ภาคผนวก
พยานพระยะโฮวา—ข้อท้าทายทางศัลยกรรม/จริยธรรม
พิมพ์ซ้ำโดยได้รับอนุญาตจากแพทยสมาคมแห่งอเมริกา จาก เดอะ เจอร์นัล อ็อฟ ดิ อเมริกัน เมดิคัล อโซซิเอชัน (JAMA), 27 พฤศจิกายน 1981, เล่มที่ 246, ฉบับที่ 21, หน้า 2471, 2472. สงวนลิขสิทธิ์ 1981, แพทยสมาคมแห่งอเมริกา.
แพทย์เผชิญกับข้อท้าทายเป็นพิเศษเมื่อทำการรักษาพยานพระยะโฮวา. สมาชิกของกลุ่มศาสนานี้มีความยึดมั่นทางศาสนาอย่างแรงกล้าที่จะไม่รับเลือด ทั้งที่เป็นของมนุษย์คนอื่นหรือของตนเอง เม็ดเลือดแดงเข้มข้น เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือด. หลายคนยอมให้ใช้เครื่องปอด–หัวใจเทียม เครื่องไตเทียม หรือเครื่องมือที่คล้ายกัน (ซึ่งไม่หล่อด้วยเลือด) ถ้าระบบไหลเวียนที่ต่อออกนอกร่างกายเป็นระบบต่อเนื่องกันไม่ขาดตอน. บุคลากรทางการแพทย์ไม่ต้องกลัวการฟ้องร้อง เพราะพยานฯจะดำเนินขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อปลดเปลื้องความรับผิดชอบในการที่พวกเขาปฏิเสธเลือดโดยที่ได้รับการชี้แจงให้ทราบแล้ว. พวกเขายอมรับของเหลวทดแทนต่าง ๆ ที่ไม่ใช่เลือด. โดยใช้สิ่งเหล่านี้ รวมทั้งเทคนิคอันประณีตอื่น ๆ แพทย์กำลังทำผ่าตัดใหญ่ทุกชนิดให้แก่ผู้ป่วยพยานพระยะโฮวาทั้งผู้ใหญ่และเด็ก. ดังนั้น จึงได้เกิดมีมาตรฐานการปฏิบัติขึ้นสำหรับผู้ป่วยดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับการรักษาผู้ป่วย “ทั้งกายและจิตใจ.” (JAMA 1981;246:2471-2472)
แพทย์ประสบกับข้อท้าทายซึ่งเป็นประเด็นสำคัญทางด้านสุขภาพ. มีพยานพระยะโฮวามากกว่าครึ่งล้านคนในสหรัฐอเมริกาผู้ซึ่งไม่ยอมรับการถ่ายเลือด. จำนวนของพยานพระยะโฮวาและผู้ร่วมสมทบกับเขากำลังเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ. ถึงแม้ว่าแต่ก่อนแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลหลายแห่งมองเรื่องการปฏิเสธการถ่ายเลือดว่าเป็นปัญหาทางกฎหมาย และร้องขอต่อศาลเพื่อได้รับอนุญาตให้ทำในสิ่งซึ่งพวกเขาเชื่อว่าถูกต้องตามหลักการแพทย์ก็ตาม ข้อเขียนทางการแพทย์ในระยะหลัง ๆ เผยให้เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสังเกตในทัศนะดังกล่าว. ทั้งนี้อาจเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ในการทำผ่าตัดมากขึ้นแก่ผู้ป่วยซึ่งมีระดับฮีโมโกลบินต่ำมาก ๆ และรวมทั้งความเข้าใจมากขึ้นในหลักการทางกฎหมายเกี่ยวข้องกับการยินยอมโดยที่ได้รับการชี้แจงแล้ว.
