บท 33
การพิพากษาหญิงแพศยาผู้ฉาวโฉ่
นิมิต 11—วิวรณ์ 17:1-18
เรื่อง: บาบิโลนใหญ่นั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มซึ่งในที่สุดได้หันมาหาบาบิโลนใหญ่และล้างผลาญเสีย
เวลาที่สำเร็จเป็นจริง: ตั้งแต่ปี 1919 จนถึงความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่
1. ทูตสวรรค์หนึ่งในเจ็ดองค์เปิดเผยอะไรแก่โยฮัน?
พระพิโรธอันชอบธรรมของพระยะโฮวาจำต้องรับการเทออกจนหมดสิ้น รวมเจ็ดขันด้วยกัน! เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่หกเทขันของตนลง ณ สถานที่ตั้งเมืองบาบิโลนโบราณ มันเป็นภาพแสดงอย่างเหมาะเจาะถึงภัยพิบัติที่เกิดแก่บาบิโลนใหญ่ขณะที่เหตุการณ์ต่าง ๆ เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วสู่สงครามสุดท้ายคืออาร์มาเก็ดดอน. (วิวรณ์ 16:1, 12, 16) เป็นไปได้ว่า ทูตสวรรค์องค์เดียวกันนี้แหละเป็นผู้ซึ่งบัดนี้ชี้แจงว่า เหตุใดและโดยวิธีใดที่พระยะโฮวาจะทรงดำเนินการพิพากษาอันชอบธรรมของพระองค์. โยฮันรู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่ท่านได้ยินและเห็นต่อไปนี้: “แล้วทูตสวรรค์องค์หนึ่งในทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่มีขันเจ็ดใบนั้นก็มาพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านเห็นการพิพากษาหญิงแพศยาคนสำคัญที่นั่งบนน้ำมากหลาย ผู้ซึ่งกษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกทำผิดประเวณีด้วยนั้น ส่วนคนเหล่านั้นที่อยู่บนแผ่นดินโลกก็เมาเหล้าองุ่นแห่งการผิดประเวณีของนาง.’”—วิวรณ์ 17:1, 2, ล.ม.
2. มีหลักฐานอะไรที่ว่า “หญิงแพศยาคนสำคัญ” (ก) ไม่ใช่โรมโบราณ? (ข) ไม่ใช่ธุรกิจใหญ่ ๆ? (ค) เป็นบางสิ่งบางอย่างทางศาสนา?
2 “หญิงแพศยาคนสำคัญ”! เหตุใดจึงให้ชื่อที่น่าอัปยศอดสูเช่นนี้? นางคือใคร? บางคนระบุว่า หญิงแพศยาโดยนัยนี้คือโรมโบราณ. แต่โรมเป็นอำนาจทางการเมือง. หญิงแพศยาคนนี้ทำการผิดประเวณีกับกษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก และทั้งนี้จึงรวมถึงกษัตริย์ทั้งหลายแห่งโรมเข้าด้วยอย่างชัดแจ้ง. นอกจากนี้ หลังจากที่นางพินาศ มีบอกไว้ว่า “กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก” จะร่ำไห้แก่การที่นางจากไป. เนื่องจากเหตุนี้ นางจึงไม่อาจเป็นอำนาจทางการเมือง. (วิวรณ์ 18:9, 10, ล.ม.) ยิ่งกว่านี้ เนื่องจากพวกพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกก็ร่ำไห้แก่นางเช่นกัน นางจึงไม่อาจเป็นภาพเล็งถึงธุรกิจใหญ่ ๆ. (วิวรณ์ 18:15, 16) อย่างไรก็ดี เราอ่านว่า “เพราะการถือผีของเจ้า ชาติทั้งปวงจึงถูกชักนำให้หลงผิด.” (วิวรณ์ 18:23, ล.ม.) นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หญิงแพศยาคนสำคัญนี้ต้องเป็นบางสิ่งบางอย่างทางศาสนาทั่วโลก.
3. (ก) เหตุใดหญิงแพศยาคนสำคัญต้องเล็งถึงยิ่งกว่าคริสตจักรโรมันคาทอลิกหรือแม้แต่คริสต์ศาสนจักรทั้งสิ้น? (ข) จะพบหลักคำสอนแบบบาบิโลนอะไรบ้างในศาสนาส่วนใหญ่ของทางตะวันออกรวมทั้งในนิกายต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักร? (ค) จอห์น เฮนรี นิวแมน คาร์ดินัลแห่งนิกายโรมันคาทอลิกยอมรับอะไรเกี่ยวกับต้นตอของหลักคำสอน, พิธี, และกิจปฏิบัติต่าง ๆ หลายประการของคริสต์ศาสนจักร? (ดูเชิงอรรถ.)
3 เป็นองค์การไหนทางศาสนา? นางคือคริสตจักรโรมันคาทอลิกอย่างที่บางคนได้อ้างกระนั้นไหม? หรือว่านางคือทุกส่วนของคริสต์ศาสนจักร? เปล่า นางต้องใหญ่กว่าสิ่งเหล่านี้หากจะชักนำชาติทั้งปวงให้หลง. แท้จริง นางคือจักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จทั้งสิ้น. ต้นกำเนิดของนางในความลึกลับแห่งบาบิโลนมีการแสดงให้เห็นในการที่หลักคำสอนและกิจปฏิบัติต่าง ๆ แบบบาบิโลนมีอยู่ทั่วไปในศาสนาต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินโลก. ตัวอย่างเช่น ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณอมตะที่อยู่ภายในมนุษย์, นรกแห่งการทรมาน, และพระเจ้าสามองค์ในตรีเอกานุภาพซึ่งพบได้ในศาสนาส่วนใหญ่ทางตะวันออก รวมทั้งในนิกายต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักร. ศาสนาเท็จ ซึ่งมีต้นกำเนิดในเมืองบาบิโลนโบราณมากว่า 4,000 ปีแล้ว ได้เติบโตขึ้นเป็นสิ่งใหญ่มหึมาในปัจจุบันที่ถูกเรียกอย่างเหมาะเจาะว่า บาบิโลนใหญ่. กระนั้นก็ดี เหตุใดนางจึงได้ชื่ออันน่าสะอิดสะเอียนที่ว่า “หญิงแพศยาคนสำคัญ”?a
4. (ก) อิสราเอลโบราณทำการผิดประเวณีด้วยวิธีใด? (ข) บาบิโลนใหญ่ได้ทำการผิดประเวณีในแนวทางที่เด่นชัดอะไร?
4 บาบิโลน (หรือบาเบล หมายถึง “ความสับสน”) บรรลุจุดสุดยอดด้านความยิ่งใหญ่ในสมัยนะบูคัดเนซัร. บาบิโลนเป็นประเทศที่ปกครองด้วยศาสนาผสมการเมืองที่มีโบสถ์และวิหารมากกว่าพันแห่ง. พวกนักบวชของเมืองนี้มีอำนาจมาก. แม้ว่าไม่มีบาบิโลนในฐานะมหาอำนาจโลกมานานแล้วก็ตาม บาบิโลนใหญ่ด้านศาสนายังดำรงต่อมา และเช่นเดียวกับบาบิโลนโบราณ บาบิโลนใหญ่ยังคงพยายามมีอิทธิพลและนวดปั้นเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางการเมือง. แต่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วยกับการที่ศาสนาเข้ายุ่งกับการเมืองไหม? ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู มีการกล่าวไว้ว่าอิสราเอลได้ทำตนเยี่ยงหญิงแพศยาเมื่อเข้ายุ่งเกี่ยวในการนมัสการเท็จ และเมื่อได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับประเทศต่าง ๆ แทนที่จะไว้วางใจพระยะโฮวา. (ยิระมะยา 3:6, 8, 9; ยะเอศเคล 16:28-30) บาบิโลนใหญ่ก็ทำการล่วงประเวณีเช่นเดียวกัน. เห็นได้อย่างเด่นชัดว่า เมืองนี้ทำทุกทางที่คิดว่าสะดวกเพื่อจะได้มาซึ่งอิทธิพลและอำนาจเหนือกษัตริย์ทั้งหลายที่ปกครองแผ่นดินโลก.—1 ติโมเธียว 4:1.
5. (ก) พวกนักเทศน์นักบวชชอบทำตัวให้เด่นอย่างไร? (ข) ทำไมความปรารถนาจะเป็นคนเด่นในโลกจึงเป็นสิ่งตรงข้ามกับคำตรัสของพระเยซูคริสต์?
5 ทุกวันนี้ บ่อยครั้งพวกผู้นำศาสนาจะรณรงค์ในการเลือกตั้งเพื่อจะได้ตำแหน่งสูงทางการเมือง และในบางประเทศ พวกเขาร่วมในรัฐบาล กระทั่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยซ้ำ. ในปี 1988 นักเทศน์นิกายโปรเตสแตนต์สองคนซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดี ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ. พวกผู้นำในบาบิโลนใหญ่ชอบทำตัวให้เด่น ภาพถ่ายของพวกเขามีให้เห็นบ่อยครั้งในหนังสือพิมพ์ขณะอยู่ร่วมกับนักการเมืองที่โด่งดัง. ในทางตรงกันข้าม พระเยซูทรงปฏิเสธการเข้าพัวพันในทางการเมืองและตรัสเกี่ยวกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “พวกเขาไม่เป็นส่วนของโลก เหมือนข้าพเจ้าไม่เป็นส่วนของโลก.”—โยฮัน 6:15; 17:16, ล.ม.; มัดธาย 4:8-10; ดูยาโกโบ 4:4 ด้วย.
‘การประพฤติเยี่ยงหญิงแพศยา’ สมัยปัจจุบัน
6, 7. (ก) พรรคนาซีของฮิตเลอร์ขึ้นมามีอำนาจในเยอรมนีอย่างไร? (ข) สนธิสัญญาที่วาติกันทำกับนาซีเยอรมนีช่วยฮิตเลอร์อย่างไรในการที่เขาพยายามครองโลก?
6 โดยเข้ายุ่งกับการเมือง หญิงแพศยาคนสำคัญได้ก่อความเศร้าโศกสุดพรรณนาแก่มนุษยชาติ. เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอให้พิจารณาข้อเท็จจริงที่อยู่เบื้องหลังการขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์ในเยอรมนี—อันเป็นข้อเท็จจริงที่น่าเกลียดจนบางคนต้องการจะตัดออกจากหนังสือประวัติศาสตร์. ในเดือนพฤษภาคม 1924 พรรคนาซีครอง 32 ที่นั่งในรัฐสภาของเยอรมนี. ในเดือนพฤษภาคม 1928 ที่นั่งลดเหลือ 12 ที่. อย่างไรก็ดี เกิดสภาพเศรษฐกิจตกต่ำที่ครอบคลุมทั่วโลกในปี 1930; ผลที่ตามมาคือ พวกนาซีฟื้นตัวอย่างน่าทึ่ง โดยการได้ 230 ที่นั่งจาก 608 ที่นั่งในการเลือกตั้งของเยอรมนีในเดือนกรกฎาคม 1932. ต่อมาไม่นาน อดีตนายกรัฐมนตรี ฟรานซ์ ฟอน พาเพน ผู้ได้รับอิสริยยศจากสันตะปาปาได้เข้าช่วยเหลือพวกนาซี. ตามคำกล่าวของพวกนักประวัติศาสตร์ ฟอน พาเพนจินตนาการจักรวรรดิโรมันใหม่อันศักดิ์สิทธิ์. ระยะเวลาอันสั้นที่เขาครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีล้มเหลว ดังนั้น บัดนี้ เขาจึงหวังจะมีอำนาจอีกโดยพวกนาซี. เมื่อถึงเดือนมกราคม 1933 เขาได้ระดมพลสนับสนุนฮิตเลอร์จากท่ามกลางพวกนักธุรกิจใหญ่แห่งโลกอุตสาหกรรม และโดยทางอุบายปลิ้นปล้อนต่าง ๆ เขาทำให้แน่ใจว่าฮิตเลอร์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนีในวันที่ 30 มกราคม 1933. ตัวเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และฮิตเลอร์ได้ใช้เขาให้หาการสนับสนุนจากชาวคาทอลิกในเยอรมนี. หลังจากได้อำนาจเพียงสองเดือน ฮิตเลอร์ก็ยุบสภา จัดการส่งผู้นำฝ่ายค้านนับเป็นพัน ๆ ไปยังค่ายกักกันต่าง ๆ และเริ่มดำเนินการกดขี่คนยิวอย่างเปิดเผย.
7 ในวันที่ 20 กรกฎาคม 1933 ความสนใจที่วาติกันมีต่อการเรืองอำนาจของลัทธินาซีก็ปรากฏชัด เมื่อคาร์ดินัล พาเชลลิ (ซึ่งต่อมาเป็นสันตะปาปา ไพอัสที่เจ็ด) ได้เซ็นสนธิสัญญาในโรม ระหว่างวาติกันกับเยอรมนีซึ่งปกครองโดยนาซี. ฟอน พาเพนได้เซ็นเอกสารนั้นในฐานะตัวแทนของฮิตเลอร์ และในโอกาสนั้น พาเชลลิได้มอบอิสริยาภรณ์ไม้กางเขนชั้นสูงสุดแห่งไพอัส ให้แก่ ฟอน พาเพน.b ทิบอร์ เคอเฟซ เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า ซาตานสวมหมวกทรงสูง (ภาษาอังกฤษ) โดยแถลงว่า “สนธิสัญญานี้นับว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่สำหรับฮิตเลอร์. เป็นการหนุนหลังด้านจิตใจที่เขาได้รับเป็นครั้งแรกจากโลกภายนอก และจากแหล่งที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงยิ่ง.” สนธิสัญญานั้นเรียกร้องให้วาติกันเลิกให้การสนับสนุนพรรคศูนย์คาทอลิกแห่งเยอรมนี จึงเป็นการยินยอมให้พรรคเดี่ยวของฮิตเลอร์ครอบครองแบบเผด็จการ.c ยิ่งกว่านั้น มาตราที่ 14 แห่งสนธิสัญญานั้นยังแถลงว่า “การแต่งตั้งอาร์ชบิชอป, บิชอป, และตำแหน่งอื่น ๆ ทำนองเดียวกันจะผ่านออกมาก็ต่อเมื่อข้าหลวงใหญ่ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลได้ทำการตรวจสอบให้แน่ใจแล้วว่าไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในเรื่องของการพิจารณาต่าง ๆ ทางการเมืองโดยทั่วไป.” เมื่อปลายปี 1933 (ซึ่งโปปไพอัสที่หกประกาศว่าเป็น “ปีศักดิ์สิทธิ์”) การสนับสนุนจากวาติกันกลายเป็นปัจจัยสำคัญในความพยายามของฮิตเลอร์เพื่อครองโลก.
8, 9. (ก) วาติกันกับคริสตจักรคาทอลิกและพวกนักเทศน์นักบวชของเขามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อระบอบเผด็จการของนาซี? (ข) พวกบิชอปแห่งนิกายคาทอลิกในเยอรมนีแถลงอย่างไรในตอนเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สอง? (ค) ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการเมืองก่อผลเช่นไร?
8 แม้ว่ามีนักบวชชายหญิงกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งได้ประท้วงความทารุณโหดร้ายของฮิตเลอร์—และจึงประสบการกดขี่เนื่องจากเหตุนี้ก็ตาม—วาติกันรวมทั้งคริสตจักรคาทอลิกพร้อมด้วยพวกนักบวชของเขาได้ให้การสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นหรือไม่ก็อย่างเงียบ ๆ แก่ระบอบเผด็จการของนาซี ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นป้อมปราการป้องกันการรุกรานของลัทธิคอมมิวนิสต์ในโลก. ขณะที่นั่งอย่างสง่าอยู่ในวาติกัน สันตะปาปาไพอัสที่เจ็ด ก็ปล่อยให้ความหายนะที่เกิดแก่คนยิวและการทำทารุณกรรมต่อพยานพระยะโฮวาและคนอื่น ๆ ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการตำหนิ. เป็นเรื่องน่าขันที่สันตะปาปาจอห์น พอลที่สอง ขณะเยือนเยอรมนี ในเดือนพฤษภาคม 1987 ได้กล่าวยกย่องนักบวชที่สุจริตใจผู้หนึ่งซึ่งได้ยืนหยัดต่อต้านพวกนาซี. นักบวชคนอื่น ๆ เป็นพัน ๆ ในเยอรมนีล่ะทำอะไรอยู่ระหว่างการปกครองอันน่าสยดสยองของฮิตเลอร์? จดหมายเปิดผนึกฉบับหนึ่งซึ่งพวกบิชอปในนิกายคาทอลิกแห่งเยอรมนีได้พิมพ์ออกเมื่อเดือนกันยายน 1939 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้นนั้นให้ความกระจ่างในเรื่องนี้. มีตอนหนึ่งอ่านว่า “ในชั่วโมงแห่งการชี้ขาดเช่นนี้ เราขอเตือนสติเหล่าทหารคาทอลิกของเราให้ทำหน้าที่ของตนด้วยการเชื่อฟังท่านฟือห์เรอร์ และอยู่พร้อมที่จะสละตนเอง. เราขอวิงวอนท่านทั้งหลายที่ซื่อสัตย์ให้ร่วมกันอธิษฐานด้วยใจแรงกล้าเพื่อว่า การดลใจจากพระเจ้าจะทำให้สงครามนี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี.”
9 วิธีการคบค้าสมาคมของพวกคาทอลิกดังกล่าวนั้นเป็นตัวอย่างแสดงถึงชนิดของการกระทำเยี่ยงหญิงแพศยาซึ่งศาสนาได้มีส่วนร่วมตลอดระยะเวลา 4,000 ปีที่ผ่านมาด้วยการจูงใจรัฐบาลทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์อื่น ๆ. ความสัมพันธ์เช่นนั้นระหว่างศาสนากับการเมืองมีส่วนส่งเสริมสงคราม, การกดขี่ข่มเหง, และความทุกข์โศกของมนุษย์ในขอบข่ายที่กว้างใหญ่. มนุษยชาติมีความยินดีได้จริง ๆ ที่การพิพากษาของพระยะโฮวาต่อหญิงแพศยาคนสำคัญนี้ใกล้จะถึงแล้ว. ขอให้มีการลงโทษตามการพิพากษานี้โดยเร็วเถิด!
นั่งบนน้ำมากหลาย
10. “น้ำมากหลาย” ที่บาบิโลนใหญ่หมายพึ่งเพื่อได้รับการป้องกันนั้นคืออะไร และอะไรกำลังเกิดขึ้นกับน้ำเหล่านั้น?
10 บาบิโลนโบราณตั้งบนน้ำมากหลาย คือแม่น้ำยูเฟรทิสและลำคลองเป็นจำนวนมาก. น้ำเหล่านี้ให้การป้องกันเมืองและยังเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งทางการค้า จนถึงเวลาที่มันแห้งไปในคืนเดียว. (ยิระมะยา 50:38; 51:9, 12, 13) บาบิโลนใหญ่ก็หมายพึ่ง “น้ำมากหลาย” เพื่อป้องกันและทำให้ตนมั่งคั่งเช่นเดียวกัน. น้ำมากหลายโดยนัยนี้ก็คือ “ชนชาติ ฝูงชน ประเทศ และภาษาต่าง ๆ” กล่าวคือมนุษย์นับพัน ๆ ล้านซึ่งบาบิโลนใหญ่ปกครองและตักตวงการสนับสนุนฝ่ายวัตถุจากพวกเขา. แต่น้ำเหล่านี้กำลังจะแห้งไป หรือเลิกให้การสนับสนุนเช่นกัน.—วิวรณ์ 17:15, ล.ม.; เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 18:4; ยะซายา 8:7.
11. (ก) บาบิโลนโบราณทำให้ “บรรดาแผ่นดินโลกเมาไป” อย่างไร? (ข) บาบิโลนใหญ่ทำให้ “บรรดาแผ่นดินโลกเมาไป” อย่างไร?
11 ยิ่งกว่านั้น มีการพรรณนาถึงบาบิโลนโบราณว่า “เป็นถ้วยทองคำในหัตถ์แห่งพระยะโฮวา, ที่ได้ให้แต่บรรดาแผ่นดินโลกเมาไป.” (ยิระมะยา 51:7) บาบิโลนโบราณได้บังคับให้ประเทศเพื่อนบ้านกลืนคำตรัสแห่งพระพิโรธของพระยะโฮวาเมื่อใช้กำลังทหารพิชิตพวกเขา ทำให้พวกเขาอ่อนแอประหนึ่งคนเมา. ในแง่นี้ เมืองนี้เป็นเครื่องมือที่พระยะโฮวาทรงใช้. บาบิโลนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ได้ทำการพิชิตถึงขั้นที่กลายเป็นจักรวรรดิทั่วโลก. แต่เมืองนี้ไม่ใช่เครื่องมือของพระเจ้าแน่นอน. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น บาบิโลนใหญ่รับใช้ “กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก” ซึ่งตนทำการล่วงประเวณีทางศาสนาด้วย. บาบิโลนใหญ่ทำให้กษัตริย์เหล่านี้พึงพอใจโดยหลักคำสอนเท็จ และกิจปฏิบัติที่ทำให้คนเป็นทาสเพื่อจะให้มวลชนคือ “คนเหล่านั้นที่อยู่บนแผ่นดินโลก” อ่อนแอดั่งคนเมา, คล้อยตาม, และยอมอยู่ใต้อำนาจผู้ปกครองของพวกเขา.
12. (ก) ส่วนหนึ่งของบาบิโลนใหญ่ในญี่ปุ่นรับผิดชอบต่อเลือดจำนวนมากที่ไหลนองระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองอย่างไร? (ข) “น้ำ” ที่ให้การสนับสนุนบาบิโลนใหญ่ถอนตัวไปอย่างไรในญี่ปุ่น และมีผลอย่างไร?
12 ศาสนาชินโตแห่งญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่น่าสังเกตในเรื่องนี้. ทหารญี่ปุ่นซึ่งถูกอบรมด้วยคำสอนศาสนานี้ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่จะสละชีพเพื่อจักรพรรดิ—พระสูงสุดของชินโต. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นราว 1,500,000 คนตายในสงคราม พวกเขาเกือบทุกคนถือว่าการยอมแพ้นั้นเป็นสิ่งที่ไร้เกียรติ. แต่เนื่องด้วยญี่ปุ่นแพ้สงคราม จักรพรรดิฮิโรฮิโตจึงต้องจำยอมสละคำอ้างที่ว่าตนเป็นพระเจ้า. ทั้งนี้ยังผลให้มีการถอนตัวอันเป็นที่น่าสังเกตของ “น้ำ” ที่สนับสนุนศาสนาชินโตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งบาบิโลนใหญ่ น่าเศร้าที่สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากศาสนาชินโตสนับสนุนการหลั่งโลหิตมากมายในสนามรบแห่งสงครามแปซิฟิก! การที่อิทธิพลของชินโตอ่อนลง ในปีหลัง ๆ นี้ยังเปิดทางให้คนญี่ปุ่นกว่า 200,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นผู้นับถือศาสนาชินโตและพุทธเข้ามาเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวรับบัพติสมาของพระยะโฮวาองค์บรมมหิศร.
หญิงแพศยานั่งอยู่บนสัตว์ร้าย
13. โยฮันเห็นสิ่งที่น่าตกตะลึงอะไรเมื่อทูตสวรรค์พาท่านไปด้วยฤทธิ์ของพระวิญญาณเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร?
13 คำพยากรณ์ยังได้เผยให้ทราบอะไรอีกเกี่ยวด้วยหญิงแพศยาคนสำคัญนี้และบั้นปลายของนาง? ดังที่โยฮันแจ้งให้ทราบตอนนี้ ฉากเหตุการณ์ที่มีชีวิตชีวาอีกฉากหนึ่งปรากฏดังนี้: “แล้วท่าน [ทูตสวรรค์] ก็พาข้าพเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารด้วยฤทธิ์ของพระวิญญาณ. ข้าพเจ้าได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มตัวหนึ่งซึ่งมีชื่อต่าง ๆ ที่เป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้าอยู่ทั่วทั้งตัว มันมีหัวเจ็ดหัวและเขาสิบเขา.”—วิวรณ์ 17:3, ล.ม.
14. ทำไมจึงเหมาะสมที่โยฮันถูกพาเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร?
14 เหตุใดโยฮันจึงถูกพาไปยังถิ่นทุรกันดาร? คำประกาศก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความพินาศเหนือบาบิโลนโบราณมีการพรรณนาว่า “เกี่ยวกับทะเลทรายที่อยู่ใกล้สมุทร.” (ยะซายา 21:1, 9) คำประกาศนั้นเป็นการเตือนที่ว่า แม้น้ำป้องกันโดยรอบ บาบิโลนโบราณก็จะกลายเป็นแผ่นดินร้างเปล่าปราศจากสิ่งมีชีวิต. ดังนั้น จึงเป็นการเหมาะสมที่โยฮันถูกพาไปยังถิ่นทุรกันดารในนิมิตของท่านเพื่อจะเห็นบั้นปลายของบาบิโลนใหญ่. เมืองนี้ก็เช่นกันจะต้องกลายเป็นที่ร้างเปล่า. (วิวรณ์ 18:19, 22, 23) กระนั้น โยฮันรู้สึกตกตะลึงในสิ่งที่ท่านเห็นที่นั่น. หญิงแพศยาคนสำคัญไม่ได้อยู่คนเดียว! นางนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายที่ใหญ่โตน่ากลัว!
15. มีความแตกต่างอะไรระหว่างสัตว์ร้ายในวิวรณ์ 13:1 กับสัตว์ร้ายในวิวรณ์ 17:3?
15 สัตว์ร้ายนี้มีเจ็ดหัวและสิบเขา. ดังนั้น มันจะเป็นสัตว์ร้ายตัวเดียวกันกับที่โยฮันเห็นก่อนหน้านี้ไหมซึ่งมีเจ็ดหัวและสิบเขาเช่นกัน? (วิวรณ์ 13:1) เปล่า มันมีความแตกต่างกัน. สัตว์ร้ายตัวนี้มีสีแดงเข้มและ ต่างจากสัตว์ร้ายตัวก่อนหน้านี้ ไม่มีบอกว่ามันมีมงกุฎ. แทนที่จะมีชื่อต่าง ๆ ที่เป็นคำหมิ่นประมาทเพียง บนหัวทั้งเจ็ดของมันเท่านั้น มันกลับ “มีชื่อต่าง ๆ ที่เป็นคำหมิ่นประมาทเต็มทั้งตัว.” อย่างไรก็ตาม ต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่างสัตว์ร้ายตัวใหม่นี้กับตัวที่อยู่ก่อนหน้า ความคล้ายคลึงกันระหว่างสัตว์ทั้งสองตัวเด่นชัดเกินกว่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ.
16. สัตว์ร้ายสีแดงเข้มหมายถึงอะไร และมีกล่าวไว้อย่างไรถึงวัตถุประสงค์ของมัน?
16 ถ้าเช่นนั้น สัตว์ร้ายตัวใหม่สีแดงเข้มนี้คืออะไรกัน? มันคงต้องเป็นรูปของสัตว์ร้ายที่ถูกทำให้เกิดขึ้นโดยการเร่งรัดของสัตว์ร้ายแองโกล-อเมริกันตัวที่มีสองเขาเหมือนแกะ. หลังจากที่รูปของมันถูกสร้างขึ้น สัตว์ร้ายที่มีสองเขาได้รับอนุญาตให้ใส่ลมหายใจให้รูปของสัตว์ร้ายนั้น. (วิวรณ์ 13:14, 15) บัดนี้ โยฮันเห็นรูปของสัตว์ร้ายที่มีชีวิตหายใจอยู่. มันเป็นภาพเล็งถึงองค์การสันนิบาตชาติซึ่งสัตว์ร้ายที่มีสองเขาทำให้มีชีวิตในปี 1920. ประธานาธิบดี วิลสัน แห่งสหรัฐได้ตั้งความหวังไว้ว่า สันนิบาตชาติ “จะเป็นเวทีอภิปรายเพื่อให้ความยุติธรรมแก่มนุษย์ทั้งมวล และขจัดการคุกคามจากสงครามตลอดไป.” เมื่อมันคืนชีพขึ้นมาในรูปของสหประชาชาติภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง วัตถุประสงค์ตามกฎบัตรของมันก็คือ “เพื่อรักษาสันติภาพและความปลอดภัยระหว่างชาติ.”
17. (ก) สัตว์ร้ายโดยนัยสีแดงเข้มมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทเต็มทั้งตัวในแง่ใด? (ข) ใครนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มตัวนี้? (ค) ตั้งแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว ศาสนาแบบบาบิโลนได้ผูกสัมพันธ์ตัวเองเข้ากับสันนิบาตชาติและผู้สืบทอดของมันอย่างไร?
