บท 9
การยึดมั่นอยู่กับพระนามของพระเยซู
เปอร์กาโมส์
1. ประชาคมใดที่ได้รับข่าวสารลำดับต่อไปของพระเยซู และคริสเตียนเหล่านั้นอาศัยอยู่ในเมืองชนิดใด?
เมื่อเราเดินทางระยะ 80 กิโลเมตรขึ้นไปทางเหนือตามถนนเลียบฝั่งทะเลจากสเมอร์นาและอีก 24 กิโลเมตรเข้าในแผ่นดินผ่านหุบเขาของแม่น้ำไคคัส เราก็มาถึงเมืองเปอร์กาโมส์ ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่าเบอร์กามา. เคยเป็นเมืองลือชื่อเนื่องจากเป็นที่ตั้งวิหารแห่งซีอุส หรือจูปีเตอร์. ในช่วงศตวรรษที่ 19 นักโบราณคดีได้โยกย้ายแท่นบูชาในวิหารนี้ไปยังประเทศเยอรมนี ซึ่งยังคงตั้งอยู่ที่นั่นให้ชม พร้อมด้วยรูปปั้นและภาพแกะสลักแสดงภาพพระเจ้าของคนนอกรีต ณ พิพิธภัณฑ์เปอร์กามอนในเบอร์ลิน. พระเยซูเจ้าจะส่งข่าวสารอะไรไปยังประชาคมที่อยู่ท่ามกลางการนมัสการรูปเคารพเช่นนั้น?
2. พระเยซูทรงกำหนดเอกลักษณ์ของพระองค์อย่างไร และอะไรคือความสำคัญของการที่พระองค์ทรงมี ‘ดาบสองคม’ นั้น?
2 ก่อนอื่น พระเยซูทรงระบุเอกลักษณ์ของพระองค์ โดยตรัสว่า “จงเขียนถึงทูตของประชาคมในเมืองเปอร์กาโมส์ว่า ผู้ซึ่งมีดาบสองคมที่ทั้งยาวและคมกริบนั้นพูดอย่างนี้.” (วิวรณ์ 2:12, ล.ม.) ณ ที่นี้ พระเยซูตรัสซ้ำคำพรรณนาเกี่ยวกับพระองค์ดังที่ให้ไว้ใน วิวรณ์ 1:16. ในฐานะผู้พิพากษาและผู้สำเร็จโทษ พระองค์จะตีทำลายคนเหล่านั้นที่ข่มเหงสาวกของพระองค์. คำรับรองนั้นช่างประโลมใจเสียนี่กระไร! อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการพิพากษา ให้คนเหล่านั้นที่อยู่ภายใน ประชาคมได้รับคำเตือนด้วยเช่นกันว่าพระยะโฮวา ซึ่งทรงปฏิบัติการโดยทาง “ทูตแห่งสัญญาไมตรี” คือพระเยซูคริสต์ ‘จะเป็นพยานโดยฉับพลัน’ ต่อสู้ทุกคนที่ประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียนซึ่งทำการไหว้รูปเคารพ, ทำผิดศีลธรรม, โกหก, และไม่ซื่อสัตย์ และผู้ที่ไม่เอาใจใส่คนขัดสน. (มาลาคี 3:1, 5; เฮ็บราย 13:1-3) คำแนะนำและคำว่ากล่าวซึ่งพระเจ้าทรงให้พระเยซูแถลงนั้นจำต้องได้รับการเอาใจใส่!
3. มีการนมัสการเท็จอะไรในเมืองเปอร์กาโมส์ และกล่าวได้อย่างไรว่า “บัลลังก์ของซาตาน” อยู่ที่นั่น?
3 บัดนี้พระเยซูทรงบอกแก่ประชาคมว่า “เรารู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน เจ้าอยู่ในที่ที่มีบัลลังก์ของซาตานตั้งอยู่.” (วิวรณ์ 2:13ก, ล.ม.) จริงทีเดียว คริสเตียนเหล่านั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยการนมัสการแบบซาตาน. นอกจากวิหารเซอุสแล้ว ยังมีสถานบูชาสำหรับแอสคูลาพีอุส เทพเจ้าแห่งการแพทย์. นอกจากนั้นเมืองเปอร์กาโมส์ยังเป็นศูนย์กลางการบูชาจักรพรรดิด้วย. คำภาษาฮีบรูที่ได้รับการแปลว่า “ซาตาน” นั้นหมายถึง “ผู้ต่อต้าน” และ “บัลลังก์” ของซาตานหมายถึงการปกครองโลกซึ่งพระเจ้าทรงยอมให้มันมีโอกาสอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง. (โยบ 1:6, ล.ม., เชิงอรรถ) การไหว้รูปเคารพที่มีอยู่ดาษดื่นในเมืองเปอร์กาโมส์แสดงให้เห็นว่า “บัลลังก์” ของซาตานตั้งไว้อย่างมั่นคงในเมืองนั้น. ซาตานคงต้องรู้สึกโกรธแค้นมากทีเดียวเมื่อคริสเตียนในเมืองนั้นไม่ได้โค้งคำนับมันด้วยการบูชาลัทธิชาตินิยม!