ในปัจจุบันนี้ การผ่าตัดรายที่ไม่เร่งด่วนและรายบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งผู้ใหญ่และเด็กซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาทำกันโดยไม่มีการถ่ายเลือด. เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตัวแทนของพยานพระยะโฮวาได้พบปะกับคณะศัลยแพทย์และผู้บริหารของศูนย์การแพทย์หลายแห่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ. การประชุมเหล่านี้ทำให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้น และช่วยขจัดปัญหาหลายอย่างที่มีเกี่ยวกับการนำเลือดกลับมาใช้อีก การปลูกถ่ายอวัยวะ และการหลีกเลี่ยงจากการประจันหน้ากันทั้งทางการแพทย์และทางกฎหมาย.
จุดยืนของพยานฯในเรื่องการรักษา
พยานพระยะโฮวายอมรับการรักษาทางอายุรกรรมและทางศัลยกรรม. ที่จริง พยานฯหลายคนเป็นแพทย์ และแม้แต่ศัลยแพทย์ด้วยซ้ำ. แต่พยานฯเป็นผู้ที่เคร่งศาสนาอย่างยิ่ง ผู้ซึ่งเชื่อว่าการถ่ายเลือดเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพวกเขาตามข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล เช่น “เว้นแต่เนื้อที่ยังมีชีวิตอยู่เจ้าอย่ากินเลย คือยังมีเลือดอยู่นั้น” (เยเนซิศ 9:3-4) “[เจ้า] ต้องให้โลหิตสัตว์นั้นไหลลงที่ดินและปิดไว้” (เลวีติโก 17:13-14) และ ‘ให้ละเว้นเสียจาก . . . การล่วงประเวณี จากเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากเลือด’ (กิจการ 15:19-21).1
ถึงแม้ข้อคัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้เป็นคำแถลงทางการแพทย์ พยานฯถือว่าข้อคัมภีร์เหล่านี้ห้ามไม่ให้รับการถ่ายเลือด เม็ดเลือดแดงเข้มข้น และพลาสมา (น้ำเลือด) รวมทั้งเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดด้วย. อย่างไรก็ดี ความเข้าใจทางศาสนาของพยานฯมิได้ห้ามเด็ดขาดในเรื่องการใช้ส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น อัลบูมิน อิมมูนกลอบูลิน หรือส่วนผสมต่าง ๆ ที่ใช้กับผู้ป่วยฮีโมฟิเลีย พยานฯแต่ละคนจะต้องตัดสินใจเองว่าเขาจะรับสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่.2
พยานฯเชื่อว่าเลือดที่ออกมานอกร่างกายแล้วจะต้องทิ้งไปเสีย ดังนั้นพวกเขาไม่รับการถ่ายเลือดของตนเองซึ่งถ่ายเก็บไว้ล่วงหน้า. เทคนิคของการเก็บเลือดมาใช้อีกหรือการทำให้เลือดเข้มข้นน้อยลงในระหว่างผ่าตัด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเก็บเลือดไว้ เป็นเรื่องที่เขาไม่ยอมรับ. อย่างไรก็ตาม พยานฯหลายคนยอมที่จะใช้เครื่องไตเทียมหรือเครื่องปอด–หัวใจเทียม (ซึ่งไม่ได้หล่อด้วยเลือด) รวมทั้งการเก็บเลือดกลับมาใช้อีกในระหว่างผ่าตัด ถ้าระบบไหลเวียนที่ออกนอกร่างกายนั้นต่อเนื่องไม่ขาดตอน. แพทย์ควรจะปรึกษากับผู้ป่วยแต่ละคนว่าสติรู้สึกผิดชอบของเขาจะให้ทำได้แค่ไหน.2
พยานฯไม่คิดว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดโดยตรงเกี่ยวกับการปลูกถ่ายอวัยวะ ดังนั้น การตัดสินใจในเรื่องการปลูกถ่ายเยื่อแก้วตา ไต หรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ จึงเป็นเรื่องของพยานฯแต่ละบุคคล.