17 สัตว์ร้ายที่มีความหมายเป็นนัยนี้มีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทเต็มทั้งตัวในแง่ไหน? ในแง่ที่ว่า มนุษย์ได้ตั้งรูปปั้นนานาชาตินี้ขึ้นแทนราชอาณาจักรของพระเจ้า—เพื่อจะบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าราชอาณาจักรของพระองค์เท่านั้นสามารถทำได้. (ดานิเอล 2:44; มัดธาย 12:18, 21) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับนิมิตของโยฮันคือว่า บาบิโลนใหญ่นั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้ม. สมจริงตามคำพยากรณ์ ศาสนาแบบบาบิโลน โดยเฉพาะในคริสต์ศาสนจักรได้ผูกสัมพันธ์ตัวเองเข้ากับสันนิบาตชาติและผู้ที่สืบตำแหน่งของมัน. ตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียวเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1918 คณะบุคคลอันเป็นที่รู้จักในขณะนี้ว่า สภาแห่งชาติของนิกายคริสตจักรของพระคริสต์ในอเมริกา ได้รับเอาแถลงการณ์ซึ่งมีข้อความบางตอนว่า “สันนิบาตดังว่านี้หาได้เป็นเพียงแผนทางการเมืองเท่านั้นไม่ หากแต่เป็นการแสดงออกทางการเมืองของราชอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก . . . คริสตจักรสามารถให้ไมตรีจิตมิตรภาพ ซึ่งหากปราศจากสิ่งนี้ ไม่มีสันนิบาตชาติไหนจะดำรงอยู่ได้. . . . สันนิบาตชาติมีต้นตออยู่ในกิตติคุณ. เช่นเดียวกับกิตติคุณ วัตถุประสงค์ของสันนิบาตชาติคือ ‘สันติสุขบนแผ่นดินโลก ไมตรีจิตต่อมนุษย์ทั้งหลาย.’”
18. พวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรแสดงให้เห็นอย่างไรว่าพวกเขาให้การสนับสนุนแก่สันนิบาตชาติ?
18 เมื่อวันที่ 2 มกราคม 1919 ซานฟรานซิสโก โครนิเกิล พาดหัวข่าวหน้าแรกว่า “สันตะปาปาวิงวอนขอให้ยอมรับสันนิบาตชาติของวิลสัน.” ในวันที่ 16 ตุลาคม 1919 คำร้องซึ่งลงนามโดยพวกนักเทศน์นักบวช 14,450 คนจากนิกายเด่น ๆ ถูกยื่นต่อสภาสูงของสหรัฐเร่งรัดให้สภานี้ “ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญาสันติภาพปารีสซึ่งมีข้อตกลงของสันนิบาตชาติรวมอยู่ด้วย.” แม้ว่าสภาสูงของสหรัฐไม่ได้ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญานี้ก็ตาม พวกนักเทศน์นักบวชในคริสต์ศาสนจักรก็รณรงค์ต่อ ๆ ไปเพื่อสันนิบาตชาติ. และมีการประกอบพิธีเปิดสันนิบาตโดยวิธีใด? ข่าวที่ส่งมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 1920 อ่านว่า “การประชุมสมัยแรกของสันนิบาตชาติได้รับการประกาศเมื่อเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาของเช้าวันนี้โดยการสั่นระฆังโบสถ์ทุกแห่งในเมืองเจนีวา.”
19. ชนจำพวกโยฮันลงมือปฏิบัติเช่นไรเมื่อสัตว์ร้ายสีแดงเข้มปรากฏตัวขึ้นมา?
19 ชนจำพวกโยฮัน ชนกลุ่มเดียวบนแผ่นดินโลกที่ยอมรับราชอาณาจักรมาซีฮาซึ่งกำลังจะมานั้นด้วยความกระหาย ได้เข้าส่วนร่วมกับคริสต์ศาสนจักรในการคารวะสัตว์ร้ายที่มีสีแดงเข้มนี้ไหม? ไม่เลย! ในวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 1919 ณ การประชุมใหญ่แห่งประชาชนของพระยะโฮวาที่ซีดาร์ พอยต์ โอไฮโอ มีการเสนอคำบรรยายภายใต้หัวเรื่อง “ความหวังสำหรับมนุษยชาติที่ระทมทุกข์.” ในวันต่อมาหนังสือพิมพ์สตาร์-เจอร์นัล แห่งแซนดัสกี ได้รายงานว่า ในการพูดต่อหน้าผู้คนเกือบ 7,000 คน เจ. เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด ได้ “แถลงว่า ความไม่พอพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องมีมาเหนือสันนิบาตชาติอย่างแน่นอน . . . เนื่องจากพวกนักเทศน์นักบวช ทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้า ได้ละทิ้งแผนการของพระองค์และรับเอาสันนิบาตชาติ โห่ร้องอวยชัยองค์การนี้ในฐานะเป็นการแสดงออกทางการเมืองแห่งราชอาณาจักรของพระคริสต์บนแผ่นดินโลก.”
20. ทำไมจึงเป็นการหมิ่นประมาทที่พวกนักเทศน์นักบวชโห่ร้องอวยชัยสันนิบาตชาติว่าเป็น “การแสดงออกทางการเมืองของราชอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก”?
20 ความล้มเหลวอันน่าเศร้าของสันนิบาตชาติน่าจะเป็นสัญญาณเตือนพวกนักเทศน์นักบวชว่า องค์กรที่มนุษย์ตั้งขึ้นเช่นนั้นไม่ได้เป็นส่วนของราชอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก. ช่างเป็นการหมิ่นประมาทเสียจริงที่อ้างเช่นนั้น! นั่นทำให้ดูราวกับว่าพระเจ้าทรงมีส่วนในความเหลวไหลใหญ่โตซึ่งปรากฏผลว่าสันนิบาตชาติเป็นเช่นนั้น. ในส่วนของพระเจ้า “กิจการของพระองค์ดีรอบคอบ.” ราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์ของพระยะโฮวาภายใต้พระคริสต์ต่างหาก—ไม่ใช่พวกนักการเมืองที่มักทะเลาะวิวาทที่รวมตัวกัน ซึ่งหลายคนเป็นนักอเทวนิยม—เป็นช่องทางที่พระองค์จะทรงใช้เพื่อนำมาซึ่งสันติภาพและทำให้พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จบนแผ่นดินโลกดังที่สำเร็จแล้วในสวรรค์.—พระบัญญัติ 32:4; มัดธาย 6:10.
21. อะไรแสดงว่าหญิงแพศยาคนสำคัญสนับสนุนและนิยมชมชอบสหประชาชาติ องค์การสืบทอดของสันนิบาตชาติ?
21 จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับองค์การสหประชาชาติซึ่งสืบทอดจากสันนิบาตชาติ? ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นทีเดียว องค์การนี้มีหญิงแพศยาคนสำคัญขี่หลังมาโดยตลอดเช่นกัน นางสมคบกับองค์การนี้อย่างเปิดเผยและพยายามชี้แนะจุดหมายปลายทางขององค์การนี้. ตัวอย่างเช่น เมื่อองค์การนี้ฉลองครบรอบปีที่ 20 ในเดือนมิถุนายน 1965 ตัวแทนต่าง ๆ จากคริสตจักรโรมันคาทอลิกและคริสตจักรอีสต์เทอร์น ออร์โทด็อกซ์ พร้อมกับชาวโปรเตสแตนต์, ยิว, ฮินดู, พุทธ, และมุสลิม—ว่ากันว่าเป็นตัวแทนประชากรโลกสองพันล้านคน—ได้ประชุมกันในเมืองซานฟรานซิสโกเพื่อจะร่วมฉลองการสนับสนุนและความนิยมชมชอบที่พวกเขามีต่อสหประชาชาติ. ในการเยือนสหประชาชาติเมื่อเดือนตุลาคม 1965 สันตะปาปา พอลที่หกพรรณนาถึงองค์การนี้ว่า “ใหญ่ที่สุดในบรรดาองค์การนานาชาติ” และเสริมว่า “ผู้คนในโลกต่างก็หันเข้าหาสหประชาชาติในฐานะเป็นความหวังสุดท้ายเพื่อมิตรภาพและสันติภาพ.” ผู้มาเยือนอีกคนหนึ่งจากสำนักคาทอลิก คือ สันตะปาปา จอห์น พอล ที่สองกล่าวปราศรัย ณ องค์การสหประชาชาติเมื่อเดือนตุลาคม 1979 ว่า “ข้าพเจ้าหวังว่า สหประชาชาติจะดำรงคงอยู่ในฐานะเป็นเวทีอภิปรายชั้นยอดเพื่อสันติภาพและความยุติธรรม.” เป็นที่น่าสังเกตว่า สันตะปาปาให้ความสนใจน้อยมากต่อพระเยซูคริสต์หรือราชอาณาจักรของพระเจ้าในคำปราศรัยของเขา. ระหว่างการเยือนสหรัฐของเขาในเดือนกันยายน 1987 เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า “จอห์น พอล กล่าวอย่างยืดยาวเกี่ยวด้วยบทบาทในแง่ดีที่สหประชาชาติมีในการส่งเสริม . . . ‘ความสามัคคีพร้อมเพรียงกันแบบใหม่ทั่วโลก.’”
