บท 11
ชื่อของคุณอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตไหม?
ซาร์ดิส
1. สภาพฝ่ายวิญญาณของประชาคมที่ซาร์ดิสเป็นอย่างไร และพระเยซูทรงเริ่มข่าวสารของพระองค์อย่างไร?
ห่างจากเมืองอะคิซาร์ (ทิอาทิรา) ในปัจจุบันไปทางใต้ประมาณ 48 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งประชาคมถัดไปที่จะได้รับข่าวสารจากพระเยซูผู้ทรงสง่าราศี คือประชาคมซาร์ดิส. ในศตวรรษที่หกก่อนสากลศักราช เมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงที่น่าภาคภูมิของอาณาจักรลิเดียโบราณ และเป็นที่ประทับของกษัตริย์เครอซุสผู้มั่งคั่งเหลือหลาย. มาในสมัยโยฮัน เมืองนี้อยู่ในสภาพตกต่ำ และความรุ่งโรจน์ในอดีตภายใต้กษัตริย์เครอซุสเป็นเพียงประวัติศาสตร์. ในทำนองเดียวกัน ประชาคมคริสเตียนที่นั่นอดอยากฝ่ายวิญญาณ. เป็นครั้งแรกที่พระเยซูไม่ทรงเริ่มข่าวสารของพระองค์ด้วยคำชม. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ตรัสว่า “จงเขียนถึงทูตของประชาคมในเมืองซาร์ดิสว่า ผู้ที่มีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้าและดาวเจ็ดดวงนั้นพูดอย่างนี้ ‘เรารู้ว่าเจ้าทำอะไร และรู้ว่าเจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิต แต่เจ้าตายแล้ว.’”—วิวรณ์ 3:1, ล.ม.
2. (ก) การที่พระเยซูทรงมี “พระวิญญาณทั้งเจ็ด” นั้นมีความหมายอย่างไรต่อคริสเตียนในเมืองซาร์ดิส? (ข) ประชาคมที่ซาร์ดิสมีชื่อเสียงในเรื่องใด แต่ข้อเท็จจริงคืออย่างไร?
2 เหตุใดพระเยซูจึงทรงระบุตัวพระองค์เองว่าเป็น “ผู้ที่มีพระวิญญาณทั้งเจ็ด”? นั่นเพราะวิญญาณเหล่านี้หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาซึ่งหลั่งไหลอย่างบริบูรณ์. ต่อมา โยฮันพรรณนาถึงพระวิญญาณเหล่านั้นด้วยว่าเป็นประหนึ่ง “ตาเจ็ดดวง” แสดงถึงความสามารถมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทำให้พระเยซูมี. (วิวรณ์ 5:6) ด้วยเหตุนี้ พระองค์ทรงสามารถเปิดเผยและจัดการกับสภาพการณ์ใด ๆ ก็ได้ที่อาจมีอยู่. (มัดธาย 10:26; 1 โกรินโธ 4:5) ประชาคมซาร์ดิสมีชื่อเสียงในด้านความมีชีวิตชีวา และเอาการเอางาน. แต่พระเยซูทรงเห็นได้ว่า ประชาคมนี้ตายฝ่ายวิญญาณ. ปรากฏชัดว่า สมาชิกส่วนใหญ่ในประชาคมกลับเข้าสู่สภาพเฉยเมยคล้ายกับสภาพก่อนที่พวกเขาเข้ามาเป็นคริสเตียน.—เทียบกับเอเฟโซ 2:1-3; เฮ็บราย 5:11-14.
3. (ก) เพราะเหตุใด “ทูตของประชาคมในเมืองซาร์ดิส” จึงควรเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูทรงมี “ดาวเจ็ดดวง”? (ข) พระเยซูทรงให้คำแนะนำอันเข้มงวดอะไรแก่ประชาคมที่ซาร์ดิส?