การผ่าตัดใหญ่ทำได้
ถึงแม้บ่อยครั้งศัลยแพทย์ได้ปฏิเสธที่จะรักษาพยานฯ เนื่องจากจุดยืนของเขาในเรื่องการใช้ผลิตผลของเลือดดูเหมือน “เป็นการมัดมือแพทย์” ไว้ แต่ปัจจุบันแพทย์จำนวนมากได้เลือกที่จะมองเรื่องนี้ว่า เป็นเพียงหนึ่งในเหตุขัดข้องอีกอย่างหนึ่งที่ท้าทายทักษะของเขาเท่านั้น. เนื่องจากพยานฯไม่ได้ห้ามการใช้ของเหลวทดแทนพวกคอลลอยด์หรือคริสตัลลอยด์ รวมทั้งการใช้เครื่องจี้ด้วยไฟฟ้า การดมยาสลบที่ความดันต่ำ3 หรือการทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลง จึงมีการใช้วิธีการเหล่านี้อย่างมีผลสำเร็จดี. การใช้เฮตาสตาร์ช4 การฉีดเด็กซ์แทรนที่ผสมธาตุเหล็กในปริมาณมากเข้าหลอดเลือดดำ5,6 และการใช้ “มีดคลื่นเสียงความถี่สูง”7 ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ล้วนแต่มีลู่ทางที่สดใสทั้งสิ้น และไม่ขัดต่อความเชื่อทางศาสนาด้วย. นอกจากนั้น ถ้าการใช้สารทดแทนเลือดที่ผสมฟลูออรีน (Fluosol–DA) ซึ่งพัฒนาขึ้นใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ พิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยและได้ผลดี8 การใช้สารตัวนี้จะไม่ขัดต่อความเชื่อของพยานฯ.
ในปี 1977 อ็อตต์ และ คูลีย์9 รายงานการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด 542 รายในพยานพระยะโฮวาโดยไม่ถ่ายเลือด และได้สรุปว่าวิธีการนี้สามารถทำได้ “โดยมีความเสี่ยงน้อยมากอันเป็นที่ยอมรับได้.” ในการตอบรับต่อคำขอของเรา เมื่อเร็ว ๆ นี้ คูลีย์ได้ทบทวนสถิติของการผ่าตัด 1,026 รายซึ่งเป็นผู้เยาว์เสียร้อยละ 22 และมีความเห็นว่า “ความเสี่ยงของการผ่าตัดในกลุ่มผู้ป่วยพยานพระยะโฮวา ไม่ได้มีสูงกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่น.” ในทำนองเดียวกัน นายแพทย์ไมเคิล อี. เดอเบคีย์ ให้ความเห็นว่า “ในรายส่วนใหญ่ [ที่เป็นพยานฯ] ความเสี่ยงของการผ่าตัดโดยไม่ถ่ายเลือด ไม่ได้มีมากกว่าพวกผู้ป่วยที่เราได้ถ่ายเลือดให้.” (การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นส่วนตัว, มีนาคม 1981). บทความต่าง ๆ ยังได้บันทึกผลสำเร็จของการผ่าตัดใหญ่โรคทางเดินปัสสาวะ10 และโรคกระดูก.11 นายแพทย์จี. ดีน แม็คอีเวิน และเจ. ริชาร์ด โบเวน ได้รายงานว่า การผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังทางด้านหลัง “ทำได้ผลสำเร็จดีในผู้เยาว์ [พยานฯ] 20 ราย” (ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์, สิงหาคม 1981). ทั้งสองเสริมว่า “ศัลยแพทย์ควรจะมีทัศนคติที่จะเคารพสิทธิ์ของผู้ป่วยที่จะปฏิเสธการถ่ายเลือด แต่ยังทำวิธีการผ่าตัดในลักษณะที่ให้ความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย.”
