บท 13
จงซื้อทองคำซึ่งถลุงด้วยไฟแล้ว
ลาโอดิเคีย
1, 2. ที่ตั้งของประชาคมสุดท้ายในเจ็ดประชาคมที่ได้รับข่าวสารจากพระเยซูผู้ทรงสง่าราศีนั้นอยู่ที่ไหน และลักษณะบางอย่างของเมืองนี้เป็นอย่างไร?
ลาโอดิเคียเป็นประชาคมสุดท้ายในเจ็ดประชาคมที่ได้รับข่าวสารจากพระเยซูผู้คืนพระชนม์. และเป็นข่าวสารที่ถ่ายทอดความรู้ที่เร้าใจจริง ๆ!
2 ทุกวันนี้ คุณจะพบเห็นซากปรักหักพังของเมืองลาโอดิเคียใกล้ ๆ เดนิซลี ประมาณ 88 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของอาเลเชเฮียร์. ในศตวรรษแรก ลาโอดิเคียเป็นเมืองที่เจริญ. เนื่องจากตั้งอยู่ตรงชุมทางสำคัญ เมืองนี้จึงเป็นศูนย์กลางสำคัญในด้านการธนาคารและการค้า. การขายน้ำมันทาตาอันมีชื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้กับเมืองนี้. และเมืองนี้ยังมีชื่อในด้านเสื้อผ้าคุณภาพดีซึ่งผลิตขึ้นที่นั่นจากขนแกะสีดำ. การขาดแคลนน้ำซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเมืองนี้ ได้มีการแก้ไขโดยการทำร่องน้ำให้ไหลลงมาจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ห่างออกไป. ดังนั้น เมื่อน้ำไหลมาถึงตัวเมืองก็จะเป็นแค่น้ำอุ่น ๆ เท่านั้น.
3. พระเยซูทรงเริ่มต้นข่าวสารที่มีไปถึงประชาคมที่ลาโอดิเคียอย่างไร?
3 ลาโอดิเคียอยู่ใกล้เมืองโกโลซาย. เมื่อเปาโลเขียนไปถึงชาวโกโลซาย ท่านเอ่ยถึงจดหมายที่ท่านส่งถึงชาวลาโอดิเคีย. (โกโลซาย 4:15, 16) เราไม่ทราบว่าเปาโลเขียนอะไรในจดหมายฉบับนั้น แต่ข่าวสารที่พระเยซูส่งไปถึงพวกเขาในตอนนี้แสดงว่า พวกเขาเสื่อมลงสู่สภาพวิบัติฝ่ายวิญญาณ. กระนั้น ดังที่เคยทำ ก่อนอื่นพระเยซูทรงเริ่มต้นด้วยการเอ่ยถึงหลักฐานระบุตัวพระองค์โดยตรัสว่า “จงเขียนถึงทูตของประชาคมในเมืองลาโอดิเคียว่า อาเมนผู้เป็นพยานที่ซื่อสัตย์และสัตย์จริง และเป็นผู้แรกที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นพูดอย่างนี้.”—วิวรณ์ 3:14, ล.ม.
4. โดยวิธีใดที่พระเยซูทรงเป็น “อาเมน”?
4 เหตุใดพระเยซูทรงเรียกพระองค์เองว่า “อาเมน”? สมญานี้เพิ่มน้ำหนักในทางกฎหมายให้กับข่าวสารของพระองค์. “อาเมน” เป็นคำทับศัพท์คำภาษาฮีบรูที่มีความหมายว่า “อย่างแน่นอน” “ให้เป็นดังนั้น” และมีการใช้คำนี้เมื่อจบคำอธิษฐานเพื่อยืนยันถ้อยคำที่ได้กล่าวในคำอธิษฐาน. (1 โกรินโธ 14:16) พระเยซูทรงเป็น “อาเมน” เนื่องจากความซื่อสัตย์มั่นคงของพระองค์อันไม่มีที่ติและการวายพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาถวายนั้นก็เป็นการยืนยันและรับประกันความสำเร็จเป็นจริงแห่งคำสัญญาอันเลิศล้ำทุกประการของพระยะโฮวา. (2 โกรินโธ 1:20) ตั้งแต่นั้นมา การอธิษฐานทุกครั้งจึงมีการทูลต่อพระยะโฮวาอย่างถูกต้องโดยผ่านทางพระเยซู.—โยฮัน 15:16; 16:23, 24.
5. ในทางใดที่พระเยซูทรงเป็น “พยานที่ซื่อสัตย์และสัตย์จริง”?
5 นอกจากนั้น พระเยซูทรงเป็น “พยานที่ซื่อสัตย์และสัตย์จริง.” ในคำพยากรณ์มักจะมีการกล่าวถึงพระองค์ควบคู่ไปกับความซื่อสัตย์, ความสัตย์จริง, และความชอบธรรม เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ไว้วางใจได้อย่างครบถ้วนในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้ายะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 45:4; ยะซายา 11:4, 5; วิวรณ์ 1:5; 19:11) พระองค์ทรงเป็นพยานองค์ใหญ่ยิ่งเพื่อพระยะโฮวา. แท้จริง ในฐานะเป็น “ผู้แรกที่พระเจ้าทรงสร้าง” พระเยซูได้ทรงประกาศสง่าราศีของพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มทีเดียว. (สุภาษิต 8:22-30) ในฐานะมนุษย์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงให้คำพยานถึงความจริง. (โยฮัน 18:36, 37; 1 ติโมเธียว 6:13) หลังจากได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์แล้ว พระองค์ทรงสัญญาจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เหล่าสาวกและตรัสแก่พวกเขาว่า “เจ้าทั้งหลายจะเป็นพยานของเรา ทั้งในกรุงเยรูซาเลมและทั่วยูเดียกับซะมาเรียและจนถึงที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลก.” ตั้งแต่วันเพนเทคอสต์ปีสากลศักราช 33 เป็นต้นมา พระเยซูทรงชี้นำคริสเตียนผู้ถูกเจิมในการประกาศข่าวดี “แก่มนุษย์ทุกคนที่อยู่ใต้ฟ้า.” (กิจการ 1:6-8, ล.ม.; โกโลซาย 1:23) แท้จริง พระเยซูคู่ควรจะถูกเรียกว่าเป็นพยานที่ซื่อสัตย์และสัตย์จริง. คริสเตียนผู้ถูกเจิมในลาโอดิเคียคงจะได้รับประโยชน์โดยการฟังคำตรัสของพระองค์.
