บท 8
บากบั่นเพื่อจะเป็นผู้มีชัย
สเมอร์นา
1. (ก) ประชาคมต่อมาที่ได้รับข่าวสารจากพระเยซูผู้ทรงสง่าราศีคือประชาคมใด? (ข) โดยการเรียกพระองค์เองว่า “ผู้แรกและผู้สุดท้าย” พระเยซูทรงเตือนคริสเตียนในประชาคมนั้นให้ระลึกถึงสิ่งใด?
ทุกวันนี้ เมืองเอเฟโซส์โบราณอยู่ในสภาพปรักหักพัง. แต่ว่าจุดหมายแห่งข่าวสารลำดับที่สองของพระเยซูก็ยังคงเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้คนคึกคัก. ไกลจากเมืองเอเฟโซส์ที่ปรักหักพังนี้ไปทางเหนือประมาณ 56 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งเมืองอิซเมียร์ของชาวตุรกี ที่ซึ่งจะพบประชาคมที่กระตือรือร้นของพยานพระยะโฮวาสี่ประชาคมกระทั่งทุกวันนี้. ในศตวรรษแรก ที่แห่งนี้เป็นเมืองสเมอร์นา. บัดนี้ โปรดสังเกตคำตรัสของพระเยซูต่อไปว่า “จงเขียนถึงทูตของประชาคมในเมืองสเมอร์นาว่า ผู้ที่เป็น ‘ผู้แรกและผู้สุดท้าย’ ซึ่งเคยตายและคืนสู่ชีวิตแล้วนั้นพูดอย่างนี้.” (วิวรณ์ 2:8, ล.ม.) โดยการแถลงเช่นนี้แก่ชนคริสเตียนในเมืองสเมอร์นา พระเยซูทรงเตือนให้เขาสำนึกว่า พระองค์คือผู้รักษาความภักดีผู้แรกที่พระยะโฮวาทรงปลุกขึ้นมาโดยตรงให้เป็นกายวิญญาณที่มีอมตชีพ และเป็นผู้สุดท้ายที่ได้รับการปลุกขึ้นมาเช่นนั้น. พระเยซูเองจะทรงปลุกคริสเตียนผู้ถูกเจิมนอกนั้นทุกคน. ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงมีคุณสมบัติอันดีที่จะให้คำแนะนำแก่พี่น้องของพระองค์ ซึ่งมีความหวังจะมีอมตชีพทางภาคสวรรค์ร่วมกับพระองค์.
2. เพราะเหตุใดคริสเตียนทุกคนจึงได้รับการปลอบโยนโดยถ้อยคำของพระองค์ผู้ซึ่ง “เคยตายและคืนสู่ชีวิตแล้ว”?
2 พระเยซูทรงนำหน้าในการอดทนการกดขี่ข่มเหงเพื่อเห็นแก่ความชอบธรรม และพระองค์ก็ได้รับบำเหน็จอย่างสมควร. การที่พระองค์ทรงซื่อสัตย์จนสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ที่ติดตามมาเป็นพื้นฐานของความหวังสำหรับคริสเตียนทั้งปวง. (กิจการ 17:31) ข้อเท็จจริงที่ว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ซึ่ง “เคยตายและคืนสู่ชีวิตแล้ว” พิสูจน์ว่า การที่ต้องอดทนไม่ว่าต่อสิ่งใดก็ตามในแนวทางของความจริงนั้นจะไม่ไร้ประโยชน์. การคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นแหล่งแห่งการหนุนกำลังใจอย่างยิ่งแก่คริสเตียนทุกคน โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาต้องทนความยากลำบากเนื่องจากความเชื่อของเขา. คุณอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ไหม? ถ้าเช่นนั้น คุณสามารถจะรับการหนุนกำลังใจได้เช่นกันจากคำตรัสต่อไปที่พระเยซูมีแก่ประชาคมที่สเมอร์นา:
3. (ก) พระเยซูทรงให้การหนุนใจอะไรแก่คริสเตียนที่สเมอร์นา? (ข) แม้คริสเตียนที่สเมอร์นาเป็นคนยากจน ทำไมพระเยซูกล่าวว่า พวกเขาเป็นคน “ร่ำรวย”?