ชื่อหนึ่ง เป็นชื่อลึกลับ
22. (ก) หญิงแพศยาคนสำคัญได้เลือกขี่สัตว์ร้ายประเภทใด? (ข) โยฮันพรรณนาหญิงแพศยาบาบิโลนใหญ่โดยนัยอย่างไร?
22 ในไม่ช้าอัครสาวกโยฮันจะรู้ว่าแพศยาคนสำคัญได้เลือกขี่สัตว์ที่อันตราย. แต่ก่อนอื่น ความสนใจของท่านมุ่งที่ตัวบาบิโลนใหญ่. นางประดับตัวอย่างหรูหรา แต่ช่างน่าสะอิดสะเอียนอะไรเช่นนี้! “ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวด้วยผ้าสีม่วงกับผ้าสีแดงเข้ม ประดับตัวด้วยทองคำ อัญมณี และไข่มุก มือถือถ้วยทองคำที่มีสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและสิ่งไม่สะอาดจากการผิดประเวณีของตนอยู่เต็ม. บนหน้าผากนางมีชื่อลึกลับเขียนไว้ว่า ‘บาบิโลนใหญ่ แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลายและสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายบนแผ่นดินโลก.’ แล้วข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงคนนั้นเมาเลือดของเหล่าผู้บริสุทธิ์และเลือดของคนทั้งหลายที่เป็นพยานฝ่ายพระเยซู.”—วิวรณ์ 17:4-6ก, ล.ม.
23. ชื่อเต็มของบาบิโลนใหญ่คืออะไร และมีความหมายอย่างไร?
23 ดังที่เป็นธรรมเนียมในโรมโบราณ หญิงแพศยาคนนี้ระบุตัวได้โดยชื่อบนหน้าผากของนาง.d มันเป็นชื่อที่ยาว: “บาบิโลนใหญ่ แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลายและสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายบนแผ่นดินโลก.” ชื่อนั้นเป็น “ชื่อลึกลับ” เป็นบางสิ่งที่มีความหมายแอบแฝงอยู่. แต่ในเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนด จะมีการอธิบายข้อลึกลับนั้น. แท้จริง ทูตสวรรค์ให้ข้อมูลเพียงพอแก่โยฮันเพื่อให้ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในทุกวันนี้เข้าใจความหมายครบถ้วนของชื่อที่บรรยายลักษณะของนางไว้. เราเข้าใจว่าบาบิโลนใหญ่คือศาสนาเท็จทั้งปวง. เมืองนี้เป็น “แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย” เนื่องจากศาสนาเท็จแต่ละศาสนาในโลก รวมทั้งนิกายมากมายในคริสต์ศาสนจักร เป็นเสมือนลูกสาวของนาง เลียนแบบนางในการกระทำเยี่ยงหญิงแพศยาฝ่ายวิญญาณ. เมืองนี้ยังเป็นแม่ของ “สิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลาย” ด้วย ในประการที่ได้ให้กำเนิดบุตรหลานที่น่าเกลียดชัง เช่น การไหว้รูปเคารพ, ลัทธิภูตผีปิศาจ, การทำนายโชคชะตา, โหราศาสตร์, การดูลายมือ, การบูชายัญมนุษย์, การมีโสเภณีประจำวิหาร, การเมาสุราเพื่อถวายเกียรติพระเท็จ และกิจปฏิบัติโสโครกอื่น ๆ.
24. ทำไมจึงเหมาะสมที่มองเห็นว่าบาบิโลนใหญ่แต่งตัวด้วย “ผ้าสีม่วงกับผ้าสีแดงเข้ม” และ “ประดับตัวด้วยทองคำ อัญมณี และไข่มุก”?
24 บาบิโลนใหญ่แต่งตัวด้วย “ผ้าสีม่วงกับผ้าสีแดงเข้ม” สีต่าง ๆ ของกษัตริย์ และ “ประดับตัวด้วยทองคำ อัญมณี และไข่มุก.” ช่างเหมาะสมเสียจริง ๆ! ขอให้พิจารณาบรรดาอาคารอันโอ่อ่า, รูปปั้นและภาพที่หาได้ยาก ปูชนียวัตถุอันประเมินค่ามิได้ และของใช้อื่น ๆ ทางด้านศาสนา รวมทั้งที่ดินและเงินจำนวนมหาศาล ที่ศาสนาทั้งหลายของโลกนี้สะสมไว้. ไม่ว่าจะเป็นที่วาติกัน, ในวิสาหกิจการโทรทัศน์เพื่อการประกาศกิตติคุณ ซึ่งมีศูนย์กลางในสหรัฐก็ดี หรือตามวิหารต่าง ๆ ที่ดึงดูดใจแห่งตะวันออก บาบิโลนใหญ่ได้สั่งสม—และบางครั้งสูญเสีย—ทรัพย์สินจำนวนมหาศาล.
25. (ก) “ถ้วยทองคำที่มีสิ่งน่าสะอิดสะเอียน . . . อยู่เต็ม” แสดงถึงอะไร? (ข) หญิงแพศยาโดยนัยเมาในความหมายเช่นไร?
25 บัดนี้ ขอให้ดูสิ่งที่อยู่ในมือของแพศยานี้. โยฮันคงต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นมัน นั่นคือถ้วยทองคำ “ที่มีสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและสิ่งไม่สะอาดจากการผิดประเวณีของตนอยู่เต็ม”! นี่คือถ้วยที่เต็มไปด้วย ‘เหล้าองุ่นแห่งความโกรธและการผิดประเวณีของนาง’ ซึ่งเธอให้ชาติทั้งปวงดื่มจนเมา. (วิวรณ์ 14:8; 17:4, ล.ม.) ถ้วยนั้นดูหรูหราจากภายนอก แต่สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นน่าสะอิดสะเอียน ไม่สะอาด. (เทียบกับมัดธาย 23:25, 26.) มันบรรจุบรรดากิจปฏิบัติที่โสโครกและมุสาวาทซึ่งหญิงแพศยาคนสำคัญใช้ล่อลวงนานาชาติและทำให้พวกเขาอยู่ใต้อิทธิพลของนาง. ที่น่าเกลียดยิ่งกว่านี้ก็คือ โยฮันเห็นแพศยาคนนี้เมาเลือดของผู้รับใช้ของพระเจ้า! แท้จริง เราอ่านในภายหลังว่า “ในเมืองนี้มีเลือดของผู้พยากรณ์ ผู้บริสุทธิ์ และเลือดคนทั้งปวงที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก.” (วิวรณ์ 18:24, ล.ม.) ช่างเป็นการผิดฐานทำให้โลหิตตกอันใหญ่หลวงอะไรเช่นนี้!