3 นอกจากนี้ พระเยซูทรงเตือน “ทูตของประชาคมในเมืองซาร์ดิส” ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นั้นซึ่งมี “ดาวเจ็ดดวง.” พระองค์ทรงถือพวกผู้ปกครองในประชาคมไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ทรงมีอำนาจชี้นำพวกเขาในงานบำรุงเลี้ยงที่พวกเขาทำ. พวกเขาควรตั้งใจเพื่อจะ ‘รู้แน่ชัดถึงความเป็นไปแห่งฝูงแกะของตน.’ (สุภาษิต 27:23) ฉะนั้น พวกเขาควรเอาใจใส่ฟังถ้อยคำที่พระเยซูตรัสต่อไป: “จงเฝ้าระวัง และเสริมกำลังให้สิ่งที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายแล้ว เพราะเราไม่พบว่าเจ้าทำการจนสำเร็จเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเรา. ฉะนั้น จงระลึกเสมอว่าเจ้าได้รับอะไรและได้ยินอะไร แล้วยึดมั่นกับสิ่งนั้นต่อไปและกลับใจ. แน่นอน ถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนขโมย และเจ้าจะไม่รู้เลยว่าเราจะมาหาเจ้าในเวลาใด.”—วิวรณ์ 3:2, 3, ล.ม.
4. ถ้อยคำของเปโตรจะช่วยประชาคมที่ซาร์ดิสอย่างไรให้ “เสริมกำลังให้สิ่งที่เหลืออยู่”?
4 ผู้ปกครองในประชาคมซาร์ดิสจำต้องระลึกถึงความยินดีที่พวกเขามีในตอนแรกเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้ความจริงและพระพรต่าง ๆ ที่พวกเขาได้รับต่อจากนั้น. แต่มาบัดนี้พวกเขาตายเสียแล้วในด้านกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ. ตะเกียงประจำประชาคมของเขาริบหรี่เนื่องจากขาดการงานแห่งความเชื่อ. หลายปีก่อนหน้านี้ อัครสาวกเปโตรได้เขียนจดหมายไปยังประชาคมต่าง ๆ ในเอเชีย (คงรวมทั้งซาร์ดิสด้วย) เพื่อสร้างความหยั่งรู้ค่าต่อข่าวดีอันรุ่งโรจน์ที่ชนคริสเตียนได้รับรองเอาและที่ประกาศไปแล้ว “โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงโปรดประทานลงมาจากสวรรค์”—ดังแสดงนัยไว้โดยพระวิญญาณทั้งเจ็ดในนิมิตของโยฮัน. อนึ่ง เปโตรได้เตือนคริสเตียนในเอเชียว่า พวกเขาเป็น ‘เชื้อสายที่ทรงเลือกไว้, เป็นคณะปุโรหิตหลวง, เป็นชาติบริสุทธิ์, เป็นชนชาติที่เป็นสมบัติพิเศษ, เพื่อเขาทั้งหลายจะประกาศเผยแพร่พระบารมีคุณของพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกเขาทั้งหลายให้ออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์.’ (1 เปโตร 1:12, 25; 2:9, ล.ม.) การไตร่ตรองความจริงฝ่ายวิญญาณเช่นนั้นจะช่วยประชาคมในซาร์ดิสให้กลับใจและ “เสริมกำลังให้สิ่งที่เหลืออยู่.”—เทียบกับ 2 เปโตร 3:9.
5. (ก) เกิดอะไรขึ้นกับความหยั่งรู้ค่าของคริสเตียนที่ซาร์ดิส? (ข) จะเกิดอะไรขึ้นหากคริสเตียนที่ซาร์ดิสไม่ตอบรับต่อคำแนะนำของพระเยซู?
5 ตอนนั้น ความหยั่งรู้ค่าและความรักที่พวกเขามีต่อความจริงเป็นเหมือนไฟที่จวนดับ. มีถ่านที่ยังไม่มอดเพียงไม่กี่ก้อน. พระเยซูทรงสนับสนุนพวกเขาเป่าให้ลุกไหม้, เขี่ยให้ไฟลุกโพลง, ให้กลับใจเสียจากการบาปอันเกิดจากการละเลยของพวกเขา, และเป็นประชาคมที่มีชีวิตชีวาฝ่ายวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง. (เทียบกับ 2 ติโมเธียว 1:6, 7.) มิฉะนั้นแล้ว เมื่อพระเยซูเสด็จมาโดยไม่คาดคิด—“เหมือนขโมย”—เพื่อดำเนินการพิพากษา ประชาคมในซาร์ดิสจะอยู่ในสภาพไม่เตรียมพร้อม.—มัดธาย 24:43, 44.