เฮิร์บสแมน12 รายงานความสำเร็จหลายราย ซึ่งรวมทั้งบางรายที่เป็นหนุ่มสาว “ซึ่งมีการเสียเลือดมากจากการบาดเจ็บ.” เขายอมรับว่า “พยานฯมีข้อเสียเปรียบเมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในเรื่องเลือด. กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่า เรามีวิธีเลือกอื่นแทนการทดแทนด้วยเลือด.” จากการที่เขาเห็นว่าศัลยแพทย์หลายคนรู้สึกลำบากใจที่จะรับผู้ป่วยพยานฯเนื่องจาก “กลัวการฟ้องร้อง” เขาแสดงให้เห็นว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย.
แง่มุมทางกฎหมายและผู้เยาว์
พยานพระยะโฮวาพร้อมจะลงนามในแบบฟอร์มของแพทยสมาคมแห่งอเมริกาเพื่อปลดเปลื้องแพทย์และโรงพยาบาลจากความรับผิดชอบต่าง ๆ13 และพยานฯส่วนใหญ่จะพกบัตรเอกสารทางการแพทย์ซึ่งมีการลงวันที่และมีพยานลงนามด้วย อันเป็นบัตรที่ได้จัดเตรียมขึ้นจากการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และกฎหมาย. เอกสารเหล่านี้มีผลผูกพันผู้ป่วย (หรือผู้รับมรดก) และให้ความคุ้มครองแก่แพทย์ เนื่องจากผู้พิพากษาวอร์เรน เบอร์เกอร์ มีความเห็นว่าการฟ้องร้องในเรื่องการรักษา “จะไม่มีมูล” เมื่อมีการลงนามในหนังสือแถลงการณ์สละสิทธิ์ไว้แล้ว. นอกจากนั้น เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ขณะที่ทำการวิจัยเรื่อง “การรักษาทางการแพทย์ที่จำเป็นกับความมีอิสระทางศาสนา” ปารีส14 เขียนไว้ว่า “นักวิจารณ์คนหนึ่งซึ่งได้สำรวจข้อเขียนต่าง ๆ รายงานว่า ‘ผมไม่ได้พบหลักฐานใด ๆ มาสนับสนุนคำแถลงที่ว่าแพทย์จะต้องมี . . . ความผิดทางอาญา . . . เนื่องจากเขาไม่ได้ยัดเยียดการถ่ายเลือดให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่เต็มใจรับนั้น.’ การเสี่ยงภัยนี้ดูราวกับว่าเป็นแต่ผลจากความคิดเห็นทางด้านกฎหมายที่เพาะขึ้นเองมากกว่าสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้จริง ๆ.”
การดูแลรักษาผู้เยาว์ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด บ่อยครั้งทำให้เกิดการฟ้องร้องบิดามารดาในข้อหาละเลยการให้ความดูแลบุตร. แต่การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่แพทย์และทนายความหลายคนที่มีประสบการณ์กับกรณีของพยานพระยะโฮวาไม่เห็นด้วย พวกเขาเชื่อว่าบิดามารดาที่เป็นพยานพระยะโฮวาพยายามแสวงหาการรักษาทางแพทย์ที่ดีแก่บุตรของตน. โดยไม่ต้องการที่จะเลี่ยงความรับผิดชอบในฐานะบิดามารดา ทั้งไม่ต้องการยกความรับผิดชอบนั้นไปให้แก่ผู้พิพากษาหรือบุคคลอื่น พยานพระยะโฮวาเรียกร้องให้คำนึงถึงความเชื่อทางศาสนาของครอบครัว. นายแพทย์เอ. ดี. เคลลี อดีตเลขานุการของแพทยสมาคมแห่งแคนาดา เขียนว่า15 “บิดามารดาของผู้เยาว์และญาติใกล้ชิดที่สุดของผู้ป่วยที่หมดสติไปแล้ว มีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้ชี้แจงให้ทราบถึงความประสงค์ของผู้ป่วย. . . . ผมไม่ชื่นชมกับการดำเนินทางศาลที่ไม่เข้าเรื่องในตอนตีสอง เพื่อพรากเด็กคนหนึ่งจากความดูแลของบิดามารดาของเขา.”