4. (ก) พระเยซูทรงให้คำชมเชยอะไรแก่คริสเตียนที่เปอร์กาโมส์? (ข) พลีนี ทูตชาวโรมันได้เขียนไปถึงจักรพรรดิทรายานเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชนคริสเตียนในเมืองเปอร์กาโมส์ว่าอย่างไร? (ค) แม้จะมีอันตราย ชนคริสเตียนในเมืองเปอร์กาโมส์ก็ยึดเอาแนวทางเช่นไร?
4 ใช่แล้ว “บัลลังก์ของซาตาน” อยู่ในเมืองเปอร์กาโมส์นั่นเอง “ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังยึดมั่นกับนามของเรา และไม่ได้ปฏิเสธว่าเจ้าเชื่อเราแม้ในสมัยของอันทีพัส พยานผู้ซื่อสัตย์ฝ่ายเราซึ่งถูกฆ่าในที่ที่พวกเจ้าอยู่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของซาตาน.” (วิวรณ์ 2:13ข, ล.ม.) นับว่าเป็นคำชมเชยที่กระตุ้นใจจริง ๆ! ไม่เป็นที่สงสัย การที่อันทีพัสถูกฆ่าเพราะความเชื่อย่อมมีสาเหตุจากการไม่ยอมมีส่วนในกิจปฏิบัติแบบผีปิศาจและการบูชาจักรพรรดิโรมัน. ภายหลังโยฮันได้รับคำพยากรณ์นี้ไม่นาน พลีนี ผู้อ่อนวัยกว่า ผู้เป็นทูตส่วนพระองค์ของจักรพรรดิทรายานแห่งโรม ได้มีหนังสือถึงทรายานและอธิบายขั้นตอนที่ตนจัดการกับคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคริสเตียน—ลำดับขั้นตอนที่จักรพรรดิเห็นชอบ. คนที่ปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คริสเตียนถูกปล่อยตัว ดังคำพูดของพลีนี เมื่อ “พวกเขาพูดตามข้าพเจ้าเป็นคำวิงวอนขอต่อเทพเจ้าทั้งหลาย, ได้ถวายเครื่องหอมและได้ตั้งเหล้าองุ่นแด่รูปปั้นของพระองค์ [ทรายาน] . . . และนอกจากนั้น ได้กล่าวแช่งพระคริสต์.” ใครก็ตามที่ถูกพบว่าเป็นคริสเตียนถูกประหารชีวิต. แม้เผชิญกับอันตรายดังกล่าว คริสเตียนในเมืองเปอร์กาโมส์มิได้ปฏิเสธความเชื่อของตน. พวกเขาได้ ‘ยึดมั่นกับพระนามของพระเยซู’ ด้วยการแสดงความเคารพเสมอไปต่อตำแหน่งอันสูงส่งของพระองค์ในฐานะผู้พิสูจน์ความถูกต้องและผู้พิพากษาที่พระยะโฮวาทรงแต่งตั้ง. ด้วยความภักดี พวกเขาดำเนินตามรอยพระบาทของพระเยซูในฐานะเหล่าพยานแห่งราชอาณาจักร.
5. (ก) ในสมัยนี้คู่เทียบของการบูชาจักรพรรดิได้แก่อะไร ซึ่งได้ก่อให้มีการทดสอบอย่างแสนสาหัสแก่คริสเตียนในสมัยของเรา? (ข) วารสารหอสังเกตการณ์ ได้จัดให้มีการช่วยเหลืออะไรแก่ชนคริสเตียน?
5 ในโอกาสต่าง ๆ กัน พระเยซูทรงแจ้งว่า ซาตานปกครองโลกปัจจุบันที่ชั่วช้านี้ แต่เนื่องจากพระเยซูทรงซื่อสัตย์มั่นคง ซาตานจึงไม่มีอำนาจควบคุมพระองค์. (มัดธาย 4:8-11; โยฮัน 14:30) ในสมัยของเรา ชาติมหาอำนาจต่าง ๆ ที่เด่นคือ “กษัตริย์ทิศเหนือ” และ “กษัตริย์ทิศใต้” ได้ต่อสู้กันเพื่อจะครองโลก. (ดานิเอล 11:40, ล.ม.) มีการเร่งเร้าความเร่าร้อนรักชาติ และคู่เทียบของการบูชาจักรพรรดิอย่างคลั่งไคล้ในสมัยนี้ได้แก่ลัทธิชาตินิยมที่ระบาดไปทั่วโลก. บทความเกี่ยวกับความเป็นกลางในวารสารว็อชเทาเวอร์ ฉบับ 1 พฤศจิกายน 1939, และหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มิถุนายน 1980, และฉบับ 1 กันยายน 1986 แถลงชัดเจนถึงคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวด้วยเรื่องนี้และให้การชี้แนะแก่คริสเตียนที่ต้องการจะดำเนินในพระนามของพระยะโฮวาและเอาชนะโลก ดังพระเยซูได้กระทำอย่างกล้าหาญ.—มีคา 4:1, 3, 5; โยฮัน 16:33; 17:4, 6, 26; 18:36, 37; กิจการ 5:29.
6. เช่นเดียวกับอันทีพัส พยานพระยะโฮวาได้ยืนหยัดมั่นคงอย่างไรในสมัยนี้?