3 “เรารู้ว่าเจ้าทุกข์ลำบากและยากจน แต่เจ้าก็ร่ำรวย และรู้ว่าเจ้าถูกคนที่อ้างว่าเป็นคนยิวสบประมาท พวกเขาไม่ได้เป็นคนยิว แต่เป็นที่ประชุมของซาตาน.” (วิวรณ์ 2:9, ล.ม.) พระเยซูไม่มีคำตำหนิจะต่อว่าพี่น้องของพระองค์ในสเมอร์นา มีแต่คำชมเชยอย่างอบอุ่น. พวกเขาทนความยากลำบากมากมายเนื่องด้วยความเชื่อของพวกเขา. ทางด้านวัตถุเขายากจน คงเป็นได้ว่าเนื่องจากความซื่อสัตย์ของพวกเขา. (เฮ็บราย 10:34) แต่ความสนใจอันดับแรกของพวกเขาคือสิ่งฝ่ายวิญญาณ และพวกเขาได้สะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ตามที่พระเยซูทรงแนะนำ. (มัดธาย 6:19, 20) ด้วยเหตุนี้ ผู้บำรุงเลี้ยงองค์เอกทรงถือว่าเขา “ร่ำรวย.”—เทียบกับยาโกโบ 2:5.
4. คริสเตียนที่สเมอร์นาต้องทนกับการต่อต้านอย่างหนักจากใคร? และพระเยซูทรงมองดูผู้ต่อต้านเหล่านั้นอย่างไร?
4 พระเยซูทรงตั้งข้อสังเกตโดยเฉพาะว่า เหล่าคริสเตียนในสเมอร์นาได้ทนรับการต่อต้านอย่างหนักจากน้ำมือของชาวยิวโดยสายเลือด. ในช่วงแรก ๆ หลายคนจากศาสนายิวต่อต้านการแผ่ขยายของศาสนาคริสต์อย่างแน่วแน่. (กิจการ 13:44, 45; 14:19) ตอนนี้ เพียงไม่กี่ทศวรรษหลังจากกรุงเยรูซาเลมล่มจม คนยิวเหล่านั้นในสเมอร์นาแสดงน้ำใจเยี่ยงซาตานเหมือนกัน. จึงไม่แปลกที่พระเยซูทรงถือว่าเขาเป็น “ที่ประชุมของซาตาน”!a
5. ความลำบากอะไรรออยู่ข้างหน้าสำหรับคริสเตียนที่สเมอร์นา?
5 เมื่อเผชิญการเกลียดชังเช่นนั้น คริสเตียนในสเมอร์นาได้รับการปลอบโยนจากพระเยซูดังนี้: “อย่ากลัวสิ่งที่เจ้าจะต้องทนรับ. พญามารยังจะจับพวกเจ้าบางคนขังคุกต่อไปเพื่อให้พวกเจ้าถูกทดสอบอย่างเต็มที่และเพื่อให้พวกเจ้าได้รับความทุกข์ลำบากถึงสิบวัน. เจ้าจงซื่อสัตย์ตราบสิ้นชีวิต แล้วเราจะให้มงกุฎแห่งชีวิตแก่เจ้า.” (วิวรณ์ 2:10, ล.ม.) ณ ที่นี้พระเยซูทรงใช้คำ “เจ้า” ในรูปพหูพจน์ของภาษากรีกถึงสามครั้ง แสดงว่า คำตรัสของพระองค์พาดพิงถึงประชาคมโดยส่วนรวม. พระเยซูไม่อาจสัญญาว่าความทุกข์ลำบากที่เกิดขึ้นกับพวกคริสเตียนในสเมอร์นาจะสิ้นสุดในไม่ช้า. บางคนยังจะถูกกดขี่ข่มเหงและถูกจำคุกต่อไป. เขาจะได้รับความทุกข์ลำบากเป็นเวลา “สิบวัน.” เลขสิบแสดงนัยถึงความบริบูรณ์หรือความครบถ้วนทางแผ่นดินโลก. แม้แต่ผู้ที่รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงซึ่งร่ำรวยฝ่ายวิญญาณก็จะถูกทดสอบอย่างถี่ถ้วนขณะที่อยู่ในสภาพเนื้อหนัง.