เป็นสัจธรรมที่ยอมรับกันว่า บิดามารดาเป็นผู้มีสิทธิ์มีเสียงในการดูแลเด็กของตน เช่นในการพิจารณาถึงความเสี่ยง–ผลดีของการผ่าตัด การรักษาทางรังสี หรือเคมีบำบัด. ด้วยเหตุผลทางศีลธรรมซึ่งลึกลงไปกว่าเรื่องความเสี่ยงของการถ่ายเลือด16 บิดามารดาที่เป็นพยานฯเรียกร้องให้ใช้การรักษาอย่างที่ไม่ขัดต่อความเชื่อทางศาสนาของตน. เรื่องนี้สอดคล้องกับหลักการทางการแพทย์ซึ่งให้รักษา “ทั้งบุคคล” โดยไม่มองข้ามความเป็นไปได้ของการก่อความเสียหายถาวรต่อจิตใจผู้ป่วย ถ้าให้การรักษาแบบที่ละเมิดต่อความเชื่อพื้นฐานของครอบครัวผู้ป่วย. ในปัจจุบันบ่อยครั้งศูนย์การแพทย์ใหญ่ ๆ ทั่วประเทศซึ่งมีประสบการณ์ในการรักษาพยานฯจะรับการส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่ไม่เต็มใจรักษาพยานฯรวมทั้งผู้ป่วยที่เป็นเด็กด้วย.
ข้อท้าทายสำหรับแพทย์
น่าเห็นใจทีเดียว การดูแลรักษาพยานพระยะโฮวาอาจเป็นเรื่องกระอักกระอ่วนใจสำหรับแพทย์ที่ทุ่มเทตนเองเพื่อการรักษาไว้ซึ่งชีวิตและสุขภาพโดยใช้เทคนิคทุกอย่างเท่าที่มีอยู่. ในคำนำของบรรณาธิการของบทความเกี่ยวกับการผ่าตัดใหญ่ในหมู่พยานฯฮาร์วีย์17 ยอมรับว่า “ผมพบว่ามีความอึดอัดใจกับความเชื่อเหล่านั้น ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของผม.” แต่เขาได้เพิ่มเติมว่า “บางทีเรามักจะลืมไปว่า การผ่าตัดเป็นศิลปะที่ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละบุคคล. เทคนิคอาจพัฒนาให้ดีขึ้นได้.”
ศาสตราจารย์โบลูคิ18 สังเกตเห็นรายงานที่ไม่น่ายินดีว่า ในโรงพยาบาลที่รักษาการบาดเจ็บ ซึ่งมีคนไข้มากที่สุดแห่งหนึ่งในเดด เคาที รัฐฟลอริดา มี “นโยบายทั่วไปที่จะไม่รับรักษา” พยานฯ. เขาชี้ให้เห็นว่า “การผ่าตัดส่วนใหญ่ในผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะประสบกับความเสี่ยงน้อยกว่าปกติ.” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้ว่าศัลยแพทย์อาจรู้สึกว่าเขาถูกขัดขวางจากการใช้เครื่องมือทางการแพทย์สมัยใหม่ . . . ผมเชื่อว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้อีกมากจากการผ่าตัดรายเหล่านี้.”