6 คำแนะนำดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน. เมื่อเผชิญกับความคลั่งรักชาติที่ไร้เหตุผล พยานทั้งหลายของพระยะโฮวา ทั้งผู้ถูกเจิมและเพื่อนร่วมงานของเขาต้องยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ. ในสหรัฐ เยาวชนและครูนับร้อย ๆ ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากพวกเขาไม่บูชาธงชาติ ขณะที่พยานฯในเยอรมนีก็ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างโหดร้าย เพราะเขาไม่บูชาเครื่องหมายสวัสติกะ. ดังได้กล่าวมาแล้ว พวกนาซีของฮิตเลอร์ได้สังหารผู้รับใช้ที่ภักดีของพระยะโฮวาหลายพันคนเนื่องจากพวกเขาไม่ยอมร่วมในการไหว้รูปเคารพในรูปแบบชาตินิยม. ในช่วงทศวรรษ 1930 เมื่อการบูชาจักรพรรดิในลัทธิชินโตกำลังเฟื่องฟูในญี่ปุ่น ผู้เผยแพร่ศาสนาเต็มเวลาสองคนได้หว่านเมล็ดแห่งราชอาณาจักรเป็นอันมากในไต้หวันซึ่งเวลานั้นอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น. ผู้ปกครองที่เป็นทหารได้จับพวกเขาขังคุก คนหนึ่งเสียชีวิตในคุกเนื่องจากการทารุณ. อีกคนหนึ่งถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา แต่ก็ถูกลอบยิงจากด้านหลัง—เป็นอันทีพัสสมัยปัจจุบัน. กระทั่งทุกวันนี้ มีประเทศต่าง ๆ ซึ่งยังมีการเรียกร้องให้บูชาสัญลักษณ์ประจำชาติและให้ความศรัทธาแก่รัฐโดยเฉพาะ. เยาวชนพยานฯหลายคนต้องถูกคุมขัง และมีไม่น้อยถูกประหารชีวิตเนื่องจากพวกเขารักษาความเป็นกลางแบบคริสเตียนอย่างกล้าหาญ. หากคุณเป็นเยาวชนซึ่งเผชิญกับประเด็นดังกล่าว จงศึกษาพระคำของพระเจ้าทุกวันเพื่อคุณจะ “มีความเชื่อซึ่งจะรักษาชีวิตไว้” พร้อมด้วยมีชีวิตนิรันดร์เป็นเป้าหมาย.—เฮ็บราย 10:39–11:1, ล.ม.; มัดธาย 10:28-31.
7. เยาวชนในประเทศอินเดียเผชิญกับประเด็นการบูชาชาติอย่างไร และพร้อมกับมีผลเช่นไร?
7 เด็กนักเรียนในโรงเรียนก็ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน. ในปี 1985 ในรัฐเคราลา ประเทศอินเดีย เด็กพยานพระยะโฮวาสามคนปฏิเสธที่จะอะลุ่มอล่วยความเชื่อของเขาที่ยึดหลักคัมภีร์ไบเบิลโดยไม่ยอมร้องเพลงชาติ. พวกเขายืนสงบอย่างแสดงความนับถือขณะที่คนอื่นร้องเพลงชาติ กระนั้น เด็กเหล่านั้นก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียน. บิดาของเขาได้ยื่นอุทธรณ์การกระทำดังกล่าวต่อศาลสูงของอินเดีย ซึ่งผู้พิพากษาสองท่านได้ตัดสินชี้ขาดให้เด็กเหล่านั้นชนะคดี โดยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “จารีตประเพณีของเราสอนให้มีใจกว้าง, หลักปรัชญาของเราก็สอนให้มีใจกว้าง รัฐธรรมนูญประเทศของเรามีวิธีปฏิบัติอย่างใจกว้าง ให้เรารักษาความมีใจกว้างต่อไป.” บทความในหนังสือพิมพ์แสดงความเห็นชอบซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์นี้แจ้งแก่พลเมืองทั้งประเทศซึ่งในตอนนั้นมีจำนวนเกือบจะเท่ากับหนึ่งในห้าของประชากรโลกให้ทราบว่า ในประเทศนี้มีคริสเตียนผู้ซึ่งนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้คือพระยะโฮวาและพวกเขายืนหยัดด้วยความภักดีต่อหลักการในคัมภีร์ไบเบิล.
อิทธิพลที่ทำให้เสื่อมทราม
8. ข้อต่อว่าอะไรที่พระเยซูทรงเห็นว่าจำเป็นต้องให้แก่ชนคริสเตียนในเมืองเปอร์กาโมส์?
8 ใช่แล้ว คริสเตียนในเมืองเปอร์กาโมส์เป็นผู้รักษาความจงรักภักดี. แต่พระเยซูตรัสว่า “เรามีเรื่องจะว่ากล่าวเจ้าบ้าง.” พวกเขาทำสิ่งใดจึงสมควรได้รับการตำหนิ? พระเยซูทรงบอกพวกเราดังนี้: “คือในที่ที่เจ้าอยู่นั้น เจ้ามีคนที่ยึดมั่นกับคำสอนของบีละอัมซึ่งไปสอนบาลาคให้ก่อเหตุที่ทำให้บุตรอิสราเอลหลงผิด ทำให้พวกเขากินของที่บูชาแก่รูปเคารพแล้วและทำผิดประเวณี.” (วิวรณ์ 2:14, ล.ม.)