6. (ก) เหตุใดคริสเตียนที่สเมอร์นาไม่ควรหวั่นกลัว? (ข) พระเยซูทรงสรุปข่าวสารที่มีไปยังประชาคมที่สเมอร์นาอย่างไร?
6 อย่างไรก็ดี คริสเตียนในสเมอร์นาไม่ควรกลัวหรืออะลุ่มอล่วย. หากพวกเขารักษาความซื่อสัตย์จนถึงที่สุด มี “มงกุฎแห่งชีวิต” เตรียมไว้สำหรับเขาเป็นรางวัล ซึ่งในกรณีของเขาก็ได้แก่อมตชีพในสวรรค์. (1 โกรินโธ 9:25; 2 ติโมเธียว 4:6-8) อัครสาวกเปาโลถือว่า รางวัลอันล้ำค่านี้คุ้มกับการยอมเสียสละสิ่งอื่น ๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งชีวิตทางแผ่นดินโลกของท่าน. (ฟิลิปปอย 3:8) ปรากฏชัดว่า ชนผู้ซื่อสัตย์ในสเมอร์นาก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน. พระเยซูทรงจบข่าวสารของพระองค์โดยกล่าวว่า “ผู้มีหูจงฟังสิ่งซึ่งพระวิญญาณตรัสกับประชาคมทั้งหลายที่ว่า ผู้ที่มีชัยจะไม่ได้รับอันตรายจากความตายชนิดที่สองเลย.” (วิวรณ์ 2:11, ล.ม.) ผู้ที่มีชัยได้รับคำรับรองในเรื่องอมตชีพในสวรรค์ซึ่งความตายไม่อาจแตะต้องได้.—1 โกรินโธ 15:53, 54.
“ความทุกข์ลำบากถึงสิบวัน”
7, 8. เช่นเดียวกับประชาคมที่สเมอร์นา ประชาคมคริสเตียนได้ “ถูกทดสอบอย่างเต็มที่” ในปี 1918 อย่างไร?
7 เช่นเดียวกับคริสเตียนในสเมอร์นา ชนจำพวกโยฮันกับเพื่อนร่วมงานของเขาในทุกวันนี้ได้ “ถูกทดสอบอย่างเต็มที่” มาแล้วและยังคง “ถูกทดสอบอย่างเต็มที่” อยู่. ความซื่อสัตย์ของพวกเขาภายใต้ความยากลำบากเป็นข้อยืนยันว่า เขาเป็นประชาชนของพระเจ้า. (มาระโก 13:9, 10) ไม่นานหลังจากวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เริ่มขึ้น คำตรัสของพระเยซูที่มีไปถึงคริสเตียนในสเมอร์นาได้ให้การปลอบประโลมอย่างแท้จริงแก่ประชาชนของพระยะโฮวาซึ่งเป็นชนกลุ่มเล็ก ๆ จากนานาชาติ. (วิวรณ์ 1:10) นับตั้งแต่ปี 1879 พวกเขาขุดค้นทรัพย์ฝ่ายวิญญาณจากพระคำของพระเจ้าซึ่งพวกเขาได้ให้แก่คนอื่นอย่างไม่อั้น. แต่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกเขาเผชิญการเกลียดชังและการต่อต้านอย่างหนัก ส่วนหนึ่งเนื่องจากพวกเขาไม่เข้ายุ่งเกี่ยวในการคลั่งสงคราม และส่วนหนึ่งเนื่องจากพวกเขาเปิดโปงความผิดของคริสต์ศาสนจักรอย่างไม่หวั่นเกรง. การกดขี่ข่มเหงที่พวกเขาได้รับเนื่องจากการยุยงของผู้นำบางคนในคริสต์ศาสนจักรได้ถึงขีดสุดในปี 1918 และเทียบได้กับสิ่งที่คริสเตียนในสเมอร์นาได้รับจากชุมชนชาวยิวที่นั่น.
