกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธพระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิล. ดังที่เราพิจารณามาแล้วในบท 3 บางคนอ้างอย่างผิด ๆ ว่า คัมภีร์ไบเบิลสอนเรื่องแผ่นดินโลกถูกสร้างขึ้นภายในหกวัน วันหนึ่ง 24 ชั่วโมงตามตัวอักษร และโลกมีอายุเพียง 6,000 ปีเท่านั้น. แต่คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้สอนอย่างนั้น.
‘ต้องเห็นจึงจะเชื่อ’
16. เหตุใดบางคนจึงปฏิเสธเรื่องการมีพระผู้สร้าง?
16 บางคนปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องพระผู้สร้าง เพราะเขารู้สึกว่า ‘ต้องเห็นถึงจะเชื่อ.’ ถ้าอะไรก็ตามที่เห็นไม่ได้ วัดไม่ได้โดยทางใดทางหนึ่ง เขาจะคิดว่าไม่มีสิ่งนั้น. ในชีวิตประจำวันเขายอมรับว่ามีหลายสิ่งที่เขาไม่เห็น เช่น ไฟฟ้า แรงแม่เหล็ก คลื่นวิทยุหรือโทรทัศน์ และแรงโน้มถ่วง. เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนทัศนะของเขา เพราะสิ่งเหล่านั้นสามารถจะวัดหรือสัมผัสได้โดยวิธีทางกายภาพอื่น ๆ. แต่ไม่มีวิธีทางกายภาพที่จะเห็นหรือวัดพระผู้สร้าง หรือพระเจ้า.
17, 18. (ก) มีหลักฐานอะไรที่เราเห็นได้ซึ่งยืนยันความเป็นอยู่ของพระผู้สร้างที่เรามองไม่เห็น? (ข) เหตุใดเราไม่ควรคาดหมายจะเห็นพระเจ้า?
17 อย่างไรก็ดี ดังที่เราได้พิจารณามาแล้ว มีเหตุผลอย่างยิ่งที่จะเชื่อว่าพระผู้สร้างที่ไม่ประจักษ์แก่ตาทรงสภาพเป็นอยู่จริง เพราะเราเห็นหลักฐาน ผลงานทางกายภาพจากฝีพระหัตถ์ของพระองค์. เราเห็นหลักฐานในโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบและสลับซับซ้อนของอะตอม ในเอกภพที่ถูกจัดเป็นระเบียบอย่างดีเยี่ยม ในโลกอันเป็นดาวเคราะห์พิเศษเฉพาะ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่น่าทึ่งของสิ่งมีชีวิตและในสมองที่มหัศจรรย์ของมนุษย์. สิ่งเหล่านี้คือผลงานซึ่งต้องมีต้นเหตุทำให้เกิดขึ้น. แม้แต่นักวัตถุนิยมก็ยอมรับในกฎของเหตุและผลนี้ในสรรพสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด. แต่ทำไมไม่ยอมรับกฎนั้นเกี่ยวกับเอกภพด้วย?
18 เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อโต้แย้งจากคัมภีร์ไบเบิลบอกไว้อย่างดีที่สุดว่า “คุณลักษณะ [ของพระผู้สร้าง] ที่ไม่ประจักษ์แก่ตา นั้นคือพลังอันไม่รู้สิ้นสุด และความเป็นพระเจ้าของพระองค์ได้ประจักษ์ด้วยตาแห่งความเข้าใจ ตั้งแต่การเริ่มต้นของโลกในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น.” (โรม 1:20 เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล) พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือพระคัมภีร์กล่าวจากผลไปหาเหตุ. สรรพสิ่งในโลกที่ประจักษ์แก่ตา สิ่งน่าทึ่งที่ “พระองค์ทรงสร้างขึ้น” เป็นผลที่ปรากฏชัดว่าต้องมาจากต้นเหตุที่มีเชาวน์ปัญญา. ต้นเหตุที่ไม่ประจักษ์แก่ตานั้นคือพระเจ้า. อีกประการหนึ่ง พระผู้สร้างในฐานะที่ได้สร้างทุกสิ่งในเอกภพจะต้องมีพลังมหาศาลจนมนุษย์ที่เป็นเนื้อและเลือดไม่น่าจะคาดว่าจะมองเห็นพระองค์และยังมีชีวิตอยู่ได้. อย่างที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเห็นหน้า [พระเจ้า] และยังจะมีชีวิตอยู่ได้.”—เอ็กโซโด 33:20.