6. (ก) พระเยซูทรงพรรณนาถึงสภาพฝ่ายวิญญาณของประชาคมที่ลาโอดิเคียอย่างไร? (ข) คริสเตียนในลาโอดิเคียพลาดไปไม่ได้ปฏิบัติตามแบบอย่างอันดีเยี่ยมอะไรของพระเยซู?
6 พระเยซูมีข่าวสารอะไรให้แก่ชาวลาโอดิเคีย? พระองค์ไม่มีคำกล่าวชม. พระองค์ตรัสอย่างตรงไปตรงมากับพวกเขาว่า “เรารู้ว่าเจ้าทำอะไร เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน. เราอยากให้เจ้าเย็นหรือไม่ก็ร้อน. เพราะเจ้าเป็นแต่อุ่น ๆ ไม่ร้อนไม่เย็น เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา.” (วิวรณ์ 3:15, 16, ล.ม.) คุณจะตอบรับอย่างไรต่อข่าวสารเช่นนี้จากพระเยซูคริสต์เจ้า? คุณจะไม่ตื่นตัวและตรวจสอบตัวเองหรอกหรือ? แน่นอน ชาวลาโอดิเคียต้องมุมานะ เนื่องจากพวกเขาเฉื่อยชาทางฝ่ายวิญญาณ และดูเหมือนพวกเขาถือว่า พระกรุณาของพระเจ้าเป็นเรื่องธรรมดา. (เทียบกับ 2 โกรินโธ 6:1.) พระเยซู ผู้ซึ่งพวกเขาในฐานะที่เป็นคริสเตียนน่าจะเอาอย่าง พระองค์ทรงแสดงความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้าเสมอต่อพระยะโฮวาและต่องานรับใช้ของพระองค์. (โยฮัน 2:17) ยิ่งกว่านั้น คนใจถ่อมรู้ว่า พระองค์ทรงอ่อนโยนและนุ่มนวลเสมอ น่าชื่นใจประหนึ่งน้ำเย็นถ้วยหนึ่งในวันที่ร้อนอบอ้าว. (มัดธาย 11:28, 29) ทว่าคริสเตียนในลาโอดิเคียไม่ร้อนและไม่เย็น. เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่เมืองของเขา พวกเขากลายเป็นคนเฉยเมย เป็นแต่อุ่น ๆ. พวกเขาอยู่ในข่ายที่พระเยซูจะปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ‘ถูกคายออกจากปากของพระองค์’! ขอให้พวกเราพยายามเป็นคนกระตือรือร้นอย่างแรงกล้าในการให้ความสดชื่นฝ่ายวิญญาณแก่ผู้อื่นเสมอเช่นเดียวกับพระเยซู.—มัดธาย 9:35-38.
“เจ้าบอกว่า ‘ข้าพเจ้าร่ำรวย’”
7. (ก) พระเยซูทรงระบุสาเหตุของปัญหาของคริสเตียนที่ลาโอดิเคียอย่างไร? (ข) ทำไมพระเยซูตรัสว่า พวกคริสเตียนในลาโอดิเคีย “ตาบอดและเปลือยกายอยู่”?
7 อะไรคือมูลเหตุแท้จริงของปัญหาที่ชาวลาโอดิเคียประสบ? เราได้แนวคิดที่ดีจากคำตรัสต่อไปของพระเยซู: “เพราะเจ้าบอกว่า ‘ข้าพเจ้าร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติมากมายและไม่ต้องการสิ่งใดอีกเลย’ แต่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่าสังเวช น่าสมเพช ยากจน ตาบอด และเปลือยกายอยู่.” (วิวรณ์ 3:17, ล.ม.; เทียบกับลูกา 12:16-21.) เพราะอยู่ในเมืองที่มั่งคั่ง พวกเขาจึงรู้สึกมั่นใจเนื่องด้วยความร่ำรวย. อาจเป็นได้ว่า วิถีชีวิตของเขาได้รับผลกระทบจากสนามกีฬา, โรงละคร, และสถานออกกำลังกายและพลศึกษา จนทำให้พวกเขากลายเป็น “คนรักการสนุกสนานมากกว่ารักพระเจ้า.”a (2 ติโมเธียว 3:4) แต่ชาวลาโอดิเคียผู้มั่งคั่งทางวัตถุกลับยากจนฝ่ายวิญญาณ. หากเขาจะ “สะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์” พวกเขาก็มีเล็กน้อย. (มัดธาย 6:19-21) พวกเขาไม่ได้รักษาตาให้ปกติ โดยให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาเป็นอันดับแรกในชีวิต. ที่แท้ พวกเขาอยู่ในความมืด, ตาบอด, ขาดการมองเห็นฝ่ายวิญญาณ. (มัดธาย 6:22, 23, 33) ยิ่งกว่านั้น แม้พวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าอย่างดีซึ่งได้ซื้อมาด้วยความร่ำรวยของตน แต่ในสายพระเนตรของพระเยซูพวกเขาเปลือยกายอยู่. พวกเขาไม่มีเครื่องนุ่งห่มฝ่ายวิญญาณซึ่งระบุว่าพวกเขาเป็นคริสเตียน.—เทียบกับวิวรณ์ 16:15.
8. (ก) ในทางใดที่สถานการณ์เช่นเดียวกับในลาโอดิเคียนั้นก็มีอยู่ในทุกวันนี้ด้วยเหมือนกัน? (ข) คริสเตียนบางคนได้หลอกลวงตนเองอย่างไรในโลกที่โลภโมโทสันนี้?