9. บีละอัมคือใคร และคำแนะนำของเขาได้ “ก่อเหตุที่ทำให้บุตรอิสราเอลหลงผิด” อย่างไร?
9 ในสมัยของโมเซ กษัตริย์บาลาคแห่งโมอาบได้ว่าจ้างบีละอัม ผู้พยากรณ์ที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอลซึ่งพอจะรู้แนวทางของพระยะโฮวาอยู่บ้าง มาเพื่อแช่งชาวอิสราเอล. พระยะโฮวาทรงขัดขวางบีละอัม โดยบังคับให้เขากล่าวคำอวยพรแก่ชนชาติอิสราเอลและให้ภัยพิบัติตกแก่เหล่าศัตรูของเขา. บีละอัมทำให้ความขุ่นเคืองของบาลาคนั้นสงบลงโดยแนะการโจมตีที่แยบยลกว่าคือ ให้ผู้หญิงชาวโมอาบล่อพวกผู้ชายอิสราเอลให้หลงเข้าสู่การประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศอย่างต่ำช้าและในการนมัสการรูปเคารพของบาละพระเท็จแห่งพะโอระ! กลยุทธ์นี้ได้ผล. ความพิโรธอันชอบธรรมของพระยะโฮวาได้พลุ่งขึ้น เมื่อพระองค์ได้ทรงยังภัยพิบัติล้างผลาญชาวอิสราเอลที่ผิดประเวณี 24,000 คน—ภัยพิบัติครั้งนี้ชะงักลงเมื่อฟีนะฮาศผู้เป็นปุโรหิตได้ลงมือปฏิบัติอย่างเด็ดขาดเพื่อขจัดความชั่วให้หมดไปจากอิสราเอล.—อาฤธโม 24:10, 11; 25:1-3, 6-9; 31:16.
10. สิ่งที่ทำให้หลงผิดอะไรที่ได้แทรกซึมเข้าไปในประชาคมที่เปอร์กาโมส์ และทำไมชนคริสเตียนเหล่านั้นอาจคิดว่า พระเจ้าคงจะมองข้ามการล่วงละเมิดของตน?
10 มาในสมัยของโยฮัน มีสิ่งที่ทำให้หลงผิดที่คล้ายกันในเปอร์กาโมส์ไหม? มี! การประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศและการไหว้รูปเคารพได้แทรกซึมเข้ามาในประชาคม. คริสเตียนเหล่านั้นไม่ได้เอาใจใส่คำเตือนที่พระเจ้าทรงประทานผ่านทางอัครสาวกเปาโล. (1 โกรินโธ 10:6-11) เนื่องจากพวกเขาได้เพียรอดทนการกดขี่ข่มเหง อาจเป็นได้ที่พวกเขารู้สึกว่า พระยะโฮวาคงจะมองข้ามการประพฤติผิดทางเพศของเขา. ดังนั้น พระเยซูจึงทรงทำให้ชัดแจ้งว่า พวกเขาต้องหลีกเว้นความชั่วเช่นนั้น.
11. (ก) ชนคริสเตียนพึงระวังป้องกันอะไร และพวกเขาต้องหลีกเว้นแง่คิดเช่นไร? (ข) ตลอดเวลาหลายปี มีสักกี่คนถูกตัดสัมพันธ์จากประชาคมคริสเตียน และส่วนใหญ่เนื่องด้วยสาเหตุอะไร?
11 ทุกวันนี้ก็คล้ายกัน คริสเตียนต้องระวังป้องกันการ “พลิกแพลงเอาพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระเจ้าของเราไปใช้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับความประพฤติหละหลวม.” (ยูดา 4, ล.ม.) เราต้องเกลียดชังสิ่งที่ชั่วและ ‘ทุบตีร่างกายของเรา’ เพื่อจะสามารถติดตามแนวทางอันดีของคริสเตียน. (1 โกรินโธ 9:27, ล.ม.; บทเพลงสรรเสริญ 97:10; โรม 8:6) เราไม่ควรคิดว่า การที่มีความกระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้าและมีความซื่อสัตย์มั่นคงเมื่อถูกกดขี่ข่มเหงนั้นจะอนุญาตให้เราเข้าร่วมในการประพฤติผิดทางเพศได้. ตลอดหลายปี ผู้กระทำผิดที่ถูกตัดสัมพันธ์จากประชาคมคริสเตียนทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เนื่องด้วยความผิดฐานกระทำผิดศีลธรรมทางเพศนั้น มีจำนวนนับเป็นหมื่น ๆ. ในบางปีมีจำนวนมากกว่าจำนวนผู้ล้มพลาดในอิสราเอลโบราณอันเนื่องมาจากบาละแห่งพะโอระด้วยซ้ำ. ขอให้พวกเราเฝ้าระวังอยู่เสมอเพื่อจะไม่ตกเป็นฝ่ายพวกนั้น!—โรม 11:20; 1 โกรินโธ 10:12.
12. เช่นเดียวกับผู้รับใช้ของพระเจ้าในยุคแรก ๆ หลักการอะไรที่ใช้ได้กับคริสเตียนในสมัยนี้?