26. มีหลักฐานอะไรบ่งว่าบาบิโลนใหญ่มีความผิดฐานทำให้โลหิตตก?
26 ตลอดศตวรรษต่าง ๆ จักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จได้ทำให้โลหิตไหลนองดังมหาสมุทร. ตัวอย่างเช่น ในญี่ปุ่นยุคกลาง วิหารต่าง ๆ ในเกียวโตถูกเปลี่ยนเป็นป้อม และพวกพระนักรบ ซึ่งอธิษฐานวิงวอนต่อ “นามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า” สู้รบกันจนถนนสายต่าง ๆ แดงฉานไปด้วยเลือด. ในศตวรรษที่ 20 พวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรได้เดินทัพร่วมกับกองทัพประจำชาติของตน และกองทัพเหล่านี้ได้ประหัตประหารกัน ทำให้อย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านคนเสียชีวิต. ในเดือนตุลาคม 1987 นิกสัน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐได้กล่าวว่า “ศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์. ผู้คนถูกสังหารในสงครามต่าง ๆ แห่งศตวรรษนี้มากกว่าที่ถูกสังหารในสงครามทั้งหมดที่สู้รบกันก่อนศตวรรษนี้เริ่มต้น.” ศาสนาต่าง ๆ ในโลกจะถูกพระเจ้าพิพากษาโทษอย่างรุนแรงเนื่องจากพวกเขาเข้าส่วนร่วมในการทั้งหมดนี้ พระยะโฮวาทรงชัง “มือที่ประหารคนที่ไม่มีผิดให้โลหิตตก.” (สุภาษิต 6:16, 17) ก่อนหน้านี้ โยฮันได้ยินเสียงร้องจากแท่นบูชาว่า “ข้าแต่พระเจ้าองค์ใหญ่ยิ่งผู้บริสุทธิ์และเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์จะทรงยับยั้งการพิพากษาและการแก้แค้นคนเหล่านั้นซึ่งอยู่บนแผ่นดินโลกที่ฆ่าพวกข้าพเจ้าไว้จนถึงเมื่อไร?” (วิวรณ์ 6:10, ล.ม.) บาบิโลนใหญ่ แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลายและของสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก จะต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างลึกซึ้งเมื่อถึงเวลาจะตอบคำถามดังกล่าว.
[เชิงอรรถ]
a เพื่อบ่งชี้ต้นตอที่ไม่ใช่แบบคริสเตียนของหลักคำสอน, พิธี, และกิจปฏิบัติที่ออกหากของคริสต์ศาสนจักร จอห์น เฮนรี นิวแมน คาร์ดินัลแห่งนิกายโรมันคาทอลิกในศตวรรษที่ 19 เขียนในหนังสือของเขาชื่อข้อเขียนเกี่ยวกับการกำเนิดของหลักคำสอนคริสเตียน (ภาษาอังกฤษ) ดังนี้: “การใช้โบสถ์วิหาร และการอุทิศสิ่งเหล่านี้แก่นักบุญบางคนโดยเฉพาะ และบางโอกาสก็ประดับด้วยกิ่งไม้, เครื่องหอม, ตะเกียง, และเทียนไข; ของถวายเพื่อหายเจ็บป่วย; น้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์; ที่ลี้ภัยสำหรับอาชญากร; วันศักดิ์สิทธิ์และฤดูกาลต่าง ๆ, การใช้ปฏิทิน, ขบวนแห่, การอวยพรแก่ไร่นา; ชุดประกอบพิธีของบาทหลวง, พิธีปลงผม, แหวนแต่งงาน, การหันหน้าไปทางทิศตะวันออก, การใช้รูปเคารพในเวลาต่อมา, บางทีเพลงสวดของบาทหลวง, และเพลง “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงพระเมตตา” ทั้งหมดนี้ต่างมีต้นตอมากจากพวกนอกรีต และกลายมาเป็นสิ่งบริสุทธิ์โดยการรับเข้ามาในคริสตจักร.”
แทนที่จะถือว่า การบูชารูปเคารพเช่นนั้นเป็นสิ่งบริสุทธิ์ “พระยะโฮวาองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ” เตือนคริสเตียนดังนี้: “จงออกมาจากท่ามกลางพวกเขา และแยกตัวอยู่ต่างหาก และเลิกแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน.”—2 โกรินโธ 6:14-18, ล.ม.
b งานเขียนทางประวัติศาสตร์ของวิลเลียม แอล. เชอเรอร์ ชื่อการรุ่งเรืองและล่มจมของจักรวรรดิไรค์ที่สาม กล่าวว่า ฟอน พาเพน “มีความรับผิดชอบยิ่งกว่าคนอื่น ๆ ในเยอรมนีสำหรับการที่ฮิตเลอร์ขึ้นมาสู่อำนาจ.” ในเดือนมกราคม 1933 ฟอน ชไลเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีกล่าวถึงฟอน พาเพน ไว้ว่า “เขาเป็นคนทรยศชนิดที่เมื่อเทียบแล้วยูดาอิศการิโอดเป็นนักบุญ.”
c ในการกล่าวปราศรัยที่วิทยาลัยมอนดรากอนเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1929 โปป ไพอัส ที่สิบเอ็ดกล่าวว่า เขาคงเจรจากับพญามารเองหากความดีแห่งเหล่าจิตวิญญาณเรียกร้องสิ่งนั้น.
d โปรดเทียบถ้อยคำของนักประพันธ์ชาวโรมัน เซเนกา กับนักบวชหญิงที่หลงทาง (ดังที่สวีทียกขึ้นมากล่าว): “หญิงเอ๋ย เจ้ายืนอยู่ในเรือนแห่งชื่อเสียงอันเสื่อมเสีย . . . ชื่อของเจ้าแขวนที่หน้าผากของเจ้า เจ้าได้ยอมรับเงินจากการอสัตย์อธรรมของเจ้า.”—การโต้แย้ง. i, 2.
[กรอบหน้า 237]
เชอร์ชิลเปิดโปง ‘ความแพศยา’
ในหนังสือของเขาชื่อพายุกำลังมา (1948, ภาษาอังกฤษ) วินสตัน เชอร์ชิลแถลงว่า ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้งฟรานซ์ ฟอน พาเพนเป็นทูตของเยอรมนีไปยังเวียนนาเพื่อ “การบ่อนทำลายหรือการช่วงชิงบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงในทางการเมืองของออสเตรีย.” เชอร์ชิลอ้างถึงทูตของสหรัฐในกรุงเวียนนาซึ่งกล่าวถึง ฟอน พาเพนว่า “ด้วยท่าทีที่ไร้ยางอายที่สุดและดูถูกเหยียดหยามที่สุด . . . พาเพนบอกข้าพเจ้าว่า . . . เขาตั้งใจจะใช้ความมีชื่อเสียงของเขาในฐานะชาวคาทอลิกที่ดีเพื่อจะมีอิทธิพลเหนือคนออสเตรียอย่างคาร์ดินัล อินนิทเซอร์.”