8 ช่างเป็นสภาพการณ์ที่น่าตกใจจริง ๆ! กระนั้น บ่อยครั้งเราพบเหตุการณ์คล้ายกันนี้ในสมัยของเราด้วยมิใช่หรือ? อะไรเป็นมูลเหตุของเรื่องนี้? มูลเหตุนั้นคือทัศนะที่มั่นใจตัวเองซึ่งเกิดจากการหมายพึ่งทรัพย์สมบัติฝ่ายวัตถุและทรัพยากรมนุษย์. เช่นเดียวกับสมาชิกในคริสต์ศาสนจักร ประชาชนบางคนของพระยะโฮวาก็ยังลวงตัวเอง โดยคิดเอาว่าตนทำให้ชอบพระทัยพระยะโฮวาได้โดยการเข้าร่วมประชุมเป็นครั้งคราว. พวกเขาพยายามเอาตัวรอดโดยเป็น “คนประพฤติตามคำนั้น” แบบฉาบฉวย. (ยาโกโบ 1:22) แม้ชนจำพวกโยฮันได้เตือนเขาครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังเอาใจจดจ่ออยู่กับเสื้อผ้า, รถยนต์, และบ้านแบบทันสมัย, และรูปแบบชีวิตที่หมกมุ่นอยู่กับนันทนาการและการสนุกสนาน. (1 ติโมเธียว 6:9, 10; 1 โยฮัน 2:15-17) สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดยังผลให้การหยั่งเห็นฝ่ายวิญญาณเฉื่อยลง. (เฮ็บราย 5:11, 12) แทนที่จะเป็นแต่อุ่น ๆ อย่างเงื่องหงอย พวกเขาจำเป็นต้องจุด ‘ไฟแห่งพระวิญญาณ’ ขึ้นใหม่ และแสดงให้เห็นความปรารถนาอันสดชื่นที่จะ “ประกาศพระคำ.”—1 เธซะโลนิเก 5:19; 2 ติโมเธียว 4:2, 5.
9. (ก) ถ้อยคำอะไรของพระเยซูควรทำให้คริสเตียนที่เป็นแต่อุ่น ๆ นั้นสะดุ้ง และทำไม? (ข) คริสเตียนที่หลงไปอาจได้รับการช่วยเหลือจากประชาคมอย่างไร?
9 พระเยซูทรงถือว่าคริสเตียนที่เป็นแต่อุ่น ๆ เป็นเช่นไร? คำตรัสอย่างตรงไปตรงมาของพระองค์ที่ว่า “เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่าสังเวช น่าสมเพช ยากจน ตาบอด และเปลือยกายอยู่” น่าจะทำให้เขาสะดุ้ง. สติรู้สึกผิดชอบของพวกเขาหมดความรู้สึกถึงขั้นที่ไม่ตระหนักถึงสถานภาพอันน่าตกใจของตน. (เทียบกับสุภาษิต 16:2; 21:2.) สภาพการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ภายในประชาคมไม่ใช่เรื่องที่จะปัดให้พ้นไปได้ง่าย ๆ. โดยการวางตัวอย่างที่ดีในด้านความกระตือรือร้นอันแรงกล้าและโดยการบำรุงเลี้ยงด้วยความรัก พวกผู้ปกครองและคนอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหน้าที่จากผู้ปกครองอาจจะปลุก “แกะ” ที่พลัดหลงเหล่านี้ให้ตื่นสู่ความยินดีจากการรับใช้สุดหัวใจเช่นแต่ก่อน.—ลูกา 15:3-7.
คำแนะนำ ‘เพื่อจะได้ร่ำรวย’
10. “ทองคำ” ที่พระเยซูทรงบอกให้คริสเตียนที่ลาโอดิเคียซื้อจากพระองค์นั้นคืออะไร?
10 มีทางแก้สำหรับสภาพการณ์ที่น่าเศร้าในลาโอดิเคียไหม? มี หากคริสเตียนเหล่านั้นจะปฏิบัติตามคำแนะนำของพระเยซูที่ว่า “เราจึงแนะนำเจ้าให้ซื้อทองคำซึ่งถลุงด้วยไฟแล้วจากเราเพื่อเจ้าจะร่ำรวย.” (วิวรณ์ 3:18ก, ล.ม.) “ทองคำ” แท้ฝ่ายคริสเตียน ซึ่งถลุงด้วยไฟและไล่กากโลหะออกแล้ว จะทำให้พวกเขา “มั่งมีจำเพาะพระเจ้า.” (ลูกา 12:21) พวกเขาจะซื้อทองคำเช่นนั้นได้จากที่ไหน? ไม่ใช่จากนายธนาคารท้องถิ่นแต่จากพระเยซู! อัครสาวกเปาโลอธิบายว่าทองคำนั้นได้แก่อะไรเมื่อท่านบอกให้ติโมเธียวกำชับคริสเตียนที่มั่งคั่ง “ให้ทำการดี, ให้ร่ำรวยในการงานอันดี, ให้เป็นคนใจกว้าง, พร้อมจะแบ่งปัน, โดยสะสมทรัพย์ประเสริฐอย่างปลอดภัยไว้สำหรับตนให้เป็นรากฐานอันดีสำหรับอนาคต.” โดยการใช้ตัวเองในด้านนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถ “ยึดเอาชีวิตแท้ให้มั่น.” (1 ติโมเธียว 6:17-19, ล.ม.) ชาวลาโอดิเคียซึ่งมั่งคั่งฝ่ายวัตถุน่าจะได้ทำตามคำแนะนำของเปาโล และโดยวิธีนี้เขาจะมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณ.—โปรดดูสุภาษิต 3:13-18 ด้วย.
11. เรามีแบบอย่างอะไรในสมัยปัจจุบันเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ซื้อทองคำซึ่ง “ถลุงด้วยไฟแล้ว”?
11 มีตัวอย่างในสมัยปัจจุบันไหมเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ได้ซื้อ “ทองคำซึ่งถลุงด้วยไฟแล้ว”? มีแน่นอน! แม้กระทั่งขณะที่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าคืบใกล้เข้ามา นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกลุ่มเล็ก ๆ เริ่มสังเกตเห็นความเท็จของคำสอนแบบบาบิโลนมากมายในคริสต์ศาสนจักร เช่น ตรีเอกานุภาพ, จิตวิญญาณอมตะ, การทรมานในไฟนรก, การให้บัพติสมาแก่ทารก, และการนมัสการรูปเคารพ (รวมทั้งไม้กางเขน และรูปนางมาเรีย). เพื่อสนับสนุนความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิล คริสเตียนเหล่านี้ได้ประกาศว่าราชอาณาจักรของพระยะโฮวาเป็นความหวังอย่างเดียวของมนุษยชาติและเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูเป็นพื้นฐานสำหรับความรอด. เกือบ 40 ปีล่วงหน้า พวกเขาชี้ถึงปี 1914 ว่าเป็นปีที่มีการระบุในคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นตอนสิ้นสุดของเวลากำหนดของคนต่างชาติ โดยมีเหตุการณ์ที่น่าตกใจหลายอย่างเกิดขึ้นบนโลก.—วิวรณ์ 1:10.
12. ใครคือหนึ่งในคนเหล่านั้นซึ่งนำหน้าคริสเตียนที่ตื่นขึ้น และท่านได้วางตัวอย่างที่เด่นอะไรในการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์?
12 ที่นำหน้าท่ามกลางคริสเตียนที่ตื่นตัวเหล่านี้ได้แก่ ชาลส์ เทซ รัสเซลล์ ผู้ซึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 1870 ได้จัดตั้งกลุ่มการศึกษาพระคัมภีร์ขึ้นที่แอลเลเกนี (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของพิตส์เบิร์ก) รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา. ตอนที่ท่านเริ่มแสวงความจริง รัสเซลล์เป็นหุ้นส่วนกับบิดาของท่านและอยู่บนเส้นทางสู่การเป็นมหาเศรษฐี. แต่ท่านได้ขายผลประโยชน์ทั้งหมดซึ่งได้จากเครือธุรกิจร้านค้าของท่าน และได้ใช้ทรัพย์สินอันมากมายของท่านในการช่วยเหลือด้านเงินทุนการประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้าทั่วโลก. ปี 1884 รัสเซลล์ได้เป็นนายกคนแรกของนิติบุคคลนั้นซึ่งบัดนี้มีชื่อว่า สมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์แห่งเพนซิลเวเนีย. ท่านสิ้นชีวิตในปี 1916 ขณะโดยสารรถไฟใกล้ ปัมปา เทกซัส เพื่อไปยังนิวยอร์ก ท่านอ่อนเพลียภายหลังการเดินทางประกาศตามทางตะวันตกของสหรัฐ. ท่านได้วางตัวอย่างที่โดดเด่นแห่งการสะสมทรัพย์สมบัติฝ่ายวิญญาณไว้ในสวรรค์ ตัวอย่างที่ผู้รับใช้ประเภทไพโอเนียร์ซึ่งเสียสละตัวเองนับแสนคนปฏิบัติตามในขณะนี้.—เฮ็บราย 13:7; ลูกา 12:33, 34; เทียบกับ 1 โกรินโธ 9:16; 11:1.
การใช้ยาทาตาฝ่ายวิญญาณ
13. (ก) ยาทาตาฝ่ายวิญญาณจะช่วยปรับปรุงสภาพการณ์ของชาวลาโอดิเคียได้อย่างไร? (ข) พระเยซูทรงแนะถึงเสื้อชนิดใด และทำไม?
13 อนึ่ง พระเยซูทรงตักเตือนชาวลาโอดิเคียเหล่านั้นอย่างเฉียบขาดว่า “ให้ซื้อเสื้อคลุมสีขาวมาสวมปกปิดกายเปลือยเปล่าอันน่าละอายของเจ้าไว้ และให้ซื้อยามาทาตาของเจ้าเพื่อเจ้าจะได้มองเห็น.” (วิวรณ์ 3:18ข, ล.ม.) พวกเขาควรหาทางรักษาโรคตาบอดฝ่ายวิญญาณของตนโดยซื้อยาที่ให้ผลในทางรักษา ไม่ใช่ชนิดที่หาได้จากคนที่ให้การรักษาในท้องถิ่น แต่เป็นชนิดที่พระเยซูองค์เดียวให้ได้. ยานี้จะช่วยให้เขาหยั่งเห็นเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ช่วยให้เขาดำเนินใน “วิถีของผู้ชอบธรรม” โดยที่สายตาของเขาซึ่งเปี่ยมด้วยความยินดีจ้องอยู่ที่การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. (สุภาษิต 4:18, 25-27) โดยวิธีนี้ พวกเขาจะสวมใส่ หาใช่เสื้อผ้าราคาแพงทำจากขนแกะสีดำซึ่งผลิตในลาโอดิเคียไม่ แต่เป็น “เสื้อคลุมสีขาว” เนื้อละเอียดซึ่งประกาศเอกลักษณ์อันเป็นสิทธิพิเศษของพวกเขาในฐานะสาวกของพระเยซูคริสต์.—เทียบกับ 1 ติโมเธียว 2:9, 10; 1 เปโตร 3:3-5.
14. (ก) ยาทาตาฝ่ายวิญญาณอะไรที่มีไว้ให้นับตั้งแต่ปี 1879? (ข) อะไรคือแหล่งแห่งการหนุนหลังทางการเงินที่สำคัญที่สุดของพยานพระยะโฮวา? (ค) ในการใช้เงินบริจาค พยานพระยะโฮวาผิดแผกไปจากศาสนาอื่นอย่างไร?
14 ปัจจุบันนี้มียาทาตาฝ่ายวิญญาณดังกล่าวไหม? มีแน่นอน! ในปี 1879 พาสเตอร์ รัสเซลล์ อันเป็นชื่อที่คนสมัยนั้นเรียกท่านด้วยความชอบพอ ได้เริ่มพิมพ์วารสารขึ้นเพื่อป้องกันความจริง ซึ่งบัดนี้รู้จักไปทั่วโลกด้วยชื่อหอสังเกตการณ์ ประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวา ในฉบับที่สอง ท่านแถลงว่า “เราเชื่อว่า [วารสารนี้] มีพระยะโฮวาเป็นผู้หนุนหลัง และตราบเท่าที่เป็นอย่างนี้จะไม่มีการขอ หรือจะไม่ร้องขอ การสนับสนุนจากมนุษย์. เมื่อพระองค์ผู้ตรัสว่า ‘ทองคำและเงินทั้งหมดแห่งภูเขาทั้งหลายเป็นของเรา’ งดการให้เงินทุนที่จำเป็น เราก็จะเข้าใจว่านั่นเป็นเวลายุติการพิมพ์.” นักเทศน์ทางโทรทัศน์บางคนได้กอบโกยทรัพย์จำนวนมากมายและดำเนินชีวิตที่ฟุ่มเฟือยอย่างน่าละอาย (และบางครั้งก็ผิดศีลธรรม). (วิวรณ์ 18:3) ในทางกลับกัน พวกนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในทุกวันนี้ว่าพยานพระยะโฮวา ได้ใช้เงินที่ได้รับจากการบริจาคโดยสมัครใจทั้งหมดเพื่อจัดระเบียบและส่งเสริมงานประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวาซึ่งใกล้เข้ามาทั่วโลก. จนทุกวันนี้ ชนจำพวกโยฮันเป็นผู้ชี้นำการพิมพ์วารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ซึ่งยอดจำหน่ายในปี 2006 รวมทั้งสิ้นมากกว่า 59 ล้านเล่ม. วารสารหอสังเกตการณ์ มีให้รับได้ในราว ๆ 150 ภาษา. วารสารนี้เป็นคู่มือศึกษาที่ใช้ในประชาคมแห่งคริสเตียนมากกว่าหกล้านคนซึ่งได้ใช้ยาทาตาฝ่ายวิญญาณนี้เพื่อเขาจะดูศาสนาเท็จออกและเข้าใจถึงความเร่งด่วนแห่งงานประกาศข่าวดีในทุกชาติ.—มาระโก 13:10.
การรับประโยชน์จากการว่ากล่าวและการตีสอน
15. เพราะเหตุใดพระเยซูจึงให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมาแก่คริสเตียนที่ลาโอดิเคีย และประชาคมนั้นควรมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำแนะนำนั้น?
15 ให้เรากลับไปยังชาวเมืองลาโอดิเคีย. พวกเขาจะตอบรับอย่างไรต่อคำแนะนำที่แรงจากพระเยซู? พวกเขาน่าจะรู้สึกท้อแท้และคิดว่า พระเยซูคงไม่ต้องการให้เขาเป็นสาวกของพระองค์อีกต่อไปแล้วไหม? หามิได้. ข่าวสารมีบอกต่อไปว่า “เราว่ากล่าวและตีสอนผู้ที่เรารัก. ฉะนั้น จงกระตือรือร้นและกลับใจ.” (วิวรณ์ 3:19, ล.ม.) เช่นเดียวกับการตีสอนที่มาจากพระยะโฮวา การตีสอนจากพระเยซูเป็นสิ่งบอกถึงความรักของพระองค์. (เฮ็บราย 12:4-7) ประชาคมลาโอดิเคียควรรับประโยชน์จากความห่วงใยด้วยความรักของพระองค์และนำคำแนะนำของพระองค์ไปใช้. พวกเขาควรกลับใจ โดยสำนึกว่า การที่พวกเขาเป็นแต่อุ่น ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำบาป. (เฮ็บราย 3:12, 13; ยาโกโบ 4:17) จงให้พวกผู้ปกครองของพวกเขาละเลิกการนิยมวัตถุเสียและ “เป่า” ของประทานที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้านั้น “ให้ลุกรุ่งเรืองขึ้น.” ขณะที่ยาทาตาฝ่ายวิญญาณเกิดผลในทางรักษา ขอให้ทุกคนในประชาคมประสบความสดชื่นดังที่ได้จากน้ำเย็นที่ตักขึ้นมาจากบ่อน้ำพุ.—2 ติโมเธียว 1:6; สุภาษิต 3:5-8; ลูกา 21:34.
16. (ก) ความรักและความรักใคร่ของพระเยซูได้มีการแสดงให้เห็นอย่างไรในทุกวันนี้? (ข) หากเราได้รับคำแนะนำที่ตรงไปตรงมา เราควรมีปฏิกิริยาอย่างไร?
16 พวกเราในทุกวันนี้ล่ะจะว่าอย่างไร? พระเยซูยังคงมี ‘ความรักต่อคนของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้.’ พระองค์จะทรงทำเช่นนี้ “เสมอไปเป็นนิตย์กว่าจะสิ้นโลก.” (โยฮัน 13:1; มัดธาย 28:20) ความรักและความรักใคร่ของพระองค์ปรากฏผ่านทางชนจำพวกโยฮันสมัยปัจจุบันและเหล่าดวงดาวหรือผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียน. (วิวรณ์ 1:20) ในสมัยที่ยากลำบากนี้ พวกผู้ปกครองมีความสนใจอย่างแท้จริงในการช่วยเหลือทุกคน ทั้งชราและเยาว์วัยให้คงอยู่ภายในคอกตามระบอบของพระเจ้า ต้านทานความเป็นเอกเทศ ความโลภด้านวัตถุ และความโสมมทางศีลธรรมแห่งโลกนี้. หากบางครั้งพวกเรารับคำแนะนำหรือการตีสอนที่แรง จงจำไว้ว่า “คำสั่งสอนห้ามปรามเป็นทางแห่งชีวิต.” (สุภาษิต 6:23) เราทุกคนเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์และควรตั้งใจแรงกล้าจะกลับใจตามความจำเป็นเพื่อเราจะได้รับการปรับให้เข้าที่และคงอยู่ในความรักของพระเจ้า.—2 โกรินโธ 13:11.
17. ความมั่งคั่งอาจเป็นอันตรายต่อเราทางฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร?
17 เราต้องไม่ยอมให้การฝักใฝ่ในวัตถุ, ความมั่งมี, หรือความขัดสนทำให้เราเป็นแต่อุ่น ๆ. ความมั่งคั่งอาจช่วยเปิดช่องทางใหม่แห่งงานรับใช้ แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้เหมือนกัน. (มัดธาย 19:24) คนมั่งมีอาจรู้สึกว่าตนไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่กระตือรือร้นอย่างแรงกล้าในงานประกาศเหมือนคนอื่น ถ้าหากว่าเขาบริจาคเงินก้อนใหญ่พอสมควรเป็นครั้งคราว. หรือเขาอาจมีความรู้สึกว่า การที่ตนเป็นคนรวยนั้น เขาน่าจะได้รับสิทธิพิเศษบางอย่าง. นอกจากนั้น คนมั่งคั่งมีโอกาสจะหาความสนุกสนานและความสำราญหลายอย่างซึ่งคนอื่นไม่อาจทำได้. แต่นันทนาการเหล่านั้นทำให้สิ้นเปลืองเวลาและอาจชักพาผู้ที่ไม่ระมัดระวังไปจากงานรับใช้ของคริสเตียน ดังนั้นจึงทำให้คนที่ไม่รอบคอบเป็นแต่อุ่น ๆ. ขอให้พวกเราหลีกเลี่ยงหลุมพรางเหล่านี้และ “ทำงานหนักและทุ่มเทตัวเอง” อย่างสุดหัวใจต่อ ๆ ไป พร้อมกับมีชีวิตนิรันดร์เป็นเป้าหมาย.—1 ติโมเธียว 4:8-10, ล.ม.; 6:9-12.
‘การกินอาหารมื้อเย็น’
18. พระเยซูทรงจัดให้มีโอกาสอะไรไว้ตรงหน้าคริสเตียนที่ลาโอดิเคีย?
18 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ดูเถิด! เรายืนเคาะประตูอยู่. ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงเราแล้วเปิดประตู เราจะเข้าไปในบ้านของผู้นั้นแล้วกินอาหารมื้อเย็นกับเขา และเขาจะกินอาหารมื้อเย็นกับเรา.” (วิวรณ์ 3:20, ล.ม.) หากคริสเตียนชาวลาโอดิเคียจะเพียงแต่ต้อนรับพระเยซูเข้ามาในประชาคมของตนเท่านั้น พระองค์ก็จะทรงช่วยพวกเขาให้เอาชนะการเป็นแต่อุ่น ๆ ของพวกเขา!—มัดธาย 18:20.
19. พระเยซูทรงหมายถึงอะไรเมื่อพระองค์สัญญาจะรับประทานอาหารมื้อเย็นกับประชาคมที่ลาโอดิเคีย?
19 การที่พระเยซูทรงเอ่ยถึงอาหารมื้อเย็นคงเตือนใจชาวลาโอดิเคียให้ระลึกถึงคราวที่พระองค์ทรงร่วมรับประทานอาหารด้วยกันกับเหล่าสาวกแน่ ๆ. (โยฮัน 12:1-8) โอกาสเหล่านั้นทำให้มีพระพรฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ที่อยู่ร่วมเสมอ. ทำนองเดียวกัน มีโอกาสสำคัญ ๆ อีกภายหลังการคืนพระชนม์ของพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงร่วมรับประทานอาหารกับเหล่าสาวก ซึ่งในโอกาสนั้น ๆ พวกเขาได้รับการเสริมกำลังอย่างมากมาย. (ลูกา 24:28-32; โยฮัน 21:9-19) ฉะนั้น คำสัญญาที่ว่า พระองค์จะทรงเข้ามายังประชาคมลาโอดิเคียและรับประทานอาหารมื้อเย็นกับพวกเขาจึงเป็นคำสัญญาว่าจะยังประโยชน์ฝ่ายวิญญาณมากมายแก่พวกเขาถ้าเพียงแต่พวกเขาจะต้อนรับพระองค์เท่านั้น.
20. (ก) ณ ตอนเริ่มต้นแห่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า อะไรคือผลลัพธ์จากการที่คริสต์ศาสนจักรเป็นแต่อุ่น ๆ? (ข) การพิพากษาของพระเยซูมีผลกระทบอย่างไรต่อคริสต์ศาสนจักร?
20 คำตักเตือนอันเปี่ยมด้วยความรักที่พระเยซูทรงมีแก่ชาวลาโอดิเคียนั้นมีความหมายสำคัญยิ่งต่อคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่ยังเหลืออยู่ในทุกวันนี้. ผู้ถูกเจิมเหล่านี้บางคนระลึกได้ว่า เมื่อวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่มต้น นักศาสนาแห่งคริสต์ศาสนจักรเป็นแต่อุ่น ๆ ถึงขั้นที่น่าตกใจ. แทนที่จะต้อนรับการเสด็จกลับขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราในปี 1914 พวกนักเทศน์นักบวชเหล่านั้นกลับพาตัวเข้าไปพัวพันกับการเข่นฆ่ากันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่ง 24 ประเทศในจำนวน 28 ประเทศที่ต่อสู้กันอ้างตัวเป็นคริสเตียน. ความผิดของพวกเขาฐานทำให้โลหิตตกนั้นช่างร้ายแรงจริง ๆ! ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งการสู้รบส่วนใหญ่ได้ทำกันภายในคริสต์ศาสนจักรเช่นกัน อีกครั้งหนึ่งที่บาปของศาสนาเท็จได้ “กองสูงขึ้นจรดสวรรค์.” (วิวรณ์ 18:5) ยิ่งกว่านั้น พวกหัวหน้าศาสนาในคริสต์ศาสนจักรเมินเฉยต่อราชอาณาจักรของพระยะโฮวาที่กำลังจะมาโดยการสนับสนุนสันนิบาตชาติ, สหประชาชาติ, และขบวนการชาตินิยม, ขบวนการปฏิวัติ, ซึ่งไม่มีสักขบวนการเดียวสามารถแก้ปัญหาของมนุษยชาติ. พระเยซูทรงปฏิเสธเหล่าหัวหน้าศาสนามาตั้งนานแล้ว โดยตัดสินพวกเขาอย่างเป็นผลร้ายและโยนพวกเขาทิ้งไปเหมือนชาวประมงโยนปลาที่ใช้ไม่ได้ซึ่งติดในอวนของตน. สภาพอับจนอันน่าเวทนาของคริสตจักรต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรทุกวันนี้ยืนยันการพิพากษานั้นซึ่งมีแก่พวกเขา. จงให้ความหายนะที่ตกแก่คริสต์ศาสนจักรในที่สุดนั้นเป็นข้อเตือนใจพวกเรา!—มัดธาย 13:47-50.
21. ตั้งแต่ปี 1919 เป็นต้นมา คริสเตียนในประชาคมแท้ได้ตอบรับอย่างไรต่อถ้อยคำของพระเยซูที่มีไปถึงคริสเตียนในลาโอดิเคีย?
21 แม้แต่ในประชาคมแท้ ก็มีบุคคลที่เป็นแต่อุ่น ๆ เสมือนเครื่องดื่มที่ไม่ร้อนชวนดื่ม และไม่เย็นอันทำให้สดชื่น. แต่พระเยซูก็ยังทรงรักประชาคมของพระองค์อย่างอบอุ่น. พระองค์ทรงพร้อมอยู่เสมอสำหรับคริสเตียนผู้ตอบรับอย่างมีไมตรีจิต และหลายคนได้ต้อนรับพระองค์เสมือนเชิญพระองค์มารับประทานอาหารมื้อเย็น. ผลก็คือ ตั้งแต่ปี 1919 เป็นต้นมา พวกเขาถูกเปิดตาให้เข้าใจความหมายแห่งคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล. พวกเขาชื่นชมยินดีในช่วงเวลาแห่งการส่องสว่างครั้งใหญ่.—บทเพลงสรรเสริญ 97:11; 2 เปโตร 1:19.
22. อาหารมื้อเย็นอะไรในภายภาคหน้าที่พระเยซูอาจทรงคิดถึง และใครจะร่วมในอาหารมื้อเย็นนั้น?
22 ในคำตรัสถึงชาวลาโอดิเคีย พระเยซูอาจทรงนึกถึงอาหารเย็นอีกมื้อหนึ่ง. เราอ่านในพระธรรมวิวรณ์ต่อมาว่า “ผู้ที่ได้รับเชิญมายังงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกก็มีความสุข.” นี่คืองานเลี้ยงฉลองชัยชนะมโหฬารเพื่อสรรเสริญพระยะโฮวาหลังจากพระองค์ได้ทรงลงโทษตามคำพิพากษาแก่ศาสนาเท็จ—ผู้ร่วมงานเลี้ยงในสวรรค์ครั้งนี้คือพระคริสต์กับเจ้าสาวของพระองค์ครบทั้ง 144,000 คน. (วิวรณ์ 19:1-9, ล.ม.) สมาชิกประชาคมลาโอดิเคียโบราณที่ตอบรับ—ใช่แล้ว และพี่น้องที่ซื่อสัตย์ทั้งหลายของพระเยซูคริสต์ในสมัยนี้ ซึ่งสวมเสื้อผ้าสะอาดที่ระบุตัวว่าเป็นคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่แท้จริง—ทั้งหมดจะร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นนั้นกับเจ้าบ่าวของตน. (มัดธาย 22:2-13) ช่างเป็นแรงกระตุ้นอันทรงพลังจริง ๆ เพื่อให้กระตือรือร้นอย่างแรงกล้าและกลับใจ!
บัลลังก์สำหรับผู้มีชัย
23, 24. (ก) พระเยซูตรัสเกี่ยวด้วยบำเหน็จอะไรอีกในวันข้างหน้า? (ข) พระเยซูประทับบนบัลลังก์มาซีฮาของพระองค์เมื่อไร และพระองค์ทรงเริ่มการพิพากษาพวกที่อ้างเป็นคริสเตียนเมื่อใด? (ค) คำทรงสัญญาอันยอดเยี่ยมอะไรที่พระเยซูทรงทำกับเหล่าสาวกของพระองค์คราวเมื่อพระองค์ทรงตั้งอนุสรณ์ขึ้นถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์?
23 พระเยซูตรัสพาดพิงถึงรางวัลขั้นต่อไปดังนี้: “เราจะให้ผู้ที่มีชัยนั่งกับเราบนบัลลังก์ของเรา เหมือนที่เรามีชัยแล้วและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนราชบัลลังก์ของพระองค์.” (วิวรณ์ 3:21, ล.ม.) สำเร็จเป็นจริงตามคำตรัสของดาวิดที่บทเพลงสรรเสริญ 110:1, 2 พระเยซูผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง หลังจากทรงชนะโลกแล้ว จึงได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์ในปีสากลศักราช 33 และได้รับการยกย่องให้ประทับกับพระบิดา ณ ราชบัลลังก์ของพระองค์ในสวรรค์. (กิจการ 2:32, 33) อีกปีหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง คือปี 1914 พระเยซูเสด็จประทับบนราชบัลลังก์มาซีฮาของพระองค์ในฐานะกษัตริย์และผู้พิพากษา. เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการพิพากษาเริ่มขึ้นในปี 1918 กับผู้ที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียน. ครั้นแล้วผู้ถูกเจิมที่ได้ชัยชนะซึ่งเสียชีวิตก่อนปีนั้นก็ได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายและสมทบกับพระเยซูในราชอาณาจักรของพระองค์. (1 เปโตร 4:17) พระองค์ทรงสัญญาเรื่องนี้กับพวกเขาในคราวที่พระองค์ทรงตั้งอนุสรณ์ถึงการวายพระชนม์ของพระองค์ โดยตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “เราทำสัญญาเรื่องราชอาณาจักรกับเจ้าทั้งหลาย เช่นเดียวกับที่พระบิดาของเราได้ทำสัญญากับเรา เพื่อเจ้าทั้งหลายจะกินและดื่มที่โต๊ะของเราในราชอาณาจักรของเรา และนั่งบนบัลลังก์เพื่อจะพิพากษาอิสราเอลสิบสองตระกูล.”—ลูกา 22:28-30, ล.ม.
24 ช่างเป็นงานมอบหมายที่วิเศษอะไรเช่นนี้—จะได้ประทับกับกษัตริย์ผู้ครองราชย์ใน “คราวเมื่อสิ่งสารพัดจะเปลี่ยนแปลงใหม่” และร่วมกับพระองค์ โดยอาศัยเครื่องบูชาของพระองค์อันครบถ้วนสมบูรณ์ ในการยกมนุษย์โลกที่เชื่อฟังขึ้นสู่สภาพสมบูรณ์ดังในสวนเอเดน! (มัดธาย 19:28; 20:28) ดังที่โยฮันแจ้งแก่เราว่า พระเยซูทรงตั้งผู้มีชัยเหล่านั้นเป็น ‘ราชอาณาจักรและเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและพระบิดาของพระองค์’ เพื่อจะนั่งบนบัลลังก์ที่ล้อมรอบราชบัลลังก์อันโอ่อ่างดงามของพระยะโฮวาในสวรรค์. (วิวรณ์ 1:6; 4:4) ขอให้พวกเราทุกคน—ไม่ว่าจะอยู่ในจำพวกผู้ถูกเจิมหรือผู้ที่จะประกอบกันเป็นสังคมโลกใหม่ซึ่งหวังจะมีส่วนในการฟื้นฟูอุทยาน—พึงจดจำคำตรัสของพระเยซูที่มีไปถึงชาวลาโอดิเคีย!—2 เปโตร 3:13; กิจการ 3:19-21.
25. (ก) เช่นเดียวกับข่าวสารก่อน ๆ นี้ พระเยซูทรงจบข่าวสารที่พระองค์ทรงมีไปถึงลาโอดิเคียอย่างไร? (ข) คริสเตียนแต่ละคนในทุกวันนี้น่าจะตอบรับถ้อยคำของพระเยซูที่มีไปถึงประชาคมในลาโอดิเคียอย่างไร?
25 เช่นเดียวกับข่าวสารอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ พระเยซูทรงสรุปข่าวนี้ด้วยคำกระตุ้นเตือนดังนี้: “ผู้มีหูจงฟังสิ่งซึ่งพระวิญญาณตรัสกับประชาคมทั้งหลายเถิด.” (วิวรณ์ 3:22, ล.ม.) เรากำลังอยู่ในช่วงท้ายของยุคสุดท้าย พยานหลักฐานรอบตัวเราแสดงว่า คริสต์ศาสนจักรเย็นชาจริง ๆ ในเรื่องของความรัก. ในทางกลับกัน ขอให้พวกเราที่เป็นคริสเตียนแท้จงตอบรับข่าวสารที่พระเยซูมีไปถึงประชาคมลาโอดิเคียด้วยความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า ใช่แล้ว ตอบรับข่าวสารทั้งเจ็ดจากองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราที่มีไปยังประชาคมเหล่านั้น. เราสามารถทำเช่นนี้ได้โดยมีส่วนร่วมอย่างขยันขันแข็งในความสำเร็จเป็นจริงแห่งคำพยากรณ์สำคัญของพระเยซูสำหรับสมัยของเรานี้ที่ว่า “และข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อเป็นพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.”—มัดธาย 24:12-14, ล.ม.
26. เมื่อไรที่พระเยซูตรัสกับโยฮันโดยตรงอีก แต่พระองค์ทรงมีส่วนร่วมอยู่ในสิ่งใด?
26 คำแนะนำของพระเยซูที่มีไปถึงประชาคมทั้งเจ็ดจบลงแล้ว. พระองค์ไม่ตรัสกับโยฮันอีกเลยในพระธรรมวิวรณ์จนกว่าจะถึงบทสุดท้าย แต่พระองค์ทรงมีส่วนร่วมอยู่ในนิมิตต่าง ๆ หลายนิมิต ตัวอย่างเช่น ในการลงโทษตามคำพิพากษาของพระยะโฮวา. บัดนี้ขอให้เราร่วมกับชนจำพวกโยฮันในการตรวจสอบนิมิตที่สองอันน่าทึ่งซึ่งพระเยซูคริสต์เจ้าทรงเปิดเผย.
[เชิงอรรถ]
a สถานที่เหล่านี้เคยถูกค้นพบโดยการขุดค้นทางโบราณคดี ณ ที่ตั้งของเมืองลาโอดิเคีย.
[กรอบหน้า 73]
วัตถุนิยมกับสติปัญญา
ย้อนไปในปี 1956 นักเขียนบทความข่าวคนหนึ่งเขียนว่า “ประมาณกันว่า เมื่อร้อยปีมาแล้ว โดยเฉลี่ยคนเรามีความปรารถนา 72 อย่าง ซึ่งมี 16 อย่างที่ถือว่าจำเป็น. ปัจจุบันนี้ โดยเฉลี่ยแล้ว คนเรามีความปรารถนา 474 อย่าง ซึ่งมี 94 อย่างที่ถือว่าจำเป็น. ร้อยปีมาแล้ว มีสินค้า 200 ชนิดที่มีการพยายามเสนอขายให้คนทั่วไป—แต่ทุกวันนี้มีสินค้าถึง 32,000 ชนิดที่เราต้องต้านทานการเสนอขาย. ความจำเป็นของคนเรามีไม่กี่อย่าง—แต่ความต้องการของเขามีไม่จำกัด.” ทุกวันนี้ ผู้คนถูกจู่โจมด้วยแนวความคิดที่ว่า ความมั่งคั่งทางด้านวัตถุและทรัพย์สิ่งของเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต. ด้วยเหตุนั้น คนจำนวนมากจึงละเลยคำแนะนำอันประกอบด้วยสติปัญญาในพระธรรมท่านผู้ประกาศ 7:12 ที่ว่า “สติปัญญาเป็นเครื่องปกป้องกันฉันใด, เงินก็เป็นเครื่องปกป้องกันฉันนั้น; แต่ความประเสริฐซึ่งมีอยู่ในความรู้นั้นคือมีปัญญารู้รักษาชีวิตของเจ้าของความรู้นั้นให้รอด.”
[ภาพหน้า 67]
น้ำที่ไหลมาถึงลาโอดิเคียคงเป็นน้ำอุ่น ๆ ที่ไม่ทำให้ชื่นใจ. น้ำใจของคริสเตียนในลาโอดิเคียเป็นแบบอุ่น ๆ ที่ไม่ได้ก่อความพอใจยินดี