8 คลื่นแห่งการกดขี่ข่มเหงในสหรัฐอเมริกาถึงขีดสุดยอดเมื่อนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์คนใหม่ โจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด กับผู้ร่วมงานอีกเจ็ดคนถูกจำคุกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 1918 ส่วนใหญ่ต้องโทษคนละ 20 ปี. เก้าเดือนต่อมาพวกเขาได้รับการประกันตัวออกมา. พอถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 1919 ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำตัดสินที่ผิดพลาดนั้น มีการพบข้อผิดพลาดถึง 130 ข้อในการดำเนินคดี. ผู้พิพากษาแมนตัน ชาวโรมันคาทอลิกซึ่งได้รับอิสริยาภรณ์ชั้นเซนต์ เกรกอรี ที่ไม่ยอมให้คริสเตียนเหล่านี้ประกันตัวในปี 1918 ต่อมาในปี 1939 เขาถูกศาลตัดสินให้จำคุกสองปีและปรับ 10,000 เหรียญสหรัฐ ฐานทำผิดหกกระทงเกี่ยวกับการเรียกและรับสินบน.
9. ฮิตเลอร์กระทำต่อพวกพยานพระยะโฮวาในประเทศนาซีเยอรมนีอย่างไร และพวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรมีปฏิกิริยาอย่างไร?
9 ระหว่างการปกครองโดยระบอบนาซีในเยอรมนี ฮิตเลอร์สั่งห้ามงานประกาศของพยานพระยะโฮวาโดยสิ้นเชิง. นานหลายปี พยานฯนับพัน ๆ คนถูกกักขังอย่างทารุณในคุกและค่ายกักกัน ซึ่งหลายคนได้เสียชีวิตที่นั่น ขณะที่ชายหนุ่มประมาณ 200 คนซึ่งไม่ยอมสู้รบในกองทัพของฮิตเลอร์ถูกประหารชีวิต. การสนับสนุนจากนักเทศน์นักบวชต่อการกระทำทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดจากคำพูดของบาทหลวงคาทอลิกคนหนึ่งซึ่งถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ชื่อ เดอะ เยอรมัน เวย์ ฉบับ 29 พฤษภาคม 1938. ตอนหนึ่งเขากล่าวว่า “บัดนี้ มีประเทศหนึ่งบนโลกที่พวกที่เรียกกันว่า . . . นักศึกษาพระคัมภีร์ [พยานพระยะโฮวา] ถูกห้าม. นั่นคือประเทศเยอรมนี! . . . เมื่ออะดอล์ฟ ฮิตเลอร์เรืองอำนาจ และราชาคณะคาทอลิกแห่งเยอรมนีได้ย้ำคำขอร้องของพวกเขา ฮิตเลอร์กล่าวว่า ‘พวกที่เรียกกันว่า นักศึกษาพระคัมภีร์ที่เอาจริงเอาจัง [พยานพระยะโฮวา] เป็นพวกที่ก่อความยุ่งยาก . . . ข้าพเจ้าถือว่า พวกเขาเป็นนักต้ม ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ชาวคาทอลิกในเยอรมนีถูกทำลายชื่อเสียงโดยวิธีการของรัทเทอร์ฟอร์ดผู้พิพากษาชาวอเมริกันคนนี้ ข้าพเจ้าจะล้มล้าง [พยานพระยะโฮวา] ในเยอรมนี.’” บาทหลวงสนองคำพูดนี้โดยร้อง “ไชโย!”
10. (ก) ในขณะที่วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ดำเนินไป พวกพยานพระยะโฮวาเผชิญการกดขี่ข่มเหงแบบใด? (ข) บ่อยครั้งผลเป็นอย่างไรเมื่อชนคริสเตียนต่อสู้ในศาลเพื่อเสรีภาพทางศาสนา?
10 ขณะที่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าดำเนินไป งูกับพงศ์พันธุ์ของมันไม่เคยเลิกต่อสู้กับคริสเตียนผู้ถูกเจิมและเพื่อนร่วมงานของเขา. หลายคนในพวกเขาถูกจำคุกและถูกข่มเหงอย่างโหดร้าย. (วิวรณ์ 12:17) ศัตรูเหล่านั้น ‘ใช้กฎหมายปั้นเรื่องใส่ร้าย’ อย่างไม่ลดละ แต่ประชาชนของพระยะโฮวาก็ยืนยันหนักแน่นว่า “พวกข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะเป็นผู้ปกครองยิ่งกว่ามนุษย์.” (บทเพลงสรรเสริญ 94:20; กิจการ 5:29, ล.ม.) ในปี 1954 วารสารหอสังเกตการณ์ รายงานว่า “กว่าเจ็ดสิบประเทศไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งระหว่างสี่สิบปีที่ผ่านมาได้ออกคำสั่งห้ามและกดขี่ข่มเหงพยานพระยะโฮวา.” ในที่ซึ่งมีทางเป็นไปได้ที่จะสู้คดีในศาลเพื่อเสรีภาพทางศาสนา คริสเตียนเหล่านี้ก็ได้ทำเช่นนั้นและได้ประสบชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในหลายประเทศ. เฉพาะในศาลสูงสุดในสหรัฐแห่งเดียว พยานพระยะโฮวาได้รับการตัดสินให้ชนะถึง 50 คดี.