การเสด็จมา “เหมือนขโมย”
6. พระเยซูทรงเสด็จมา “เหมือนขโมย” ในปี 1918 โดยวิธีใด และพระองค์ทรงพบสภาพการณ์เช่นไรในท่ามกลางผู้ที่อ้างว่าเป็นสาวกของพระองค์?
6 คำเตือนของพระเยซูที่ว่าพระองค์จะเสด็จมา “เหมือนขโมย” พาดพิงถึงสมัยนี้. คำเตือนนี้มีความหมายเป็นพิเศษสำหรับคริสเตียนผู้ซึ่งมีชีวิตเข้าสู่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า. ไม่นานหลังจากปี 1914 คำพยากรณ์ของมาลาคีก็สำเร็จเป็นจริงที่ว่า “‘โดยกะทันหัน องค์พระผู้เป็นเจ้าเที่ยงแท้จะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์ ผู้ซึ่งเจ้าทั้งหลายกำลังแสวงหา และทูตแห่งสัญญาไมตรีผู้ซึ่งเจ้าชื่นชอบนั้น. นี่แน่ะ! ท่านจะมาแน่’ พระยะโฮวาแห่งพลโยธาได้ตรัส.” (มาลาคี 3:1, ล.ม.; วิวรณ์ 1:10) ในฐานะที่ทรงเป็น “ทูตแห่งสัญญาไมตรี” พระเยซูเสด็จมาเพื่อตรวจตราและพิพากษาคนเหล่านั้นที่อ้างตัวเป็นผู้ติดตามพระองค์. (1 เปโตร 4:17) เวลานั้น ในปี 1918 คริสต์ศาสนจักรได้เข้าไปพัวพันกับการทำให้โลหิตตกในสงครามโลกครั้งที่ 1 และจึงอยู่ในสภาพที่ตายฝ่ายวิญญาณอย่างสิ้นเชิง. แม้แต่คริสเตียนแท้ ซึ่งเคยประกาศด้วยความกระตือรือร้นอันแรงกล้าก่อนสงคราม ก็กลับเซื่องซึมฝ่ายวิญญาณระยะหนึ่ง. ผู้ปกครองในตำแหน่งสำคัญบางคนถูกจำคุก และกิจกรรมการประกาศเกือบหยุดชะงัก. ครั้นพระวิญญาณของพระยะโฮวาปลุกคริสเตียนเหล่านี้ขึ้นในปีถัดมา ก็ใช่ว่าทุกคนอยู่ในสภาพพร้อม. บางคน เหมือนหญิงพรหมจารีโง่ในอุปมาของพระเยซู ไม่พร้อมฝ่ายวิญญาณเพื่อสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้พระยะโฮวา. ถึงกระนั้น ก็น่ายินดีที่หลายคน ซึ่งเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีฉลาด ได้เอาใจใส่ต่อคำเตือนของพระเยซูที่ว่า “เหตุฉะนั้น จงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น.”—มัดธาย 25:1-13.
7. ทำไมคริสเตียนในทุกวันนี้จำต้องตื่นตัวอยู่เสมอ?
7 ความจำเป็นที่คริสเตียนต้องตื่นตัวนั้นไม่ได้สิ้นสุดในตอนเริ่มวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า. ในคำพยากรณ์สำคัญของพระองค์เกี่ยวกับ “หมายสำคัญว่า การณ์ทั้งปวงนั้นจวนจะสำเร็จ.” พระเยซูทรงให้คำเตือนอันทรงพลังที่ว่า “แต่วันนั้นโมงนั้นไม่มีผู้ใดรู้ . . . จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่า เวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร. ซึ่งเราบอกพวกท่าน เราก็บอกคนทั้งปวงด้วยว่า จงเฝ้าระวังอยู่เถิด.” (มาระโก 13:4, 32, 33, 37) ใช่แล้ว กระทั่งชั่วโมงนี้ทีเดียว พวกเราแต่ละคน ไม่ว่าจะอยู่ในจำพวกผู้ถูกเจิมหรือชนฝูงใหญ่ เราจำต้องตื่นตัวและต่อสู้การถลำเข้าสู่สภาพหลับฝ่ายวิญญาณ. เมื่อวันของพระยะโฮวามา “เหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน” ขอให้พระองค์พบพวกเราในสภาพตื่นเต็มที่เพื่อจะได้รับการพิพากษาอย่างเห็นดีเห็นชอบ.—1 เธซะโลนิเก 5:2, 3; ลูกา 21:34-36; วิวรณ์ 7:9.
