วิวัฒนาการเข้ากับคัมภีร์ไบเบิลได้ไหม?
เป็นไปได้ไหมว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากสัตว์โดยใช้วิวัฒนาการ? พระเจ้าทรงจัดการให้แบคทีเรียพัฒนาขึ้นเป็นปลาแล้วพัฒนาต่อไปเป็นสัตว์เลื้อยคลาน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และในที่สุดก็เป็นสายพันธุ์ลิงซึ่งกลายเป็นมนุษย์อย่างนั้นไหม? นักวิทยาศาสตร์และผู้นำศาสนาบางคนอ้างว่าเชื่อทั้งทฤษฎีวิวัฒนาการและการทรงสร้างโดยพระเจ้าตามที่บอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. พวกเขาบอกว่าพระธรรมเยเนซิศเป็นเรื่องเล่าเชิงเปรียบเทียบ. คุณอาจสงสัยว่า ‘ทฤษฎีที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์เข้ากันได้ไหมกับเรื่องการทรงสร้างในคัมภีร์ไบเบิล?’
ความเข้าใจว่ามนุษย์เรากำเนิดมาอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญมากถ้าเราอยากรู้ว่าเราเป็นใคร เราจะเป็นอย่างไรต่อไป และเราควรดำเนินชีวิตอย่างไร. เราต้องรู้เรื่องการกำเนิดของมนุษย์ เราจึงจะเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงยอมให้มีความทุกข์และเข้าใจว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์อย่างไรสำหรับอนาคตของมนุษย์. เราไม่อาจมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าได้เลยถ้าเราไม่แน่ใจว่าพระองค์เป็นผู้สร้างเราหรือไม่. ฉะนั้น ให้เรามาตรวจดูว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไรในเรื่องการกำเนิดของมนุษย์ สถานะปัจจุบันของมนุษย์ และอนาคตของมนุษย์. แล้วเราก็จะเห็นว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเข้ากันได้ไหมกับคัมภีร์ไบเบิล.
ในคราวที่มีมนุษย์คนเดียว
นักวิวัฒนาการโดยทั่วไปอ้างว่าประชากรสัตว์ค่อย ๆ พัฒนาเป็นประชากรมนุษย์ พวกเขาไม่ยอมรับว่าครั้งหนึ่งเคยมีมนุษย์อยู่เพียงคนเดียว. แต่คัมภีร์ไบเบิลให้เรื่องราวที่แตกต่างกันมาก. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเราเกิดจากมนุษย์คนเดียว คืออาดาม. เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าอาดามเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ และยังบอกชื่อภรรยาและลูก ๆ บางคนของเขาด้วย. คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างละเอียดว่าเขาทำอะไร พูดอะไร มีชีวิตอยู่เมื่อไร และตายเมื่อไร. พระเยซูไม่ได้ทรงถือว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าเชิงเปรียบเทียบสำหรับคนที่ไม่ได้รับการศึกษาสูง. ในคราวที่พระองค์ตรัสกับพวกผู้นำศาสนาที่ได้รับการศึกษาสูงนั้น พระองค์ตรัสว่า “พวกเจ้าไม่ได้อ่านหรือว่าพระองค์ผู้ทรงสร้างมนุษย์ในตอนเริ่มต้นนั้นได้สร้างให้เป็นชายและหญิง?” (มัดธาย 19:3-5) แล้วพระเยซูทรงยกข้อความเกี่ยวกับอาดามและฮาวาซึ่งมีบันทึกไว้ที่เยเนซิศ 2:24 มากล่าว.
ลูกาซึ่งเป็นผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลและนักประวัติศาสตร์ที่ละเอียดถี่ถ้วนคนหนึ่งได้กล่าวถึงอาดามว่าเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับพระเยซู. ลูกาค้นคว้าเรื่องลำดับวงศ์ตระกูลของพระเยซูย้อนไปจนถึงอาดามมนุษย์คนแรก. (ลูกา 3:23-38) เช่นเดียวกัน เมื่ออัครสาวกเปาโลพูดต่อหน้าผู้ฟังซึ่งมีพวกนักปรัชญาที่ศึกษาในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของชาวกรีกอยู่ด้วยนั้น ท่านบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าที่ได้สร้างโลกและสรรพสิ่งในโลก . . . ทรงสร้างคนทุกชาติจากคนคนเดียวให้อยู่ทั่วพื้นโลก.” (กิจการ 17:24-26) คัมภีร์ไบเบิลบอกชัดว่าเราสืบเชื้อสายมาจาก “คนคนเดียว.” สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกเกี่ยวกับสภาพของมนุษย์ตอนที่กำเนิดมานั้นเข้ากันกับวิวัฒนาการไหม?
มนุษย์เสื่อมจากความสมบูรณ์
ตามที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ พระยะโฮวาทรงสร้างมนุษย์คนแรกให้สมบูรณ์. เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงสร้างสิ่งที่ไม่สมบูรณ์. บันทึกเรื่องการทรงสร้างบอกว่า “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์ . . . พระเจ้าทอดพระเนตรดูสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้นั้นเห็นว่าดีนัก.” (เยเนซิศ 1:27, 31) มนุษย์สมบูรณ์เป็นอย่างไร?
มนุษย์สมบูรณ์มีเสรีภาพในการตัดสินใจและมีความสามารถที่จะเลียนแบบคุณลักษณะของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นคนซื่อตรง แต่พวกเขาเองได้คิดค้นแผนการออกมามากมาย.” (ท่านผู้ประกาศ 7:29, ล.ม.) อาดามเลือกขืนอำนาจพระเจ้า. เนื่องจากการขืนอำนาจนั้น อาดามจึงทำให้ตนเองกับลูกหลานสูญเสียความสมบูรณ์. การที่มนุษย์เสื่อมจากความสมบูรณ์นี่แหละเป็นสาเหตุที่เรามักไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องแม้ว่าเราอยากจะทำตาม. อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ แต่ข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียด.”—โรม 7:15.
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่ามนุษย์สมบูรณ์จะมีชีวิตตลอดไปและสุขภาพสมบูรณ์. จากถ้อยคำที่พระเจ้าตรัสกับอาดาม ปรากฏชัดว่าถ้ามนุษย์คนแรกไม่ฝ่าฝืนพระบัญชาของพระเจ้า เขาจะไม่ตายเลย. (เยเนซิศ 2:16, 17; 3:22, 23) พระยะโฮวาคงไม่ตรัสว่ามนุษย์ที่ทรงสร้างขึ้นนั้น “ดีนัก” ถ้ามนุษย์มีแนวโน้มจะเจ็บป่วยหรือขืนอำนาจ. การเสื่อมจากความสมบูรณ์เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายมนุษย์พิกลพิการและเจ็บป่วยได้ง่ายแม้ว่าถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีเยี่ยมก็ตาม. ฉะนั้น วิวัฒนาการจึงเข้ากันกับคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้. วิวัฒนาการบอกว่ามนุษย์ปัจจุบันคือสัตว์ที่พัฒนามาถึงขั้นสูงแล้ว แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่ามนุษย์ปัจจุบันเป็นเชื้อสายที่เสื่อมลงของมนุษย์สมบูรณ์.
เช่นกัน แนวคิดที่ว่าพระเจ้าทรงใช้วิวัฒนาการเพื่อให้เกิดมีมนุษย์นั้นก็ขัดแย้งกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกเกี่ยวกับบุคลิกภาพของพระเจ้า. ถ้าพระเจ้าทรงกำหนดกระบวนการวิวัฒนาการ นั่นก็คงหมายความว่าพระองค์กำหนดให้มนุษย์ประสบโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ในสมัยนี้. แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกเกี่ยวกับพระเจ้าว่า “ผู้เป็นศิลา กิจการของพระองค์สมบูรณ์พร้อม เพราะทางทั้งปวงของพระองค์ยุติธรรม. พระเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ซึ่งกับพระองค์นั้นไม่มีความอยุติธรรม; พระองค์ทรงชอบธรรมและซื่อตรง. เขาทั้งหลายได้ลงมือก่อความหายนะในส่วนของเขาเอง; เขาทั้งหลายหาได้เป็นบุตรของพระองค์ไม่ ข้อบกพร่องเป็นของเขาเอง.” (พระบัญญัติ 32:4, 5, ล.ม.) ดังนั้น ความทุกข์ของมนุษย์ในสมัยนี้จึงไม่ใช่ผลของการที่พระเจ้าทรงใช้วิวัฒนาการ. นั่นเป็นผลของการที่มนุษย์ผู้หนึ่งทำให้ตนกับลูกหลานสูญเสียความสมบูรณ์โดยการขืนอำนาจพระเจ้า. ที่เราพิจารณามาแล้วนี้เป็นเรื่องอาดาม ตอนนี้เราจะมาพิจารณาเรื่องพระเยซู. เรื่องวิวัฒนาการกับเรื่องพระเยซูตามที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้เข้ากันได้ไหม?