หลังจากออสเตรียได้ยอมจำนนและกองทหารประจัญบานของฮิตเลอร์ได้ก้าวตรงเข้าสู่เวียนนา คาร์ดินัล อินนิทเซอร์แห่งนิกายคาทอลิกได้ออกคำสั่งแก่คริสตจักรทุกแห่งในออสเตรียให้ชักธงสวัสติกะขึ้น สั่นระฆัง และอธิษฐานเพื่ออะดอล์ฟ ฮิตเลอร์เพื่อเป็นการให้เกียรติเนื่องในวันเกิดของเขา.
[กรอบ/ภาพหน้า 238]
บทความนี้ถูกถอนจากการพิมพ์งวดหลังของหนังสือพิมพ์นั้น. วันที่ 7 ธันวาคม 1941 เป็นวันที่ญี่ปุ่น พันธมิตรของนาซีเยอรมนีโจมตีกองเรือของสหรัฐที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์.
‘คำอธิษฐานยามสงคราม’ เพื่อไรค์
ภายใต้หัวข้อข่าวนี้ บทความต่อไปนี้ปรากฏในการพิมพ์งวดแรกของเดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ วันที่ 7 ธันวาคม 1941:
“พวกบิชอปของนิกายคาทอลิกที่ฟุลดาทูลขอพรและชัยชนะ . . . การประชุมแห่งคณะบิชอปนิกายคาทอลิกในเยอรมนีซึ่งรวมกันอยู่ในฟุลดาได้มีการเสนอแนะ ‘คำอธิษฐานยามสงคราม’ เป็นพิเศษ ซึ่งจะมีการอ่านในตอนเริ่มและตอนจบของการสวดทุกครั้ง.
คำอธิษฐานนั้นวิงวอนพระผู้เป็นเจ้าให้อวยพรกองทัพเยอรมันให้มีชัยชนะและให้การคุ้มครองแก่ชีวิตและสุขภาพของทหารทุกคน. นอกจากนั้น พวกบิชอปยังได้แนะนำนักบวชคาทอลิกให้ระลึกถึงและรวมเอาพวกทหารเยอรมัน ‘ทั้งทหารบก, ทหารเรือและทหารอากาศ’ ในคำเทศน์พิเศษในวันอาทิตย์อย่างน้อยเดือนละครั้ง.”
[กรอบหน้า 244]
“ชื่อต่าง ๆ ที่เป็นคำหมิ่นประมาท”
เมื่อสัตว์ร้ายซึ่งมีเขาสองเขาได้สนับสนุนสันนิบาตชาติหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชู้รักทางศาสนาของมันซึ่งมีมากมายก็ได้หาทางจะให้การสนับสนุนทางศาสนาแก่การดำเนินการนี้. ผลก็คือ องค์การใหม่เพื่อสันติภาพนี้จึงได้ ‘ชื่อต่าง ๆ ที่เป็นคำหมิ่นประมาททั่วทั้งตัว.’
“ศาสนาคริสเตียนสามารถให้ความปรารถนาดี เป็นพลังเบื้องหลังสันนิบาต [ชาติ] และดังนั้นจึงเปลี่ยนสนธิสัญญาจากที่เป็นเพียงเศษกระดาษมาเป็นเครื่องมือแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า.”—วารสารศตวรรษคริสเตียน (ภาษาอังกฤษ) สหรัฐอเมริกา ฉบับวันที่ 19 มิถุนายน 1919 หน้า 15.
“สันนิบาตชาติก็คือการนำแนวความคิดเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าในฐานะเป็นระเบียบของโลกแห่งสัมพันธไมตรีไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. . . . นั่นเป็นสิ่งที่คริสเตียนทุกคนอธิษฐานถึงเมื่อพวกเขากล่าวว่า ‘ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มา.’”—ศตวรรษคริสเตียน สหรัฐอเมริกา ฉบับวันที่ 25 กันยายน 1919 หน้า 7.
“สิ่งที่เชื่อมผนึกของสันนิบาตชาติคือโลหิตของพระคริสต์.”—ดร. แฟรงก์ เครน นักเทศน์นิกายโปรเตสแตนต์, สหรัฐอเมริกา.
“สภา [แห่งชาติ] [ของคริสตจักรคองกรีเกชันแนล] ให้การสนับสนุนสนธิสัญญา [ของสันนิบาตชาติ] ว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้ซึ่งน้ำใจของพระเยซูคริสต์อาจพบลู่ทางกว้างขึ้นในการปฏิบัติที่ใช้ได้ผลเพื่อสวัสดิภาพของนานาชาติ.”—วารสารคองกรีเกชันแนลลิสต์และความก้าวหน้า, สหรัฐอเมริกา ฉบับ 6 พฤศจิกายน 1919 หน้า 642.
“การชุมนุมเรียกร้องชาวเมโทดิสต์ทุกคนให้เห็นด้วยและให้การสนับสนุนอย่างมากแก่แนวความคิดนั้น [ของสันนิบาตชาติ] ในฐานะที่ได้มีการแสดงออกโดยแนวความคิดของพระเจ้าพระบิดาและบุตรทั้งหลายทางแผ่นดินโลกของพระเจ้า.”—คริสตจักร เวสเลยัน เมทอดิสต์, ประเทศอังกฤษ.
“เมื่อเราคำนึงถึงความมุ่งมาดปรารถนาต่าง ๆ นั้น ความเป็นไปได้และมติต่าง ๆ ของข้อตกลงนี้ เราเห็นว่า สิ่งนั้นบรรจุไว้ด้วยแก่นสำคัญแห่งคำสอนของพระเยซูคริสต์: ราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ . . . ไม่มีอะไรน้อยไปกว่านั้น.”—คำเทศน์โดยอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ณ การเปิดประชุมสันนิบาตชาติที่กรุงเจนีวา เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 1922.
“สมาคมสันนิบาตชาติในประเทศนี้มีสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกันกับสมาคมผู้เผยแพร่ศาสนาที่มีมนุษยธรรมอื่น ๆ เนื่องจากสมาคมนี้เป็นตัวแทนที่มีประสิทธิภาพที่สุดแห่งการครอบครองของพระคริสต์ในฐานะองค์สันติราชในท่ามกลางนานาประเทศในปัจจุบัน.”—ดร. การ์วี นักเทศน์นิกายคองกรีเกชันแนลลิสต์, ประเทศอังกฤษ.
[แผนที่หน้า 236]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
หลักคำสอนเท็จที่เชื่อกันตลอดทั่วโลกนั้นมีต้นตอมาจากบาบิโลน
บาบิโลน
ตรีเอกานุภาพหรือพระเจ้าที่ประกอบด้วยสามองค์
จิตวิญญาณมนุษย์รอดอยู่หลังความตาย
ลัทธิภูตผีปิศาจ—การพูดคุยกับ “คนตาย”
การใช้รูปปั้นต่าง ๆ ในการนมัสการ
การใช้เวทมนตร์คาถาต่าง ๆ เพื่อเอาใจพวกผีปิศาจ
การปกครองโดยนักบวชผู้ทรงอำนาจ
[ภาพหน้า 239]
บาบิโลนโบราณตั้งอยู่บนน้ำมากหลาย
[ภาพหน้า 239]
หญิงแพศยาคนสำคัญในสมัยนี้ก็นั่งอยู่บน “น้ำมากหลาย” เช่นกัน
[ภาพหน้า 241]
บาบิโลนใหญ่นั่งอยู่บนหลังสัตว์ร้ายซึ่งมีอันตราย
[ภาพหน้า 242]
หญิงแพศยาทางศาสนาได้กระทำการผิดประเวณีกับกษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก
[ภาพหน้า 245]
หญิงนั้น “เมาเลือดของเหล่าผู้บริสุทธิ์”