8. ชนจำพวกโยฮันในสมัยนี้ได้กระตุ้นประชาชนของพระเจ้าให้รักษาความกระปรี้กระเปร่าฝ่ายวิญญาณอยู่เสมออย่างไร?
8 ชนจำพวกโยฮันในทุกวันนี้ตื่นตัวต่อความจำเป็นที่จะกระตุ้นประชาชนของพระเจ้าให้มีชีวิตชีวาฝ่ายวิญญาณเสมอ. เพื่อจุดมุ่งหมายนี้ จึงมีการจัดการชุมนุมพิเศษขึ้นทั่วโลกหลายครั้งแต่ละปี. เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ การประชุมภาค 2,981 แห่งมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 10,953,744 คน และผู้เชื่อถือใหม่ได้รับบัพติสมา 122,701 คน. เป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้วที่ชนจำพวกโยฮันใช้วารสารหอสังเกตการณ์ ในการประกาศพระนามและพระประสงค์ของพระยะโฮวา. เพื่อตอบสนองการกดขี่ข่มเหงอย่างขมขื่นระหว่างสงครามโลกทั้งสองคราว วารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ได้กระตุ้นพยานทั้งหลายของพระยะโฮวาให้ฟื้นความกระตือรือร้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยการพิมพ์บทความต่าง ๆ เช่น “พระพรจงมีแก่ผู้ที่ไม่หวั่นกลัว” (ปี 1919) “การเรียกให้ปฏิบัติการ” (ปี 1925) และ “การกดขี่ข่มเหงพ่ายแพ้” (1942).
9. (ก) คริสเตียนทุกคนควรถามตนเองด้วยคำถามอะไรบ้าง? (ข) วารสารหอสังเกตการณ์ ได้ให้การหนุนใจไว้อย่างไร?
9 เช่นเดียวกับในซาร์ดิส การตรวจสอบตัวเองอยู่เรื่อยไปเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับคริสเตียนทุกคนในประชาคมต่าง ๆ สมัยนี้. เราทุกคนน่าจะถามตัวเองเสมอ ๆ ว่า ‘การกระทำของเราได้สำเร็จครบถ้วน’ ไหมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าของเรา? โดยไม่ตัดสินผู้อื่น โดยส่วนตัวแล้ว เราพัฒนาน้ำใจเสียสละและพยายามถวายการรับใช้พระองค์ด้วยสุดจิตวิญญาณไหม? เกี่ยวกับเรื่องนี้ วารสารหอสังเกตการณ์ ได้ให้การหนุนกำลังใจโดยการพิจารณาบางเรื่องเช่น “จงพิสูจน์ให้เห็นเสมอว่าตัวคุณเป็นเช่นไร?” และ “ไม่อยู่เพื่อตนเองอีกต่อไป.”a เมื่อได้รับการช่วยเหลือตามหลักพระคัมภีร์เช่นนี้ ให้เราสำรวจตัวเองในส่วนลึกที่สุดของเราขณะที่เราพยายามดำเนินด้วยความถ่อมใจและด้วยการอธิษฐานด้วยความซื่อสัตย์มั่นคงจำเพาะพระยะโฮวา.—บทเพลงสรรเสริญ 26:1-3; 139:23, 24.
“บางคน”
10. ลักษณะที่หนุนใจอะไรที่พระเยซูทรงสังเกตเห็นในประชาคมที่ซาร์ดิส และสิ่งนี้ควรมีผลกระทบอย่างไรต่อเรา?