คุณจะเชื่อทั้งวิวัฒนาการ และคำสอนคริสเตียนได้ไหม?
ตามที่คุณคงรู้มาบ้าง คำสอนสำคัญข้อหนึ่งของคริสเตียนคือ “พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา.” (1 โครินท์ 15:3; 1 เปโตร 3:18) แต่ถ้าจะเข้าใจว่าทำไมวิวัฒนาการเข้ากันไม่ได้กับคำกล่าวนั้น เราต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเราเป็นคนบาปและบาปทำให้เกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง.
ที่ว่าเราทุกคนเป็นคนบาปนั้นหมายความว่า เราไม่อาจเลียนแบบคุณลักษณะอันยอดเยี่ยมของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ความรักและความยุติธรรม. ดังนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงบอกว่า “ทุกคนได้ทำบาปและไม่ได้แสดงคุณลักษณะอันยอดเยี่ยมของพระเจ้าอย่างที่ควรจะแสดง.” (โรม 3:23) คัมภีร์ไบเบิลสอนว่าบาปเป็นสาเหตุของความตาย. ที่ 1 โครินท์ 15:56 บอกว่า “เหล็กในซึ่งทำให้เกิดความตายคือบาป.” นอกจากนี้ บาปที่เราได้รับตกทอดมานั้นยังเป็นสาเหตุสำคัญของความเจ็บป่วยด้วย. พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่ามีความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างความเจ็บป่วยกับความบาป. พระองค์ตรัสกับคนที่เป็นอัมพาตคนหนึ่งว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” และคนนั้นก็หายเป็นปกติ.—มัดธาย 9:2-7.
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูช่วยเราอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลเปรียบอาดามกับพระเยซูคริสต์ว่า “คนทั้งปวงตายเนื่องจากอาดาม คนทั้งปวงจะถูกทำให้มีชีวิตอีกก็เนื่องจากพระคริสต์.” (1 โครินท์ 15:22) ด้วยการสละพระชนม์ชีพของพระองค์ พระเยซูทรงจ่ายค่าไถ่บาปที่เราได้รับตกทอดมาจากอาดาม. ดังนั้น ทุกคนที่มีความเชื่อในพระเยซูและเชื่อฟังพระองค์จะได้รับสิ่งที่อาดามทำให้สูญเสียไป นั่นคือ ชีวิตนิรันดร.—โยฮัน 3:16; โรม 6:23.
ฉะนั้น คุณเห็นไหมว่าวิวัฒนาการไม่เข้ากันกับคำสอนคริสเตียน? ถ้าเราสงสัยเรื่อง “คนทั้งปวงตายเนื่องจากอาดาม” เราจะหวังได้อย่างไรว่า “คนทั้งปวงจะถูกทำให้มีชีวิตอีกก็เนื่องจากพระคริสต์”?
สาเหตุที่ผู้คนสนใจวิวัฒนาการ
คัมภีร์ไบเบิลเผยให้เห็นว่าทำไมคำสอนเรื่องวิวัฒนาการเป็นที่นิยมกันโดยบอกว่า “จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะไม่ยอมฟังคำสอนที่ก่อประโยชน์ แต่จะรวบรวมครูไว้มาก ๆ เพื่อให้สอนเรื่องที่พวกเขาชอบฟังตามที่พวกเขาต้องการ และพวกเขาจะเลิกฟังความจริงแล้วหันไปฟังเรื่องเท็จ.” (2 ติโมเธียว 4:3, 4) แม้ว่าตามปกติแล้วมีการนำเสนอเรื่องวิวัฒนาการด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ แต่ที่จริง วิวัฒนาการเป็นเรื่องที่สอนในเชิงศาสนา. วิวัฒนาการสอนปรัชญาเกี่ยวกับชีวิตและทัศนะต่อพระเจ้า. คนที่เห็นแก่ตัวและไม่ยอมขึ้นกับใครมักชอบคำสอนเรื่องวิวัฒนาการ. หลายคนที่เชื่อวิวัฒนาการบอกว่าพวกเขาเชื่อพระเจ้าด้วย. แต่พวกเขาคิดเอาเองว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่าง ๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องมนุษย์ และจะไม่พิพากษาคนเรา. นี่เป็นหลักข้อเชื่อที่ผู้คนชอบ.
ผู้คนที่สนับสนุนวิวัฒนาการมักถูกกระตุ้นด้วยสิ่ง “ที่พวกเขาต้องการ” ไม่ใช่ด้วยข้อเท็จจริง อาจเป็นความต้องการเป็นที่ยอมรับจากแวดวงวิทยาศาสตร์ซึ่งวิวัฒนาการเป็นหลักคำสอนอันเป็นที่ยอมรับกัน. นักชีวเคมีชื่อ ไมเคิล บีฮี ซึ่งใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อศึกษาการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนภายในเซลล์สิ่งมีชีวิตชี้แจงว่า คนที่สอนวิวัฒนาการของโครงสร้างเซลล์นั้นไม่มีเหตุผลสนับสนุนสิ่งที่พวกเขาอ้าง. วิวัฒนาการเกิดขึ้นได้ไหมในสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วระดับโมเลกุล? เขาเขียนว่า “วิวัฒนาการของโมเลกุลไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์. ในบรรดาหนังสือวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นวารสารอันเป็นที่ยอมรับนับถือกัน หรือจะเป็นวารสารหรือหนังสือเฉพาะทาง ไม่มีสักเล่มที่อธิบายวิธีที่วิวัฒนาการของโมเลกุลของระบบชีวเคมีที่ซับซ้อนใด ๆ ได้เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้น. . . . การยืนยันเรื่องวิวัฒนาการของโมเลกุลตามทฤษฎีของดาร์วินเป็นแค่การคุยโว.”
ถ้าพวกนักวิวัฒนาการให้หลักฐานพิสูจน์สิ่งที่ตนเชื่อไม่ได้ ทำไมพวกเขาจึงสนับสนุนแนวคิดของตนอย่างหนักแน่นเช่นนั้น? บีฮีชี้แจงว่า “ผู้คนจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งคนสำคัญ ๆ หลายคนและพวกนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับนับถือ ต่างไม่อยากรู้ว่าอาจมีพลังเหนือธรรมชาติที่เป็นเหตุให้เกิดการสร้าง.”
คำสอนเรื่องวิวัฒนาการดึงดูดความสนใจของพวกนักเทศน์นักบวชหลายคนที่อยากแสดงตัวว่าเป็นคนฉลาดรอบรู้. พวกเขาคล้ายกับคนเหล่านั้นที่อัครสาวกเปาโลพรรณนาในจดหมายที่เขียนถึงคริสเตียนในกรุงโรม. ท่านเปาโลเขียนว่า “เพราะสิ่งที่รู้ได้เกี่ยวกับพระเจ้าก็ปรากฏชัดท่ามกลางพวกเขา . . . ด้วยว่าคุณลักษณะของพระองค์อันไม่ประจักษ์แก่ตา คือฤทธิ์อันถาวรและความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ก็เห็นได้ชัดตั้งแต่การสร้างโลกเป็นต้นมา เพราะคุณลักษณะเหล่านั้นเป็นที่เข้าใจได้โดยดูจากสิ่งที่ถูกสร้าง ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัว เพราะแม้พวกเขารู้จักพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้ยกย่องพระองค์ในฐานะเป็นพระเจ้า และไม่ได้ขอบพระคุณพระองค์ แต่กลับคิดหาเหตุผลอย่างโง่ ๆ และใจที่โง่เขลาของพวกเขาก็มืดไป. แม้พวกเขาอ้างว่าตนมีปัญญา แต่พวกเขาเป็นคนโง่.” (โรม 1:19-22) ถ้าคุณไม่อยากถูกพวกผู้สอนเท็จหลอกลวง คุณจะทำอย่างไร?
ความเชื่อในเรื่องพระผู้สร้างอาศัยหลักฐานแน่ชัด
คัมภีร์ไบเบิลเน้นความสำคัญของหลักฐานเมื่ออธิบายความหมายของความเชื่อ โดยบอกว่า “ความเชื่อคือความมั่นใจโดยมีเหตุผลหนักแน่นว่าสิ่งที่หวังไว้จะเกิดขึ้น และเป็นความแน่ใจโดยมีหลักฐานชัดเจนว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมีจริง.” (ฮีบรู 11:1) ความเชื่อแท้ในพระเจ้าควรอาศัยหลักฐานที่แสดงว่ามีพระผู้สร้างจริง. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคุณจะหาหลักฐานเช่นนั้นได้ที่ไหน.