แทนที่จะคิดว่าผู้ป่วยพยานฯเป็นปัญหา แพทย์จำนวนมากขึ้นทุกทีพากันถือว่าสถานการณ์นี้เป็นข้อท้าทายทางการแพทย์อย่างหนึ่ง. ในการรับมือกับข้อท้าทายนี้ พวกเขาได้พัฒนามาตรฐานของการปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของศูนย์ทางการแพทย์มากมายทั่วประเทศ. ในขณะเดียวกันแพทย์เหล่านี้กำลังให้การรักษาเพื่อผลประโยชน์รวมที่ดีที่สุดแก่คนไข้. อย่างที่การ์ดเนอร์และคณะ19 ตั้งข้อสังเกตว่า “ใครจะได้ประโยชน์ ถ้าความเจ็บป่วยทางกายของผู้ป่วยได้รับการรักษาให้หาย แต่ชีวิตฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้า อย่างที่ผู้ป่วยเห็นนั้น ได้ถูกอะลุ้มอล่วย ซึ่งยังผลเป็นชีวิตที่หมดความหมายและบางทียิ่งแย่กว่าความตายเสียด้วยซ้ำไป.”
พยานฯเล็งเห็นว่า เมื่อพิจารณาในด้านการแพทย์แล้ว ความเชื่ออันมั่นคงของพวกเขา ดูเหมือนเพิ่มความเสี่ยงและทำให้การรักษาเขามีความยุ่งยากมากขึ้น. ดังนั้น พวกเขาจึงมักแสดงความหยั่งรู้ค่าเป็นพิเศษต่อการดูแลที่พวกเขาได้รับ. นอกเหนือจากที่พวกเขามีพลังสำคัญแห่งความเชื่ออันลึกซึ้ง และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเขายินดีร่วมมืออย่างแข็งขันกับแพทย์และบุคลากรฝ่ายพยาบาล. ดังนั้น ทั้งผู้ป่วยและแพทย์จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการเผชิญกับข้อท้าทายอันพิเศษนี้.
[เอกสารอ้างอิง]
1. Jehovah’s Witnesses and the Question of Blood. Brooklyn, NY, Watchtower Bible and Tract Society, 1977, pp. 1-64.
2. The Watchtower 1978;99 (June 15):29-31.
3. Hypotensive anesthesia facilitates hip surgery, MEDICAL NEWS. JAMA 1978;239:181.
4. Hetastarch (Hespan)—a new plasma expander. Med Lett Drugs Ther 1981;23:16.
5. Hamstra RD, Block MH, Schocket AL:Intravenous iron dextran in clinical medicine. JAMA 1980;243:1726-1731.
6. Lapin R: Major surgery in Jehovah’s Witnesses. Contemp Orthop 1980;2:647-654.
7. Fuerst ML: ‘Sonic scalpel’ spares vessels. Med Trib 1981;22:1,30.
8. Gonzáles ER: The saga of ‘artificial blood’: Fluosol a special boon to Jehovah’s Witnesses. JAMA 1980;243:719-724.
9. Ott DA, Cooley DA: Cardiovascular surgery in Jehovah’s Witnesses. JAMA 1977;238:1256-1258.
10. Roen PR, Velcek F: Extensive urologic surgery without blood transfusion. NY State J Med 1972;72:2524-2527.
11. Nelson CL, Martin K, Lawson N, et al: Total hip replacement without transfusion. Contemp Orthop 1980;2:655-658.
12. Herbsman H: Treating the Jehovah’s Witness. Emerg Med 1980;12:73-76.
13. Medicolegal Forms With Legal Analysis. Chicago, American Medical Association, 1976, p. 83.
14. Paris JJ: Compulsory medical treatment and religious freedom: Whose law shall prevail? Univ San Francisco Law Rev 1975;10:1-35.
15. Kelly AD: Aequanimitas Can Med Assoc J 1967;96:432.
16. Kolins J: Fatalities from blood transfusion. JAMA 1981;245:1120.
17. Harvey JP: A question of craftsmanship. Contemp Orthop 1980;2:629.
18. Bolooki H: Treatment of Jehovah’s Witnesses: Example of good care. Miami Med 1981;51:25-26.
19. Gardner B, Bivona J, Alfonso A, et al: Major surgery in Jehovah’s Witnesses. NY State J Med 1976;76:765-766.