10 ถ้อยคำถัดไปที่พระเยซูตรัสแก่ประชาคมซาร์ดิสเป็นการหนุนใจอย่างยิ่ง. พระองค์ตรัสว่า “แต่มีพวกเจ้าบางคนในเมืองซาร์ดิสที่ไม่ได้ทำเสื้อคลุมของตนให้มีมลทิน และพวกเขาจะเดินไปกับเราโดยสวมเสื้อคลุมสีขาว เพราะพวกเขาคู่ควรจะทำเช่นนั้น. ดังนั้น ผู้ที่มีชัยจะสวมเสื้อคลุมสีขาวและเราจะไม่ลบชื่อเขาออกจากหนังสือแห่งชีวิตเลย แต่เราจะรับรองชื่อเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราและต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์.” (วิวรณ์ 3:4, 5, ล.ม.) คำตรัสเหล่านี้กระตุ้นเราและเสริมความแน่วแน่ของเราที่จะรักษาความซื่อสัตย์มิใช่หรือ? เนื่องจากคณะผู้ปกครองละเลยไม่เอาใจใส่ ทั้งประชาคมจึงอาจตกอยู่ในสภาพหลับสนิทฝ่ายวิญญาณ. กระนั้น บางคนในประชาคมอาจบากบั่นพยายามอย่างกล้าหาญเพื่อรักษาเอกลักษณ์คริสเตียนของตนให้สะอาดหมดจดปราศจากด่างพร้อยและด้วยวิธีนี้จึงมีชื่อเสียงดีกับพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป.—สุภาษิต 22:1.
11, 12. (ก) แม้กระทั่งในระหว่างการออกหากครั้งใหญ่ บางคนต้องได้เป็นเหมือน “บางคน” เหล่านั้นที่ซื่อสัตย์ในประชาคมที่ซาร์ดิสอย่างไร? (ข) คริสเตียนซึ่งเป็นเหมือนข้าวดีในระหว่างวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการบรรเทาอย่างไร?
11 ใช่แล้ว “เสื้อคลุม” เล็งถึงเอกลักษณ์อันชอบธรรมของคนเราในฐานะคริสเตียน. (เทียบกับวิวรณ์ 16:15; 19:8.) พระเยซูคงต้องรู้สึกอุ่นพระทัยเมื่อทรงเห็นว่า ทั้ง ๆ ที่คนส่วนใหญ่เฉยเมย มี “บางคน” คือคริสเตียนผู้ถูกเจิมบางคนที่ซาร์ดิสยังคงดำเนินการเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์นี้. เช่นเดียวกัน เมื่อผู้ที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียนยังอยู่ในบาบิโลนใหญ่ จักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จ ในช่วงหลายศตวรรษที่มีการออกหากครั้งใหญ่ คงต้องมีบางคนที่พยายาม ทั้ง ๆ ที่มีอุปสรรคมาก เพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา. พวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมเสมือนข้าวดีที่ซ่อนอยู่ภายในลัทธินิกายต่าง ๆ มากมายอันเปรียบได้กับวัชพืช.—วิวรณ์ 17:3-6; มัดธาย 13:24-29.
12 พระเยซูทรงสัญญาว่า พระองค์จะสถิตกับคริสเตียนที่เปรียบเสมือนข้าวดี “เสมอจนกระทั่งช่วงอวสานแห่งระบบ.” พระองค์ทรงทราบว่าเขาเป็นใครและพวกเขาได้สร้างชื่อเสียงอันดีอะไรไว้. (มัดธาย 28:20, ล.ม.; ท่านผู้ประกาศ 7:1) ลองนึกภาพความยินดีของผู้ซื่อสัตย์ “บางคน” ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ตอนเริ่มต้นวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าสิ! ในที่สุด พวกเขาก็ถูกแยกออกจากคริสต์ศาสนจักรที่ตายฝ่ายวิญญาณ และถูกรวบรวมเข้าสู่ประชาคมที่ชอบธรรมคล้ายคลึงกับประชาคมในสเมอร์นา.—มัดธาย 13:40-43.