ดาวิด ผู้ได้รับการดลใจให้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเขียนดังนี้: “ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพเจ้าถูกสร้างอย่างน่าพิศวงในวิธีที่น่าเกรงขาม.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:14, ล.ม.) การใช้เวลาใคร่ครวญเรื่องร่างกายของเราและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ซึ่งได้รับการออกแบบอย่างยอดเยี่ยมทำให้เราเต็มไปด้วยความเกรงขามในพระสติปัญญาของพระองค์ผู้ทรงสร้างเรา. ทุกส่วนในระบบต่าง ๆ นับพันนับหมื่นระบบในร่างกายเราที่ประสานงานกันเพื่อทำให้เรามีชีวิตอยู่นั้นได้รับการออกแบบอย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ. เช่นเดียวกัน เอกภพก็ให้หลักฐานแสดงว่ามีการคำนวณที่ถูกต้องแม่นยำและความเป็นระเบียบ. ดาวิดเขียนว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศสง่าราศีของพระเจ้า; และท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลกล่าวถึงพระหัตถกิจของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 19:1.
คัมภีร์ไบเบิลเป็นแหล่งรวบรวมหลักฐานมากมายเกี่ยวกับพระผู้สร้าง. ถ้าคุณใช้เวลาตรวจดูความสอดคล้องต้องกันของหนังสือ 66 เล่มในคัมภีร์ไบเบิล, ดูมาตรฐานศีลธรรมอันสูงส่ง, และความสำเร็จครบถ้วนของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล คุณจะได้หลักฐานมากมายที่แสดงว่าพระผู้สร้างทรงเป็นผู้ประพันธ์หนังสือนี้. ถ้าคุณเข้าใจคำสอนต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล คุณก็จะมั่นใจว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำของพระผู้สร้างจริง ๆ. ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเข้าใจคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องต้นเหตุของความทุกข์ยาก, เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า, อนาคตของมนุษย์, และวิธีที่เราจะมีความสุข คุณจะเห็นชัดถึงพระสติปัญญาของพระเจ้า. คุณจะรู้สึกอย่างท่านเปาโลรู้สึกเมื่อท่านเขียนว่า “โอ้ความมั่งคั่งและสติปัญญาและความรู้ของพระเจ้าล้ำลึกเสียจริง! คำพิพากษาของพระองค์เหลือกำลังที่จะสืบค้นได้และทางของพระองค์เหลือวิสัยที่จะสืบเสาะได้!”—โรม 11:33.
ขณะที่คุณตรวจดูหลักฐานและมีความเชื่อมากขึ้น คุณจะมั่นใจว่าเมื่อคุณอ่านคัมภีร์ไบเบิล คุณกำลังฟังคำตรัสของพระผู้สร้างเอง. พระองค์ตรัสว่า “เราได้สร้างพิภพ, และสร้างมนุษย์ไว้บนพิภพ; หัตถ์ของเราได้กางท้องฟ้าไว้, และเราได้จัดดาราทั้งหลายให้เข้าระเบียบ.” (ยะซายา 45:12) คุณจะไม่เสียใจเลยถ้าคุณพยายามพิสูจน์จนแน่ใจว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง.
[คำโปรยหน้า 14]
อัครสาวกเปาโลบอกชาวกรีกที่มีการศึกษาสูงว่า “พระเจ้า . . . ทรงสร้างคนทุกชาติจากคนคนเดียว”
[คำโปรยหน้า 15]
วิวัฒนาการบอกว่ามนุษย์ปัจจุบันคือสัตว์ที่พัฒนามาถึง ขั้นสูงแล้ว แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่ามนุษย์ปัจจุบันเป็นเชื้อสายที่เสื่อมลงของมนุษย์สมบูรณ์
[คำโปรยหน้า 16]
“วิวัฒนาการของโมเลกุลไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์”
[คำโปรยหน้า 17]
การออกแบบสิ่งมีชีวิตอย่างยอดเยี่ยมทำให้เราเต็มไปด้วยความเกรงขามในพระสติปัญญาของพระองค์ผู้ทรงสร้างเรา