บท 16
เหตุใดพระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์?
1. คนเป็นอันมากให้เหตุผลว่าอย่างไรเมื่อเขาสงสัยสภาพความเป็นอยู่ของพระผู้สร้าง?
เหตุผลที่ทำให้หลายคนสงสัยในสภาพเป็นอยู่ของพระผู้สร้างก็คือ ความทุกข์ทรมานที่มีดกดื่นแพร่หลายในโลก. ตลอดศตวรรษต่าง ๆ เรื่อยมามีความโหดร้ายทารุณ การนองเลือดและการกระทำชั่วร้ายซึ่ง ๆ หน้า อันเป็นเหตุให้ผู้คนหลายล้านที่ไม่มีความผิดพลอยรับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส. หลายคนจึงถามว่า ‘ถ้ามีพระเจ้า ทำไมพระองค์ยอมให้สิ่งชั่วร้ายมีอยู่?’ ดังที่เราเข้าใจแล้วว่า บันทึกของคัมภีร์ไบเบิลถูกต้องกับข้อเท็จจริงทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น แล้วคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยเราให้เข้าใจได้ไหมว่า ทำไมพระผู้สร้างองค์ทรงอานุภาพยอมให้มีความทุกข์ทรมานแสนเข็ญอยู่นานขนาดนี้?
2. พระคัมภีร์พรรณนาอาณาบริเวณที่จัดให้มนุษย์คู่แรกเข้าไปอยู่นั้นอย่างไร?
2 บทต้น ๆ ของพระธรรมเยเนซิศให้เรื่องที่เป็นพื้นความรู้สำหรับตอบคำถามนี้. บทเหล่านั้นพรรณนาเรื่องการสร้างโลกที่ปราศจากความทุกข์. ชายหญิงคู่แรกถูกสร้างให้อยู่ภายในบริเวณอุทยาน สวนอันสวยงามที่มีชื่อว่าเอเดน แล้วทั้งสองได้รับมอบหน้าที่ให้ทำงานซึ่งยังความเพลิดเพลินและเป็นงานที่ท้าทาย. ในเรื่องแผ่นดินโลกนั้น พระเจ้าทรงสั่งเขา “ให้ทำงานรักษาสวน.” นอกจากนั้น เขาได้รับอำนาจที่จะ “ครอบครองฝูงปลาในทะเลและฝูงนกในอากาศกับบรรดาสัตว์ที่ไหวกายได้ซึ่งอยู่บนแผ่นดิน.”—เยเนซิศ 1:28; 2:15.
3. อาดามและฮาวามีโอกาสอะไรอยู่ตรงหน้าเขา?
3 นอกจากนั้น เนื่องจากมนุษย์คู่แรกถูกสร้างให้มีร่างกายพร้อมด้วยจิตใจที่สมบูรณ์ไม่มีที่ติได้ เขาจึงไม่มีจุดบกพร่องในทางหนึ่งทางใดเลย. ฉะนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่เขาทั้งสองจะเจ็บป่วยหรือแก่ชราลงหรือตายไป. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขามีโอกาสจะชื่นชมกับอนาคตอันไม่สิ้นสุดในอุทยานบนแผ่นดินโลก.—พระบัญญัติ 32:4.
4. พระเจ้าทรงมีพระประสงค์เช่นไรสำหรับมนุษย์และแผ่นดินโลกนี้?
4 อนึ่ง ชายหญิงคู่แรกได้รับบัญชาให้ ‘บังเกิดทวีลูกหลานมากขึ้นให้อยู่เต็มแผ่นดิน.’ ขณะที่เขาทั้งสองจะให้กำเนิดบุตร ครอบครัวมนุษย์จะเพิ่มจำนวน แล้วแผ่เขตแดนอุทยาน ซึ่งในที่สุดจะคลุมพื้นที่ทั่วพิภพ. ดังนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะเป็นครอบครัวที่มีเอกภาพ ทุกคนมีพลานามัยสมบูรณ์อยู่ในโลกที่เป็นอุทยาน.