11. คำพยากรณ์อะไรของพระเยซูซึ่งเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระองค์ได้มาสำเร็จเป็นจริงกับพยานพระยะโฮวาในระหว่างวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า?
11 ไม่มีกลุ่มอื่นใดที่เชื่อฟังอย่างจริงจังต่อพระบัญชาของพระเยซูที่ให้จ่ายของของกายะซาคืนแก่กายะซา. (ลูกา 20:25; โรม 13:1, 7) กระนั้น ก็ไม่มีกลุ่มอื่นใดที่มีสมาชิกถูกจำคุกในหลายประเทศภายใต้การปกครองที่ต่างกันหลายรูปแบบเหมือนกลุ่มนี้ และสภาพการณ์เช่นนี้ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบันในอเมริกา, ในยุโรป, ในแอฟริกา, และในเอเชีย. คำพยากรณ์สำคัญของพระเยซูเกี่ยวกับการเสด็จประทับของพระองค์รวมเอาถ้อยคำเหล่านี้ไว้ด้วย: “ในเวลานั้นเขาจะมอบท่านทั้งหลายไว้ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสีย และชาติต่าง ๆ จะเกลียดชังพวกท่านเพราะนามของเรา.” (มัดธาย 24:3, 9) เรื่องนี้นับว่าสำเร็จเป็นจริงกับคริสเตียนพยานพระยะโฮวาในระหว่างวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
12. ชนจำพวกโยฮันได้เสริมความเข้มแข็งแก่ประชาชนของพระเจ้าอย่างไรเพื่อทนต่อการกดขี่ข่มเหง?
12 เพื่อปกป้องประชาชนของพระเจ้าไว้จากความทุกข์ลำบาก ชนจำพวกโยฮันเตือนประชาชนของพระเจ้าเสมอมาด้วยสาระสำคัญแห่งคำตรัสที่พระเยซูมีไปถึงคริสเตียนในสเมอร์นา. ตัวอย่างเช่น เมื่อการกดขี่ข่มเหงโดยพวกนาซีเริ่มต้น หอสังเกตการณ์ ปี 1933 และ 1934 ได้เสนอบทความต่าง ๆ เช่น “อย่ากลัวเขาเลย” ซึ่งอธิบายมัดธาย 10:26-33; “เตาหลอม” อาศัยดานิเอล 3:17, 18; และ “ปากสิงโต” ซึ่งอาศัยดานิเอล 6:22. ในช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นทศวรรษที่หนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกเป็นครั้งแรกและพยานพระยะโฮวาประสบกับการกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายกาจในกว่า 40 ดินแดน หอสังเกตการณ์ ได้เสริมความเข้มแข็งแก่ประชาชนของพระเจ้าด้วยบทความต่าง ๆ เช่น “มีความสุขแม้ถูกข่มเหง!” และ “คริสเตียนเผชิญการข่มเหงด้วยความเพียรอดทน.”b
13. เช่นเดียวกับชนคริสเตียนที่สเมอร์นา เพราะเหตุใดคริสเตียนพยานพระยะโฮวาจึงไม่เคยหวั่นต่อการกดขี่ข่มเหง?