12 พระเยซูทรงตำหนิคริสเตียนในเปอร์กาโมส์ด้วยเพราะพวกเขาได้ “กินของที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว.” สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอะไร? เมื่อคำนึงถึงคำพูดของเปาโลที่กล่าวแก่ชาวโกรินโธ บางทีมีบางคนได้ใช้เสรีภาพแบบคริสเตียนของตนในทางผิดและจงใจรบกวนสติรู้สึกผิดชอบของผู้อื่น. แต่ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าคือ พวกเขาเข้าร่วมในพิธีรีตองที่เกี่ยวข้องกับรูปเคารพจริง ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง. (1 โกรินโธ 8:4-13; 10:25-30) คริสเตียนผู้ซื่อสัตย์สมัยนี้จำต้องแสดงความรักอันไม่เห็นแก่ตัวเมื่อตนใช้เสรีภาพฝ่ายคริสเตียน โดยระมัดระวังไม่ทำให้ผู้อื่นสะดุด. แน่นอน พวกเขาจำต้องหลีกเลี่ยงรูปแบบการไหว้รูปเคารพสมัยใหม่ เช่น การบูชาดาราของวงการโทรทัศน์, ภาพยนตร์, และกีฬา หรือการถือเงิน หรือแม้กระทั่งท้องของตนเป็นพระเจ้า!—มัดธาย 6:24; ฟิลิปปอย 1:9, 10; 3:17-19.
จงหลีกเลี่ยงการแบ่งแยกนิกาย!
13. พระเยซูได้ทรงให้คำว่ากล่าวอะไรต่อไปแก่ชนคริสเตียนในเปอร์กาโมส์ และทำไมประชาคมนี้จึงจำเป็นต้องได้รับคำว่ากล่าวนั้น?
13 พระเยซูทรงว่ากล่าวคริสเตียนที่ประชาคมเปอร์กาโมส์ต่อไปดังนี้: “นอกจากนี้ เจ้าก็มีคนที่ยึดมั่นกับคำสอนของนิกายนิโคลาอุสอยู่ด้วย.” (วิวรณ์ 2:15, ล.ม.) ก่อนหน้านี้ พระเยซูตรัสชมเชยชาวเอเฟโซส์เนื่องจากพวกเขาได้เกลียดการกระทำของนิกายนี้. แต่คริสเตียนในเปอร์กาโมส์จำต้องได้รับคำแนะนำเรื่องการรักษาประชาคมให้ปราศจากการแบ่งแยกนิกาย. จำต้องเข้มงวดมากขึ้นในการรักษามาตรฐานต่าง ๆ ของคริสเตียนเพื่อจะคงความเป็นเอกภาพซึ่งพระเยซูทูลอธิษฐานขอในโยฮัน 17:20-23. มีความจำเป็นต้อง “ทั้งกระตุ้นเตือนโดยคำสอนที่ก่อประโยชน์และว่ากล่าวคนเหล่านั้นซึ่งโต้แย้ง.”—ติโต 1:9, ล.ม.
14. (ก) ตั้งแต่สมัยแรก ๆ ประชาคมคริสเตียนจำต้องต่อสู้กับผู้ใด และอัครสาวกเปาโลพรรณนาถึงพวกเขาว่าอย่างไร? (ข) ถ้อยคำอะไรของพระเยซูที่คนใด ๆ ซึ่งอาจมีแนวโน้มจะติดตามพวกที่ออกหากนั้นควรจะเอาใจใส่?
14 ตั้งแต่สมัยต้น ๆ ประชาคมคริสเตียนต้องต่อสู้กับผู้ออกหากที่หยิ่งทะนง ผู้ซึ่งโดยใช้คำอ่อนหวานอันเป็นคำล่อลวง “ก่อเหตุวิวาทกันแลขัดเคืองกันซึ่งเป็นการผิดจากคำสอน” ซึ่งจัดเตรียมให้โดยช่องทางของพระยะโฮวา. (โรม 16:17, 18) อัครสาวกเปาโลได้เตือนเรื่องการคุกคามเช่นนี้ในจดหมายเกือบทุกฉบับของท่าน.a ในสมัยปัจจุบัน เมื่อพระเยซูได้ฟื้นฟูประชาคมแท้ถึงระดับความบริสุทธิ์สะอาดและเอกภาพฝ่ายคริสเตียนแล้ว อันตรายจากการแบ่งแยกลัทธินิกายก็ยังมีอยู่. เพราะเหตุนี้ คนใดคนหนึ่งที่มีแนวโน้มจะติดตามชนบางกลุ่มที่แยกตัวออกต่างหาก ด้วยวิธีนั้นจึงตั้งนิกายของตนขึ้นมา เขาควรเอาใจใส่คำตรัสต่อไปนี้ของพระเยซู: “ฉะนั้น จงกลับใจ. มิฉะนั้น เราจะรีบมาหาเจ้าและจะต่อสู้กับพวกเขาด้วยดาบยาวจากปากของเรา.”—วิวรณ์ 2:16, ล.ม.
15. การแตกแยกเป็นนิกายเกิดขึ้นมาอย่างไร?