13. พระพรอะไรมีไว้แล้วสำหรับคริสเตียนผู้ถูกเจิมซึ่งไม่ได้ “ทำเสื้อคลุมของตนให้มีมลทิน”?
13 คนเหล่านั้นในซาร์ดิสผู้ซึ่งซื่อสัตย์จนถึงที่สุดและไม่ทำให้เอกลักษณ์ฝ่ายคริสเตียนของตนด่างพร้อยจึงได้ประสบความเป็นจริงแห่งความหวังอันยอดเยี่ยม. ภายหลังการสถาปนาราชอาณาจักรมาซีฮาของพระเยซูในปี 1914 พวกเขาได้รับการปลุกขึ้นจากตายสู่ชีวิตกายวิญญาณ และในฐานะเป็นผู้มีชัยเขาได้รับการประดับกายด้วยเสื้อคลุมสีขาวเป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาไม่มีด่างพร้อย มีความชอบธรรมอันปราศจากมลทิน. โดยที่ได้ดำเนินในทางแคบซึ่งนำไปสู่ชีวิต พวกเขาจะได้รับรางวัลนิรันดร์.—มัดธาย 7:14; ดูวิวรณ์ 6:9-11 ด้วย.
ตลอดไปในหนังสือแห่งชีวิต!
14. “หนังสือแห่งชีวิต” คืออะไร และชื่อของใครได้รับการจดบันทึกไว้ในหนังสือนั้น?
14 “หนังสือแห่งชีวิต” คืออะไร และชื่อของผู้ใดจะมีบันทึกไว้ข้างใน? หนังสือ หรือม้วนหนังสือแห่งชีวิตหมายถึงบันทึกเกี่ยวด้วยเหล่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาผู้ซึ่งมาอยู่ในเส้นทางจะได้รับชีวิตนิรันดร์. (มาลาคี 3:16) ที่นี่ในพระธรรมวิวรณ์ได้มีการกล่าวถึงชื่อคริสเตียนผู้ถูกเจิมโดยเฉพาะ. แต่ชื่อของคนเหล่านั้นซึ่งอยู่ในเส้นทางจะได้รับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกก็มีบันทึกไว้ในหนังสือนี้เช่นเดียวกัน. ยิ่งกว่านั้น อาจมีการ “ลบชื่อ” ออกจากหนังสือนั้นได้. (เอ็กโซโด 32:32, 33) อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นในจำพวกโยฮันซึ่งมีชื่อคงอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตตราบจนเขาตายจะรับชีวิตอมตะในสวรรค์. (วิวรณ์ 2:10) ชื่อเหล่านี้แหละที่พระเยซูทรงรับรองเป็นพิเศษเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของพระองค์และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระยะโฮวา. ช่างเป็นรางวัลที่ล้ำเลิศอะไรเช่นนี้!
15. สมาชิกแห่งชนฝูงใหญ่จะมีชื่อของตนเขียนไว้ในหนังสือแห่งชีวิตอย่างที่จะไม่อาจลบได้โดยวิธีใด?
15 ชนฝูงใหญ่ ซึ่งมีชื่อบันทึกอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตเช่นกัน จะรอดชีวิตผ่านพ้นความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่. โดยการสำแดงความเชื่อตลอดรัชสมัยพันปีของพระเยซูและในระหว่างการทดสอบขั้นชี้ขาดที่ติดตามมา พวกเขาจะได้รับชีวิตนิรันดรบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานเป็นบำเหน็จ. (ดานิเอล 12:1; วิวรณ์ 7:9, 14; 20:15; 21:4) ชื่อของพวกเขาจะคงอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตอย่างมิอาจลบได้. เมื่อทราบสิ่งซึ่งมีเสนอโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ในที่นี้ คุณน่าจะตอบรับคำเชิญของพระเยซูด้วยความกระตือรือร้นมิใช่หรือ ที่ว่า “ผู้มีหูจงฟังสิ่งซึ่งพระวิญญาณตรัสกับประชาคมทั้งหลายเถิด”—วิวรณ์ 3:6, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กรกฎาคม 2005 และ 15 มีนาคม 2005.
[ภาพหน้า 57]
ขอให้ชื่อของคุณคงอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตเสมอไป