คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือก
วิธีทางการแพทย์สมัยใหม่ (ที่เรียกว่า การวิเคราะห์ความเสี่ยง/ผลดีที่จะได้รับ) ทำให้ง่ายขึ้นสำหรับแพทย์และผู้ป่วยในการร่วมมือกันเพื่อหลีกจากการรักษาด้วยเลือด. แพทย์จะชั่งดูปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงของยาบางอย่างหรือการผ่าตัด กับผลดีต่าง ๆ ที่จะได้รับ. ผู้ป่วยจะมีส่วนด้วยในการวิเคราะห์นี้.
ให้เราใช้ตัวอย่างที่ผู้คนหลายแห่งเข้าใจได้ง่าย—โรคต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง. ถ้าคุณประสบกับปัญหานี้ คุณคงไปปรึกษาแพทย์. ที่จริง คุณอาจปรึกษาแพทย์สองคนก็ได้ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมักจะแนะนำให้ฟังความเห็นจากอีกคนหนึ่ง. แพทย์คนหนึ่งอาจแนะนำให้ทำการผ่าตัด. เขาอธิบายให้ฟังคร่าว ๆ ว่านั่นหมายถึงอะไร: ระยะเวลาที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล ความเจ็บปวดมากน้อยอย่างไร และค่าใช้จ่าย. สำหรับเรื่องความเสี่ยงนั้น เขาบอกว่ามีน้อยรายที่จะมีเลือดออกมาก และโอกาสที่จะเสียชีวิตจากการผ่าตัดนี้มีน้อยมาก. แต่แพทย์อีกคนหนึ่งที่คุณไปปรึกษาด้วยแนะให้คุณลองใช้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ. เขาอธิบายถึงชนิดของยาที่จะใช้ โอกาสที่จะได้ผล และค่าใช้จ่าย. ในเรื่องความเสี่ยงนั้น เขาบอกว่ามีผู้ป่วยน้อยคนที่จะมีปฏิกิริยาอันอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตเนื่องจากยานั้น.
แพทย์ที่มีความสามารถทุกคนคงจะได้พิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ แต่บัดนี้คุณเอง ต้องชั่งดูความเสี่ยงและผลดีที่อาจได้รับ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งคุณจะรู้ดีที่สุด. (คุณอยู่ในฐานะที่จะพิจารณาได้ดีที่สุดในด้านต่าง ๆ เช่น ความเข้มแข็งของคุณทางอารมณ์หรือทางฝ่ายวิญญาน ฐานะทางการเงินของครอบครัว ผลกระทบที่มีต่อครอบครัว และจริยธรรมส่วนตัว.) หลังจากนั้นคุณจึงตัดสินใจ. คุณอาจยินยอมโดยได้รับการชี้แจงครบถ้วนให้ทำการรักษาแบบหนึ่ง แต่ปฏิเสธการรักษาอีกแบบหนึ่ง.
คงจะเป็นอย่างนั้นเช่นกันเมื่อลูกของคุณเป็นทอนซิลอักเสบเรื้อรัง. คงจะมีการอธิบายให้คุณ ผู้เป็นบิดามารดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ผู้ซึ่งจะต้องได้รับผลกระทบมากที่สุด และจะต้องเป็นผู้รับมือกับผลที่เกิดต่อมา ให้ทราบถึงความเสี่ยง ประโยชน์ที่ได้ และวิธีรักษาต่าง ๆ. หลังจากพิจารณาทุกแง่แล้ว คุณจะเลือกตัดสินใจได้อย่างที่มีข้อมูลครบถ้วนในเรื่องของสุขภาพของบุตรของคุณ และแม้แต่เรื่องความเป็นความตายของเขา. บางทีคุณอาจยอมให้ทำการผ่าตัด โดยเข้าใจดีถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง. บิดามารดาคนอื่นอาจเลือกที่จะใช้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ พร้อมกับความเสี่ยงของมัน. เช่นเดียวกับที่แพทย์อาจมีคำแนะนำที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยหรือบิดามารดาก็อาจมีความเห็นต่าง ๆ กันในเรื่องที่เขาเห็นว่าดีที่สุด. นี่คือหลักการทั่ว ๆ ไปของการตัดสินใจเลือก (ความเสี่ยง/ผลดีที่จะได้รับ) อย่างที่มีข้อมูลครบถ้วน.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการใช้เลือด? ไม่มีใครที่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างไม่ลำเอียงแล้วจะปฏิเสธได้ว่า การถ่ายเลือดมีอันตรายมาก. ดร. ชารล์ส ฮักกินส์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการหน่วยบริการถ่ายเลือดของโรงพยาบาลแมสซาชูเซ็ตส์อันใหญ่โต ได้ทำให้เรื่องนี้ชัดเจน. เขากล่าวว่า “เลือดไม่เคยปลอดภัยกว่านี้มาก่อน. แต่ยังต้องถือว่าเลือดยังเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. เลือดเป็นสารที่อันตรายที่สุดที่เราใช้ในทางการแพทย์.”—The Boston Globe Magazine, 4 กุมภาพันธ์ 1990.
ด้วยเหตุผลที่ดี บุคลากรทางการแพทย์จึงได้รับคำแนะนำว่า “เราจำเป็นที่จะต้องทำการประเมินกันใหม่ในส่วนของความเสี่ยง ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง/ผลดีที่ได้รับของการถ่ายเลือด และค้นหาวิธีทดแทนอื่น ๆ.”—Perioperative Red Cell Transfusion, การประชุมสถาบันทางการสาธารณสุขแห่งชาติ, 27-29 มิถุนายน 1988.
แพทย์อาจไม่เห็นพ้องร่วมกันในเรื่องประโยชน์และโทษของการใช้เลือด. คนหนึ่งอาจให้เลือดหลายครั้งและเชื่อว่านั้นคุ้มกับการเสี่ยง. อีกคนหนึ่งอาจเห็นว่านั่นเป็นการเสี่ยงที่ไม่มีเหตุผล เพราะเขาเคยรักษาได้ผลดีโดยไม่ใช้เลือด. อย่างไรก็ดี ในที่สุดคุณเอง ซึ่งเป็นผู้ป่วยหรือเป็นบิดามารดา ต้องเป็นผู้ทำการตัดสินใจ. เหตุใดจึงต้องเป็นคุณ? เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับร่างกาย ชีวิต จริยธรรม และสัมพันธภาพที่มีกับพระเจ้าอันสำคัญยิ่ง ของคุณ (หรือลูกของคุณ).
สิทธิ์ของคุณเป็นที่ยอมรับ
ปัจจุบันนี้ในหลายประเทศ ผู้ป่วยมีสิทธิ์อันไม่อาจละเมิดได้ ที่จะตัดสินว่าเขาจะยอมรับการรักษาแบบใด. “กฎหมายของการยินยอมโดยที่ได้รับการชี้แจงครบถ้วนอาศัยรากฐานสองประการ: ประการแรกคือ ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอเพื่อที่จะทำการตัดสินใจเลือกอย่างที่มีข้อมูลครบถ้วนในการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ และประการที่สองคือ ผู้ป่วยอาจเลือกที่จะรับหรือปฏิเสธสิ่งที่แพทย์แนะนำได้. . . . นอกจากจะมีการยอมรับว่า ผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะตอบรับ หรือปฏิเสธ หรือแม้แต่ตอบรับโดยมีเงื่อนไขต่าง ๆ มิฉะนั้น หลักการพื้นฐานของการให้ความยินยอมโดยที่มีข้อมูลครบถ้วน ก็ไม่มีความหมายอะไร.”—Informed Consent—Legal Theory and Clinical Practice, 1987.a
ผู้ป่วยบางคนได้ประสบการต่อต้านเมื่อเขาพยายามจะใช้สิทธิ์ของเขา. อาจเป็นจากเพื่อนซึ่งมีความคิดเห็นอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับการผ่าตัดต่อมทอนซิล หรือไม่ก็เกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ. หรืออาจเป็นจากแพทย์ผู้ซึ่งเชื่อว่าคำแนะนำของเขาดีที่สุด. หรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอาจไม่เห็นด้วย เนื่องจากแง่มุมในด้านกฎหมายหรือในด้านการเงิน.
ดร.คาร์ล แอล. เนลสัน กล่าวว่า “ศัลยแพทย์กระดูกหลายคนเลือกที่จะไม่ทำการผ่าตัดผู้ป่วย (ซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวา). สำหรับพวกเรา เราเชื่อว่าผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการรักษาทางการแพทย์แบบใดก็ได้. ถ้ามีวิธีที่เป็นไปได้ที่จะทำการผ่าตัดอย่างปลอดภัย ขณะเดียวกับที่ตัดการรักษาบางอย่างออกไป เช่นการให้เลือด ก็ควรถือว่านั่นเป็นทางเลือกอีกแบบหนึ่ง.”—The Journal of Bone and Joint Surgery, มีนาคม 1986.
ผู้ป่วยที่เห็นอกเห็นใจจะไม่พยายามบีบบังคับให้แพทย์ใช้วิธีการรักษาซึ่งเขาไม่ชำนาญ. กระนั้น อย่างที่ ดร. เนลสันได้กล่าวไว้ แพทย์ผู้เสียสละหลายคนสามารถปรับเปลี่ยนตามความเชื่อของผู้ป่วยได้. เจ้าหน้าที่ชาวเยอรมันผู้หนึ่งแนะนำว่า “แพทย์ไม่อาจปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ . . . ด้วยการชักเหตุผลที่ว่าเขาไม่อาจใช้การรักษาทุกวิธีที่เขามีในการรักษาพยานพระยะโฮวา. เขายังคงมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือแม้หนทางจะถูกจำกัดลงก็ตาม.” (Der Frauenarzt, พฤษภาคม–มิถุนายน 1983) ในทำนองเดียวกัน โรงพยาบาลมีขึ้นมิใช่เพื่อทำเงินเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อบริการผู้คนโดยไม่เลือกหน้า. ริชาร์ด เจ. เดไวน์ นักเทววิทยาคาทอลิกแถลงว่า “ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลจะต้องใช้ความพยายามทางการแพทย์ทุกวิธีที่จะรักษาสุขภาพและชีวิตของคนไข้ก็ตาม แต่จะต้องแน่ใจว่า การรักษานั้นไม่ละเมิดสติรู้สึกผิดชอบ (ของผู้ป่วย). นอกจากนั้น จะต้องหลีกเลี่ยงจากการขู่เข็ญทุกอย่าง จากการหลอกล่อผู้ป่วยเพื่อหาคำสั่งศาลมาบังคับให้รับการถ่ายเลือด.”—Health Progress, มิถุนายน 1989.
แทนที่จะพึ่งศาล
หลายคนเห็นพ้องกันว่า เรื่องส่วนตัวทางการแพทย์ไม่ใช่ธุระที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล. คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคุณเลือกที่จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แต่มีใครบางคนไปฟ้องศาล เพื่อบังคับให้คุณผ่าตัดต่อมทอนซิลออก? แพทย์อาจอยากให้การรักษาอย่างที่เขาคิดว่าดีที่สุด แต่แพทย์ไม่มีหน้าที่ที่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ เพื่อเหยียบย่ำสิทธิอันชอบธรรมของคุณ. และเนื่องจากพระคัมภีร์ไบเบิลถือว่าการละเว้นจากเลือดมีความสำคัญทางด้านศีลธรรมเช่นเดียวกับการหลีกเว้นจากการล่วงประเวณี ดังนั้น การบังคับให้คริสเตียนรับเลือดก็เท่ากับการบังคับให้ร่วมเพศ—คือการข่มขืนนั่นเอง.—กิจการ 15:28, 29.
กระนั้น วารสาร อินฟอร์มด์ คอนเซ็นต์ ฟอร์ บลัด ทรานสฟิวชัน [การยินยอมโดยที่ได้รับการชี้แจงครบถ้วนเรื่องการถ่ายเลือด] (1989) รายงานว่า ศาลบางแห่งร้อนใจมากเมื่อผู้ป่วยเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงบางประการเนื่องจากความเชื่อทางศาสนาของตน “จนทำให้พวกเขาอ้างข้อยกเว้นทางกฎหมายบางอย่าง—อาจเรียกว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นเองทางกฎหมายก็ว่าได้—เพื่อจะอนุญาตให้มีการถ่ายเลือด.” พวกเขาอาจพยายามยกข้ออ้างว่าคนไข้ตั้งครรภ์อยู่ หรือว่าคนไข้มีบุตรที่จะต้องเลี้ยงดู. หนังสือเล่มนี้กล่าวว่า “สิ่งเหล่านั้นคือนวนิยายทางกฎหมาย. ผู้ใหญ่ที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการรักษาได้.”
บางคนที่ยืนยันจะต้องให้มีการถ่ายเลือดให้ได้ มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าพยานพระยะโฮวาไม่ได้ปฏิเสธการรักษาทุกอย่าง. พวกเขาปฏิเสธการรักษาเพียงอย่างเดียว เท่านั้น เป็นการรักษาที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็กล่าวว่าเต็มไปด้วยอันตราย. ปกติแล้วปัญหาทางการแพทย์มีวิธีแก้ไขได้หลายวิธี. วิธีหนึ่งอาจมีความเสี่ยงในด้านหนึ่ง อีกวิธีหนึ่งเสี่ยงในอีกแง่หนึ่ง. ศาลเองหรือแพทย์จะทำตัวเหมือนเป็นพ่อเป็นแม่ในการตัดสินได้ไหมว่า การเสี่ยงอันใด “เป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับคุณ”? คุณเองจะต้องเป็นผู้ตัดสินเรื่องนั้น. พยานพระยะโฮวายืนมั่นว่าเขาไม่ต้องการให้ใครอื่นมาตัดสินแทนตน เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า.
ถ้าศาลบังคับการรักษาที่คุณเกลียดกลัว นั่นจะมีผลกระทบอย่างไรต่อสติรู้สึกผิดชอบ และปัจจัยสำคัญอันได้แก่ความปรารถนาของคุณที่จะมีชีวิตอยู่? ดร. คอนราด เดรบิงเกอร์เขียนไว้ว่า “คงจะต้องเป็นความทะเยอทะยานทางการแพทย์ที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอนทีเดียว ที่ชักนำคนเราให้บังคับผู้ป่วยให้รับการรักษาใด ๆ ที่ขัดต่อสติรู้สึกผิดชอบของเขา เพียงเพื่อจะเยียวยาร่างกายของเขา แต่กลับทำลายจิตใจของเขา.”—Der Praktische Arzt, กรกฎาคม 1978.
การดูแลลูก ๆ ด้วยความรัก
คดีต่าง ๆ ที่ฟ้องร้องในเรื่องเลือดมักจะเกี่ยวข้องกับเด็ก. บางครั้งเมื่อบิดามารดาที่รักลูกได้แสดงความจำนงอย่างสุภาพให้ทำการรักษาโดยไม่ใช้เลือด บุคลากรทางการแพทย์บางคนได้ขออำนาจศาลเพื่อทำการให้เลือด. แน่นอน คริสเตียนเห็นด้วยกับกฎหมายและการปฏิบัติของศาลเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กถูกทำทารุณหรือถูกทอดทิ้ง. บางทีคุณเคยอ่านเรื่องบิดามารดาบางคนที่ทำร้ายเด็กอย่างทารุณหรือทอดทิ้งเด็กโดยไม่ให้การรักษาเลย. ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าใจจริง ๆ! เห็นได้ชัดว่า รัฐมีหน้าที่และควรเข้าไปปกป้องเด็ก ๆ ที่ถูกละเลย. แต่คุณคงเห็นได้ชัดว่า เป็นกรณีต่างกันทีเดียวเมื่อบิดามารดาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเรียกร้องให้ทำการรักษาทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ใช้เลือด.
คดีเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กอยู่ในโรงพยาบาล. เด็กเหล่านี้เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลอย่างไร และเพื่อจุดประสงค์อะไร? ส่วนใหญ่แล้วก็เพราะบิดามารดาที่เป็นห่วงนำลูกของเขาไปเพื่อให้รับการรักษาที่ดี. ดังที่พระเยซูทรงสนพระทัยในพวกเด็ก ๆ บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนสนใจและเอาใจใส่ลูก ๆ ของตนเช่นกัน. พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึง ‘มารดาผู้เลี้ยงดูเอาใจใส่ลูก ๆ ของเธอ.’ พยานพระยะโฮวามีความรักอันลึกซึ้งเช่นนั้นต่อบุตรของตน.—1 เธซะโลนิเก 2:7; มัดธาย 7:11; 19:13-15.
โดยปกติแล้ว บิดามารดาทุกคนเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยของลูก ๆ: ครอบครัวจะใช้แก๊สหรือใช้ถ่านในครัว? จะพาเด็ก ๆ ไปด้วยเมื่อขับรถทางไกลไหม? จะให้เขาไปว่ายน้ำไหม? เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่าง ๆ บางครั้งหมายถึงความเป็นความตายทีเดียว. แต่สังคมยอมรับว่าบิดามารดามีสิทธิในการตัดสินใจ ดังนั้น บิดามารดาจึงรับหน้าที่หลักเป็นผู้ตัดสินใจเกือบทุกเรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับลูกของเขา.
ในปีสากลศักราช 1979 ศาลสูงสุดของสหรัฐฯกล่าวอย่างชัดเจนว่า “หลักการของกฎหมายเกี่ยวกับครอบครัวอาศัยการอนุมานที่ว่า บิดามารดามีสิ่งที่เด็ก ๆ ขาดในแง่ของความคิดอ่าน ประสบการณ์ และความสามารถที่จำเป็นเพื่อตัดสินใจเรื่องยากลำบากของชีวิต. . . . เพียงเพราะการตัดสินใจของบิดามารดา [ในเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์] ซึ่งดูเสี่ยงภัย ไม่หมายความว่าอำนาจของการตัดสินใจของเขาจะต้องถูกยกให้กับองค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยอัตโนมัติ.”—Parham v. J.R.
ในปีเดียวกันนั้น ศาลอุทธรณ์แห่งนิวยอร์กตัดสินว่า “ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะตัดสินว่าเด็กคนใดกำลังถูกกีดกันจากการรับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์หรือไม่นั้น . . . ขึ้นอยู่กับว่าบิดามารดาได้ให้บุตรของตนรับการรักษาทางการแพทย์อันเป็นที่ยอมรับกันหรือไม่ตามสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ทั้งหมด. การไต่สวนนี้ไม่อาจชี้ว่าการตัดสินใจของบิดามารดานั้นจะ “ถูก” หรือ “ผิด” เพราะวิธีปฏิบัติการทางการแพทย์ในปัจจุบัน แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างยิ่งก็ตาม น้อยครั้งนักที่จะสามารถตัดสินได้อย่างแน่นอนในเรื่องนั้น. ทั้งศาลก็ไม่อาจทำหน้าที่แทนบิดามารดาได้.”—In re Hofbauer.
ย้อนกลับไปถึงตัวอย่างของบิดามารดาที่ต้องเลือกระหว่างการผ่าตัดหรือการใช้ยาปฏิชีวนะ. การรักษาแต่ละวิธีก็มีความเสี่ยงของมันเอง. บิดามารดาที่เปี่ยมด้วยความรัก มีความรับผิดชอบที่จะชั่งดูความเสี่ยง ผลดีที่อาจได้รับ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ แล้วจึงตัดสินใจ. เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร. จอห์น แซมมวลส์ (Anesthesiology News, ตุลาคม 1989) แนะนำให้อ่านหนังสือ คำแนะนำสำหรับผู้พิพากษาเรื่องคำสั่งเกี่ยวกับเด็ก [Guides to the Judge in Medical Orders Affecting Children] ซึ่งมีจุดยืนดังนี้:
“ความรู้ทางการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้าเพียงพอที่จะให้แพทย์คาดการณ์อย่างมีเหตุผลได้แน่นอนว่า ผู้ป่วยจะรอดหรือเสียชีวิต . . . ถ้ามีโอกาสเลือก วิธีการรักษา—เช่นแพทย์อาจแนะนำวิธีหนึ่งซึ่งมีโอกาสสำเร็จ 80 เปอร์เซนต์ แต่บิดามารดาไม่เห็นด้วย และบิดามารดาไม่คัดค้านวิธีการหนึ่งซึ่งมีโอกาสสำเร็จเพียง 40 เปอร์เซนต์—แพทย์จะต้องใช้วิธีที่เสี่ยงกว่าในทางการแพทย์ แต่บิดามารดาไม่คัดค้าน.”
ขณะที่มีการพบอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหลายอย่างของการใช้เลือดในทางการแพทย์ และเพราะมีวิธีเลือกอื่นแทนซึ่งได้ผลดีในการรักษา เป็นไปได้ไหมที่การหลีกเลี่ยงจากเลือดเป็นวิธีที่มีอันตรายน้อยกว่า?
เป็นธรรมดาที่คริสเตียนจะชั่งดูปัจจัยหลายอย่างถ้าลูกจะต้องรับการผ่าตัด. การผ่าตัดทุกอย่างไม่ว่าจะใช้เลือดหรือไม่ก็มีความเสี่ยง. ศัลยแพทย์คนใดจะให้การรับรอง? บิดามารดาอาจทราบว่าได้เคยมีแพทย์ที่ชำนาญทำการผ่าตัดให้ลูกของพยานฯได้ผลอย่างดีโดยไม่ใช้เลือด. ดังนั้น แม้แพทย์หรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะมีความเห็นอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะมาต่อสู้กันในศาลซึ่งทั้งเสียเวลาและเครียด จะไม่มีเหตุผลกว่าหรือที่พวกเขาจะร่วมมือกับบิดามารดาที่รักลูกเหล่านั้น? หรือบิดามารดาอาจย้ายบุตรไปยังโรงพยาบาลอื่น ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่มีประสบการณ์และเต็มใจในการรักษารายเหล่านั้น. ที่จริงแล้ว การรักษาโดยไม่ใช้เลือดน่าจะเป็นวิธีที่มีคุณภาพ เนื่องจากวิธีนี้สามารถช่วยให้ครอบครัว “บรรลุถึงเป้าหมายทางการแพทย์และที่ไม่ใช่ทางการแพทย์อันชอบด้วยเหตุผล” อย่างที่เราได้กล่าวไว้ในตอนต้น.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูบทความทางการแพทย์ที่มีชื่อ “เลือด: เป็นการเลือกของใคร และตามสติรู้สึกผิดและชอบของผู้ใด?” ในบางส่วนของภาคผนวกที่หน้า 30-31.
[กรอบหน้า 18]
การปลดเปลื้องความรับผิดชอบทางกฎหมาย
คุณอาจสงสัยว่า ‘เหตุใดแพทย์บางคนหรือโรงพยาบาลบางแห่งจึงด่วนที่จะร้องต่อศาลเพื่อสั่งให้มีการถ่ายเลือด?’ ในบางประเทศเหตุผลทั่วไปคือกลัวจะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย.
ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเป็นห่วงในกรณีนี้เมื่อพยานพระยะโฮวาเลือกการรักษาโดยไม่ใช้เลือด. แพทย์ผู้หนึ่งที่วิทยาลัยการแพทย์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (สหรัฐฯ) รายงานดังนี้ “ส่วนใหญ่ [พวกพยานฯ] พร้อมที่จะลงนามในแบบฟอร์มของแพทยสมาคมแห่งอเมริกา ปลดเปลื้องแพทย์และโรงพยาบาลจากความรับผิดชอบในความเสียหาย และหลายคนพกบัตร “เอกสารทางการแพทย์”. แบบฟอร์ม ‘การปฏิเสธที่จะรับผลิตผลจากเลือด’ ซึ่งมีการลงนามและวันที่อย่างถูกต้อง เป็นข้อตกลงที่เป็นสัญญาและมีผลผูกพันตามกฎหมาย.”—Anesthesiology News, ตุลาคม 1989.
ถูกแล้ว พยานพระยะโฮวาร่วมมือให้ความมั่นใจทางกฎหมายแก่แพทย์หรือโรงพยาบาลว่า จะไม่ถูกเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ในการจัดรักษาตามที่ถูกร้องขอโดยไม่ใช้เลือด. ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ พยานพระยะโฮวาแต่ละคนจะพกบัตรเอกสารทางการแพทย์ไว้. บัตรนี้จะเปลี่ยนใหม่ทุกปี และจะลงนามโดยเจ้าของบัตรและพยานซึ่งมักจะเป็นญาติใกล้ชิด.
ในปี 1990 ศาลสูงสุดแห่งประเทศแคนาดาได้ตัดสินยืนตามคำพิพากษาเดิมที่กล่าวไว้อย่างเห็นพ้องด้วยกับบัตรดังกล่าว: “บัตรนี้เป็นแถลงการอันเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับฐานะ ซึ่งผู้ถือบัตรอาจยึดถือได้อย่างชอบด้วยกฎหมายเพื่อวางข้อจำกัดเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับคำสัญญากับแพทย์.” ในหนังสือ Medicinsk Etik (1985) ศาสตราจารย์แดเนียล แอนเดอร์เซน เขียนไว้ว่า “ถ้ามีเอกสารที่เขียนไว้อย่างชัดเจนจากผู้ป่วยแจ้งว่าเขาเป็นพยานพระยะโฮวา และเขาไม่ต้องการเลือดไม่ว่าในกรณีใด ๆ แล้ว ด้วยความนับถือต่อความเป็นอิสระของผู้ป่วย เราต้องทำตามความประสงค์นี้เสมือนกับว่าเขาได้กล่าวจากปากของเขาเอง.”
พยานฯจะลงนามในใบยินยอมของโรงพยาบาลด้วย. แบบหนึ่งซึ่งใช้อยู่ที่โรงพยาบาลในไฟรบูร์ก เยอรมนี มีช่องว่างซึ่งแพทย์ใช้เขียนข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาที่เขาได้อธิบายให้ผู้ป่วย. และเหนือลายเซ็นต์ของแพทย์และผู้ป่วย แบบฟอร์มนี้มีข้อความเพิ่มเติมว่า “ในฐานะที่เป็นสมาชิกของคณะศาสนาแห่งพยานพระยะโฮวา ข้าพเจ้าขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะใช้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดจากภายนอกระหว่างการผ่าตัดของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าทราบดีว่าวิธีการที่จำเป็นและที่ได้กำหนดไว้จะมีความเสี่ยงมากขึ้นเนื่องจากปัญหาเลือดออก. หลังจากที่ได้รับคำอธิบายอย่างแจ่มแจ้งโดยเฉพาะในเรื่องนี้แล้ว ข้าพเจ้าเรียกร้องให้ทำการผ่าตัดที่จำเป็นโดยไม่ต้องใช้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดจากภายนอก.”—Herz Kreislauf, สิงหาคม 1987.
ที่จริงแล้ว การรักษาโดยไม่ใช้เลือดอาจมีความเสี่ยงน้อยกว่า. แต่จุดสำคัญ ณ ที่นี้คือผู้ป่วยพยานฯยินดีที่จะขจัดความกังวลที่ไม่จำเป็นทุกอย่างเพื่อที่บุคลากรทางการแพทย์จะได้จดจ่อกับสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ นั่นคือการช่วยให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติ. ความร่วมมืออย่างนี้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ดังที่ ดร. แอนเจโลส เอ. แคมบูริส รายงานไว้ใน “การผ่าตัดใหญ่ของช่องท้องในพยานพระยะโฮวา” ดังนี้:
“ศัลยแพทย์ควรถือว่าข้อตกลงก่อนการผ่าตัด เป็นข้อผูกมัดและต้องถือมั่นตลอดไป ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ในระหว่างการผ่าตัดหรือหลังจากนั้น. เรื่องนี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีทัศนะที่ดีต่อการผ่าตัด และดึงความสนใจของศัลยแพทย์จากเรื่องทางกฎหมายและปรัชญา ให้จดจ่อในเรื่องของการผ่าตัดและเทคนิค ทั้งนี้จะช่วยให้เขาทำผ่าตัดได้อย่างดีที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากที่สุด.”—The American Surgoen, มิถุนายน 1987.
[กรอบหน้า 19]
การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างไม่จำเป็นคือสาเหตุใหญ่ของการเพิ่มขึ้นในค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาสุขภาพในปัจจุบัน. . . . การถ่ายเลือดมีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะค่าใช้จ่ายที่สูงและมีอันตรายมาก. ดังนั้น คณะกรรมาธิการร่วมของการกำหนดมาตรฐานสำหรับโรงพยาบาลแห่งอเมริกาจึงจัดให้การถ่ายเลือดอยู่ในพวกที่ ‘มีปริมาณมาก มีความเสี่ยงสูง และผิดพลาดได้มาก.’”—“Transfusion,” กรกฎาคม–สิงหาคม 1989.
[กรอบหน้า 20]
สหรัฐฯ: รากฐานของความจำเป็นในการได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยคือหลักจรรยาของความเป็นอิสระในตัวของตัวเอง นั่นคือการตัดสินในเรื่องชะตากรรมควรจะเป็นสิทธิ์ของบุคคลคนนั้น. พื้นฐานทางด้านกฎหมายของการต้องขอความยินยอมเสียก่อน ก็เพราะการดำเนินการทางการแพทย์ใด ๆ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยถือเป็นการทำร้ายร่างกาย.”—“การยินยอมรับการถ่ายเลือดโดยได้รับการชี้แจงครบถ้วน”, 1989.
เยอรมนี: สิทธิ์ของผู้ป่วยในการตัดสินด้วยตนเองอยู่เหนือกว่าหลักการของการให้ความช่วยเหลือและการรักษาไว้ซึ่งชีวิต. ผลก็คือ: ไม่มีการถ่ายเลือดให้ผู้ป่วยโดยไม่ได้รับความยินยอม.”—“Herz Kreislauf,” สิงหาคม 1987.
ญี่ปุ่น: “ไม่มีสิ่งที่ ‘เด็ดขาด แน่นอน ไม่ผิดพลาด’ ในทางการแพทย์. แพทย์เชื่อว่าวิธีการแพทย์ในสมัยปัจจุบันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและดำเนินตามนั้น แต่พวกเขาไม่ควรบังคับผู้ป่วยให้ยอมรับทุกอย่างว่าเป็นสิ่ง ‘เด็ดขาด แน่นอน ไม่ผิดพลาด.’ ผู้ป่วยจะต้องมีอิสระในการเลือกด้วย.”—“มินามิ นิฮอน ชิมบุน” มิถุนายน 1985.
[กรอบหน้า 21]
“ผมได้พบว่าครอบครัว [ของพยานพระยะโฮวา] เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกันและรักกันมาก.” ดร. ลอเรนซ์ เอส. แฟรงเคิล กล่าว. “พวกเด็ก ๆ มีการศึกษาดี มีน้ำใจ และมีมารยาทดี. . . . ดูเหมือนว่าเขาเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์มากกว่าคนทั่วไป ซึ่งอาจมาในรูปของความพยายามที่จะให้รับวิธีทางการแพทย์ใด ๆ ตราบใดที่ความเชื่อของพวกเขายอมให้.”—แผนกกุมารเวชศาสตร์, โรงพยาบาลและสถาบันมะเร็ง เอ็ม. ดี. แอนเดอร์สัน, ฮิวสตัน, สหรัฐฯ, 1985.
[กรอบหน้า 22]
“ดร. เจมส์ แอล. เฟล็ตเชอร์ จูเนียร์ กล่าวว่า “ผมคิดว่ามีไม่น้อยทีเดียว ที่ความเย่อหยิ่งทางอาชีพอาจเข้ามาแทนการตัดสินใจที่ดีทางการแพทย์. วิธีการรักษาที่คิดกันว่า ‘ดีที่สุดในทุกวันนี้’ อาจมีการดัดแปลงหรืออาจเลิกใช้ไปในวันข้างหน้าก็ได้. อะไรเป็นสิ่งที่อันตรายกว่ากันแน่ ‘บิดามารดาที่เคร่งศาสนา’ หรือแพทย์ที่หยิ่งยโสผู้ซึ่งถือว่าการรักษาแบบของเขาหรือของเธอ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างไม่มีข้อโต้แย้งได้?”—“Pediatrics,” ตุลาคม 1988.