15 การแยกนิกายเริ่มต้นโดยวิธีใด? บางทีคนที่ตั้งตัวเป็นครูได้เพาะความสงสัย โต้แย้งความจริงบางข้อในพระคัมภีร์ (เช่นการที่พวกเราอยู่ในยุคสุดท้าย) และจึงเกิดกลุ่มย่อยแยกออกไปและติดตามเขา. (2 ติโมเธียว 3:1; 2 เปโตร 3:3, 4) หรือบางคนอาจวิพากษ์วิจารณ์วิธีที่พระยะโฮวาทรงทำให้การงานของพระองค์ดำเนินไป และโน้มน้าวให้มีน้ำใจสงวนตัวโดยอ้างว่าไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์และไม่มีความจำเป็นจะต้องไปประกาศข่าวสารราชอาณาจักรตามบ้าน. การเข้าส่วนในงานรับใช้นั้นตามแบบอย่างพระเยซูและเหล่าอัครสาวกของพระองค์คงจะทำให้พวกเขามีใจถ่อม กระนั้น พวกเขาพอใจแยกตัวออกไปและทำตัวสบาย ๆ มากกว่า บางทีเพียงแต่อ่านพระคัมภีร์เป็นครั้งคราวขณะอยู่กันเฉพาะกลุ่ม. (มัดธาย 10:7, 11-13; กิจการ 5:42; 20:20, 21) คนเหล่านี้สร้างความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวด้วยการระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซู, คำสั่งในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ละเว้นจากเลือด, การฉลองวันนักขัตฤกษ์, และการใช้ยาสูบยาเส้น. ยิ่งกว่านั้น เขาดูหมิ่นพระนามของพระยะโฮวา ไม่นานพวกเขาก็กลับเข้าสู่แนวทางที่ทำตามอำเภอใจแบบบาบิโลนใหญ่. ร้ายยิ่งกว่านั้น บางคนได้แรงกระตุ้นจากซาตานให้ ‘โบยตีเพื่อนบ่าว’ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพี่น้องของตน.—มัดธาย 24:49; กิจการ 15:29; วิวรณ์ 17:5.
16. (ก) เพราะเหตุใดคนเหล่านั้นซึ่งซวดเซไปเนื่องจากอิทธิพลของพวกออกหากจึงควรรีบกลับใจทันที? (ข) อะไรจะเกิดขึ้นกับคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธไม่ยอมกลับใจ?
16 ใครก็ตามที่ลังเลใจเนื่องด้วยแรงชักจูงของพวกออกหากพึงว่องไวที่จะเอาใจใส่เสียงเรียกของพระเยซูที่ให้กลับใจ! คำโฆษณาชวนเชื่อของพวกออกหากเป็นสิ่งที่ต้องปฏิเสธเสมือนเป็นยาพิษ! พื้นฐานของการชวนเชื่อเช่นนี้คือความริษยาและความเกลียดชัง ซึ่งตรงกันข้ามกับความจริงที่ชอบธรรม, บริสุทธิ์, และน่ารักซึ่งพระเยซูทรงเลี้ยงดูประชาคมของพระองค์. (ลูกา 12:42; ฟิลิปปอย 1:15, 16; 4:8, 9) สำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่ยอมกลับใจ พระเยซูเจ้าทรง “ต่อสู้กับพวกเขาด้วยดาบยาวจากปาก [ของพระองค์]” จริง ๆ. พระองค์ทรงฝัดร่อนประชาชนของพระองค์เพื่อรักษาเอกภาพซึ่งพระองค์ทรงอธิษฐานขอในคืนสุดท้ายที่พระองค์อยู่กับเหล่าสาวกบนแผ่นดินโลก. (โยฮัน 17:20-23, 26) เนื่องจากพวกออกหากปฏิเสธการชี้นำด้วยความรักและการช่วยเหลือซึ่งดาวในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์เสนอแก่เขา พระเยซูจึงทรงพิพากษาและลงโทษพวกเขา “ถึงสาหัส” ทิ้งพวกเขาไว้ใน “ที่มืดภายนอก.” พวกเขาถูกตัดสัมพันธ์ ไม่ให้ทำการเสมือนเชื้อในท่ามกลางประชาชนของพระเจ้าอีกเลย.—มัดธาย 24:48-51; 25:30; 1 โกรินโธ 5:6, 9, 13; วิวรณ์ 1:16.
‘มานาที่ซ่อนอยู่และหินกลมเล็กสีขาว’
17. มีบำเหน็จอะไรรอท่าคริสเตียนผู้ถูกเจิมซึ่ง “มีชัย” และคริสเตียนที่เมืองเปอร์กาโมส์จำต้องเอาชนะอะไร?
17 บำเหน็จอันยอดเยี่ยมมีไว้สำหรับทุกคนซึ่งเอาใจใส่คำตักเตือนที่พระเยซูทรงให้โดยการชี้นำแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา. ฟังสิ! “ผู้มีหูจงฟังสิ่งซึ่งพระวิญญาณตรัสกับประชาคมทั้งหลายที่ว่า เราจะให้มานาที่ซ่อนอยู่แก่ผู้ที่มีชัยบ้าง และเราจะให้หินกลมเล็กสีขาวแก่เขา บนหินนั้นมีชื่อใหม่เขียนไว้ซึ่งไม่มีใครรู้นอกจากผู้ที่ได้รับ.” (วิวรณ์ 2:17, ล.ม.) ด้วยเหตุนี้ คริสเตียนที่เปอร์กาโมส์ เช่นเดียวกับคริสเตียนในสเมอร์นาจึงได้รับการสนับสนุนให้ “มีชัย.” ถ้าเขาจะมีชัย คนเหล่านั้นในเปอร์กาโมส์ ซึ่งบัลลังก์ของซาตานอยู่ที่นั่น ต้องหลีกเลี่ยงการไหว้รูปเคารพ. พวกเขาต้องเอาชนะการประพฤติผิดศีลธรรม, การแตกแยกเป็นนิกาย, และการออกหากซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงบาลาค, บีละอัมและนิกายนิโคลาอุส. โดยการทำเช่นนั้น เหล่าคริสเตียนผู้ถูกเจิมย่อมได้รับเชิญให้กินบางส่วนจาก “มานาที่ซ่อนอยู่.” นี้หมายความอย่างไร?
18, 19. (ก) มานาที่พระยะโฮวาได้ทรงจัดให้มีสำหรับชนอิสราเอลนั้นคืออะไร? (ข) มานาอะไรที่ถูกซ่อนไว้? (ค) การรับประทานมานาที่ซ่อนอยู่นั้นเป็นภาพแสดงถึงอะไร?
18 ในสมัยโมเซ พระยะโฮวาทรงประทานมานาเพื่อประทังชีวิตชนชาติอิสราเอลระหว่างที่พวกเขาเดินทางในป่าทุรกันดาร. มานาในครั้งนั้นไม่ได้ซ่อนอยู่ เพราะทุกเช้า มานาที่ตกนั้นปรากฏขึ้นอย่างมหัศจรรย์ คล้ายหยดน้ำค้างแข็งสีขาวปกคลุมพื้นดิน ยกเว้นในวันซะบาโตเท่านั้น. เป็นการจัดเตรียมที่มาจากพระเจ้าเพื่อประทังชีวิตชาติอิสราเอล. เพื่อเป็นอนุสรณ์ พระยะโฮวาทรงบัญชาโมเซให้เก็บบางส่วนของ “ขนมปัง” นี้ในกระปุกทองคำไว้ในหีบสัญญาไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ “ตลอดชั่วลูกชั่วหลาน [ของอิสราเอล].”—เอ็กโซโด 16:14, 15, 23, 26, 33; เฮ็บราย 9:3, 4.
19 นับเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะสมจริง ๆ! มานานี้ได้เก็บซ่อนไว้ในที่บริสุทธิ์ที่สุดของพลับพลา ณ ที่นั่นมีแสงประหลาดส่องอยู่เหนือฝาหีบสัญญาไมตรี เป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระยะโฮวา. (เอ็กโซโด 26:34) ไม่มีการอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดผ่านเข้าไปในที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อจะกินมานาที่ซ่อนอยู่. อย่างไรก็ตาม พระเยซูตรัสว่าเหล่าสาวกผู้ถูกเจิมของพระองค์ซึ่งมีชัยจะกิน “มานาที่ซ่อนอยู่.” เช่นเดียวกับพระคริสต์ที่ทรงล่วงหน้าไปก่อน พวกเขาก็จะ “ไม่ได้เสด็จเข้าในที่บริสุทธิ์ซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้เป็นตัวจำลองจากแบบแท้นั้น แต่ได้เสด็จเข้าไปในสวรรค์นั้นเอง.” (เฮ็บราย 9:12, 24) เมื่อพวกเขาได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย พวกเขาจะได้สวมความไม่รู้จักเปื่อยเน่าและอมฤตยู—การจัดเตรียมอันวิเศษของพระยะโฮวา ซึ่งมีภาพแสดงถึงโดยการที่พวกเขาได้รับ “มานาที่ซ่อนอยู่” ซึ่งไม่มีวันเน่าเสีย. ช่างเป็นสิทธิพิเศษอะไรเช่นนั้นซึ่งชนกลุ่มน้อยนี้ที่มีชัยได้รับ.—1 โกรินโธ 15:53-57.
20, 21. (ก) การให้หินกลมเล็กสีขาวแก่คริสเตียนผู้ถูกเจิมนั้นเป็นสัญลักษณ์ถึงสิ่งใด? (ข) เนื่องจากมีหินกลมเล็กสีขาวเพียง 144,000 ก้อนเท่านั้น ชนฝูงใหญ่จึงมีความหวังอะไร?
20 อนึ่ง ชนกลุ่มน้อยนี้ยังได้รับ “หินกลมเล็กสีขาว” ด้วย. ในศาลโรมัน ก้อนหินกลมถูกนำมาใช้ในการประกาศคำพิพากษา.b หินกลมสีขาวหมายถึงการตัดสินให้ปล่อยตัว ขณะที่หินกลมสีดำหมายถึงการตัดสินให้รับโทษ บ่อยครั้งหมายถึงการตัดสินให้ถึงตาย. การที่พระเยซูให้ “หินกลมเล็กสีขาว” แก่คริสเตียนที่เปอร์กาโมส์ย่อมแสดงว่า พระองค์ตัดสินให้พวกเขาพ้นผิด, บริสุทธิ์, และสะอาด. แต่คำตรัสของพระเยซูอาจมีความหมายไกลกว่านั้น. ในสมัยโรมัน ยังมีการใช้ก้อนหินกลมแทนตั๋วผ่านเข้าไปร่วมงานสำคัญ ๆ ด้วย. ดังนั้น หินกลมสีขาวอาจบ่งชี้ถึงสิ่งพิเศษยิ่งสำหรับคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่ได้ชัยชนะ นั่นคือการถูกรับเข้าสู่ตำแหน่งอันทรงเกียรติในสวรรค์ ณ การอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก. มีการจัดเตรียมหินกลมนี้ไว้เพียง 144,000 ก้อนเท่านั้น.—วิวรณ์ 14:1; 19:7-9.