ความจำเป็นที่จะยอมรับการปกครองของพระเจ้า
5. ทำไมจึงจำเป็นที่มนุษย์ต้องยอมรับเอาการปกครองของพระเจ้า?
5 แต่เพื่อทุกอย่างจะประสานกันอย่างต่อเนื่อง มนุษย์คู่แรกต้องยอมรับสิทธิของพระผู้สร้างที่จะปกครองมนุษยชาติ. นั่นคือเขาต้องยอมรับพระบรมเดชานุภาพของพระองค์. ทำไม? ประการแรกเพราะว่าเป็นการสมควร. ผู้ประดิษฐ์อะไรขึ้นมาย่อมทรงสิทธิที่จะควบคุมสิ่งที่ตนคิดทำขึ้นมา. มีการคำนึงถึงหลักการนี้ด้วยกฎหมายคุ้มครองกรรมสิทธิ์. ยิ่งกว่านั้น มนุษย์จะต้องยอมรับการชี้นำจากพระผู้สร้างเนื่องจากเหตุผลสำคัญที่ว่า: มนุษย์ไม่ได้รับการออกแบบให้มีความสามารถจะปกครองตัวเองได้อย่างมีผลสำเร็จต่างหากจากพระผู้สร้าง เหมือนกับเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้หากเขาไม่กินอาหาร ไม่ดื่มน้ำ ไม่หายใจ. ประวัติศาสตร์ยืนยันความถูกต้องของคัมภีร์ไบเบิลที่บอกว่า “ทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินไปนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.” (ยิระมะยา 10:23) ตราบใดที่มนุษย์อยู่ในกรอบที่พระผู้สร้างของเขากำหนดไว้ ชีวิตของเขาจะดำเนินอยู่เรื่อยไปอย่างราบรื่นและเป็นสุขตราบนั้น.
6, 7. (ก) พระเจ้าทรงให้มนุษย์มีอิสรภาพแบบไหน และทำไม? (ข) มนุษย์คู่แรกได้ตัดสินใจเลือกอย่างผิด ๆ เช่นไร?
6 อีกประการหนึ่ง มนุษย์ถูกสร้างให้มีอิสระในการคิด เขาไม่ได้ถูกสร้างให้โต้ตอบเหมือนหุ่นยนต์ หรือถูกบังคับให้ทำการเฉพาะอย่างโดยถือเอาสัญชาตญาณเป็นสำคัญเหมือนจำพวกสัตว์หรือแมลง. แต่อิสรภาพในที่นี้มีขอบเขต. ควรใช้อิสรภาพเช่นนี้โดยสำนึกถึงความรับผิดชอบภายใต้ขอบเขตกฎหมายของพระเจ้า กฎหมายซึ่งเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย. โปรดสังเกตวิธีวางหลักเกณฑ์นี้ในพระคัมภีร์ที่ว่า “จงเป็นเหมือนคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้นให้เป็นที่ปกปิดความชั่วไว้ แต่จงใช้เหมือนเป็นทาสของพระเจ้า.” (1 เปโตร 2:16) หากปราศจากกฎหมายควบคุมความเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน ก็คงเป็นอนาธิปไตยและทุกคนก็ต้องประสบความเสียหาย.
7 ขณะที่อิสรภาพอันมีขอบเขตเป็นที่น่าปรารถนา แต่อิสรภาพมากเกินไปไม่ดีแน่. ถ้าคุณปล่อยเด็กมีอิสระมากเกินไปอาจเป็นเหตุให้เด็กเล่นกลางถนนที่รถวิ่งขวักไขว่หรือเด็กอาจเอามือแหย่ในเตาร้อน ๆ ก็ได้. การมีอิสระที่จะตัดสินใจทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงการชี้นำของพระผู้สร้างของเราอาจเป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่าง ๆ นานา. ก็เป็นเช่นนั้นกับมนุษย์คู่แรก. เขาสมัครใจใช้อิสรภาพที่มีอยู่ไปในทางที่ผิด. เขาตัดสินใจที่จะไม่หมายพึ่งพระผู้สร้างเพื่อให้ ‘เป็นเหมือนพระเจ้า.’ เขาคิดว่าตนเองตัดสินใจได้ว่าไหนดีไหนชั่ว.—เยเนซิศ 3:5.
8. เกิดอะไรขึ้นเมื่ออาดามกับฮาวาถอนตัวจากการปกครองของพระเจ้า?
8 เมื่อมนุษย์คู่แรกได้ถอนตัวจากการชี้นำของพระผู้สร้างแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาก็คล้ายกันกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณดึงปลั๊กพัดลมนั่นทีเดียว. ตราบใดคุณเสียบปลั๊กพัดลมเข้ากับปลั๊กไฟ ใบพัดก็หมุน. หากคุณถอดปลั๊ก พัดลมจะหมุนช้าลงแล้วหยุดหมุนในที่สุด. นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาดามและฮาวาเมื่อเขาถอนตัวจากพระผู้สร้างผู้เป็น “บ่อเกิดแห่งชีวิต.” (บทเพลงสรรเสริญ 36:9) เนื่องด้วยเขาทั้งสองจงใจเลือกที่จะไม่หมายพึ่งพระผู้สร้าง พระองค์ยอมให้เขาเรียนรู้ผลของการเลือกนั้น ด้วยการปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ. ดังที่หลักคัมภีร์ข้อหนึ่งว่า “ถ้าพวกท่านละทิ้งพระองค์ พระองค์จะละทิ้งพวกท่านเสีย.” (2 โครนิกา 15:2) เมื่อขาดพลังค้ำจุนจากพระผู้สร้างแล้ว ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ก็เริ่มเสื่อมทรุด. ครั้นเวลาผ่านไป เขาก็แก่ลงกระทั่งตายในที่สุด.—เยเนซิศ 3:19; 5:5.
9. โดยที่มนุษย์คู่แรกได้เลือกทางผิดจึงมีผลกระทบมนุษยชาติอย่างไร?
9 เมื่ออาดามกับฮาวาตกลงใจไม่อาศัยพระผู้สร้างของตน เขาก็เสื่อมถอยจากสภาพสมบูรณ์. ทั้งนี้เกิดขึ้นก่อนเขามีบุตร. ฉะนั้น เมื่อเขาให้กำเนิดบุตร บุตรเหล่านั้นสะท้อนสภาพของพ่อแม่คือความไม่สมบูรณ์. ดังนั้น มนุษย์คู่แรกได้กลายเป็นเหมือนแม่แบบที่มีรอยตำหนิ. เพราะเหตุนั้น พวกเราล้วนแต่เกิดมาไม่สมบูรณ์พร้อมและได้รับความชรา ความเจ็บป่วยและความตายสืบทอดมาถึงเรา. ความไม่สมบูรณ์อย่างนี้ควบกับการแยกอยู่ห่างพระผู้สร้างและการละเลยกฎหมายของพระองค์เปิดทางให้มนุษย์ประพฤติอย่างโง่เขลา. โดยเหตุนี้ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้าโศก ความเจ็บป่วยและความตาย.—บทเพลงสรรเสริญ 51:5; โรม 5:12.
10. (ก) เกิดการกบฏอะไรขึ้นในแดนวิญญาณ? (ข) เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?
10 ทั้งนี้หมายความว่า ความชั่วได้เริ่มต้นกับมนุษย์เสียทั้งหมดหรือ? ไม่ใช่. ก่อนสร้างมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกกายวิญญาณจำนวนมากมายให้อยู่ในสวรรค์. (โยบ 38:4, 7) กายวิญญาณเหล่านี้มีอิสระในการคิดเช่นกัน และมีโอกาสจะเลือกรับเอาการชี้นำของพระผู้สร้าง. หนึ่งในบรรดาผู้ที่เป็นกายวิญญาณนั้นเลือกคิดรำพึงอยากจะอยู่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับใคร. ความทะเยอทะยานของเขาก่อตัวถึงขีดที่ทำให้เขาท้าทายอำนาจของพระเจ้า. มันบอกฮาวาภรรยาของอาดามว่า เธอจะละเมิดกฎหมายของพระเจ้าได้ ถึงอย่างนั้น “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก.” (เยเนซิศ 3:4; ยาโกโบ 1:13-15) คำพูดเช่นนี้แสดงนัยว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระผู้สร้างเพื่อจะมีชีวิตและความสุข. ที่แท้แล้วมันบอกว่าการละเมิดกฎหมายจะทำให้เขามีฐานะดีขึ้น. ทำให้เขาเป็นเหมือนพระเจ้า. ฉะนั้น มันชวนให้นึกสงสัยความถูกต้องแห่งกฎหมาย และวิธีการปกครองของพระเจ้า. ที่แท้มันทำให้มนุษย์สงสัยสิทธิ การครอบครองของพระผู้สร้าง. เพราะการใส่ความนี้เอง มันได้ชื่อว่า ซาตาน และพญามาร ซึ่งคำเหล่านี้แปลคำในภาษาพระคัมภีร์ที่หมายความว่า “ผู้ต่อต้าน” และ “ผู้หมิ่นประมาท.” ตลอดเวลาที่ผ่านมา 6,000 ปี ท่าทีอย่างนี้ของซาตานมีอิทธิพลต่อมนุษยชาติด้วยการส่งเสริมนโยบายว่า ‘ถ้าไม่ปกครองก็ทำลาย.’—ลูกา 4:2-8; 1 โยฮัน 5:19; วิวรณ์ 12:9.
11. ทำไมพระเจ้าไม่ทรงขจัดพวกกบฏเสียแต่แรก?
11 แต่ทำไมพระเจ้าไม่ได้ทำลายพวกนี้เสียแต่แรกคือ ทั้งมนุษย์และกายวิญญาณที่กบฏ? คำตอบอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่า ประเด็นสำคัญถูกยกขึ้นมาให้ประจักษ์แก่บรรดาสรรพสัตว์ที่มีเชาวน์ปัญญา. เช่น การไม่อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระจ้านั้นจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ยั่งยืนไหม? การชี้นำทางที่มาจากพระเจ้าดีกว่า หรือการชี้นำของมนุษย์เองจะดีกว่า? มนุษย์จะปกครองโลกนี้อย่างมีผลสำเร็จได้ไหมถ้าไม่พึ่งพระผู้สร้าง? มนุษย์จำต้องอาศัยการนำทางจากพระเจ้าจริง ๆ ไหม? คำถามเหล่านี้ต้องได้รับคำตอบซึ่งอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์.
ทำไมนานนัก?
12. ถ้าพระเจ้าได้ทรงดำเนินการตั้งแต่ต้น อาจจะมีการกล่าวหาพระองค์อย่างไร?
12 กระนั้น ทำไมพระเจ้าปล่อยเวลาล่วงเลยมานานนัก กว่าพระองค์จะจัดการเรื่องเหล่านี้-จนบัดนี้ประมาณ 6,000 ปี? จะทำให้ยุติลงอย่างน่าพอใจตั้งนานมาแล้วไม่ได้หรือ? สมมุติว่า พระเจ้าได้ทรงดำเนินการนานมาแล้ว อาจมีข้อกล่าวหาว่าพระเจ้าไม่ให้มนุษย์มีโอกาสพอเพียงที่จะพัฒนารัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่จำเป็นอันจะนำมาซึ่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองแก่ทุกคน. ดังนั้นด้วยพระสติปัญญาสุขุม พระเจ้าทรงทราบว่าจะต้องใช้เวลาเพื่อยุติประเด็นต่าง ๆ ซึ่งยกขึ้นมา. พระองค์ทรงยอมให้มนุษย์มีเวลานานพอ.
13, 14. ผลของการไม่พึ่งพาพระเจ้ามีอะไรบ้าง?
13 ตลอดศตวรรษต่าง ๆ มนุษย์ได้พยายามจัดตั้งระบอบการปกครอง ระบบสังคมและระบบเศรษฐกิจทุกรูปแบบ. มนุษย์มีโอกาสพอจะทำความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีหลายอย่าง รวมทั้งการนำปรมาณูมาใช้และการเดินทางไปถึงดวงจันทร์. มีผลอย่างไร? ทั้งหมดนี้ทำให้โลกนี้เป็นโลกที่ครอบครัวมนุษย์มีความสุขสบายอย่างแท้จริงไหม?
14 หามิได้. ไม่มีอะไรเลยเท่าที่มนุษย์เคยทดลองมาแล้วได้นำสันติภาพและความสุขมาสู่มวลมนุษย์. หลังจากเวลาผ่านมานานสถานการณ์ต่าง ๆ ในโลกยิ่งไม่มั่นคง. อาชญากรรม สงคราม สภาพบ้านแตก ความยากจนและความหิวโหยลุกลามอยู่ในหลายประเทศ. การดำรงชีวิตของมนุษยชาติก็อยู่ในอันตราย. ขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่มีสมรรถนะการทำลายสูงอาจทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์แทบทั้งหมดก็ย่อมได้. ฉะนั้น ทั้งที่บากบั่นกันมานับพัน ๆ ปี ทั้งที่มนุษย์มีประสบการณ์มาตลอดหลายศตวรรษ และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีบรรลุขั้นสุดยอดแล้วก็ตาม มนุษย์ก็ยังคงปลุกปล้ำกับปัญหาขั้นพื้นฐานอย่างไร้ผล.
15. เกิดอะไรขึ้นกับแผ่นดินโลกสืบเนื่องจากการกบฏของมนุษย์?
15 กระทั่งแผ่นดินโลกเองได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย. เพราะความโลภและความสะเพร่า มนุษย์ได้ทำลายป่า ทำให้พื้นที่บางส่วนกลายเป็นทะเลทราย. สารเคมีและของเสียอื่น ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรมก่อมลภาวะในดิน ในท้องทะเลและในอากาศ. คำพรรณนาในพระคัมภีร์ประมาณ 2,000 ปีมาแล้วถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นทุกทีในปัจจุบันที่ว่า “บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และเป็นทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันจนทุกวันนี้.”—โรม 8:22.
เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิ่งใด?
16, 17. การที่เวลาล่วงเลยมานานถึงเพียงนี้จึงเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิ่งใด?
16 เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นเรื่อยมา พิสูจน์ถึงสิ่งใด? ว่าการปกครองโดยมนุษย์ซึ่งไม่หมายพึ่งผู้ที่สร้างมนุษย์นั้นไม่เป็นที่น่าพอใจ. การดำเนินกิจการต่าง ๆ บนแผ่นดินโลกจะบรรลุผลสำเร็จไม่ได้หากปราศจากพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์. ประวัติศาสตร์ยังคงยืนยันคำแถลงในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการปกครองโดยมนุษย์ที่ว่า “มนุษย์มีอำนาจเหนือมนุษย์ด้วยกันเป็นผลเสียหายแก่เขา.”—ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.
17 ความพยายามของมนุษย์ก่อผลเป็นความหายนะ เมื่อเทียบกับระเบียบและความเที่ยงตรงที่ปรากฏอยู่ในเอกภพซึ่งถูกควบคุมโดยกฎต่าง ๆ ที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้! เห็นได้ชัดว่ามนุษย์จำเป็นต้องมีการนำทางแบบนี้เพราะการเพิกเฉยต่อการควบคุมของพระเจ้าเป็นความหายนะ. ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าเราจำต้องรับการนำทางจากพระเจ้า เช่นเดียวกับที่เราจำต้องมีอากาศ น้ำและอาหาร.—มัดธาย 4:4.
18. การยืดเวลาให้นานออกไปเพื่อยุติปัญหาต่าง ๆ นั้นเป็นการวางแบบอย่างถาวรสำหรับอนาคตอย่างไร?
18 อีกประการหนึ่ง โดยการให้เวลานานพอเพื่อจะยุติประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวด้วยการปกครองของมนุษย์ พระเจ้าจึงได้ทรงวางแบบอย่างถาวรขึ้นไว้สำหรับอนาคต ซึ่งอาจเปรียบได้กับคดีตัวอย่างในศาลสูงสุด. ประเด็นนี้ยุติลงแล้วและใช้ได้ตลอดกาล: การปกครองของมนุษย์เมื่อไม่หมายพึ่งพระเจ้านั้นจะไม่สามารถนำมาซึ่งสถานการณ์อันเป็นที่น่าปรารถนาบนแผ่นดินโลก. ดังนั้น ในวันข้างหน้า ถ้าผู้ใด ๆ ที่เป็นอิสระในการคิดจะท้าทายวิธีการของพระเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องยืดเวลาให้หลายพันปีเพื่อพิสูจน์ข้อโต้แย้งนั้น. ทุกอย่างซึ่งจะต้องพิสูจน์ก็ได้พิสูจน์ไปแล้วในช่วง 6,000 ปีซึ่งพระเจ้าทรงให้โอกาส. ฉะนั้น ตลอดอนาคตกาล จะไม่มีการยอมให้การกบฏใด ๆ บ่อนทำลายความสงบสุขของชีวิตบนแผ่นดินโลกหรือหมิ่นบรมเดชานุภาพของพระเจ้าไม่ว่าที่ใดในเอกภพ. ดังที่พระคัมภีร์กล่าวเน้นดังนี้ “การต่อสู้อันนั้นจะเกิดเป็นครั้งที่สองไม่ได้.”—นาฮูม 1:9.
วิธีแก้ของพระเจ้า
19. พระเจ้าทรงใช้วิธีการเช่นไรแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากความชั่วร้าย?
19 คัมภีร์ไบเบิลมีคำชี้แจงอย่างมีเหตุผลสำหรับความทุกข์ในโลกที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น. อนึ่ง พระคัมภีร์ชี้ชัดว่า จวนถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะสำแดงอานุภาพของพระองค์ขจัดพวกที่ได้ก่อความทุกข์ยากนั้น. สุภาษิต 2:21, 22 แถลงว่า “คนตรงจะได้พำนักอยู่ในแผ่นดิน และคนดีรอบคอบจะได้ดำรงอยู่บนแผ่นดินนั้น. แต่คนบาปหยาบช้าจะถูกตัดให้สิ้นสูญจากแผ่นดิน และผู้ประทุษร้ายทั้งหลายจะถูกถอนรากเหง้าออกเสีย.” ถูกต้อง พระเจ้าจะ ‘ทำลายคนเหล่านั้นทำร้ายแผ่นดินโลก.’ (วิวรณ์ 11:18) ในที่สุด ซาตานพญามารก็จะถูกกำจัดด้วย. (โรม 16:20) พระเจ้าจะไม่ปล่อยคนชั่วทำให้แผ่นดินโลกซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้อย่างงดงามต้องเสียไป. คนใดที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของพระองค์จะถูกถอนราก. เฉพาะคนที่กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไป. (1 โยฮัน 2:15-17) คุณคงไม่เลี้ยงไก่ในเล้าเดียวกันกับสุนัขจิ้งจอก. ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อพระเจ้าฟื้นฟูอุทยานสู่สภาพเดิมสำหรับมนุษย์ที่ชอบธรรม พระองค์ก็จะไม่ปล่อยให้คนป่าเถื่อนเพ่นพ่านอยู่ในเวลาเดียวกัน.
20. ความทุกข์ทรมานที่มีมาตั้งแต่อดีตจะถูกลบล้างให้หมดไปอย่างไร?
20 ขณะที่ความทุกข์ซึ่งได้เกิดขึ้นตลอดศตวรรษต่าง ๆ นำความปวดร้าวใจมาสู่มนุษยชาติ ก็เป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมายที่ดี. อาจเปรียบได้กับการยอมให้บุตรของคุณรับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาร้ายแรงทางสุขภาพ. คุณประโยชน์ระยะยาวคงคุ้มกับความเจ็บปวดที่มีอยู่ชั่วคราว. นอกจากนั้น อนาคตที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้สำหรับแผ่นดินโลกและมนุษย์ที่อยู่อาศัยบนแผ่นดินจะลบล้างความขมขื่นในอดีตให้หมดไป: “ของเก่า ๆ นั้นเราจะไม่จดจำไว้ และจะไม่ฟื้นคิดขึ้นมาอีกเลย.” (ยะซายา 65:17) ดังนั้น ความทุกข์ใด ๆ ที่มนุษย์เคยประสบมา ในที่สุดจะลบเลือนไปจากความคิดจิตใจของผู้คนที่ดำรงชีวิตในสมัยที่การปกครองของพระเจ้าแผ่อำนาจเต็มโลก. ในเวลานั้น ความชื่นชมยินดีจะเบียดเอาความทรงจำในสิ่งเลวร้ายแต่ก่อน ๆ ให้หมดไป เพราะพระเจ้า ” ‘จะทรงเช็คน้ำตาทุกหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้ การเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย.เพราะเหตุการณ์ที่มีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว.” และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น จึงตรัสว่า ‘จงดูเถิด เรากำลังสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่.’”—วิวรณ์ 21:4, 5.
21. แม้แต่คนตายก็ยังจะมีโอกาสอะไร?
21 พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “สิ่งสารพัดจะเปลี่ยนแปลงใหม่.” (มัดธาย 19:28) ผู้ที่เคยผ่านความทุกข์ลำบาก และความตายมาแล้วในอดีต จะเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงใฝ่พระทัยในพวกตน เพราะว่าในยุคนั้นจะเห็นการสร้างคนที่ตายไปขึ้นมาใหม่ตามตัวอักษรทีเดียว. พระเยซูตรัสว่า “คนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพ . . . จะได้เป็นขึ้นมา” โดยการถูกปลุกขึ้นมารับชีวิตบนแผ่นดินโลก. (โยฮัน 5:28, 29) โดยวิธีนี้คนตายจะได้รับโอกาสเช่นกันที่จะยอมตัวอยู่ใต้การครอบครองอันเที่ยงธรรมของพระเจ้าแล้วได้รับสิทธิพิเศษมีชีวิตตลอดไป “ในอุทยาน” ตามที่พระเยซูตรัสไว้.—ลูกา 23:43.
22. อาณาจักรสัตว์จะได้รับการฟื้นฟูสู่สภาพเช่นไร?
22 แม้กระทั่งอาณาจักรสัตว์ก็จะสงบ. พระคัมภีร์แจ้งว่า “สุนัขป่าจะนอนปะปนกับลูกแกะ . . . สิงโตจะกินฟางเป็นอาหารเหมือนโคผู้และเด็กเล็ก ๆ จะเป็นผู้เลี้ยงผู้นำ.” สัตว์เหล่านั้น ‘จะไม่ทำอันตราย’ ต่อสัตว์ด้วยกันหรือต่อมนุษย์.—ยะซายา 11:6-9; 65:25.
23. สรรพสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงสร้างนั้น จะคืนสู่สภาพเช่นไร?
23 ฉะนั้นในทุกวิถีทางย่อมเป็นดังที่กล่าวในโรม 8:21 ว่า “สรรพสิ่งนั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมเสีย และจะเข้าในสง่าราศีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า.” แผ่นดินโลกจะกลายเป็นอุทยานมีมนุษย์สมบูรณ์อาศัยอยู่ที่นั่น-ไม่มีโรคภัย ความเศร้าโศกและความตาย. สรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างสำหรับแผ่นดินโลกก็จะประสานกลมกลืนกับพระประสงค์ของพระองค์โดยครบถ้วน เป็นการลบร่องรอยอันน่าเกลียดซึ่งมีมานานนับพัน ๆ ปีให้หมดไปจากเอกภพของพระเจ้า.
24. อาจมีคำถามอะไรขึ้นมาเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล?
24 นี้คือคำอธิบายจากพระคัมภีร์ว่าด้วยการที่พระเจ้าทรงปล่อยให้ความทุกข์ทรมานมีอยู่ และสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำเพื่อแก้ปัญหา. แต่บางคนอาจถามดังนี้ ‘ฉันจะรู้อย่างไรว่าฉันจะเชื่อสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวได้อย่างสนิทใจ?’
[คำโปรยหน้า 188]
หลายคนถามว่า “ถ้ามีพระเจ้า ทำไมพระองค์ยอมให้สิ่งชั่วร้ายมีอยู่?”
[คำโปรยหน้า 190]
มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้ปกครองตัวเองอย่างมีผลสำเร็จ ถ้าเขาแยกตัวต่างหากจากพระเจ้า
[คำโปรยหน้า 190]
อิสรภาพนั้นเป็นอย่างที่มีขอบเขต ไม่ใช่อิสรภาพที่จะทำอะไรก็ได้
[คำโปรยหน้า 192]
การคิดคำนึงในสิ่งผิด ๆ ก็อาจเป็นสาเหตุให้คนเราทำผิดได้
[คำโปรยหน้า 193]
คงต้องให้เวลาระยะหนึ่งเพื่อจัดการอย่างรอบคอบถ้วนถี่กับประเด็นต่าง ๆ ที่ถูกยกขึ้นมา
[คำโปรยหน้า 194]
“บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญและเป็นทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันจนทุกวันนี้”
[คำโปรยหน้า 196]
พระผู้สร้างจะไม่ทรงยอมให้คนชั่วก่อความเสียหายบนแผ่นดินโลกอันสวยงามนี้อีกต่อไป
[คำโปรยหน้า 198]
ในทุกวิถีทาง “สรรพสิ่งนั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมเสีย”
[ภาพหน้า 189]
มนุษย์คู่แรกมีโอกาสจะดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปบนแผ่นดินโลกอันเป็นอุทยาน
[ภาพหน้า 191]
เมื่อดึงปลั๊กพัดลมออกมันหมุนช้าลงแล้วหยุดฉันใด หลังจากอาดามกับฮาวาได้ถอนตัวจากบ่อเกิดแห่งชีวิต เขาก็เริ่มแก่และตายฉันนั้น
[ภาพหน้า 194]
ตลอดศตวรรษต่าง ๆ ที่ผ่านมา สถานการณ์ของโลกยิ่งน่ากลัวมากขึ้นทุกที
[ภาพหน้า 195]
โดยการยอมให้มีเวลานานพอที่จะตอบปัญหาต่าง ๆ พระเจ้าทรงวางแบบอย่างสำหรับอนาคต เปรียบได้กับการตัดสินคดีตัวอย่างในศาลสูงสุด
[ภาพหน้า 197]
ความชื่นชมยินดีมากมายในระเบียบใหม่ของพระเจ้าจะกลบความทุกข์ทรมานใด ๆ ที่มนุษย์ได้ประสบมา