เหตุผลใหญ่อีกอย่างหนึ่งของการไม่เชื่อ
19. เหตุผลใหญ่อะไรอีกที่ทำให้หลายคนยอมรับเรื่องวิวัฒนาการ?
19 มีเหตุผลใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่หลายคนเลิกเชื่อพระเจ้าและยอมรับวิวัฒนาการ. ทั้งนี้เพราะความทุกข์ที่มีอยู่อย่างมากมายนั่นเอง. หลายศตวรรษมาแล้วที่มีความอยุติธรรม การกดขี่ อาชญากรรม สงคราม ความเจ็บป่วยและความตาย. บุคคลจำนวนมากไม่เข้าใจสาเหตุที่มีความทุกข์ยากเหล่านี้เกิดขึ้นกับครอบครัวมนุษย์. เขารู้สึกว่าพระผู้สร้างองค์ทรงฤทธิ์สูงสุดคงไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น. ในเมื่อสิ่งเหล่านี้มีอยู่ เขาจึงไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า. โดยเหตุนี้ เมื่อมีการเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการ เขาจึงรับเอาไว้โดยไม่ได้ตรวจสอบมากนัก.
20. มีคำถามอะไรอีกบ้างที่ต้องตอบ?
20 เหตุใดพระผู้สร้างซึ่งทรงอำนาจสูงสุดจึงยอมให้มีความทุกข์ยากมากมายเช่นนี้? จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไหม? การเข้าใจคำตอบของปัญหานี้จะทำให้เราเข้าใจถึงเหตุผลที่อยู่ลึกลงไปที่ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในยุคของเรา.
[คำโปรยหน้า 179]
นักเรียนแทบไม่เคยทราบข้อคิดเห็นในทางค้นค้าน
[คำโปรยหน้า 180]
คำสอนแบบวิวัฒนาการแพร่ในวิทยาศาสตร์และในสาขาอื่น ๆ
[คำโปรยหน้า 180]
นักการศึกษาและนักวิทยาศาสตร์หลายคนกล่าวหรือชี้ว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่ยอมเชื่อเรื่องวิวัฒนาการ
[คำโปรยหน้า 182]
“วิทยาศาสตร์ [แบบวิวัฒนาการ] เผยให้เห็นแนวโน้มอันน่าเป็นห่วงที่จะเชื่อก่อนได้ทำการตรวจสอบ”
[คำโปรยหน้า 182]
“ข้อเท็จจริงและการตีความซึ่งดาร์วินได้ใช้นั้นปัจจุบันใช้ไม่ได้แล้ว”
[คำโปรยหน้า 183]
“การปกปิดข้อคัดค้าน . . . เป็นเรื่องผิดปกติและน่ารังเกียจในวงการวิทยาศาสตร์”
[คำโปรยหน้า 185]
สภาพว่างเปล่าที่ความผิดพลาดทางศาสนาก่อขึ้น มักจะนำไปสู่การยอมรับเรื่องวิวัฒนาการ
[คำโปรยหน้า 187]
เพราะมีความทุกข์ยากอยู่มากมาย หลายคนจึงไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า และยอมรับเรื่องวิวัฒนาการ
[ภาพหน้า 181]
ยังมีการถกเถียงอยู่อีกไหมในเรื่องโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ไฮโดรเจนและออกซิเจนกลายเป็นน้ำ และความจริงเรื่องแรงโน้มถ่วง?
วงโคจร
น้ำ
แรงโน้มถ่วง
[ภาพหน้า 184]
การที่นักบวชสนับสนุนทั้งสองฝ่ายในสงคราม การปิดกั้นเสรีภาพทางศาสนาและคำสอนเท็จเช่น เรื่องไฟนรก ทำให้หลายคนละทิ้งความเชื่อ
[ภาพหน้า 186]
ความเป็นอยู่จริงของพระผู้สร้างเห็นได้จาก “สิ่งทรงสร้าง”