13 แท้จริง คริสเตียนพยานพระยะโฮวากำลังเผชิญการกดขี่ข่มเหงด้านร่างกาย และการทดสอบอย่างอื่นเป็นเวลาสิบวันโดยนัย. เช่นเดียวกับคริสเตียนในสเมอร์นาสมัยก่อน พวกเขาไม่หวั่นกลัว และพวกเราก็ไม่ต้องกลัวเช่นกันขณะที่ความยากลำบากบนแผ่นดินโลกหนักขึ้นทุกที. เราเตรียมพร้อมที่จะอดทนเมื่อตกอยู่ในสภาพยากลำบากและจะชื่นชมแม้ ‘เขาปล้นชิงเอาสิ่งของของเราไป.’ (เฮ็บราย 10:32-34) โดยการศึกษาพระคำของพระเจ้าและทำให้พระคำนั้นเป็นของเรา เราก็จะเตรียมพร้อมเพื่อยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ. จงมั่นใจเถิดว่า พระยะโฮวาทรงสามารถและจะทรงพิทักษ์คุณขณะที่คุณซื่อสัตย์มั่นคง. จง “มอบความกระวนกระวายทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงใฝ่พระทัยในท่านทั้งหลาย.”—1 เปโตร 5:6-11, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a ประมาณ 60 ปีหลังจากโยฮันสิ้นชีวิต โพลีคาร์พซึ่งอายุ 86 ปีถูกเผาทั้งเป็นในเมืองสเมอร์นาเนื่องจากเขาจะไม่ยอมเลิกเชื่อถือพระเยซู. หนังสือการเสียสละชีวิตของโพลีคาร์พ ซึ่งเชื่อกันว่าเขียนในสมัยเดียวกับเหตุการณ์นี้ ชี้แจงว่า ในตอนที่มีการรวบรวมไม้มาเพื่อการเผานั้น “พวกยิวมีความกระตือรือร้นที่แรงกล้าอย่างยิ่งในการสนับสนุนการกระทำนั้นตามนิสัยของพวกเขา”—แม้ว่าการประหารนั้นเกิดขึ้นในวัน “ซะบาโตใหญ่.”
b โปรดดูเดอะ ว็อชเทาเวอร์ ฉบับ 1 พฤศจิกายน 1933; 1 และ 15 ตุลาคม, 1 และ 15 ธันวาคม 1934; หอสังเกตการณ์ 1 พฤศจิกายน 1983.
[กรอบ/ภาพหน้า 39]
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่นักประวัติศาสตร์ได้ให้พยานหลักฐานเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ภักดีของพยานพระยะโฮวาในประเทศเยอรมนีในช่วงการปกครองโดยระบบนาซี. หนังสือพวกมารดาในปิตุภูมิ (ภาษาอังกฤษ) โดยนักประวัติศาสตร์ คลอเดีย คูนส์ ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในปี 1986 มีกล่าวไว้ดังนี้: “ชาวเยอรมันส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่เป็นพวกนาซีพบวิธีอยู่ได้ภายใต้ระบบปกครองที่พวกเขาไม่ชอบ. . . . อีกด้านหนึ่งคือพวกพยานพระยะโฮวา 20,000 คนซึ่งได้ปฏิเสธอย่างชัดแจ้งให้การเชื่อฟังไม่ว่าในแบบใดแก่รัฐบาลนาซี. . . . กลุ่มผู้ไม่ยินยอมที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นที่สุดนี้ได้รับการค้ำจุนไว้ด้วยศาสนา. ตั้งแต่แรก พวกพยานพระยะโฮวาไม่ร่วมมือกับรัฐบาลนาซีไม่ว่าในด้านใด ๆ. แม้หลังจากพวกเกสตาโปได้ทำลายสำนักงานใหญ่ประจำประเทศของพวกเขาในปี 1933 และสั่งห้ามกลุ่มศาสนานี้ในปี 1935 พวกเขาก็ยังปฏิเสธแม้เพียงแค่กล่าวคำ ‘ไฮล์ ฮิตเลอร์.’ ประมาณครึ่งหนึ่ง (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) ของพวกพยานฯทั้งหมดถูกส่งไปค่ายกักกัน มีพันคนถูกสังหารและอีกพันคนเสียชีวิตในช่วงปี 1933-1945. . . . ชาวคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ได้ยินพวกนักเทศน์นักบวชของเขาเร่งเร้าให้พวกเขาร่วมมือกับฮิตเลอร์. หากพวกเขาไม่ยินยอม เขาก็ขัดขืนต่อคำสั่งของทั้งคริสตจักรและรัฐบาล.”