21 ทั้งนี้หมายความว่า คุณถูกละไว้โดยไม่นำพาเลยหรือ หากคุณเป็นคนหนึ่งในชนฝูงใหญ่ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมการนมัสการ? หามิได้! แม้จะไม่ได้รับหินกลมสีขาวที่แสดงถึงการยอมรับให้เข้าสู่สวรรค์ แต่ถ้าคุณเพียรอดทน คุณจะรอดผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่เพื่อมีส่วนในงานอันน่าชื่นชมแห่งการฟื้นฟูอุทยานบนแผ่นดินโลก. ผู้ที่จะร่วมกับคุณในงานนี้จะได้แก่ชนผู้ซื่อสัตย์ก่อนสมัยคริสเตียนซึ่งได้รับการปลุกขึ้นจากตาย รวมทั้งบุคคลในจำพวกแกะอื่นที่ตายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้. ในที่สุด ทุกคนที่ล่วงลับไปซึ่งถูกไถ่ถอนจะได้รับความโปรดปรานโดยจะถูกปลุกขึ้นมาสู่ชีวิตบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.—บทเพลงสรรเสริญ 45:16; โยฮัน 10:16; วิวรณ์ 7:9, 14.
22, 23. อะไรคือความหมายสำคัญของชื่อที่มีเขียนไว้บนก้อนหินซึ่งได้มอบแก่คริสเตียนผู้ถูกเจิมนั้น และสิ่งนี้ควรให้การหนุนใจอะไร?
22 ชื่อใหม่ที่มีเขียนไว้บนหินกลมนั้นคืออะไร? ชื่อคือคำที่ใช้ระบุตัวบุคคลและแยกเขาไว้ต่างหากจากผู้อื่น. คริสเตียนผู้ถูกเจิมเหล่านี้ได้รับหินกลมหลังจากพวกเขาเสร็จสิ้นแนวทางบนแผ่นดินโลกนี้อย่างผู้มีชัย. เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเห็นได้ชัดว่า ชื่อบนหินกลมเกี่ยวข้องกับสิทธิพิเศษแห่งการร่วมสามัคคีกับพระเยซูในสวรรค์—ตำแหน่งใกล้ชิดที่สุดแห่งการรับใช้ฐานะกษัตริย์ซึ่งเป็นที่หยั่งรู้ค่าและชื่นชมกันอย่างเต็มที่เฉพาะแต่ผู้ที่ได้รับราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์เป็นมรดก. ด้วยเหตุนี้ จึงหมายถึงนามหรือการกำหนดหน้าที่ “ซึ่งไม่มีใครรู้นอกจากผู้ที่ได้รับ.”—เทียบกับวิวรณ์ 3:12.
23 ช่างเป็นการโน้มน้าวใจชนจำพวกโยฮันจริง ๆ ให้ “ฟังสิ่งซึ่งพระวิญญาณตรัสกับประชาคมทั้งหลาย” และนำไปปฏิบัติ! และเรื่องนี้หนุนใจชนฝูงใหญ่สหายของพวกเขาจริง ๆ ให้รับใช้ร่วมกันอย่างซื่อสัตย์ขณะที่พวกเขาชื่นชมกับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบนแผ่นดินโลกนี้และมีส่วนร่วมกับพวกเขาในการประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวาให้เป็นที่รู้จัก!
[เชิงอรรถ]
a โปรดดู 1 โกรินโธ 3:3, 4, 18, 19; 2 โกรินโธ 11:13; ฆะลาเตีย 4:9; เอเฟโซ 4:14, 15; ฟิลิปปอย 3:18, 19; โกโลซาย 2:8; 1 เธซะโลนิเก 3:5; 2 เธซะโลนิเก 2:1-3; 1 ติโมเธียว 6:3-5; 2 ติโมเธียว 2:17; 4:3, 4; ติโต 1:13, 14; 3:10; เฮ็บราย 10:26, 27 ด้วย.
b โปรดดูกิจการ 26:10 และเชิงอรรถในพระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ที่มีข้ออ้างอิง.
[ภาพหน้า 43]
หลักฐานเหล่านี้แห่งการนมัสการแบบนอกรีตที่แพร่หลายมีการแสดงให้เห็นในพิพิธภัณฑ์เปอร์กามอนในเบอร์ลิน
[ภาพหน้า 45]
ส่วนหนึ่งของมานาได้ถูกเก็บซ่อนไว้ในหีบสัญญาไมตรี. สำหรับผู้ถูกเจิมที่มีชัย การได้รับมานาที่ซ่อนอยู่โดยนัย หมายความว่าเขาได้รับอมตชีพ
[ภาพหน้า 45]
หินกลมเล็กสีขาวนั้นสำหรับผู้ที่ถูกรับเข้าสู่การอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก